“ในฐานะผู้จัดการของลัวเซิง เธอต้องใจเย็นลงก่อน!” ถังหนิงพยายามให้กำลังใจหลงเจี่ยหลังจากที่เห็นอีกฝ่ายตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก
“ฉันทำพังแล้ว…”
“ไม่มีประโยชน์ที่จะมาโทษว่าเป็นความผิดใครหรอกนะ!” ถังหนิงจับไหล่หลงเจี่ยและขืนให้เธอสบตามองตัวเอง “ฟังฉันนะ ฉันสั่งให้เธอปกป้องชื่อเสียงการงานลัวเซิงและทำให้เขากลับมามั่นใจอีกครั้ง เธอทำได้ไหม”
หลงเจี่ยจ้องมองตรงเข้าไปในแววตาถังหนิง เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็พยักหน้ารับ “ค่ะ ฉันทำได้”
หลังจากรับปากออกไป หลงเจี่ยก็ดึงแขนเสื้อของถังหนิงและท้วงขึ้น “เราต้องหาคนลงมือทำให้ได้นะคะ…”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ถังหนิงพยักหน้าด้วยท่าทีแน่วแน่
ไม่นานถังอี้เฉินก็ก้าวออกมาจากห้องฉุกเฉินและถอดผ้าปิดปากออก จากนั้นจึงเดินเข้าไปหาถังหนิงก่อนเอ่ย “ฉันจะพูดกับเธอตามตรงนะ อาการของเขาแย่กว่าที่เธอคิดไว้ซะอีก ฉันจะไปหาลู่กวงหลี เขาจำเป็นต้องทำการผ่าตัด ไม่อย่างนั้นลัวเซิงอาจสูญเสียตาข้างขวาไป ไม่มีทางที่จะเป็นอุบัติเหตุแน่ ไม่อย่างนั้นมันจะกระแทกเข้าที่ตาของเขาได้ยังไง มันถูกกระแทกในระยะประชิด”
“เร็วเข้าเถอะ…”
ถังอี้เฉินรีบเดินออกไปและบุกเข้าไปในห้องทำงานของลู่กวงหลี “หมอลู่คะ ฉันมีผ่าตัดที่ค่อนข้างยากค่ะ”
เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ถังอี้เฉินอย่างเฉยชา “หมดเวลาเข้าเวรของฉันแล้ว”
“แต่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ นะคะ ไม่มีใครสามารถทำการผ่าตัดนี้ได้แล้ว” ถังอี้เฉินจ้องอีกฝ่ายด้วยท่าทีจริงจังพร้อมน้ำเสียงที่ออกจะสั่นไหว
ลู่กวงหลีอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นยืนในท้ายที่สุดและว่าขึ้น “ไปเอาเสื้อคลุมฉันมา”
ด้วยความช่วยเหลือของลู่กวงหลี ถังหนิงจึงเบาใจลงและต่อสายหาโม่ถิง จากนั้นจึงเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง
“คุณอยู่ที่ไหน ผมจะไปรับคุณเดี๋ยวนี้”
ถังหนิงบอกชื่อโรงพยาบาลแก่เขา ก่อนที่โม่ถิงจะมาถึงทางเข้าโรงพยาบาลไม่นานหลังจากนั้น
“ผมบอกให้ลู่เช่อสืบเรื่องผู้ลงทุนสร้างของละครเรื่องนี้และแจ้งตำรวจให้เก็บภาพวงจรปิดในบริเวณนั้นมาแล้ว แต่เพราะว่าฝนตกหนักการหาตัวคนร้ายถึงได้ยากกว่าปกติ”
ถังหนิงก้าวขึ้นมาในรถโม่ถิง คาดเข็มขัดนิรภัยและเอ่ยอย่างใจเย็น “แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ฉันจะขุดคุ้ยเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดแน่นอนค่ะ”
“เร็วๆ นี้ผมมั่นใจว่าสื่อจะต้องเล่นข่าวและเขียนถึงเรื่องนี้แน่ คุณต้องเตรียมตัวเอาไว้นะครับ ไม่มีอะไรที่เก็บเอาไว้ได้ตลอดหรอก!”
