“ว้าว! ประธานโม่มาช่วยแล้วนะคะ! เป็นคู่รักที่น่ารักจังเลยค่ะ” พิธีกรเอ่ยอย่างเย้าแหย่ขณะมองทั้งคู่ลงจากเวทีไป
อย่างไรก็ตามโม่ถิงไม่ได้อุ้มถังหนิงออกจากงาน แต่กลับพาเธอกลับไปนั่งที่เดิม ก่อนเขาจะกลับไปนั่งเงียบๆ ด้านหลัง
หลงเจี่ยเกรงว่าตัวเองควรจะลุกออกไปแล้วให้ประธานโม่มานั่งแทนที่เธอหรือไม่
ทว่าเมื่อเธอหันกลับไปโม่ถิงกลับหายเข้าไปในความมืดเสียแล้ว
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น หลงเจี่ยโน้มตัวมาเอ่ยถามถังหนิง “คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ อยากให้ฉันไปซื้อรองเท้าอีกคู่ให้คุณไหม”
“ฉันไม่เป็นไร ถิงอยู่ที่นี่ทั้งคนเธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ” ถังหนิงระบายยิ้ม ในเมื่อโม่ถิงถอดรองเท้าของเธอไป หากไม่กลับมาตอนจบงานเพื่ออุ้มเธอออกไปเขาก็คงออกไปซื้อรองเท้าอีกคู่ให้เธอแล้ว
“โอเคค่ะ” หลงเจี่ยพยักหน้ารับ
“ในเมื่อโม่ถิงอยู่ที่นี่ งั้นข่าวลือของถังหนิงกับอันจื่อเฮ่าก็ไม่เป็นความจริงน่ะสิ”
“ใครจะไปรู้กันเล่า เธอก็ยังคบซ้อนได้นี่นา”
คนที่อยู่ด้านหลังยังคงพูดถึงเรื่องระหว่างถังหนิงกับอันจื่อเฮ่า หากแต่คำพูดเหล่านั้นเล็ดลอดมาถึงหูโม่ถิง ดังนั้นในขณะที่เขากำลังจะก้าวออกไปจากโบสถ์เพื่อหาร้านรองเท้า เขาจึงต่อสายหาลู่เช่อ
“มาที่เทศกาลหนังที ฉันมีเรื่องบางอย่างให้นายต้องจัดการ”
ทันทีที่เขาได้รับคำสั่งของโม่ถิง เขาไม่รอช้า วางมือจากสิ่งที่กำลังทำอยู่และรีบมาที่งานเทศกาล
พิธีมอบรางวัลสิ้นสุดลงเมื่อเวลาล่วงเลยไปถึงสามทุ่ม จากนั้นยังมีการจัดงานเลี้ยงต่อ
แขกเหรื่อค่อยๆ ทยอยเดินออกไปแต่ถังหนิงยังคงนั่งอยู่ที่เดิมเพราะเธอไม่มีรองเท้า
ตอนนั้นเองที่โม่ถิงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่บริเวณหน้าทางเข้าพร้อมกล่องในมือ จากนั้นจึงคุกเข่าต่อหน้าเธอก่อนหยิบรองเท้าคู่เดิมที่ซ่อมแล้วออกมา
“ประธานโม่รวยออกขนาดนี้ ทำไมเขาไม่ซื้อรองเท้าคู่ใหม่ล่ะ”
“เธอบ้าหรือเปล่า รองเท้าคู่ใหม่จะกัดได้น่ะสิ คู่เดิมใส่สบายกว่าอยู่แล้วล่ะ ใครจะไปรู้ว่าประธานโม่จะใส่ใจขนาดนี้กัน” ศิลปินบางคนออกความเห็นด้วยความชื่นชมขณะที่เดินผ่านไป
“ลุกขึ้นเดินสักหน่อยสิครับ”
ถังหนิงกุมมืออันอบอุ่นของโม่ถิงไว้ก่อนจะลุกขึ้นยืน จากนั้นจึงส่งยิ้มให้ “ไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
“งั้นก็ไปกันเถอะครับ…” โม่ถิงคล้องแขนถังหนิงไว้กับอวัยวะเดียวกันของเรา “ผมจะไปงานเลี้ยงเป็นเพื่อนคุณนะครับ”
อย่างไรเขาเองก็เป็นนักแสดงนำในภาพยนตร์ของถังหนิง ดังนั้นการเข้าร่วมงานเลี้ยงจึงไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่รวมถึงการที่เขาเป็นสามีของเธอ ส่วนเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เดิมทีมันอาจเป็นเรื่องที่น่าขายหน้าของถังหนิง แต่ด้วยความช่วยเหลือของโม่ถิงจึงกลับกลายเป็นเรื่องของเจ้าชายขี่ม้าขาวที่มาช่วยคนรักของเขาจากภัยอันตราย
สามีที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นนั้นช่างใส่ใจเหมือนอย่างเคย
“ทำไมถังหนิงถึงโชคดีขนาดนี้กันล่ะเนี่ย”
“ประธานโม่หล่อจังเลย! คุณพ่อถิงนี่เป็นสามีที่ทุ่มเทสุดๆ เขาสมบูรณ์แบบไปหมดเลย!”
