หลินเฉี่ยนนั่งอยู่ด้านนอกห้องผู้ป่วยวิกฤตท่ามกลางความรู้สึกที่หลากหลาย หากเธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนไหว แผนของหันเซียวอาจได้ผลก็ได้ เธออาจจะเชื่อว่าหลี่จิ่นกับหันเซียวตกลงปลงใจคบกันและเขากำลังวางแผนหย่ากับเธอโดยไม่ได้บอกให้เธอรู้
ในโลกใบนี้ ไม่ง่ายที่จะยึดมั่นในบางสิ่ง ในทางกลับกันการจะเกิดความหวั่นไหวขึ้นกลับง่ายดายเหลือเกิน
ทว่าหันเซียวไม่ได้เผชิญหน้ากับผู้หญิงธรรมดา เธอกำลังต้องรับมือกับหลินเฉี่ยน
หลินเฉี่ยนนั่งอยู่ด้านนอกห้องผู้ป่วยวิกฤตอยู่พักใหญ่ กระนั้นก็ยังไม่มีข่าวคราวจากด้านใน บอดีการ์ดทั้งสี่คนที่ถังหนิงส่งมารวมถึงคุณนายหลี่ได้มาถึงแล้วเช่นกัน
คุณนายหลี่คว้าตัวนางพยาบาลคนหนึ่งไว้ก่อนเอ่ยถามเธอ แต่อีกฝ่ายกลับทำเพียงตอบว่าอยู่นอกเวลาเยี่ยม และคงไม่สะดวกที่จะให้พวกเขาเข้าเยี่ยมด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสและยังไม่ได้สติของเขา
“โรงพยาบาลบ้าอะไรไม่ให้แม่ของคนไข้เข้าเยี่ยมกัน!”
“แม่คะ ที่นี่เป็นโรงพยาบาลของตระกูลหันนะคะ” หลินเฉี่ยนตอบ “ตอนนี้เราทำได้แค่ทำตามที่พวกเขาบอกน่ะค่ะ”
“แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราต้องทนอยู่อย่างนี้ต่อไปเหรอ เฉี่ยนเฉี่ยน พวกเขาหน้าด้านจนเอาชีวิตของคนมาข่มขู่คนได้เนี่ยนะ…” คุณนายหลี่โวยวาย แม้เธอจะขอบคุณที่ตระกูลหันช่วยลูกชายเอาไว้ แต่พอเห็นพวกเขาทำกับเขาแบบนี้ก็รู้สึกว่าไม่ช่วยเขาไว้ยังดีเสียกว่า
“รอกันอีกหน่อยเถอะค่ะ” หลินเฉี่ยนเอ่ยปลอบ
คุณนายหลี่สูดหายใจลึก เธอไม่เคยรู้สึกไร้หนทางขนาดนี้มาก่อน เธอต้องได้รับการอนุญาตจากตระกูลหันเพื่อเจอหน้าลูกชายตัวเองด้วยหรือ
“เดี๋ยวกรรมก็จะตามทันเองแหละค่ะ”
ด้วยเหตุนี้ทั้งครอบครัวจึงลงเอยด้วยการได้แต่นั่งรอที่ห้องรับรองพิเศษอยู่ทั้งวัน ในที่สุดเวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงเวลาเข้าเยี่ยมในตอนค่ำ คุณนายหลี่คว้าตัวบุคลากรทางการแพทย์ประจำห้องผู้ป่วยวิกฤตมาอีกครั้ง แต่อีกฝ่ายบอกกับเธออย่างหงุดหงิด “บอกไปแล้วไงครับ อาการของคุณหลี่ยังไม่สามารถให้เข้าเยี่ยมได้ คุณต้องการให้ลูกคุณยังมีชีวิตอยู่ไหมล่ะครับ”
“ฉันเป็นแม่เขา ขอฉันดูบันทึกการรักษาของเขาหน่อย” คุณนายหลี่โกรธจนตัวสั่น
“ดูไปเรื่องที่เขาบาดเจ็บสาหัสก็ไม่เปลี่ยนไปหรอกครับ ต่อให้คุณอยากพาตัวเขาออกไป โรงพยาบาลก็ไม่อนุญาตเพราะมีผลกระทบถึงชีวิตครับ”
ตระกูลหลี่ดูออกว่าทั้งหมดเป็นแผนของตระกูลหัน
“แม่คะ อย่าไปเถียงกับพวกเขาเลยค่ะ” หลินเฉี่ยนห้ามคุณนายหลี่ทันที
หมอที่ใส่หน้ากากอยู่คิดว่าหลินเฉี่ยนจะมาไกล่เกลี่ย รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ทว่าเธอกลับรีบเอ่ยสำทับ “พอถึงเวลาเราจะไม่ยอมถอยแน่ค่ะ”
“อย่างนั้นก็จัดการซะเลย!”
เมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขา หมอหนุ่มก็รู้สึกกลัวเล็กน้อย เห็นได้ชดว่าหลินเฉี่ยนไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ด้วยง่ายๆ อีกทั้งเธอยังเป็นคนในวงการบันเทิง หากเธอต้องการหาเรื่องก็ง่ายเพียงนิดเดียว
“คุณหลินครับ ผมเป็นหมอที่ดูแลคุณหลี่อยู่นะ ผมว่าคุณให้เกียรติกันบ้างก็ดีนะครับ ยังไงคุณก็ยังต้องการความช่วยเหลือจากผมในการรักษาสามีของคุณอยู่”
“ถ้าสามีของฉันรู้ว่าภรรยาของเขาโดนคุกคามแบบนี้ ฉันมั่นใจว่าเขาคงไม่ต้องการให้หมออย่างคุณรักษาตัวเองหรอกค่ะ จบเรื่องตรงนี้แล้วเลิกพูดไร้สาระสักทีเถอะค่ะ” หลังพูดจบ หลินเฉี่ยนและคุณนายหลี่ก็หันหลังเดินจากไป
“เฉี่ยนเฉี่ยน ทีนี้เราจะทำยังไงกันดีล่ะ เรายังไม่ได้เห็นเขากับตาสักครั้งเลยนะ เราต้องไปขอร้องหันเซียวเหรอ”
เพียงเพราะแค่พวกเขาอยู่ในถิ่นของคนอื่น หมายความว่าต้องยอมทนหรืออย่างไร
หลินเฉี่ยนรู้สึกอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอต่อสายโทรหาถังหนิงอีกครั้ง “พี่หนิงคะ ฉันสงสัยว่าพี่สาวของคุณสามารถย้ายตัวหลี่จิ่นออกจากโรงพยาบาลนี้ได้ไหมคะ”
เมื่อได้ยินคำขอร้องของอีกฝ่าย ถังหนิงก็ครุ่นคิดชั่ววินาทีก่อนตอบกลับ “เดี๋ยวฉันจะโทรหาถังอี้เฉินให้เดี๋ยวนี้เลย”
“ฉันคิดอะไรไม่ออกเลยค่ะ”
เธอไม่มีทั้งพลังหรืออำนาจใดๆ
“เธอยังมีฉันไง”
หญิงสาวทั้งสองคนวางสายก่อนที่ถังหนิงจะต่อสายหาถังอี้เฉิน เมื่ออีกฝ่ายได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นเธอก็โมโหขึ้นมา “พระเจ้าช่วย โรงพยาบาลนี้ช่างกล้าจริงๆ พวกเขากล้ากักตัวคนไข้แล้วห้ามญาติเข้าเยี่ยมเขาได้ยังไงกัน ทำไมครอบครัวคนไข้ไม่ร้องเรียนกับคนที่มีอำนาจล่ะ”
“พอมีตระกูลหันมาเกี่ยวข้องก็จัดการได้ไม่ง่ายนักหรอก”
“ได้เลย ดูเหมือนว่าฉันจะต้องไปที่นั่นด้วยตัวเองแล้วล่ะ” ถังอี้เฉินตอบ ในฐานะแพทย์เธอเข้าใจการทำงานของวงการนี้ดีและรู้วิธีที่ดีที่สุดในการจัดการปัญหาเรื่องนี้
ไม่นานถังอี้เฉินจึงไปถึงโรงพยาบาลของตระกูลหัน เมื่อเห็นหน้าหลินเฉี่ยน เธอยกมือขึ้นอย่างหงุดหงิด “ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ถังหนิงบอกฉันหมดแล้ว”
“อย่างนั้นฉันฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ พี่อี้เฉิน”
“ฉันโทษที่พวกคุณไม่รู้ว่าต้องจัดการยังไงไม่ได้หรอกนะ ยังไงวงการแพทย์ก็เหมือนบ่อน้ำลึกอยู่แล้ว เหมือนกับวงการบันเทิงนั่นแหละ” ถังอี้เฉินถอนหายใจออกมาก่อนจะนำหลินเฉี่ยนไปหน้าทางเข้าห้องผู้ป่วยวิกฤต จากนั้นจึงเอ่ยกับนางพยาบาลที่เขามาทักพวกเธอ “เรียกหมอที่รักษาหลี่จิ่นออกมาพบฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งเรื่องนี้กับเบื้องบน”
