อันจื่อเฮ่าเดินทางมาถึงได้ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป เขามาถึงทันเห็นผู้หญิงคนนั้นตบหน้าเฉินซิงเยียนพอดี
เขาเคยสัญญาว่าเขาจะไม่ช่วยเธอ แต่เมื่อเห็นเฉินซิงเยียนถูกทำให้ขายหน้าแบบนี้ ขาขวาของเขาก็ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่เชื่อฟังคำสั่ง แต่หลังจากก้าวไปได้ก้าวหนึ่ง เขาก็รีบดึงขากลับมาอย่างรวดเร็ว เขาไม่อาจทำให้โอกาสอันยิ่งใหญ่ที่เฉินซิงเยียนจะได้เติบโตต้องสูญเปล่าเพราะถูกปกป้องมากเกินไป
เพราะความคล่องแคล่วว่องไวของเฉินซิงเยียนทำให้ผู้กำกับไม่ได้จ้างสตันต์ไว้สำหรับบทของเธอ แต่เมื่อเขาเปลี่ยนตัวเธอออก เขาก็ได้หาสตันต์สำหรับหน้าที่นี้เอาไว้ ดังนั้นทุกอย่างจึงออกมาตรงกันข้ามกับสิ่งที่เฉินซิงเยียนพูด เพราะผู้หญิงคนนี้มีสตันต์คอยช่วยเธอ
ผู้หญิงคนนั้นมองหน้าเฉินซิงเยียนด้วยท่าทีเยาะเย้ย เธอดูเหมือนจะคิดว่าเฉินซิงเยียนทั้งโง่เง่าและปัญหาอ่อน “คนที่ไม่มีสตันต์น่ะมันเธอ ไม่ใช่ฉัน”
ดังนั้นเธอซิงเยียนจึงเฝ้ามองผู้หญิงคนนั้นจดจ่ออยู่กับการแสดงให้ออกมาดูดีที่หน้ากล้อง ขณะปล่อยให้สตันต์รับหน้าที่ดูแลฉากแอกชั่นทั้หงมด
นี่มันไม่ยุติธรรม!
เฉินซิงเยียนไม่อาจระงับไฟที่ลุกโชนอยู่ภายในตัวได้อีกต่อไป เธจจึงเดินออกไปพูดกับผู้กำกับ “ผู้กำกับคะ ให้ฉันแสดงฉากนี้ได้ไหม ฉันแค่อยากลองดูสักครั้งหนึ่ง…”
“ออกไปซะ หยุดทำให้ฉันเสียเวลาสักที” ผู้กำกับมองเฉินซิงเยียนด้วยความรำคาญ
“ผู้กำกับ คุณก็รู้ว่าความคาดหวังของหลินเซิงสูงแค่ไหน ถ้าเทียบกับคนที่ต้องใช้สตันต์แล้ว ฉันแน่ใจว่าเขาต้องการแสดงกับคนที่สามารถเล่นฉากนั้นได้ด้วยตัวเองมากกว่า” เฉินซิงเยียนเดินตามผู้กำกับ พยายามขอโอกาสให้ตัวเธอเอง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้กำกับก็หันกลับมาจ้องเฉินซิงเยียน จากนั้นเขาจึงพยักหน้า “ฟังดูมีเหตุผล บางครั้งเพื่อให้ได้ความสมจริงก็ต้องดูจากการโต้ตอบกันระหว่างนักแสดงนี่แหละ
“เอาอย่างนี้ไหม ทำไมเธอไม่เข้าฉากกับหลิงหลงดูล่ะ”
เข้าฉาก?
เข้าฉากอะไร? มันฟังดูเหมือนบอกให้เธอยอมโดนทำร้ายมากกว่าอีก
“อะไร เธอกลัวหรือไง ถ้าไม่อยากทำงั้นก็ลืมมันไปซะ”
“ฉันจะทำค่ะ” เฉินซิงเยียนคว้าแขนผู้กำกับเอาไว้และพูดด้วยน้ำเสียงหนักเล่น “ถ้าฉันแสดงได้ดีพอๆ กับผู้หญิงคนนั้น คุณจะให้ฉันได้ลองเล่นในฉากของเธอใช่ไหม”
“เอาเลย!”