“ค่ะ” ถังหนิงปวดใจกับเรื่องของลัวเซิง เขายังเด็กมากนักแต่ก็ต้องมาเจอกับความทุกข์ทรมานอย่างนี้ “ฉันประมาทเกินไปเองล่ะค่ะ ฉันคิดถึงเขาน้อยเกินไป เป็นความผิดของฉันเอง”
“หนิง…” โม่ถิงจอดรถไว้ข้างทางและหันไปปลอบโยนเธอ “สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการหาวิธีจัดการกับเรื่องนี้นะครับ”
อันที่จริงแล้วถังหนิงเองก็รู้สึกกลัว แต่เธอไม่อาจทำตัวอ่อนแอต่อหน้าหลงเจี่ยได้ ทว่ากับโม่ถิงเธอสามารถปลดปล่อยตัวเองและพึ่งพาเขาได้
“จุดประสงค์ของอีกฝ่ายไม่เพียงแค่ต้องการทำลายอนาคตในงานแสดงของลัวเซิงแน่ พวกเขายังอยากทำให้เขาพิการอีกด้วย”
“นักแสดงทั้งหมดที่ต้องเสียงานให้กับลัวเซิงคือผู้ต้องสงสัย แต่แน่นอนว่าเป้าหมายหลักของเราคือผู้ลงทุนคนนั้น ถ้าเรารู้ว่านักแสดงคนไหนที่มีความสัมพันธ์กับเขา ผมเชื่อว่าเราจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“คุณเข้าใจใช่ไหมครับ”
ถังหนิงหันไปสบตากับโม่ถิงและพยักหน้าให้เขา “ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะต้องหาความจริงและทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องทุกข์ทรมานให้ได้แน่นอน”
“ส่วนเรื่องแก้ข่าว คุณตัดสินใจด้วยตัวเองเถอะครับ”
พวกเขารู้ว่าทันทีที่ข่าวหลุดออกไป ภาพยนตร์ที่ลัวเซิงกำลังร่วมแสดงอยู่จะต้องหาคนมาแทนเขา
สำหรับงานอื่นๆ ของเขาก็คงจะต้องสูญเสียมันไปเช่นกัน
แต่ทว่าหากพวกเขาเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับและถูกเปิดเผยขึ้นมา สถานการณ์ของพวกเขาคงแย่กว่าเดิม
ดังนั้นถังหนิงจึงตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนและชี้แจงเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากมุมมองของพวกเขา สาธารณชนจะเห็นอกเห็นใจลัวเซิง ทำอย่างนั้นพวกเขาถึงจะยังกู้สถานการณ์ไว้ได้
…
เมื่อการผ่าตัดเป็นเวลาสองชั่วโมงสิ้นสุดลง เวลาผ่านล่วงเลยไปจนถึงตีสอง ลู่กวงหลีออกมาจากห้องฉุกเฉิน ถอดหน้ากากปิดปากก่อนเอ่ยกับถังอี้เฉิน “ผมรักษาดวงตาของเขาไว้ได้ แต่จะเหลือรอยแผลเป็นบนหน้าผากเขา ถ้าเขาอยากจะศัลยกรรมลบรอยต้องทิ้งช่วงไว้สักพักก่อน เราต้องรอจนกว่าเขาจะหายดี น่าจะใช้เวลาราวๆ หกดือนได้
“เลือดที่คั่งในสมองของเขาก็ถูกถ่ายออกไปแล้ว แต่ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเขาจะกลับมาเป็นปกติ..
