ไม่ใช่เรื่องยากที่จะพิสูจน์ว่าผู้หญิงคนนั้นใช่ผู้ช่วยของซ่งซินหรือไม่
ด้วยการสืบอย่างลับๆ ถึงตำแหน่งที่อยู่ของเธอและแอบดูการพฤติกรรมต่างๆ ของเธอ ทำให้ข้อมูลที่ไม่คาดคิดมากมายถูกเปิดเผยออกมา
“ผู้หญิงคนนี้ชื่อว่าต้วนจิ่งหง เป็นเพื่อนเก่าแก่ของซ่งซิน ทั้งสองทำงานร่วมกันมานานหลายปีแล้ว ที่จริงการที่ซ่งซินรุ่งโรจน์ขึ้นมาในวงการได้โดยใช้เวลาอันสั้นได้นั้นไม่ใช่เพียงเพราะไห่รุ่ยปูทางให้เพียงอย่างเดียว ผู้ช่วยที่ทำงานหน้าที่ควบตำแหน่งผู้จัดการด้วยคนนี้เองก็มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก ผู้หญิงคนนี้รู้จักวิธีใช้จุดแข็งของซ่งซินให้เกิดประโยชน์ โดยเฉพาะเรื่องภูมิหลังของซ่งซิน เธอยังสามารถคว้าโอกาสต่างๆ ได้อย่างง่ายดายอีกทั้งยังเป็นคนระแวดระวังและวางแผนอีกด้วย
“ด้วยเหตุนี้ เธอจึงได้รับความไว้วางใจจากซ่งซินเป็นอย่างมาก และทั้งคู่ต่างช่วยเติมเต็มจุดแข็งให้กันและกัน ดังนั้นในช่วงระยะเวลาอันสั้น พวกเธอจึงสามารถควบคุมวงการบันเทิงมากกว่าครึ่งได้อยู่หมัด
“อีกอย่าง ผู้หญิงคนนี้เคยไว้ผมสั้น แต่ผมไม่แน่ใจว่าเธอเริ่มสวมวิกและมีดั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมได้ยินมาว่าเธอเพิ่งไปทำศัลยกรรมจมูกมา”
นี่คือข้อมูลที่ผู้จัดการฝ่ายบุคคลค้นพบจากการสืบค้นภายในไห่รุ่ย ส่วนเรื่องของตำแหน่งที่อยู่ของเธอนั้น เขาทำได้เพียงสรุปว่าเธออยู่ตามตารางงานของซ่งซิน
เพราะถึงอย่างไรก็ไม่มีใครอาจรู้ได้ว่าเธอไปอยู่ที่ไหนมาบ้างในช่วงเวลาส่วนตัว
“ส่วนเรื่องกระเป๋าที่คุณของให้ผมไปสืบ มันเป็นสินค้ารุ่นลิมิเต็ดในโอกาสพิเศษของวาเลนติโนซึ่งมีเพียงห้าใบในโลกเท่านั้น ดังนั้นโอกาสที่คนอื่นจะมีกระเป๋าแบบเดียวกันนั้นมีน้อยมาก”
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้จัดการฝ่ายบุคคล ถังหนิงก็คิดไตร่ตรองถึงสถานการณ์อย่างละเอียดและถาม “ต้วนจิ่งหงเริ่มใส่วิกตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ถ้าผมจำไม่ผิด เป็นช่วงเดียวกับที่ฮว่าเหวินเฟิ่งจัดงานแถลงข่าว”
มิน่าล่ะตอนที่ฮว่าเหวินเฟิ่งมาที่ออฟฟิศจึงหาคนที่เธอเคยพบไม่เจอ
แม้แต่กระต่ายเจ้าปัญญายังรู้จักสร้างทางเข้าโพรงถึงสามทาง นับประสาอะไรกับสุนัขจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ ให้ทำเหมือนว่าไม่เคยเกิดขึ้น อย่าให้ใครรู้เรื่องที่ฉันถามเกี่ยวกับต้วนจิ่งหงเป็นอันขาด”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณผู้หญิง ผมจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”
ถังหนิงพยักหน้าและโบกมือให้ผู้จัดการออกจากห้องไป ทว่าท่าทีของเธอกลับดูไม่ยินดีนัก ถ้าการมีตัวตนของเธอทำให้ซ่งซินรู้สึกเป็นศัตรูแล้วละก็ ฮั่วจิงจิงไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นได้อย่างไร ขาทั้งสองข้างของฮั่วจิงจิงเกือบจะต้องถูกตัดทิ้งเพราะสุนัขที่ดุร้ายเพียงตัวเดียว ที่เลวร้ายที่สุดคือต้วนจิ่งหงเลือกใช้เด็กตัวเล็กๆ ในการทำเรื่องแบบนี้…
ต้วนจิ่งหงต้องมีจิตใจโหดเ**้ยมถึงได้ใช้เด็กตัวเล็กๆ เป็นเครื่องมือแบบนี้!
“ฟังอวี้จะจัดการเรื่องของฮั่วจิงจิงเอง สิ่งที่ผมอยากรู้คือใครเป็นคนปั่นหัวฮว่าเหวินเฟิ่ง…” โม่ถิงกล่าวโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา กระนั้นถังหนิงก็ยังสัมผัสได้ถึงความอันตรายที่แทรกออกมาในน้ำเสียงเขา
ถังหนิงไม่ถามอะไรมากไปกว่านี้ เธอรู้ดีว่าฮว่าเหวินเฟิ่งได้รับการสั่งสอนในคืนก่อนที่เธอจะเข้ามอบตัวกับตำรวจแม้โม่ถิงจะไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟังด้วยตัวเองก็ตาม
หากต้วนจิ่งหงมีส่วนเกี่ยวข้องจริง ชายที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานคนนี้จะไม่มีวันปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นอยู่อย่างสงบ…
ในเมื่อต้วนจิ่งหงทำงานให้ซ่งซิน ซ่งซินจะต้องมีส่วนรู้เห็นกับเรื่องทั้งหมดอย่างแน่นอน ที่จริงมีความเป็นได้อย่างสูงที่เธอจะเป็นคนต้นคิดเรื่องทั้งหมด
ใครบางคนดูเหมือนจะกำลังท้าทายอำนาจโม่ถิง ดังนั้นเขาจึงโทรหาฟังอวี้ “ทำให้ทุกงานที่กำลังจะเข้ามาของซ่งซินมีปัญหา”
…
ซ่งซินไม่รู้เลยว่าเธอได้ตกเป็นเป้าของถังหนิงแล้ว กลับกัน เธอยังคงฝันหวานถึงการได้เขี่ยถังหนิงให้ตกกระป๋องในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เธอเป็นผู้ชนะในหลายการแข่งขันและสนุกที่ได้ดูถูกเยียดหยามคนอื่น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะเป็นที่หนึ่งได้เสมอไป
หลังจากฟังอวี้ได้รับสายของโม่ถิง เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าซ่งซินไปทำอีท่าไหนให้โม่ถิงโกรธ
กระนั้นเขาก็ยังทำตามที่ได้รับคำสั่ง
คืนนั้นซ่งซินควรจะต้องไปปรากฏตัวในรายการทอร์กโชว์รายการหนึ่ง ซึ่งเป็นรายการที่มีแฟนๆ จากทั่วโลกคอยติดตาม ดังนั้นมันจึงเป็นโอกาสสำคัญที่เธอจะได้เพิ่มความโด่งดังและชื่อเสียง
แต่สิ่งที่ซ่งซินไม่คาดคิดเลยคือ เธอได้รวมในการบันทึกรายการจริง แต่การปรากฏตัวหน้ากล้องนั้นกลับ…
…น้อยนิด!
เกิดอะไรขึ้น เธอกำลังดังนะ ผู้จัดการการตาบอดหรือไง
หลังการบันทึกรายการ ต้วนจิ่งหงก็เดินไปหาผู้จัดรายการ แรกเริ่มนั้นน้ำเสียงของเธอสุภาพมาก “ผู้จัดคะ ฉันสงสัยว่าซ่งซินไปทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า”
“ไม่นี่” ผู้จัดรายการอายุราวสี่สิบกว่าๆ ส่ายศีรษะ
“งั้น… คุณไม่คิดว่าซ่งซินออกกล้องน้อยไปหน่อยงั้นเหรอคะ”
“อ๋อ นี่เธอจะบ่นว่ามันน้อยไปงั้นเหรอ งั้นเราตัดมันออกหมดเลยก็แล้วกัน” ผู้จัดรายการคนนั้นกล่าวก่อนที่เขาจะเดินจากไปโดยไม่แม้แต่จะสบตากับต้วนจิ่งหง
ต้วนจิ่งหงเดือดดาลจนแทบจะกระอักเลือด แต่ชายคนนั้นเป็นผู้จัดตัวท็อปของวงการ ไม่ว่าเธอจะกล้าหาญเพียงใด ก็ไม่กล้าไปมีเรื่องกับเขา เว้นเสียแต่ซ่งซินจะไม่อยากมีชีวิตรอดอยู่ในวงการนี้อีกต่อไป
กระนั้น ไม่ว่าเธอจะคิดเรื่องนี้เพียงใด เธอก็ไม่อาจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้!
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ต้วนจิ่งหงก็กลับไปอยู่ข้างซ่งซินและอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟัง กระนั้นซ่งซินไม่ได้มีทีท่าโมโหแต่อย่างใด เธอเพียงแค่ถาม “เธอได้พูดถึงพื้นเพบ้านฉันหรือเปล่า”
“เขาไม่เปิดโอกาสให้ฉันพูดน่ะสิ”
“โทร.หาไห่รุ่ยแล้วพูดกับฟังอวี้!”
ซ่งซินนั้นเป็นคนมีความสามารถอย่างไม่ต้องสงสัย ที่จริงแล้วความสามารถของเธอนั้นถือว่าไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่โชคไม่ดีที่เธอไม่ได้ถ่อมตนในเรื่องนี้
แม้แต่ในช่วงเวลากลางดึกเช่นนี้ หากเธอต้องการพบฟังอวี้ เธอต้องรู้ให้ได้ว่าเขาอยู่ที่ไหนและเขาจะต้องจัดการกับปัญหาของเธอในทันที
แต่แน่นอนว่าขณะนั้นฟังอวี้อยู่ที่โรงพยาบาลและปิดเครื่องโทรศัพท์ เขาเดาไว้แล้วว่าซ่งซินจะต้องถามหาตัวเขา ดังนั้นซ่งซินจึงเปลี่ยนไปโทรหาลู่เช่อแทน ทว่าลู่เช่อกำลังอยู่ระหว่างการขับรถไปส่งโม่ถิงและถังหนิงที่บ้าน ทันทีที่เขาได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ เขาหยิบมันขึ้นมาวางข้างๆ ก่อนรับสายโทรศัพท์
“ผู้ช่วยลู่เช่อคะ… คืนนี้ซ่งซินของเราได้รับการปฏิบัติอย่างแย่มากๆ ไห่รุ่ยจะต้องจัดการกับเรื่องนี้นะคะ”
ลู่เช่อต้องการจะขับรถต่อ เขาจึงไม่สะดวกคุยโทรศัพท์ แต่ถังหนิงได้ยินสิ่งที่ต้วนจิ่งหงพูด จึงบอกกับลู่เช่อ “ส่งโทรศัพท์มาให้ฉัน นายจะได้ขับต่อได้”
ลู่เช่อส่งโทรศัพท์ให้ถังหนิงทันที หลังจากมองหน้าโม่ถิง ถังหนิงก็ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เธอถูกปฏิบัติไม่ดียังไงงั้นเหรอ”
“นั้นใครน่ะ”
“ฉันอยากรู้ว่าใครเป็นคนสอนกฎให้เธอ เธอข้ามหน้าฟังอวี้แล้วมาติดต่อท่านประธานโดยตรงได้ยังไง” น้ำเสียงถังหนิงนั้นสงบนิ่ง แต่ทรงอำนาจ
“ฉัน…”
“ซ่งซินคิดว่าตัวเองใหญ่มาจากไหนถึงสามารถเรียกร้องความสนใจจากท่านประธานได้”
หลังฟังอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดต้วนจิ่งหงก็จำเสียงถังหนิงได้ เธอจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงใจเย็น “คุณนายโม่คะ คุณเป็นแค่ศิลปินคนหนึ่งของไห่รุ่ย อย่าบอกฉันนะคะว่าท่านประธานขอให้คุณรับสายแทนเขาเพราะไห่รุ่ยเป็นแค่ของเล่นให้คุณมาเล่นได้ง่ายๆ”
พูดง่ายๆ ก็คือเธอกำลังบอกถังหนิงว่าเธอไม่มีสิทธิ์มาก้าวก่ายเรื่องของเธอ
“ถ้าโม่ถิงรับสาย ชะตากรรมของเธอจะแย่ยิ่งกว่านี้อีก…” ถังหนิงตอบตามตรง
“แล้วเรื่องนั้นมันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ”
ถังหนิงยิ้มเยาะพลางส่งโทรศัพท์ให้โม่ถิง แต่โม่ถิงไม่แม้แต่จะชำเลืองตามองโทรศัพท์เครื่องนั้นและเพียงแค่พูดว่า “บอกเจ้านายของเธอให้มาพบฉันที่ออฟฟิศพรุ่งนี้ ดื้อด้านจริงๆ!”