อันจื่อเฮ่ายืนมองจากระยะไกลขณะที่เฉินซิงเยียนคว้าแขนของผู้กำกับเอาไว้ เธอดูไม่เหมือนเด็กกะโปโลเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้วเพราะชัดเจนว่าเธอทุ่มเทมากจริงๆ
ไม่แปลกใจที่เมื่อผู้กำกับขอให้เธอถูกซ้อมในบทคนเดินผ่านไปผ่านมา เธอจึงตอบรับ
เมื่อเห็นความท้าทายที่จริงจังของเฉินซิงเยียน ผู้หญิงคนนั้นกลัวว่าเฉินซิงเยียนจะฉกบทกลับไปจากเธอ หญิงสาวจึงไม่ใช้สตันต์และตัดสินใจเล่นฉากนั้นด้วยตัวเอง
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในฉากนั้นคือเฉินซิงเยียนยอมรับที่จะถูกซ้อมโดยไม่มีการตอบโต้
“มาหลิงหลง ระวังความปลอดภัยเอาไว้ด้วย เริ่มกันได้แล้ว” ผู้กำกับย้ำขณะที่เขาโบกมือเรียกผู้หญิงที่ชื่อหลิงหลง จากนั้นเขาส่งสัญญาณไปที่ผู้ช่วยกองให้ตีสเลตคัตฉาก เขาไม่ได้คาดหวังว่าเฉินซิงเยียนจะสามารถยืนทนรับการถูกเตะต่อยได้
ทว่าหลังจากการถ่ายทำเริ่มต้นขึ้น ทุกคนต่างช็อก ไม่เพียงแค่เฉินซิงเยียนจะทนถูกหลิงหลงทำร้าย แต่เธอยังเข้าถึงบทอย่างมากอีกด้วย
ที่จริง ถ้าเป็นฉากต่อสู้ ผู้กำกับยังคงมั่นใจในตัวเฉินซิงเยียน แต่เมื่อเป็นฉากที่ต้องถ่ายทอดอารมณ์ เฉินซิงเยียนก็ยังคงน่าเป็นห่วง
เพราะถึงยังไงฉากต่อสู้ก็เป็นความถนัดพิเศษของเธอ
แต่นอกจากเฉินซิงเยียนเองแล้ว แม้แต่คนดูก็ยังรู้สึกถึงความเจ็บปวดเมื่อได้เห็นฉากที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา เพราะหลิงหลงทั้งต่อยซ้าย ต่อยขวาและต่อยตรงๆ แต่ละหมัดนั้นรุนแรงกว่าที่ใครจะสามารถทำได้
อันจื่อเฮ่ามองดูเฉินซิงเยียนอดทนกับการถูกซ้อมจากระยะไกล เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดในทุกๆ หมัดราวกับกำลังโดนด้วยตัวเอง
แต่เฉินซิงเยียนอดทนกับทุกสิ่ง ไม่เพียงแค่ไม่ปริปาก แต่เธอยังถ่ายทำฉากนี้ได้อย่างมืออาชีพอีกด้วย
“ผู้กำกับ คุณคิดอะไรอยู่”
ผู้กำกับไม่พูดอะไร เขาเพียงแค่หันหลังกลับ ขณะนั้นเอง ในที่สุดทีมงานส่วนใหญ่รวมถึงหลิงหลงก็สังเกตเห็นอันจื่อเฮ่าจากระยะไกล
ผู้กำกับเดินตรงไปหาเขาและกล่าว “นายได้เห็นฉากนั้นแล้วเมื่อกี้ ทำไมนายไม่เซ็นสัญญากับหลิงหลงให้เป็นศิลปินของนายด้วยล่ะ”
อันจื่อเฮ่ารู้ดีว่าผู้กำกับกำลังจงใจพยายามปั่นหัวเฉินซิงเยียน ดังนั้นเฉินซิงเยียนจึงมองอันจื่อเฮ่าอย่างเป็นกังวล เมื่อเห็นเขาไม่ตอบอะไร ดวงตาทั้งสองข้างของเธอเริ่มหมองลง…
แต่ขณะที่เขาคิดถึงการที่หลิงหลงจงใจปั่นหัวเฉินซิงเยียน อันจื่อเฮ่าก็เดินไปหาเฉินซิงเยียนก่อนถอดเสื้อแจ็กเกตของเขาคลุมตัวเธอแล้วพูดกับทุกคน “เฉินซิงเยียนคนเดียวก็พอแล้ว”
ว่าแล้วอันจื่อเฮ่าก็พยายามจะดึงตัวเฉินซิงเยียนกลับ
เฉินซิงเยียนขัดขืนเล็กน้อยขณะที่เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงขึ้น จากนั้นเธอก็กล่าวพร้อมขมวดคิ้วมุ่น “ฉันยังอยากถ่ายต่อ”
“มันเป็นแค่เกมเด็กเล่น ยังมีอะไรให้ถ่ายอีก” อันจื่อเฮ่ากดอีกฝ่ายไว้ใต้แขนและลากเธอกลับไปที่ห้อง จากนั้นเขาก็นั่งลงบนโซฟาและเริ่มดึงเสื้อเชิ้ตของอีกฝ่ายขึ้น
“เฮ้ย…” เฉินซิงเยียนโต้ตอบ