“ดูจากบาดแผลภายนอกของเขา ผมเชื่อว่าเขาถูกตีเข้าที่ศีรษะด้วยท่อนไม้ คุณไปตรวจสอบและหาว่าพอจะมีหลักฐานบ้างไหมก็ได้ครับ”
“ขอบคุณนะคะ คุณหมอลู่” หลงเจี่ยกล่าวขอบคุณเขาทันที
ลู่กวงหลีมองถังอี้เฉินคล้ายจะถามว่าพอใจเธอแล้วใช่ไหม จากนั้นจึงถอดถุงมือและเดินออกจากห้องไป
ถังอี้เฉินสูดหายใจลึกและตบบ่าหลงเจี่ย “โชคดีที่เรารักษาดวงตาของเขาไว้ได้ ไม่ต้องห่วงนะคะ ถึงเขาจะพูดจาไม่ค่อยดีแต่จริงๆ แล้วเขากำลังบอกคุณว่าลัวเซิงสามารถกลับมาหายดีได้ค่ะ เขาแค่ต้องใช้เวลาเท่านั้น”
“จริงเหรอคะ” หลงเจี่ยเงยหน้าขึ้นมาถาม
“ค่ะ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องความสามารถของหมอลู่ แค่ให้ความสำคัญกับการช่วยให้เขากลับมาหายดีแทนนะคะ” พูดจบถังอี้เฉินก็เดินตามลู่กวงหลีไป
ในขณะเดียวกัน หลงเจี่ยก็ก้าวเข้ามาในห้องคนไข้ของลัวเซิงและก้มมองใบหน้าซีดเซียวของเขา เพียงแค่เห็นหน้าเขาเธอก็เกือบจะร้องไห้ออกมา
เพราะลัวเซิงไม่ได้ฟื้นขึ้นมา!
เกิดอะไรที่ทำให้ลัวเซิงต้องมาทรมานกับการกระทำที่ป่าเถื่อนแบบนี้กันแน่
…
ด้วยคำแนะนำของโม่ถิง ถังหนิงก็สงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว เธอรู้ว่าหากเธอตื่นตระหนกในตอนนี้ สถานการณ์ของลัวเซิงจะยิ่งแย่กว่าที่เป็นอยู่
ดังนั้นสิ่งแรกที่เธอทำคือการโทรไปหาผู้กำกับเรื่อง เปลวเพลิง และเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้นให้เขาฟัง “ฉันไม่รู้ว่าลัวเซิงจะกลับไปถ่ายทำได้เมื่อไร มันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ที่จะหาคนมาแสดงแทนเขา แต่ผู้กำกับช่วยรับปากกับฉันว่าคุณจะไม่ยอมแพ้ในตัวลัวเซิงจนกว่าจะไม่มีทางเลือกได้ไหมคะ
“ฉันรู้ว่าคุณเองก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าอีกฝ่ายได้ประโยชน์ไป วงการนี้ก็จะใช้ความรุนแรงในการแย่งงานกัน ฉันมั่นใจว่าคุณไม่อยากเห็นมันเกิดขึ้นหรอกค่ะ ฉันจะไม่ยอมแพ้ในตัวลัวเซิงไม่ว่าจะเกิดอะไรกับเขาก็ตาม เพราะฉันช่วยกอบกู้อาชีพของเขามาได้ครั้งหนึ่งแล้ว ฉันก็จะทำให้ได้อีกครั้งค่ะ”
ครั้นได้ยินคำพูดของถังหนิง ปลายสายก็ครุ่นคิดอย่างหนักอยู่นาน “ฉันรับรองเรื่องอื่นกับเธอไม่ได้หรอกนะ แต่ตราบใดที่ฉันยังเป็นผู้กำกับของ เปลวเพลิง อยู่ ฉันรับปากเธอว่าฉันจะยืนหยัดจนวินาทีสุดท้าย ฉันจะรอลัวเซิง”
“ขอบคุณมากนะคะ ผู้กำกับ”
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันหรอก ฉันเชื่อในความสามารถของเธอ แทนที่จะท้าทายเธอฉันกลับอยากให้เราเชื่อใจกันและกันมากกว่า อย่างน้อยมันก็ดีกว่าการที่จะโจมตีกัน” ผู้กำกับตอบกลับ “อีกอย่างจริงๆ แล้วลัวเซิงเองก็เป็นคนตั้งใจทำงาน ยากที่จะหานักแสดงอย่างเขาได้
“ฉันจะหานักแสดงที่เห็นว่าพยายามจะแย่งบทนำเรื่อง เปลวเพลิง ให้แล้วกันนะ นี่อาจจะช่วยให้เธอสืบเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น” เขาเสนอความช่วยเหลือ
“ขอบคุณค่ะ ผู้กำกับ” ถังหนิงเอ่ยขอบคุณจากใจจริง
“คุณทำถูกแล้วล่ะ” โม่ถิงนั่งลงข้างๆ และกุมมือเธอไว้ “ใครก็อย่ามาลองดีกับผู้หญิงของผม!”