เมื่อนางพยาบาลเห็นเสื้อกาวน์ของโรงพยาบาลทหารบนร่างของถังอี้เฉิน เธอรีบเข้าไปเรียกหมอหนุ่มในทันที
คนถูกเรียกรีบออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นถังอี้เฉิน เขาถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย
“คุณเป็นหมอที่รักษาหลี่จิ่นอยู่เหรอ”
“ครับ”
“ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีโรงพยาบาลไหนที่ห้ามญาติคนไข้เข้าเยี่ยมและรับรู้อาการของคนไข้เลยนะ อีกอย่างคุณยังให้พวกเขารอด้านนอกด้วย เชื่อหรือเปล่า ถ้าฉันจะบอกคุณว่าจะฟ้องร้องว่าคุณทำผิดจรรยาบรรณแพทย์ ฉันมั่นใจว่าคุณเองก็ทราบว่าฉันเคยฟ้องร้องโรงพยาบาลอื่นมาแล้ว” ถังอี้เฉินแสดงท่าทีน่าเกรงขามของแพทย์ผู้เก่งกาจออกมา
ในตอนนี้เองที่เธอสังเกตเห็นป้ายชื่อของหมอ “อีกอย่างนะ ถามหน่อยเถอะว่ามีหมอเด็กที่ไหนมาทำงานในห้องผู้ป่วยวิกฤตอย่างนี้
“ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าหลี่จิ่นไม่ใช่เด็กแน่ๆ ”
เมื่อเห็นท่าทีแข็งกร้าวของถังอี้เฉิน หมอหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่าหลอกเธอไม่ได้ง่ายๆ จึงเริ่มตะกุกตะกัก “คือว่า…เรื่องนั้น…”
“บอกฉันมาสิว่าหลี่จิ่นอยู่ในห้องผู้ป่วยวิกฤตหรือเปล่า”
เขาชะงักไปพร้อมดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความกลัว เธอดูออกว่าหมอคนนี้กำลังคิดอะไร จึงหันกลับไปบอกกับหลินเฉี่ยน “เป็นไปได้สูงว่าหลี่จิ่นจะไม่ได้อยู่ในห้องผู้ป่วยวิกฤตด้วยซ้ำนะ ตระกูลหันสร้างเรื่องโกหกแล้วล่ะ”
“แต่ถ้าเขาไม่อยู่ในห้องผู้ป่วยวิกฤต แล้วเขาอยู่ที่ไหนล่ะคะ”
“โทรหาตำรวจก็พอ หลินเฉี่ยน มาถึงขนาดนี้แล้ว มีแค่ตำรวจที่จะให้คำตอบเธอได้ ตำรวจและทหารไม่ได้เกี่ยวข้องกัน และฉันก็บังเอิญรู้จักกับนายตำรวจที่น่าเชื่อถือได้มากคนหนึ่ง เธอจะลองติดต่อเขาไปก็ได้” พูดจบ ถังอี้เฉินก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเพื่อนของเธอและอธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ปลายสายฟัง
“พวกคุณรอที่โรงพยาบาลนี่แหละ เดี๋ยวเขาก็จะมาถึงที่นี่แล้ว”
“ขอบคุณนะคะ พี่อี้เฉิน”
ถังอี้เฉินโบกมือไปมาก่อนรีบกลับไปที่โรงพยาบาลทหารพร้อมความผิดหวังในตระกูลหัน
นึกไม่ถึงว่าจะมีคนหน้าหนาไร้ยางอายขนาดนี้อยู่บนโลกด้วย
ทำไมพวกเขาถึงกักตัวสามีของคนอื่นไว้แล้วไม่ยอมปล่อยเขาไปกัน
แม้แต่หลินเฉี่ยนยังไม่เคยเห็นเรื่องร้ายกาจอย่างนี้มาก่อนในชีวิต
“หลี่จิ่น คุณอยู่ที่ไหนกันนะ” หลินเฉี่ยนได้แต่เฝ้าสงสัย