เดิมทีถังหนิงเป็นคนเตรียมการแสดงสุดท้ายเอาไว้ แต่นึกไม่ถึงว่ามันจะเริ่มฉายเร็วขนาดนี้ ท้ายที่สุดเฝิงจิ้งก็ตกเป็นที่รังเกียจของทุกคน
ในขณะเดียวกันหลังจากลัวอิงหงอดรนทนไม่ไหวก็ทำร้ายลูกชายของตัวเองลงไป หมายมั่นว่าจะลืมลูกชายไม่รักดีไปเสีย ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจโหมงานหนักเพื่อลืมความเจ็บปวดของตัวเอง
โชคดีที่สุดท้ายผู้เห็นเหตุการณ์ได้เอาคืนให้เธอ!
ในเวลาเดียวกันนั้นเองต้นสังกัดของเฝิงจิ้งได้ฟ้องร้องเฝิงจิ้งเพื่อฉีกสัญญา หมายความว่าเฝิงจิ้งกำลังจะทนทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต และแน่นอนว่าลูกชายของลัวอิงหงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน
หลังจากความสัมพันธ์ของเขากับเฝิงจิ้งถูกเปิดเผย เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากตัดขาดทุกช่องทางจากโลกภายนอก
ก่อนหน้านี้ตอนที่ลัวอิงหงบอกเขาว่าทำตัวน่าขายหน้าแค่ไหน เขาไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย หากเขายังเป็นอย่างนี้อยู่ ดูเหมือนว่าคงต้องใช้คนอีกเป็นหมื่นคนมาพูดกรอกหูเขาว่าตัวเองเป็นคนที่น่าละอายและอกตัญญูถึงจะทำให้เขาตาสว่าง
หากแต่มันสายไปเสียแล้ว ลัวอิงหงได้ขายบ้านของพวกเขาและไม่ได้ทิ้งสิ่งใดไว้ให้เขาสักอย่าง ไม่แม้แต่เสื้อผ้าสักชิ้นเดียว
ต่อไปนี้ทุกคนจะตราหน้าเขาว่าร่วมมือกับคนนอกทำร้ายแม่ของตัวเอง
และไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ทั้งใบหน้าและชื่อของเขาจะได้รับแต่ความเกลียดชัง…
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่สงสารลัวอิงหงและแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อเธอ ทว่าเธอกลับไม่ได้แสดงความอ่อนแอให้เห็นขณะเดินหน้าทำงานในวงการแฟชั่นอย่างสง่าผ่าเผยต่อไป สำหรับชีวิตที่เหลืออยู่ อย่างน้อยเธอก็ต้องการใช้ชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง
โชคดีที่เธอได้มาเป็นศิลปินของจู้ซิงมีเดียและมีถังหนิงคอยสนับสนุน…
เหตุการณ์นี้เป็นอีกครั้งที่ทำให้คนให้การยอมรับว่าจู้ซิงมีเดียได้คัดเลือกคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง แม้ว่าเธอจะอายุเข้าวัยสี่สิบ แต่ไม่อาจปฏิเสธความสามารถของเธอได้เลย
ในตอนนี้ถังหนิงจึงมีทั้งนักแสดง นักร้อง และนักออกแบบแฟชั่นอยู่ในมือ เดิมทีเธอคงจะมีพิธีกรด้วย แต่เมื่อนึกถึงซย่าหันโม่… ทุกคนต่างทำได้แต่ถอนหายใจออกมา
มันเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ยาก หากแต่กลับนำมาซึ่งความหวังครั้งใหม่
หลังเรื่องของเฝิงจิ้งจบลง ถังหนิงกับโม่ถิงก็พาเจ้าตัวแสบทั้งสองไปบ้านตระกูลถัง ความสัมพันธ์ระหว่างถังจิ้งเซวียนกับสวี่ชิงเหยียนเป็นไปด้วยดี ในขณะที่ลูกสาวของถังเซวียนค่อยๆ เติบโตขึ้นด้วยหน้าตาที่ละม้ายคล้ายแม่
ในขณะเดียวกันถังอี้เฉินยังคงวนเวียนอยู่ในโรงพยาบาลทั้งวันและไม่ค่อยได้กลับบ้านนัก
