“ไหนๆ ประธานโม่ก็มานั่งตรงหน้าฉันแล้ว ฉันเลยจะเอาตัวเข้าเสี่ยงโดนทุกคนต่อว่าและอาจหาญถามคำถามสักหน่อยนะคะ ก่อนอื่นทำไมคุณถึงได้มานั่งอยู่ที่นี่แทนถังหนิงล่ะคะ เป็นเพราะว่าถังหนิงกลัวหรือเปล่าคะ”
ทันทีที่พิธีกรถามออกไปทุกคนก็ถึงกับอึ้ง พิธีกรคนนี้กล้าถึงเพียงนี้เลยหรือ เธอถามอย่างนั้นออกไปได้อย่างไร
ผู้ชมที่ดูอยู่ด้านหลังจอโทรทัศน์เริ่มรู้สึกประหม่า พิธีกรกำลังรนหาที่อยู่ชัดๆ
ทว่าพิธีกรกลับรู้สึกว่าโม่ถิงบังคับให้เธอทำแบบนี้…
โม่ถิงเหลือบมองเธอก่อนตอบ “เพราะว่าเธอเป็นศิลปินของผม และผมก็เคยชินกับการเอาใจศิลปินของผม จริงๆ แล้วผมก็อยากจะรู้ว่าทำไมความเห็นบนโลกออนไลน์ถึงไปตกอยู่ที่เธอซะหมดไม่ได้มาลงที่ผม”
เธอพูดอะไรไม่ออก ใครจะกล้าต่อว่านายใหญ่ได้กันล่ะ
“ส่วนเรื่องที่เธอกลัวหรือเปล่านั้น ผมพูดได้แค่ว่า สำหรับผมในฐานะผู้จัดการของเธอ เธอสามารถคว้าดวงดาวลงมาจากฟ้าได้หากเธอต้องการด้วยซ้ำครับ…”
หมายความว่าคำถามเหลี่ยมจัดกลับทำให้ทุกคนเหงื่อตกแทนที่จะเป็นโม่ถิง ทว่าหลังจากที่ได้ยินคำตอบของเขา สุดท้ายมันก็กลับเป็นการแสดงความรักต่อหน้าฝูงชนเสียอย่างนั้น
โม่ถิงเพียงต้องการบอกทุกคนว่าเขาเป็นคนที่ตามใจศิลปินของเขาเอง ดังนั้นเขาจึงต้องการรู้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงไม่พุ่งเป้ามาที่เขา
ทุกคนต่างถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก รวมถึงตัวพิธีกรด้วย เธอกลัวโม่ถิงเพราะรู้ว่าเขาทรงอำนาจแค่ไหนและเกรงว่าเขาจะโกรธเธอ หากแต่เห็นได้ชัดว่าความกังวลของเธอไม่จำเป็นอีกต่อไป
“คำถามต่อไปเกี่ยวข้องกับเฉียวเซินนะคะ คุณช่วยชี้แจงสาเหตุการเสียชีวิตของเขาได้ไหมคะ”
“โรงพยาบาลไม่ได้ออกใบมรณบัตรมาแล้วเหรอครับ เขาตายเพราะเส้นเลือดในสมองแตกไงครับ” โม่ถิงตอบด้วยท่าทีจริงจัง
เป็นอีกครั้งที่เธอพูดอะไรไม่ออก นายใหญ่เลิกเล่นลิ้นเสียทีไม่ได้หรือ
“ถ้าอย่างนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับถังหนิงไหมคะ”
“ครับ” โม่ถิงบอกกลับไปตามตรง
“คุณจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงคะ”
อีกความหมายหนึ่งคือ ทำไมเขาไม่ใช่โอกาสนี้ล้างมลทินให้ถังหนิงเสียเลยล่ะ
โม่ถิงส่ายหน้า “ความเป็นความตายเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องเผชิญครับ ถังหนิงเจ็บปวดใจเพราะเฉียวเซินเป็นเพื่อนคนสำคัญที่สุดคนหนึ่งของเธอ นอกจากนั้นผมไม่มีอะไรจะพูดครับ”
“แล้วคุณไม่มีแผนที่จะตอบโต้ความเห็นในโลกออนไลน์บ้างเหรอคะ”
