“ฉันละอยากจะหยิกเธอให้ตายจริงๆ ” ลู่กวงหลีฮึดฮัดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
เขาเองก็พูดตรงขนาดนี้แล้วแต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังคิดเรื่องไร้สาระแบบนี้อีก เขาอยากจะจับเธอกดเข้ากับกำแพงสักที่แล้วจูบเธอจนกว่าจะรู้ตัวสักทีจริงๆ
หากแต่ไม่นานนางพยาบาลคนหนึ่งก็เดินผ่านมา เมื่อเห็นคนทั้งคู่เธอจึงเข้าไปหาก่อนเอ่ย “หมอถังคะ หมอหลินกำลังตามหาคุณอยู่น่ะค่ะ”
“โอเคค่ะ เดี๋ยวฉันตามไปนะคะ”
เมื่อนางพยาบาลจากไป ถังอี้เฉินหันหลังเตรียมเดินจากไป ทว่าลู่กวงหลีกลับรีบคว้าตัวเธอไว้ “เธอจะไปไหน เขินฉันเหรอ ฉันเองก็ไม่ได้เจออาจารย์ของเธอมาสักพักแล้วนะ”
“อย่างนั้นก็ไปกันเถอะ…” ถังอี้เฉินตอบด้วยท่าทีงุ่นง่าน
ดูผิวเผินเธออาจเป็นคนที่ดูฉลาดหลักแหลม แต่ความเป็นจริงแล้วพอเป็นเรื่องของความรัก เธอไม่รู้ประสาเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้เรื่องรู้ราวจนทำให้ใครคนหนึ่งต้องปวดใจ
ทั้งคู่มาถึงห้องของถังหนิงในไม่ช้า เมื่อถังหนิงเห็นลู่กวงหลีเธอก็พอคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
หมอหลินเองก็ตกใจเช่นกัน “กวงหลี ไม่เจอกันนานเลยนะ…ลมอะไรหอบมากันล่ะเนี่ย”
“เพราะอี้เฉินก่อเรื่องเอาไว้น่ะครับ” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง แต่อันที่จริงเขากำลังประกาศจุดยืนของเขาต่างหาก
หมอหลินอึ้งไปแต่เธอก็เข้าใจความหมายของคำพูดของเขาได้ทันที “ฉันก็ว่าทำไมหมออัจฉริยะอย่างลู่กวงหลีถึงได้มาที่โรงพยาบาลเล็กๆ ของฉันได้ ที่แท้เขาก็คบกับอี้เฉินของเราอยู่นี่เอง”
“เธอซื่อบื้อเกินไปน่ะครับ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้” เขาไม่ปิดบังความเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อถังอี้เฉิน
หมอหลินยักไหล่ “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า นายคิดว่าฉันจะจับแฟนของนายกินหรือยังไง ก่อนหน้านี้สมัยที่ยังเรียนอยู่ ฉันก็สงสัยว่านายจะชอบผู้หญิงแบบไหนกัน ไม่คิดว่านายจะตกหลุมรักอี้เฉิน…แต่มันก็ดีแล้วล่ะ”
“ผมฝากหมอหลินดูแลอี้เฉินด้วยนะครับ”
“นายไม่ต้องบอกฉันก็รู้น่า”
ถังหนิงมองลู่กวงหลีด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แม้ว่าหมอผู้เก่งกาจคนนี้จะเคยช่วยพวกเขาไว้มาก แต่เขาคิดว่าจะอยู่เหนือถังอี้เฉินได้อย่างนั้นหรือ
เขาได้ถามความเห็นของคนในครอบครัวของเธอหรือยัง
“ฉันก็สงสัยอยู่ว่าทำไมเธอถึงหน้าแดงอย่างกับตูดลิง ที่แท้ก็เป็นเพราะเขานี่เอง” ถังหนิงพูดกับถังอี้เฉิน “เขาได้รังแกเธอหรือเปล่า อีกอย่างเธอไม่ได้บอกเองเหรอว่าอยากจะอยู่ให้ห่างเขาน่ะ”
