“หลี่จิ่น พ่อของฉันไม่ใช้คนที่คุณจะรับมือด้วยได้นะ คิดให้ดีก่อนเถอะ”
หลี่จิ่นปรายตามองหันเซียวที่คุกเข่าลงกับพื้นอย่างเยือกเย็น “ต่อให้ฉันทำไม่ได้ฉันก็ยังจะทำอยู่ดี ถ้าเธออยากจะแก้แค้นก็เอาเลย แต่ก็อาจจะต้องรอจนกว่าเธอจะออกมาจากคุกล่ะนะ”
“หลี่จิ่น!” หันเซียวสบถ “ฉันอยู่ข้างคุณมาหลายปี ถึงจะไม่ได้อะไรตอบแทนกลับมาเลยฉันก็ยังทุ่มเทอย่างหนัก เห็นแก่มิตรภาพหลายปีของเราแล้วปล่อยฉันไม่ได้เหรอ”
“ก่อนที่จะพูดคำพูดพวกนี้ออกมา ได้คิดหรือเปล่าว่าเคยทำอะไรลงไปบ้าง เธอเคยคิดจะปล่อยฉันหรือเฉี่ยนเฉี่ยนไปไหมล่ะ ถ้าตัวเองยังทำไม่ได้ยังจะหวังให้คนอื่นทำอีกเหรอ” สิ้นประโยค หลี่จิ่นก็ก้มหน้าครุ่นคิดชั่วขณะ ก่อนเงยหน้าขึ้นพร้อมแววตาเย็นชา “ฉันปฏิบัติกับเธอเหมือนอย่างที่ทำกับทุกๆ คนในฐานะเพื่อนร่วมงานธรรมดา
“แล้วเธอทุ่มเททำอะไรกันล่ะ
“ดูที่เธอบอกว่าเป็นคนช่วยชีวิตฉันเอาไว้สิ เฉี่ยนเฉี่ยนออกมาแฉขนาดนี้เธอก็ยังเก็บอาการเอาไว้ คิดว่าวิธีการของเธอจะหลอกฉันได้เหรอ”
หันเซียวทรุดลงกับพื้น ร้องไห้คร่ำครวญ
“เป็นเพราะว่าฉันชอบคุณไง ทุกอย่างที่ฉันทำไปเพราะฉันชอบคุณ ฉันอิจฉาหลินเฉี่ยนจนแทบบ้า”
“ลืมมันซะเถอะ ถ้าการชอบฉันหมายถึงการที่เธอต้องการเห็นครอบครัวของฉันถูกทำลาย งั้นฉันก็ไม่คู่ควรกับความชื่นชอบของเธอหรอก ฉันหวังว่าครั้งหน้าที่เราเจอกันจะอยู่ในศาลทหารนะ ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่อยากเห็นหน้าเธออีก!” พูดจบ หลี่จิ่นก็โอบหลินเฉี่ยนพร้อมหันหลังเดินจากไป
ในขณะเดียวกันหันอวี้ได้คุมตัวคุณพ่อหันเข้ามาในรถตำรวจและเตรียมเดินทางออกไป
ทว่าหันเซียวพลันตะโกนขึ้นมา “ถ้าคุณไม่ปล่อยตัวพ่อของฉัน ฉันจะตายต่อหน้าคุณเลยคอยดู”
“ถ้าอยากตายนักก็เอาเลยสิ เธอเป็นทหาร น่าจะชินกับเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว อย่างน้อยมันก็คงไม่เจ็บปวดนักหรอก” หลี่จิ่นทิ้งท้ายก่อนประคองหลินเฉี่ยนขึ้นรถตำรวจ เขาไม่กลัวว่าหันเซียวจะทำเช่นนั้นจริงๆ
หลี่จิ่นรู้ว่าหันเซียวนึกถึงแต่ตัวเองเป็นที่หนึ่ง ไม่มีทางที่เธอจะทำร้ายตัวเองอย่างแน่นอน
ฆ่าตัวตายหรือ
หากเธอกล้าทำแบบนั้น เธอคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นในวันนี้
หลินเฉี่ยนได้แต่มองในขณะที่หลี่จิ่นแก้แค้นหันเซียว ถึงอีกฝ่ายจะดูน่าสงสารไม่น้อย เธอก็ไม่สมควรได้รับความเห็นใจแต่อย่างใด
