“ทุกคนคงเห็นได้ว่าฉันใจเย็นกับคุณฮว่ามาตลอด” ถังหนิงกล่าวกับสื่อขณะที่เธอนั่งอยู่บนวิลแชร์ “เราเพิ่งได้พบกันครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้และฉันมั่นใจว่าสื่อได้เห็นทุกอย่างที่เธอทำกับฉันตลอดช่วงเวลาดังกล่าว เธอพยายามใส่ร้ายว่าฉันทำร้ายร่างกายเธอ อ้างว่าลูกที่ยังไม่เกิดของฉันผิดปกติ เธอมาปรากฏตัวที่บ้านของฉันหลายต่อหลายครั้งเพื่อสบประมาทฉัน สร้างข่าวลือว่าฉันกับอันจือเฮ่าคบชู้กัน และเมื่อวานนี้ เธอวางยาในซุปของฉัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นทำเอาฉันขนลุกไปทั้งตัว
“ตลอดการตั้งครรภ์ของฉัน ฉันอยู่โดยใช้หลักศีลธรรมที่จะสร้างตัวอย่างที่ดีให้ลูกของฉัน ฉันจึงตัดสินใจไม่จัดการการเรื่องต่างๆ อย่างเปิดเผย แต่ทางกลับกัน ฮว่าเหวินเฟิ่งได้ใช้โอกาสนี้ในการทดสอบขอบเขตของตัวเอง
“แต่ความอดกลั้นก็มีขีดจำกัดของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีใครพยายามทำร้ายลูกของฉันกับโม่ถิง
“วันนี้ ฉันไม่เพียงแต่จะทวงความยุติธรรมให้คุณไป๋ซึ่งเป็นแม่สามีของฉันเท่านั้น แต่ฉันต้องการให้ฮว่าเหวินเฟิ่งอธิบายกับฉันด้วย คุณจะยอมรับไหมว่าคุณใส่ควินิดีนลงในซุปไก่ของฉัน”
“ตอนนี้เธอถือไพ่เหนือกว่านี่ เธอจะพูดอะไรก็ได้” ฮว่าเหวินเฟิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงพ่ายแพ้ ที่จริงเธอแสร้งทำเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่กำลังถูกข่มขู่
เธอมั่นใจว่าถังหนิงไม่มีหลักฐาน
เป็นไปไม่ได้ที่ถังหนิงจะพิสูจน์ว่าเธอมีความผิด
“คุณถึงขนาดหักล้างคำสารภาพของตัวเอง แต่ฉันไม่เคยคาดคิดว่าคุณจะสารภาพหรอก” ถังหนิงจ้องมองฮว่าเหวินเฟิ่งอย่างเยือกเย็นด้วยท่าทีล้อเลียน “ควินิดีนไม่ใช่ยาสามัญทั่วไป ไม่ใช่ยาที่จะสามารถหามาได้ง่ายๆ และในฐานะนักวิจัยด้านชีววิทยา การขอใช้ควินิดีนจำเป็นต้องลงบันทึก ฉันไปที่ห้องแล็บของคุณและได้รับเอกสารที่คุณกรอกเพื่อขอใช้มัน คุณบอกฉันได้ไหมว่าคุณเอายานั่นไปใช้ที่ไหน”
“แน่นอนว่าฉันเอาไปใช้ในการทดลอง”
“การทดลอง?” ถังหนิงหัวเราะอย่างล้อเลียน “แต่จากที่ฉันเห็น คุณลาหยุดจากห้องทดลองไปหลายวัน แล้วคุณจะไปทำการทดลองที่ไหนได้ล่ะ คุณไม่ได้เอาอุปกรณ์การทดลองอะไรมาด้วยเลย คุณแค่เอาควินิดีนออกมา บังเอิญจังเลยนะคะ!”
“เธอกำลังอ้างว่าฉันเป็นคนร้ายเพียงเพราะฉันขอใช้ควินิดีนงั้นเหรอ ฉันว่ามันเอามาใช้เป็นหลักฐานไม่ได้หรอกนะ” ฮว่าเหวินเฟิ่งพยายามปกป้องตัวเองอย่างที่สุด
“แต่คุณก็ไม่สามารถล้างชื่อของตัวเองไม่ให้มีมลทินด้วยการบอกพวกเราว่าคุณเอาควินิดีนไปใช้ที่ไหนได้เช่นกัน” ถังหนิงยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง “คุณจะไปถามหมอคนไหนก็ได้ว่า เป็นไปได้ไหมที่พวกเขาจะไม่รู้ว่ายาแบบนี้หายไปไหน ถ้าคุณบอกเราไม่ได้ว่าคุณเอามันไปใช้ที่ไหน นอกจากใช้มันอย่างผิดกฎหมายแล้ว มันจะหายไปไหนได้อีก”
“ฉัน…”
“ยิ่งไปกว่านั้น ในวันเกิดเหตุ มีไฟไหม้เกิดขึ้นในสวนหย่อมหลังบ้านของฉัน กล้องวงจรปิดไม่สามารถบันทึกภาพสาเหตุของไฟไหม้ได้ แต่อย่าบอกฉันนะคะว่าในสภาพอากาศแบบนี้ สวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้จะสามารถติดไฟได้เอง ดังนั้นเรื่องนี้จึงพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งว่าคนวางเพลิงจะต้องคุ้นเคยกับระบบกล้องวงจรปิดในไฮแอทรีเจนซี่ ถึงได้เลี่ยงมันได้อย่างสมบูรณ์แบบแบบนี้”
“ทุกอย่างที่แกพูด ไป๋ลี่หวาก็ทำได้เหมือนกัน” ฮว่าเหวินเฟิ่งรีบลากไป๋ลี่หวาเข้ามาในบทสนทนาทันที “ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าแกสองคนไม่ได้รวมหัวกันมาใส่ความฉัน”
“คุณคิดว่าด้วยประวัติคดีต่างๆ ของคุณ คนจะเชื่อคุณหรือฉัน” ถังหนิงมองไปยังบรรดาสื่อด้วยความคาดหวัง
เพื่อสนับสนุนความยุติธรรม สื่อจึงเลือกอยู่ข้างเหยื่อเป็นธรรมดา
ไม่ว่าจะเป็นไป๋ลี่หวาหรือถังหนิงก็ตาม
“ถ้าเรื่องนี้เกิดก่อนที่ฉันจะท้อง อ้างอิงจากอารมณ์ของฉัน คุณคงถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ไปนานแล้ว ฉันคงไม่ยอมให้คุณยืนอยู่ตรงนี้แล้วสร้างเรื่องให้ตัวเองถูกหรอก
“คนจอมปลอมที่เอาชีวิตของคนอื่นไปอยู่ในความเสี่ยงเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงและลาภยศมีสิทธิ์อะไรมาพูด”
ผลสุดท้าย ฮว่าเหวินเฟิ่งไม่อาจเอาชนะถังหนิงในการโต้เถียงได้ และเธอไม่อาจต้านทานสายตาเยาะเย้ยของสื่อได้เช่นกัน
ดังนั้นเธอจึงส่งสายตาจนตรอกไปที่คุณพ่อโม่และวิ่งไปคว้าเขาเอาไว้ “ตาโม่ เราแต่งงานกันมานานหลายปี บอกพวกมันสิว่าฉันเป็นใคร!”
คุณพ่อโม่เฝ้าดูทุกสิ่งอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ทำให้เขารู้สึกจนลุกไปทั้งตัว
“ที่จริง ผมไม่รู้จักคุณดีพอ” คุณพ่อโม่ตอบ
“ตาโม่ นี่ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ ถังหนิงกับ ‘นังผู้หญิงคนนั้น’ กำลังใส่ร้ายฉัน…”
“ผลตรวจดีเอ็นเอก็ออกมาแล้ว คุณยังจะปฏิเสธอีกงั้นเหรอ” คุณพ่อโม่ปัดฮว่าเหวินเฟิ่งลงไปกองกับพื้น
“ผมสงสัยว่าคุณทำอะไรกับควินิดีนนั่น ผมไม่เคยรู้เลยว่าคุณใช้มันกับถังหนิง! คุณรู้รึเปล่าว่านี่มันเจตนาฆาตกรรม”
หลังจากถูกปัดลงด้านข้าง ฮว่าเหวินเฟิ่งก็รีบคลานกลับไปอยู่ข้างคุณพ่อโม่และคว้าขาทั้งสองข้างของเขาเอาไว้ “ตาโม่ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ไม่ใช่…”
“ความจริงปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเราอย่างชัดเจน คุณแสร้งเป็นภรรยาของผมมาตลอด คุณมันโสโครก!