“การปรากฏตัวที่นี่ของผมก็นับว่าเป็นการตอบโต้แล้วล่ะครับ ถึงผมจะไม่ได้โต้กลับด้วยคำพูดก็ตาม ถ้าคิดว่ามีหลักฐานมากพอและต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมสำหรับการเสียชีวิต ไห่รุ่ยก็ยินดีสู้คดีครับ หรือจะเปิดโปงสิ่งที่รู้กับสาธารณชนก็ได้ครับ”
“สำหรับเรื่องข้อกังขาและคำท้วงติงเกี่ยวกับภาพยนตร์ไซไฟของถังหนิงล่ะคะ คุณเชื่อว่าเธอกำลังเสียเวลาทำสิ่งที่ไร้สาระอยู่เหมือนกันหรือเปล่าคะ” พิธีกรเริ่มกล้ามากขึ้นด้วยเธอไม่ได้รู้สึกกลัวโม่ถิงอีกแล้ว
ต่อให้เขาจะเลือดเย็นแต่เขาก็รู้จักแยกแยะถูกผิด
หลังจากได้ยินคำถามของเธอ โม่ถิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “ผมเป็นคนแรกที่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไรและวางแผนอะไรอยู่
“ความจริงแล้วที่ผมไม่ได้ห้ามเธอก็หมายความว่าผมยอมรับการตัดสินใจของเธอและสนับสนุนมันแล้วครับ…
“ถ้ามีใครสักคนบอกผมว่าการเปลี่ยนไห่รุ่ยให้เป็นบริษัทระดับนานาติเป็นความคิดเพ้อฝันและผมเชื่อพวกเขา เราคงไม่ได้เห็นไห่รุ่ยอย่างในทุกวันนี้หรอกครับ
“บางอย่างที่ใครคนหนึ่งกลัวที่จะลงมือทำไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่กล้าลอง…
“เพียงเพราะรับมือกับความเห็นจากคนภายนอกไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทนไม่ได้เหมือนกันสักหน่อยครับ
“ผมเกลียดคนที่กลัวที่จะลงมือทำแต่พอเห็นคนอื่นทำมัน พวกเขากลับนั่งก่นด่าอยู่เฉยๆ ผมไม่เข้าใจว่าพวกเขามีชีวิตอยู่ไปทำไม
“สิ่งที่ภรรยาผมกำลังทำอาจไม่สำเร็จและไม่ถูกต้อง แต่เธอจะไขว่คว้าความฝันของเธอและแบกรับความล้มเหลวที่อาจตามมาเสมอ แล้วทำไมผมต้องห้ามเธอด้วยล่ะครับ
“แน่นอนว่าถ้ายังยืนยันว่าสิ่งที่เธอทำเป็นเรื่องไร้สาระ เราเองก็ยินดีที่จะยอมรับความเห็นไว้ครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ พิธีการก็เริ่มนึกชื่นชมนายใหญ่อยู่ในใจ
เธอยังชื่นชมถังหนิงที่ได้พบกับผู้ชายเช่นนี้ เพราะเขาได้โยนความรับผิดชอบมาที่ตัวเองโดยการบอกว่าเขาเป็นคนยอมรับการตัดสินใจของเธอเองก่อนที่จะโจมตีกลับไป
ในฐานะนายใหญ่แห่งวงการบันเทิง เขาสมควรได้รับคะแนนเต็มสำหรับความสามารถในการเบี่ยงเบนความสนใจ
เธอรู้สึกถูกโน้มน้าวใจด้วยคำตอบของโม่ถิง เขาตอบได้อย่างไร้ที่ติและมีเหตุผล ไม่ทิ้งข้ออ้างให้ใครได้ท้วงติงแม้แต่น้อย
เขาแสดงจุดยืนชัดเจน ไม่สนใจเสียงตอบรับจากคนที่ต่อว่าถังหนิงและสร้างข่าวลือขึ้นมา ท่าทีของเขาทำให้เห็นว่าการเสียชีวิตของเฉียวเซินเป็นเรื่องธรรมดาและไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่ทุกคนคิดกัน