“เฉี่ยนเฉี่ยน ผมขอย้ายหน่วยแล้วนะครับ…” หลี่จิ่นเอ่ยกับหลินเฉี่ยนระหว่างทางกลับบ้าน “ผมคิดว่าตัวเองคงไม่เหมาะกับการเป็นทหารอากาศอีกแล้ว”
“ทำไมล่ะคะ”
“อย่ารู้สึกว่าเป็นความผิดของคุณเลย เป็นเพราะว่าผมผ่านเรื่องราวมามากและไม่สามารถอุทิศตัวให้กับการเป็นทหารอากาศได้เต็มที่เหมือนก่อนแล้วต่างหาก” เขาบอกขณะที่โอบกอดเธอพร้อมสายตารักใคร่ที่ส่งมาให้ “ต่อไปนี้ผมจะประจำการในสำนักงานแล้วใช้เวลากับคุณให้มากที่สุดครับ”
หลินเฉี่ยนไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องที่จำเป็นนัก หากแต่เธอไม่ได้คัดค้านการตัดสินใจของเขา อย่างไรเสียมันก็เป็นหน้าที่การงานของเขา และเขามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง
“โอเคค่ะ งั้นช่วงนี้คุณอยู่พักฟื้นที่บ้านไปก่อนระหว่างที่ฉันกลับไปทำงานแล้วกันนะคะ”
ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ ทั้งจู้ซิงมีเดียและถังหนิงต่างหัวหมุนเพราะเธอ ดังนั้นตอนนี้จึงถึงเวลาที่เธอต้องใส่ใจกับการทำงานให้เอเจนซี่สักที
…
ไม่นานถังหนิงก็ได้ข่าวเรื่องชะตากรรมของหันเซียว เธอพึงพอใจกับการจัดการของหลี่จิ่นไม่น้อย
หลินเฉี่ยนทุกข์ทรมานมามากเพราะเขา หากเขาปล่อยให้หันเซียวรอดตัวไปกับสิ่งที่เจ้าตัวได้ทำ ถัง
หนิงคงก้าวเข้ามาจัดการเรื่องนี้เอง
ถึงอย่างไรจู้ซิงมีเดียก็ไม่ได้ถูกกดขี่ข่มเหงได้ง่ายๆ
ชีวิตของถังหนิงกลับมาปกติสุขหลังจากเรื่องของหลินเฉี่ยนจบลง
ระหว่างที่เอาแต่สนใจเรื่องของหลินเฉี่ยน เธอเกือบลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองมีเรื่องบาดหมางกับประธานฟ่าน
คุณปู่ฟ่านคอยจับตามองถังหนิงมาพักใหญ่และรู้ช่วงเวลาที่เธอมักออกจากบ้าน เขาจึงดักรอถังหนิงอยู่ด้านนอกไฮแอทรีเจนซี
ชายชุดดำหลายคนก้าวออกมาจากลินคอร์นลีมูซีนของเขา ก่อนเข้ามาถึงรถของถังหนิง “คุณถังครับ เชิญทางนี้ครับ”
“ฉันมั่นใจว่าพวกคุณรู้ว่าไม่ว่าจะมาดีหรือร้าย อย่าลืมว่าแถวนี้มีกล้องวงจรปิดอยู่เต็มไปหมด” ถังหนิงเอ่ย
“คุณถังครับ คุณจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ได้พบเจ้านายของเราเองครับ” เป็นจังหวะที่คุณปู่ฟ่านก้าวออกมาจากรถของเขา แม้เขาจะหลังค่อมเล็กน้อยแต่ก็ยังคงมีรังสีของคนเป็นใหญ่
เมื่อถังหนิงเห็นเขา ก็ดูออกว่าเขาไม่ใช่คนที่เธอควรต่อกรด้วย เธอจึงเปิดประตูรถและก้าวออกมา
“ยินดีที่ในที่สุดก็ได้พบคุณนะครับ”