“ผมไม่อยากเชื่อว่าผมปกป้องคุณและช่วยคุณต่อกรกับถังหนิง ตอนนี้ผมคิดว่ามันน่าตลกสิ้นดี”
“ตาโม่ คุณต้องเชื่อฉันนะ เราแต่งงานกันมานานหลายปีนะ”
“พอแค่นี้ คุณกำลังทำให้ผมรู้สึกขยะแขยง” คุณพ่อโม่ตัวสั่นด้วยความโกรธ “ตลอดมา ผมคิดว่าถังหนิงไม่มีสัมมาคารวะและเล็งเป้าคุณโดยไม่มีเหตุผล แต่กลับกลายเป็นว่าคุณมันชั่วช้าที่พยายามทำร้ายเด็กอายุแปดเดือนในท้องของเธอ
“ถังหนิง แจ้งตำรวจเถอะ ฉันจะเป็นพยานให้ ฮว่าเหวินเฟิ่งเอาควินิดีนมาจริงและถึงขนาดนำมาที่บ้านด้วย”
ได้ยินดังนั้น ฮว่าเหวินเฟิ่งก็ไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้อีก เธอทรุดลงกับพื้นและร้องไห้ “ตาโม่ คุณทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ ฉันทำทุกอย่างเพราะฉันกลัวจะเสียคุณไป”
“แย่หน่อยนะ ฉันแจ้งความเรื่องนี้กับตำรวจไปแล้ว” ถังหนิงมองดูฮว่าเหวินเฟิ่งที่อยู่ในภาพจนตรอก แต่เธอได้เตรียมส่งอีกฝ่ายไปสู่จุดจบแล้ว “ฮว่าเหวินเฟิ่ง ในเมื่อคุณชอบอธิบายมากนัก คุณไปอธิบายให้ตำรวจฟังแล้วกัน”
“ไม่ ไม่นะ…” ฮว่าเหวินเฟิ่งหวาดกลัวมาก เธอรีบลุกขึ้นจากพื้นและพร้อมที่จะหนี แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันทำให้มีเธอไม่มีทางได้หนีไปอย่างที่ใจต้องการ “ฉันไม่อยากไปสถานีตำรวจ ฉันไม่ไป!”
ณ เวลานั้น ถังหนิงมองดูฮว่าเหวินเฟิ่งและบรรดานักข่าวตกอยู่ในความอลม่าน เธอไม่คิดจะหยุดพวกเขา และไม่ได้โทรเรียกตำรวจในทันที การแก้แค้นของเธอยังไม่จบแค่การเปิดโปงฮว่าเหวินเฟิ่ง
ขณะเดียวกัน คุณพ่อโม่ก็มองไปที่ไป๋ลี่หวา ในขณะที่เขาเอื้อมแขนทั้งสองข้างออกไปเพื่อดึงอีกฝ่ายเข้าหา ไป๋ลี่หวาก็หลบเลี่ยงเขาอย่างรวดเร็ว “คุณไม่มีค่าพอ”
คุณพ่อโม่มองด้วยความผิดหวัง เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกผิด
แต่ไป๋ลี่หวาไม่ให้โอกาสเขาได้สำนึก
“ในเมื่อคุณเป็นสามีของฮว่าเหวินเฟิ่งมานานหลายปีและพยายามปกป้องเธอด้วยชีวิตของคุณ คุณก็ควรตามผู้หญิงคนนั้นไปซะ
“ฉันอาจจะอัปลักษณ์ แต่ฉันยังเป็นลูกสาวของตระกูลเป่ยและเป็นแม่ของโม่ถิง
“โม่หลินหย่วน คุณมันสวะ!” พูดจบไป๋ลี่หวาก็ก้าวลงจากเวทีไปและเดินไปอยู่ข้างถังหนิง
คุณพ่อโม่มองพวกเธอด้วยสายตาโศกเศร้า โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงสิ่งที่เขาเคยทำกับไป๋ลี่หวาก่อนหน้านี้…