“เมื่อไหร่พวกเธอสองคนจะแต่งงานกันล่ะ” ถังหนิงถามพลางเลิกคิ้วไปทางถังจิ้งเซวียน “ถึงเวลาที่นายต้องทำให้เป็นเรื่องเป็นราวสักทีแล้วนะ”
เขาเหลือบมองสวี่ชิงเหยียนก่อนที่ทั้งสองจะไหวไหล่ พวกเขายังไม่ได้ตั้งใจจะเริ่มสร้างครอบครัวและลงหลักปักฐาน คบกันต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็ไม่ได้เสียหายไม่ใช่หรือ
“ครั้งล่าสุดที่พี่กลับมา พี่เป็นนักแสดงชื่อดัง ครั้งนี้พี่กลายมาเป็นผู้จัดการมือเพชรซะแล้ว ผมละสงสัยว่าครั้งต่อไปพี่จะมาเยี่ยมเราในฐานะอะไร…” เขาเอ่ยเย้าขณะที่มองหน้าถังหนิง
“โปรดิวเซอร์ชั้นนำไงล่ะ!” ถังหนิงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
“ชิ…”
ถังจิ้งเซวียนไม่ได้เห็นดีเห็นงามกับความคิดที่ถังหนิงจะกระโดดเข้ามาวงการภาพยนตร์นัก แม้เขารู้ว่าเธอเอาจริงเอาจังกับทุกอย่างที่ทำขนาดไหน หากแต่สถานการณ์ตลาดภาพยนตร์ภายในประเทศปัจจุบันก็ไม่เอื้ออำนวยให้ถังหนิงเอาชนะในระดับนานาชาติได้ ไม่ว่าเธอจะประสบความสำเร็จเพียงไหนก็ตาม เขาไม่ได้ตั้งใจจะดับความหวังของพี่สาวตัวเองเสียหน่อย…
…ทว่าเขาไม่เคยเห็นเวลาที่ถังหนิงทำงานสักครั้ง…
ถังหนิงจึงได้แต่ยิ้มและไม่ได้ตอบโต้อะไร ทว่าประธานโม่ปรายตามองเขาก่อนว่าขึ้น “นายคิดว่ากำลังมีข้อกังขาในตัวใครอยู่กันล่ะ”
อีกฝ่ายยกมือขึ้นเกาท้ายทอยก่อนพับความคิดของตัวเองกลับไป…
เมื่อเห็นดังนั้นถังหนิงจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
…
เดิมทีทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น ทว่าอยู่ๆ มื้อเย็นที่ลัวเซิงเข้าร่วมก็ทำเรื่องยุ่งให้กับจู้ซิงมีเดียอันสงบสุข ความจริงแล้วมันทรงพลังพอจะสั่นสะเทือนความอยู่รอดของเอเจนซี่ด้วยซ้ำ
ว่ากันตามจริงลัวเซิงไม่ได้ทำอะไรผิด แม้ว่าเขาจะไปคุยงานด้วยตัวเอง แต่ก็คอยรายงานให้ถังหนิงรู้ทุกครั้งที่เขาถูกเชิญไปทานมื้อเย็น และตอบตกลงเมื่อถังหนิงพิจารณาอนุญาตแล้วเท่านั้น หากแต่ในครั้งนี้เขาไม่ได้เต็มใจจะไปนัก
การนัดพบเกิดขึ้นเพราะลูกสาวของเจ้าของเอเจนซี่ภาพยนตร์และสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง เธอคลั่งไคล้ในตัวเขามากจนต้องการให้เขาเข้าร่วมแสดงในละครไอพีชื่อดังที่บริษัทพ่อของเธอกำลังเตรียมงานอยู่ ด้วยเขาจริงจังในงานสายการแสดงจึงสนใจข้อเสนอนี้ทันที อย่างไรก็ตามเขาลำบากใจที่ต้องร่วมงานกับช่องโทรทัศน์ที่น่ารังเกียจที่มักเข้าไปเกี่ยวข้องกับเอเจนซี่
ถึงเขาจะยังเด็กอยู่แต่ก็ยึดถือคุณธรรมเป็นที่หนึ่งด้วยอิทธิพลจากถังหนิง เขาคิดว่าหากเลือกได้ เขาจะไม่มีทางร่วมแสดงในละครที่จะสร้างฐานผู้ชมให้กับช่องที่เขาไม่ชอบเด็ดขาด
ดังนั้นต่อให้เขาไม่ได้ปฏิเสธไปตามตรง ท่าทีของเขาก็ยังแสดงให้เห็นชัดเจน