“ฉันแค่กำลังเช็กดูว่ามีรอยชำตรงไหนบ้าง” อันจื่อเฮ่าอธิบาย “เธอคิดจะยุ่งวุ่นวายกับบทของเธอต่อไปเรื่อยๆ หรือไง ถ้าได้บทคืนแล้วเธอจะเล่นได้งั้นเหรอ”
“ฉันเล่นได้แน่นอน” เฉินซิงเยียนตอบด้วยความมั่นใจ แต่เธอไม่เข้าใจว่าอันจื่อเฮ่าหมายความว่าอย่างไร
“เดี๋ยวฉันจะพาเธอไปเจอนักกายภาพ”
“นาย… นายหมดเงินไปกับฉันเยอะเลยเหรอ” ในห้องอันว่างเปล่า เฉินซิงเยียนกระวนกระวายเป็นอย่างมากจนเธอรู้สึกได้ว่าหัวใจตัวเองแทบจะเต้นออกมานอกหน้าอก แต่ถ้าเธอไม่ถามตอนนี้ เธอก็ไม่รู้ว่าเธอจะมีโอกาสได้ถามอีกเมื่อไหร่
“ใช่ ฉันหมดไปนิดหน่อย” อันจื่อเฮ่ายอมรับพลางพยักหน้า
“ฉันจะจริงจังกับการแสดงให้มากขึ้น จะได้ช่วยนายหาเงินคืนกลับมา”
อันจื่อเฮ่ามองเฉินซิงเยียนจากด้านหลังขณะวางมือทั้งสองข้างลงบนไหล่หญิงสาว เขาอยากจะกอดเธอมาก…
อาจเป็นเพราะความรู้สึกที่เกิดขึ้นร่วมกันของทั้งคู่ เฉินซิงเยียนจึงอดไม่ได้ที่จะเอนหลังไปพิงแผ่นอกของอันจืนเฮ่า “ฉันเหนื่อย…”
อันจื่อเฮ่าไม่ได้สัมผัสตัวอีกฝ่าย เขาเพียงแค่ปล่อยให้เธอพิงอกเขาอย่างเงียบๆ “ถ้าเธอทำให้คนอื่นๆ สบายใจได้เหมือนอย่างถังหนิง จะดีแค่ไหนนะ”
เฉินซิงเยียนหลับตาลง นึกถึงคำพูดที่ครั้งหนึ่งอันจื่อเฮ่าเคยกล่าวไว้ว่าเขาจะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก…
ดังนั้นเธอจึงสงสัยว่าเธอควรควบคุมตัวเองมากกว่านี้ไหม อะไรจะเกิดขึ้นถ้า…
เมื่อคิดเช่นนั้น เฉินซิงเยียนก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน แต่อันจื่อเฮ่ารั้งเธอไว้และดึงเธอมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา “ถ้าเธออยากจะพิงฉัน ก็พิง อย่าขยับไปไหน”
“แต่… นี่มันไม่ใกล้ชิดไปหน่อยเหรอ”
“เธอชอบความใกล้ชิดแบบนี้ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้” อันจื่อเฮ่าพูดที่ข้างหูของเฉินซิงเยียน
ใบหูทั้งสองข้างของเฉินซิงเยียนเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอรีบปิดแก้มที่เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ ของเธอทันทีและกล่าว “ฉันคิดว่า… นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกอะไรกับใครบางคน ฉันว่าฉันชอบนาย”
“ฉันด้วย” อันจื่อเฮ่าตอบอย่างรวดเร็ว
“นายก็ด้วยเหรอ” เฉินซิงเยียนหันกลับไปมองหน้าอันจื่อเฮ่า “นายเคยบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”
“ฉันไม่คิดว่าคำพูดพวกนั้นใช้กับเธอได้” อันจื่อเฮ่ายอมแพ้ให้แก่ตัวเองและเฉินซิงเยียน เขาช่วยเหลือเธอจนถึงขนาดนี้แล้วยังจะมีเหตุผลอะไรอื่นได้อีก เขาชอบเธอและเป็นห่วงเธอจริงๆ
“ต่อจากนี้ไปเราควรทำยังไงดี”
อันจื่อเฮ่ามองท่าทีจนปัญญาของเฉินซิงเยียนและยอมแพ้ให้กับแรงกระตุ้นของตัวเอง เขาคว้าศีรษะของอีกฝ่ายไว้ด้วยมือเดียวและจูบลงบนริมฝีปากหญิงสาวโดยปราศจากการหักห้ามใจ
เขาไม่สนใจอนาคตอีกแล้ว เขาจะขอแอบลิ้มรสอันหอมหวานนี้สักหน่อยก่อน
เขาเซ็นสัญญากับเฉินซิงเยียนในฐานะศิลปินของเขาและทำงานอย่างหนักเพื่อฝึกฝนเธอ ไม่ใช่ว่าเขาทำทั้งหมดนี้เพื่อทำให้เธอกลายเป็นแฟนเขาหรอกหรือ