“ผมว่าถ้าคุณนายโม่ไม่เข้ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของคนอื่นจะดีกว่านะครับ” ลู่กวงหลีไม่ชอบถังหนิงเช่นกัน เพราะเธอมักสร้างปัญหาให้เพื่อนร่วมงานตัวน้อยของเขาอยู่บ่อยครั้ง ต่อให้พวกเธอเป็นพี่น้องกันก็ตาม เขาก็ยังคงไม่พอใจนัก
“หมอลู่คะ คนที่ฉลาดเขาไม่หาเรื่องน้องสะใภ้ของตัวเองกันหรอกนะคะ”
“น้องสะใภ้อะไรกัน เธอคิดไปไกลเกินไปแล้ว” ถังอี้เฉินท้วงขึ้นพร้อมใบหน้าขึ้นสี ใครจะทนให้คนทั้งห้องพูดถึงเรื่องของตัวเองกันได้
“พอแล้วน่า ไว้ค่อยคุยเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเธอกันที่บ้านเถอะ มาพูดเรื่องที่จริงจังกันได้แล้วล่ะ” หมอหลินรีบดึงบทสนทนากลับมาเรื่องสำคัญ “ถังหนิง จริงๆ แล้วฉันมีข่าวร้ายจะมาบอกคุณ”
“ถึงคุณจะคลอดลูกทั้งสามคนออกมาอย่างปลอดภัย แต่มันก็มีความเสี่ยงทั้งสองครั้ง ดังนั้นฉันแนะนำไม่ให้พวกคุณมีลูกไปมากกว่านี้นะคะ ต่อให้คุณจะอยากมี ฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะทำอย่างนั้นได้หรอกนะคะ” หมอหลินอธิบาย
“การคลอดลูกสาวคนนี้ก็ถือว่าเกินขีดจำกัดของร่างกายคุณไปแล้วนะคะ
“พูดอีกอย่างก็คือคุณไม่สามารถมีลูกได้อีกแล้วค่ะ”
ถังหนิงได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบ ได้แต่มองหน้าโม่ถิงอย่างตื่นตระหนก
โม่ถิงกุมมือเธอเอาไว้ขณะที่ว่าขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่น “ผมแค่อยากให้หมอหลินช่วยให้ภรรยาของผมฟื้นตัวเป็นปกติครับ ส่วนเรื่องลูกเราไม่ได้วางแผนจะมีอีกแล้วล่ะครับ”
“ดีแล้วล่ะค่ะ ประธานโม่ ฉันรู้ว่าคุณเป็นห่วงถังหนิงมากเลยจะไม่พูดอะไรอีกแล้วกันนะคะ ส่วนเรื่องลูกสาวของคุณ เธอไม่ได้มีอาการผิดปกติรุนแรงอะไรเลยค่ะ จะมีก็แต่อาการตามปกติของเด็กที่คลอดก่อนกำหนดเท่านั้น เช่นพวกระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่แข็งแรงนัก ซึ่งจะทำให้เธอติดเชื้อได้ง่ายเมื่อเทียบกับเด็กทั่วไปน่ะค่ะ คุณต้องเตรียมใจกับเรื่องนี้เอาไว้ด้วยนะคะ”
“ขอบคุณครับ หมอหลิน”
“ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอกค่ะ ยังไงฉันก็เป็นอาจารย์ของอี้เฉิน เอาละ อย่างนั้นฉันไม่รบกวนคุณแล้วนะคะ… ส่วนเรื่องฟื้นตัว ด้วยสถานะของคุณแล้วฉันว่ากลับบ้านให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้จะเป็นการดีที่สุดนะคะ…”
จนกระทั่งถึงป่านนี้ ถังหนิงก็ยังไม่ได้เห็นหน้าลูกสาวของตัวเอง
ถึงอย่างไรเธอก็ยังลุกออกจากเตียงไม่ได้
“ถิงคะ ทำไมคุณไม่ถือโอกาสนี้ตั้งชื่อลูกสาวเลยล่ะคะ”
“โม่จื่อเหยียนครับ” โม่ถิงตอบกลับทันควัน “จริงๆ แล้วผมคิดไว้นานแล้วล่ะ”
“โอเคค่ะ อย่างนั้นเราจะเรียกเธอว่าโม่จื่อเหยียนนะคะ”
“ไหนๆ ตอนนี้ลูกสาวของเราก็คลอดแล้ว คุณก็คิดเรื่องไปต่างประเทศได้แล้วสิครับ ผมรับปากไว้แล้วผมจะไม่กลับคำเด็ดขาด…”