“ผมขอโทษด้วยนะครับประธานฟ่าน ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำตัวเย่อหยิ่งเลยนะครับ และก็ไม่ต้องการทำให้คุณผิดหวังด้วย แต่ผมแค่ตกลงรับบทจากช่องอื่นมาแล้วและคิดว่าคงไม่มีตารางงานว่างไปถ่ายทำน่ะครับ…”
“ไม่ต้องเป็นห่วงเลย พ่อหนุ่ม เรายินดีที่จะรอเธอ” เขาต้องการสนับสนุนลัวเซิงเพราะลูกสาวของเขา
“ประธานฟ่านครับ ประเด็นคือขอให้ผมได้บอกตามตรงกับคุณนะครับ ผมรู้สึกขอบคุณอย่างถึงที่สุดสำหรับความชื่นชมของคุณครับ แต่คุณอาจจะต้องรอผมนานมากๆ เลยล่ะครับ ผมเกรงว่าจะทำให้การถ่ายทำของคุณล่าช้าเสียเปล่าๆ น่ะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันมีเรื่องอื่นที่ต้องทำช่วงนั้นอยู่แล้ว”
ลัวเซิงไม่อาจต้านทานเขาได้ อย่างไรเสียเขาก็ได้ให้โอกาสครั้งที่สองกับเขาแล้ว ดังนั้นจึงทำได้แต่ยับยั้งเขาไว้เป็นการชั่วคราวเท่านั้น
หลังกลับมาถึงจู้ซิงมีเดีย ลัวเซิงก็เล่าความคิดของเขาให้ถังหนิงฟัง “พี่หนิงครับ โทรทัศน์ช่องนี้เรตติ้งไม่ค่อยดีนัก ผมเลยไม่ค่อยอยากร่วมแสดงในละครของพวกเขา แต่ไม่รู้จะปฏิเสธประธานฟ่านยังไงน่ะครับ…”
เมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ตบบ่าเขาเบาๆ และทำให้เขามั่นใจนการตัดสินใจของตัวเอง “นายไม่ได้ทำอะไรผิด อย่ารู้สึกหนักใจกับการตัดสินใจของตัวเองเลย ฉันเข้าใจในจุดยืนของนายและรู้ว่านายไม่ชอบมีปัญหากับคนอื่น ตอนนี้แค่ทำงานอื่นของนายไปแล้วมารอดูกันว่าประธานฟ่านจะตามตื้อไปได้แค่ไหน”
“โอเคครับ พี่หนิง”
ในขณะที่นักแสดงหนุ่มชื่อดังมีความสุขกับสิ่งที่เกิดจากชื่อเสียงของตัวเอง เขายังต้องทนกับความยากลำบากในการถูกเข้าใจผิดเช่นกัน
ตอนนี้แหล่งข่าวหลายแห่งพุ่งเป้ามาที่ลัวเซิงและเหล่าคนดังในวงการที่ต้องการการจะสนับสนุนเขา หากแต่ถ้าคุณค่าในตัวของพวกเขาต่างกันเกินไป เขาเองก็ไม่ต้องการร่วมงานกับคนเหล่านั้น เขาไม่ได้ต่อต้านวิธีที่ประธานฟ่านและคนอื่นๆ ใช้ แต่เขาไม่ได้เห็นด้วยเช่นกัน
ไม่นานละครย้อนยุคอีกเรื่องที่ลัวเซิงตกลงรับเล่นได้เริ่มประกาศทำหารถ่ายทำกับสาธารณชน
เดิมทีลัวเซิงคิดว่าเขาคงสามารถหลีกเลี่ยงประธานฟ่านหลังจากเริ่มถ่ายทำได้ เสียแต่ลูกสาวของเขายืนกรานและบังคับให้พ่อของตัวเองมาหาเขาอีกครั้ง “ลัวเซิง ฉันรู้ว่าสัญญาว่าจะรอเธอไว้ แต่เสี่ยวเหยาไม่พอใจกับการตัดสินใจนั้น เธอช่วยมาพบฉันและเข้าร่วมแสดงละครของเราเร็วกว่านี้ได้ไหม”
“ผมต้องขอโทษด้วยนะครับประธานฟ่าน แต่ผมตกลงรับเล่นละครเรื่องนี้มานานแล้วครับ”
“ฉันรู้ว่าเธอรับปากไว้แล้ว แต่ละครอย่างนี้คงจะไม่ได้ฉายในช่องชั้นนำหรอก แล้วมันจะมีอนาคตเป็นยังไงกันล่ะ”
เขากำลังถูกบังคับหรอกหรือ
“ประธานฟ่านครับ คนเราพูดกลับคำไม่ได้หรอกนะครับ ผมต้องถ่ายทำละครเรื่องนี้ให้เสร็จครับ” ลัวเซิงบอกกลับอย่างจนปัญญา เขารู้ว่าตัวเองคงไม่อาจต้านทานชายคนนี้ได้
ประธานฟ่านหรี่ตามองอย่างมีเลศนัยก่อนจะปล่อยเขาไปในท้ายที่สุด
“ฉันหวังว่าเธอจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองแล้วกัน!”