“มีข่าวลือว่าไห่รุ่ยตั้งใจที่จะควบคุมความคิดเห็นของสาธารณชน ไห่รุ่ยทำอย่างนั้นจริงหรือไม่คะ”
“ถ้าเราพยายามทำอย่างนั้นจริง ถังหนิงจะถูกต่อว่ามาจนถึงขนาดนี้เหรอครับ พวกคุณดูถูกฝีมือไห่รุ่ยไปแล้วนะครับ”
“บางคนยังบอกอีกว่าถังหนิงสามารถจัดการเรื่องการเสียชีวิตของเฉียวเซินได้อย่างเงียบๆ ทำไมเธอเลือกที่จะป่าวประกาศให้คนภายนอกทราบล่ะคะ เธอมีจุดประสงค์เพียงเพื่อบอกทุกคนว่าพวกเขาจะไม่มีทางเข้าใจเธอเหรอคะ”
“ผมบอกไปก่อนหน้านี้แล้วว่าเฉียวเซินเป็นเพื่อนคนสำคัญของภรรยาผม เธอโศกเศร้ากับการจากไปของเขาไม่น้อยเลย
“เฉียวเซินหลงใหลในหนังไซไฟมาตลอด ฝันว่าจะลดช่องความเหลื่อมล้ำของหนังแนวนี้ในตลาดภายในประเทศมาหลายปี แต่ในขณะที่เขามีชีวิตอยู่กลับไม่เคยได้รับความสนใจและให้เกียรติแต่อย่างใด”
โม่ถิงไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม ความหมายแฝงในคำพูดของเขานั้นชัดเจนพอแล้ว
ถังหนิงมีเจตนาให้เฉียวเซินมีความสุขกับความเคารพและความสนใจที่สมควรได้รับ
พิธีกรจึงเข้าใจถังหนิงในท้ายที่สุด
เธอเป็นคนฉลาดและยินดีที่จะเสียสละทุกอย่างเพื่อเพื่อนของเธอ
“ไม่ใช่เพราะว่ารู้สึกผิดใช่ไหมคะ” พิธีกรเอ่ยเสริม บางทีนี่อาจเป็นคำถามเดียวกับสิ่งที่อยู่ในใจของใครหลายคน
ทว่าโม่ถิงส่ายหน้าและตอบกลับ “เธอไม่ได้ติดค้างอะไรกับใครไว้ทั้งนั้นครับ”
“แต่หลายคนตั้งคำถามถึงตัวตนของถังหนิงเพราะเธอมักทำสิ่งที่ไม่คาดฝันอยู่เสมอ ประธานโม่คะ คุณมองคุณค่าของถังหนิงในวงการนี้ยังไงคะ”
“ก่อนอื่น เธอเป็นภรรยาผม เป็นส่วนหนึ่งในจิตวิญญาณของผม…
“นอกจากนั้นเธอไม่ได้เป็นพระเยซูที่พระเจ้าส่งมา เธอไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบชีวิตใครด้วยซ้ำ เธอมีอิสระที่จะทำตามที่ตัวเองต้องการ และไม่จำเป็นต้องตอบโต้ความเห็นของคนภายนอกสักนิด
“เพราะมันไม่ใช่เรื่องจำเป็น
“ต่อให้เธอเป็นพระเยซู ผมก็เป็นเพียงคนเดียวที่เธอจะปกป้องไว้ครับ”
พิธีกรพยักหน้ารับ ดูเหมือนว่าเธอจะได้เอ่ยทุกคำถามที่ตอบได้ยากที่สุดของตัวเองไปหมดแล้ว
“ถ้าอย่างนั้น ประธานโม่คะ ฉันขอถามบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องสักหน่อยได้หรือเปล่าคะ อย่างที่เราเห็นกันว่าถังหนิงไม่ได้มาสัมภาษณ์ในวันนี้คุณเลยมาแทนเธอ ครั้งล่าสุดเธอเองก็ไม่ได้ไปร่วมงานรางวัลเฟยเทียนและให้หลินเฉี่ยนไปเป็นตัวแทน ถังหนิงไม่สบายจริงๆ หรือเธอมีเหตุผลอื่นที่ไม่ยอมปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนคะ”