หลังจากนั้น งานต่างๆ ของซ่งซินต่างไม่ราบรื่นอย่างที่เธอหวัง หากไม่ได้ออกกล้องมากนัก ก็จะถูกจัดไปอยู่ขอบๆ อย่างไม่แยแส
หากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเพียงครั้งสองครั้ง เธอก็อาจจะยังพอปล่อยผ่านไปได้ แต่หลังจากพลาดโอกาสไปหลายต่อหลายครั้ง เธอก็เริ่มคลางแคลงใจว่าอาจมีใครบางคนชักใยอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์เหล่านี้
“ดึกแล้วนะ ทำไมเธอยังไม่นอนอีกล่ะ” ต้วนจิ่งหงเห็นซ่งซินกำลังสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงนอกห้องก่อนรีบนำถาดรองเถ้าบุหรี่ไปให้
“เธอไม่สังเกตหรือไงว่าช่วงนี้งานของฉันไม่ค่อยดี”
“ฉันไม่เห็นอะไรที่เป็นปัญหาใหญ่นะ” ต้วนจิ่งหงตอบ ซ่งซินยังคงปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์และตารางงานของเธอก็ยังแน่นขนัด ปัญหาเดียวที่เกิดขึ้นคือผลที่ออกมานั้นไม่เป็นอย่างที่หวัง
“ฉันรู้สึกมาตลอดว่าไห่รุ่ยจงใจกดฉันเอาไว้” ซ่งซินกล่าวพลางเหม่อมองไปไกล
“เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีเหตุผลที่ไห่รุ่ยจะทำแบบนั้น”
“อย่าลืมสิว่าไห่รุ่ยไม่ได้มีแค่โม่ถิงแต่ยังมีถังหนิงอยู่อีกคน กว่าถังหนิงจะมาถึงจุดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับฉันที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาแย่งความสนใจไป ผู้หญิงคนนั้นต้องเกลียดฉันมากแน่” ซ่งซินไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าถังหนิงได้ล่วงรู้ถึงการกระทำอันเลวทรามของเธอแล้ว เธอเพียงแค่ทึกทักไปเองว่าถังหนิงมองเธอเป็นคู่แข่งคนหนึ่ง
เป็นคู่แข่งที่น่าหวาดกลัว!
“ตอนนี้เราควรทำยังไงกันดี” ต้วนจิ่งหงรู้สึกว่าคำพูดของซ่งซินนั้นก็ไม่ได้ไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว
“ในเมื่อไห่รุ่ยเลือกทางนี้ พวกมันจะมาโทษที่ฉันตอบโต้ไม่ได้” ซ่งซินขยี้ก้นบุหรี่ด้วยสายตาเยือกเย็น เธอเป็นคนมีพรสวรรค์แต่… เธอสำคัญตัวเองมากเกินไป
เธอคิดถูกเรื่องที่ไห่รุ่ยกดเธอลง แต่นั่นไม่ใช่เพราะความสามารถต่างๆ ที่เธอภูมิใจนักหนา
เช้าตรู่วันต่อมา ข่าวได้เริ่มแผ่กระจายออกมาว่าไห่รุ่ยสกัดงานของซ่งซิน ในเมื่อถังหนิงทำเรื่องเลยเถิดเช่นนี้ เธอก็ไม่อาจโทษซ่งซินที่เอาปัญหานี้ออกสู่สื่อได้
หลังได้ยินข่าวดังกล่าว ฟังอวี้ก็รีบตรงไปเคาะประตูห้องทำงานประธานบริษัทและนั่งลงตรงข้ามถังหนิง “ข่าวลือเริ่มออกมาแล้ว”
“ข่าวลือต่างๆ ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เอง ซ่งซินเป็นคนปล่อยข่าว” ถังหนิงกล่าวอย่างใจเย็นขณะที่เธอยังคงจดจ่ออยู่กับบทละครตรงหน้า “ผู้หญิงคนนั้นต้องการให้ถิงกับฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่จะยอมถูกใครมากดขี่ได้ง่ายๆ”
“พูดถึงเรื่องนี้ ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าซ่งซินไปหาเรื่องประธานโม่อีท่าไหน” ฟังอวี้สับสน “พูดตามหลักแล้ว ซ่งซินอาจจะผยองแต่สุดท้ายผมเป็นคนตามเก็บกวาดทุกครั้ง”
ถังหนิงเงยหน้าขึ้นมองฟังอวี้ เธอไม่ได้ตอบคำถามนั้นในทันที หลังจากเรียบเรียงคำพูดได้แล้ว เธอจึงตอบ “เรามีเหตุผลของเรา”
“ถังหนิง คุณไม่เคยทำตัวขี่ช้างจับตั๊กแตนแบบนี้นี่” ฟังอวี้ถอนหายใจอย่างอ่อนล้า “ผมไม่ค่อยอยากยุ่งกับการกระทำคุณสักเท่าไหร่หรอกนะ”
“คนที่ปั่นหัวฮว่าเหวินเฟิ่งคือผู้ช่วยของซ่งซินที่ชื่อต้วนจิ่งหง” ถังหนิงจงใจข้ามเรื่องของจิงจิงไปและบอกฟังอวี้เกี่ยวกับกรณีของเธอแทน “ฉันมั่นใจว่าคุณเข้าใจว่าทำไมถิงถึงทำแบบนี้”
“คุณแน่ใจนะ” ฟังอวี้ยังคงข้องใจ
“ก่อนหน้านี้ฮว่าเหวินเฟิ่งมาที่ไห่รุ่ยเพื่อชี้ตัวคนที่ปั่นหัวเธอ แต่เธอมองหาทั่วทั้งบริษัทแต่กลับไม่เจอตัวการ ตอนนั้นพวกเราต่างคิดว่าตัวการต้องไม่ได้มาจากไห่รุ่ยแน่ แต่ผลปรากฏตัวผู้หญิงคนนั้นแปลงโฉมตัวเอง” ถังหนิงอธิบายโดยไม่เปิดเผยส่วนที่เสี่ยวเย่ว์จำกระเป๋าที่ผลิตจำนวนจำกัดใบนั้นได้
“คุณจะทึกทักว่าเป็นฝีมือของต้วนจิ่งหงด้วยเหตุผลเล็กน้อยแค่นี้ไม่ได้หรอกนะ…”
“เพราะอย่างนั้นโม่ถิงก็เลยเอารูปของต้วนจิ่งหงตอนที่ผมสั้นและไม่แต่งหน้าไปให้ฮว่าเหวินเฟิ่งดู คุณเดาได้ไหมว่าผลออกมาเป็นยังไง”
ไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อเพราะความจริงที่ถังหนิงถามนั้นหมายความว่าเธอได้ยืนยันเป้าหมายของเธอแล้ว
“ผู้หญิงสองคนนั้นเจ้าเล่ห์มาก พวกเธอเกือบจะหนีรอดไปได้แล้ว…
“แต่ไม่ว่าโลกนี้จะกว้างใหญ่แค่ไหนก็ไม่มีอะไรสามารถเล็ดลอดผ่านรอยร้าวไปได้”
ในที่สุดฟังอวี้ก็เข้าใจและพยักหน้า “ทำไมคุณถึงไม่เรียกตำรวจล่ะ”
ถังหนิงวางบทละครในมือลง ก่อนยกแก้วนมของเธอขึ้นและตอบอย่างแฝงความหมาย “เพราะมันยังไม่ถึงเวลา”
เธอต้องการให้ต้วนจิ่งหงและซ่งซินได้พบกับความรู้สึกตอนที่ถูกสุนัขขย้ำและถูกวางยาพิษเสียก่อน
“แต่ตอนนี้ข้างนอกกำลังพูดไปต่างๆ นานา…”
“ใช้ศิลปินคนอื่นดึงความสนใจของประชาชนสิ” ถังหนิงออกคำสั่งอย่างนุ่มนวล “ฟังอวี้ ฉันเข้าใจว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ ซ่งซินมีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก แต่การที่คนมีพรสวรรค์แล้วมาแอบทำร้ายคนอื่นลับหลังมีแต่จะทำร้ายคนบริสุทธิ์เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ”
“ไม่ต้องห่วง ผมจะไม่มีวันปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ แน่”
เพราะถังหนิงเข้าใจนิสัยของฟังอวี้ดี เธอจึงไม่อาจบอกเขาเรื่องเกี่ยวกับฮั่วจิงจิงได้
อย่างน้อยก็ยังไม่ใช่ตอนนี้
ฟังอวี้ลุกขึ้นออกจากห้อง แต่หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กลับมาที่ห้องประธานก่อนกล่าวกับโม่ถิงและถังหนิง “ซ่งซินต้องการพบพวกคุณ คุณจะเจอเธอหน่อยไหม ถ้าไม่ ผมจะได้ปฏิเสธไปให้”
“ฉันจะคุยกับเธอที่ออฟฟิศ เธอทำอะไรฉันไม่ได้ถ้าฉันอยู่ที่นี่” ไห่รุ่ยมีระเบียงที่เปิดโล่งและมีผู้คนอยู่มากมาย ดูจากความคิดของซ่งซินแล้ว ไม่ว่าเธอจะโง่เขลาเพียงใด ก็จะไม่มีวันทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าในที่แบบนี้แน่
ชั่วครู่ต่อมา ถังหนิงก็ลุกขึ้นจากโซฟา แม้โม่ถิงจะไม่พูดอะไรเลย แต่เขาก็ส่งสัญญาณให้เหล่าบอดีการ์ดคอยจับตาดูถังหนิงเอาไว้
ไม่นานนัก ถังหนิงก็เดินทางมาถึงที่ระเบียงโดยมีซ่งซินนั่งรอเธออยู่ที่นั่นแล้ว
“ฉันไม่คิดว่าคุณจะยอมตกลงมาพบฉันจริงๆ”
“ว่ามาสิ เธอต้องการอะไร” ถัหงนิงกล่าวขณะนั่งลงตรงข้ามซ่งซิน หลังกวาดตามองซ่งซินแล้ว ถังหนิงก็พูดเสริม “ผู้จัดการของเธอไปไหนล่ะ”
“ฉันสังเกตว่าคุณไม่ได้เก่งแค่บนรันเวย์กับการแสดงเท่านั้น พักหลังคุณยังพัฒนาทักษะอีกอย่างขึ้นมาด้วยนี่ ทักษะการขี้ฟ้องบนเตียง” ซ่งซินกล่าวพลางคนกาแฟในแก้วของเธอและหัวเราะ “คุณรู้สึกว่าโดนฉันกดดันอย่างนั้นเหรอ ถึงได้ใช้ประธานโม่มากดดันฉันแบบนี้”
ถังหนิงเองก็หัวเราะออกมาเช่นกันขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นมองซ่งซิน “เราไม่ได้อยู่ในสายงานเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่มีการแข่งขันใดๆ ระหว่างเราสองคน ทำไมฉันจะต้องมองเธอเป็นคู่แข่งด้วยล่ะ
“เธอเขียนเพลงได้ดีแถมบทละครที่เธอเขียนก็นับว่าไม่เลว แต่เธอไม่มีเรียวขาให้น่าอิจฉา แถมไม่มีทักษะทางการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำไมฉันถึงต้องสนใจเธอด้วย”
ซ่งซินอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เธอตอบกลับด้วยเสียงแข็งขึ้นกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว “ถ้าเป็นแบบนั้น งั้นทำไมคุณต้องให้ประธานโม่มากดดันฉันด้วย
“ก็จริงที่ฉันไม่มีขายาวๆ หรือมีทักษะในการแสดง แต่ฉันยังสาว พอถึงตอนที่ฉันอายุเท่าคุณ จะยังมีอะไรที่ฉันมีไม่ได้อีกหรือไง”
“เธออาจจะมีไม่ได้ถึงครึ่งของที่ฉันมีด้วยซ้ำ” ถังหนิงตอกกลับอย่างสงบนิ่ง “อย่าพยายามใช้คำพูดมาปั่นหัวฉันเลย ไม่มีประโยชน์หรอก ซ่งซิน ระวังสิ่งที่เธอทำไว้ให้ดี ไม่งั้นเธออาจจะถึงฆาตเพราะตัวเอง”
หลังได้ยินคำขู่เช่นนี้ ซ่งซินก็พลันหัวเราะออกมาอย่างหยิ่งผยอง “คุณกำลังประกาศสงครามกับฉันงั้นเหรอ ด้วยสภาพแบบนี้เนี่ยนะ
“ถังหนิง ไม่ใช่แค่คุณกำลังท้อง แต่ยังอายุปาเข้าไปยี่สิบเจ็บแล้ว ต่อให้คุณสาวเท่าฉัน คุณก็ไม่ใช่คู่แข่งที่คู่ควรกับฉันหรอก คุณคิดว่าการใช้ประธานโม่มากดดันฉันเป็นสัญญาณแทนความสำเร็จหรือไง
“ฉันจะบอกให้นะ คุณยังห่างอีกไกล”