ถังหนิงคงไม่อาจทิ้งลูกสาวของตัวเองในช่วงหลายเดือนแรกไปได้เพราะเธอต้องให้นมลูก อีกทั้งเธอยังไม่ต้องการพลาดช่วงเวลาที่สำคัญของชีวิตลูกสาวตัวเอง จึงตัดสินใจไปต่างประเทศในคราวหลัง
ในขณะที่มองภาพครอบครัวสุขสันต์ ลู่กวงหลีพลันดึงตัวถังอี้เฉินออกมาก่อนเอ่ย “พาฉันกลับบ้านที”
“คุณไม่อายบ้างหรือไง ปกติมีแต่ผู้ชายที่พาผู้หญิงไปที่บ้านไม่ใช่เหรอ”
“เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว” ลู่กวงหลีดันตัวเธอลงไปนั่งฝั่งคนขับของรถสปอร์ตและคาดเข็มขัดให้เธอ “น้องสาวของเธอมีลูกตั้งสามคนแล้วนะ ไม่คิดว่าตัวเองควรรีบหน่อยหรือยังไง”
“ทำไมฉันต้องรีบด้วยเล่า” ถังอี้เฉินสวนกลับ
“ต่อให้เธอไม่อยากรีบแต่ฉันรีบ… มาเทียบตารางงานของเราคืนนี้เพื่อความสะดวกกันเถอะ…”
“…สะดวกอะไร” เธอถามขึ้นด้วยความสงสัย…
“สะดวกให้ฉันกินเธอยังไงล่ะ!”
“…”
ความจริงแล้วต่อให้ทั้งสองรู้จักกันมานานหลายปี ถังอี้เฉินก็ยังไม่เคยเข้าบ้านของลู่กวงหลีมาก่อน
“คุณจะพาฉันเข้าบ้านคุณจริงๆ เหรอ”
ลู่กวงหลีหัวเราะขณะที่ขับรถ “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันยังไม่กินเธอคืนนี้หรอกน่า…”
ถังอี้เฉินไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงชั้นล่างของห้องพักลู่กวงหลี ถังอี้เฉินรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อนึกถึงการก้าวเข้าไปในอาณาเขตของชายคนนี้ หากพวกเขาต้องการพัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นไปอีกขั้น เธอต้องเข้าใจเขาให้มากกว่านี้
บางทีเธออาจต้องผิดหวังในท้ายที่สุดก็เป็นได้
“ทำไมไม่เข้าไปล่ะ” เขาถามขณะที่ยืนซ้อนหลังเธออยู่
“ฉันกลัวว่าถ้าเข้าไปในบ้านของคุณแล้วจะคิดกับคุณไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปไง”
“เธอหวังว่าฉันจะเป็นคนยังไงล่ะ” ลู่กวงหลีส่ายหน้าพลางพาเธอเข้ามาในบ้าน
บ้านของเขาเรียบร้อยและสะอาดสะอ้านสมกับเป็นบ้านของหมอผิดกับที่เธอคิดเอาไว้
เมื่อมองสำรวจห้องพักที่ตกแต่งแบบเรียบง่ายและชั้นวางที่เต็มไปด้วยหนังสือทางการแพทย์ ถังอี้เฉินก่นด่าตัวเองที่โง่เง่าขนาดนี้…เธอคาดหวังในตัวเขาต่ำขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
“เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่เข้ามาในบ้าน เลยไม่มีรองเท้าเดินในบ้านเตรียมให้น่ะ ใส่ของฉันไปก่อนก็ได้”
“คุณมั่นใจว่าอยากจะคบกับฉันจริงๆ เหรอ” เธอถามย้ำอีกครั้งอย่างต้องการมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป
“คิดอะไรของเธออยู่เนี่ย ถ้าฉันไม่คว้าตัวผู้หญิงซื่อบื้อคนนี้มาดูแล ใครจะทนเธอได้กันอีกล่ะ อีกอย่างฉันก็เล็งเธอมาตั้งหลายปี ไม่อยากเปลี่ยนใจหรอกนะ”