ในขณะที่ถังหนิงฟังเขาพูด เธอเห็นแววเด็ดเดี่ยวในดวงตาของอีกฝ่าย
“คุณไม่ต้องสงสัยว่าผมเป็นใครหรอกครับ ผมนามสกุลฟ่านและมีหลายชายไม่เอาไหนที่เพิ่งมีเรื่องเข้าใจผิดกับคุณเมื่อเร็วๆ นี้ไงครับ” คุณปู่ฟ่านเอ่ย “คุณถังจะให้เกียรติร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันสักมื้อได้ไหมครับ”
“ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่คงจะต้องขอผ่านค่ะ ผู้อาวุโสฟ่าน…”
“คุณเป็นห่วงความปลอดภัยของตัวเองเหรอครับ ผมรับปากว่าคนของผมจะไม่แตะต้องแม้แต่ขนสักเส้นของคุณ” เขาให้สัญญา “เพื่อความสบายใจของคุณ เราคุยกันในรถหรือคุณจะเลือกสถานที่ตามใจคุณก็ได้ครับ”
ถังหนิงถอนหายใจ ด้วยรถไม่ใช่ที่ที่ควรคุยกัน เธอจึงเสนอว่าจะไปที่ร้านกาแฟใกล้ๆ
คุณปู่ฟ่านไม่ได้ขัดข้องพร้อมตามถังหนิงไปที่ร้านกาแฟ
“ผู้อาวุโสฟ่าน มีอะไรก็พูดมาเถอะค่ะ”
“ผมได้ยินว่าคุณรู้เรื่องที่หลานชายไม่เอาไหนของผมทำแล้ว” เขายืดตัวนั่งตรงอย่างรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย หากแต่ท่าทีน่าเกรงขามในดวงตาของเขายังคงฉายแววข่มขู่
“ฉันเองก็ไม่มั่นใจหรอกค่ะ!” ถังหนิงปฏิเสธ “ฉันแค่ได้ยินมาจากหลายๆ ที่น่ะค่ะ”
“พูดตามตรงเลยนะครับ ผมไม่เชื่อคุณ ผมถึงอยากรู้ว่าคุณวางแผนจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง คุณจะเปิดโปงทุกอย่างให้คนภายนอกรู้เหรอ”
“ผู้อาวุโสฟ่านคะ นั่นมันเป็นเรื่องของฉันค่ะ”
เขาพยายามลองใจถังหนิงอย่างถึงที่สุด น่าเสียดายที่ถังหนิงเก็บซ่อนอารมณ์ของตัวเองได้อย่างแนบเนียน
ไม่มีทางที่คนอื่นจะดูออกว่าเธอคิดอะไรอยู่
“แม่หนู คุณนี่รับมือได้ยากจริงๆ ” คุณปู่ฟ่านระบายยิ้มออกมาอย่างจนปัญญา “ถึงการเป็นคนไม่เหมือนใครของคุณจะเป็นเรื่องที่ดี แต่มันก็จะทำให้คุณพลาดได้”
“คุณรับปากแล้วว่าจะไม่ทำร้ายฉันนะคะ”
“ผมอาจจะไม่ทำร้ายคุณแต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะลักพาตัวคุณไม่ได้นี่”
เมื่อเขาว่าดังนั้น ถังหนิงก็ลุกขึ้นยืนทันที “ฉันเป็นคนสาธารณะ ถูกจับตามองทุกการเคลื่อนไหว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน คิดว่าตระกูลฟ่านจะรอดไปได้เหรอคะ
“ท่านผู้เฒ่าคะ ขอฉันพูดกับคุณตรงๆ นะ ถ้าคุณกับหลานชายของคุณไม่มาหาฉัน ฉันคงลืมเรื่องน่ารังเกียจที่เขาทำไว้ไปแล้วล่ะค่ะ
“คุณคิดว่าฉันมีเวลาว่างมากนักเหรอคะ”