…
แน่นอนในงานเลี้ยงทุกคนมองไปทีโม่ถิงอย่างกับกำลังดูการแสดงอยู่ ทำไมน่ะหรือ
เพราะพวกเขาไม่มั่นใจว่าเขาจะยินเรื่องที่ถังหนิงเป็นชู้กับอันจื่อเฮ่าหรือเปล่าน่ะสิ
ช่างเป็นผู้ชายที่น่าสงสารจริงๆ
ทว่าไม่มีใครกล้าเข้าไปบอกเรื่องนี้โม่ถิง เพราะอย่างไรเสียพวกเขาเองก็ยังอยากอยู่รอดในวงการนี้…
หากแต่เมื่อถังหนิงเห็นสีหน้าลับๆ ล่อๆ ของคนอื่นเธอก็ได้แต่ยิ้มออกมา การที่โม่ถิงมาถึงที่นี่หมายความว่าเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว และคนที่บอกให้เขารู้หนีไม่พ้นหลงเจี่ย
“อย่าโทษที่ฉันเข้าไปยุ่มย่ามเลยนะคะ ฉันแค่รู้สึกว่าเจ้านายควรอยู่ที่นี่เพื่อสยบข่าวลือน่ะค่ะ ยังไงคำพูดของคุณของเทียบกับการแสดงความเชื่อใจของเขาไม่ได้”
ไม่นานลู่เช่อก็มาถึงหลังจากทำตามคำสั่งของโม่ถิง เขาโน้มตัวเอ่ยกระซิบข้างหูโม่ถิง “ท่านประธานครับ ผมตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดหมดแล้ว และก็เจอคนที่เริ่มปล่อยข่าวลือรวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เขาพูดด้วยแล้วครับ”
“หลักฐานล่ะ”
“ได้มาแล้วครับ!” ลู่เช่อเอ่ยพลางมองที่เก็บข้อมูลในมือ
“เก็บเอาไว้ให้ดีแล้วรอคำลั่งจากฉัน”
ถังหนิงไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันอยู่ แต่เธอสงสัยว่าข่าวลือคงไม่ใช่เรื่องธรรมดา อย่างไรเสียคำพูดชวนเข้าใจผิดอย่าง ลูก กับ ความมั่นคง ก็ไม่ใช่คำที่คนธรรมดาจะเอาไปด่วนสรุปได้
“ประธานโม่คะ…”
“สวัสดีครับ ประธานโม่…”
เพราะการปรากฏตัวของประธานโม่ ทุกคนจึงต้องหยุดเรื่องซุบซิบนินทาเอาไว้เป็นการชั่วคราว อีกทั้งคนที่โม่ถิงกับถังหนิงคุยด้วยก็ไม่ใช่คนที่ศิลปินตัวเล็กๆ จะเทียบได้ บรรยากาศในงานเลี้ยงจึงน่าเบื่อไม่น้อย
เดิมทีถังหนิงคิดว่าเหตุการณ์ทั้งหมดคงจบลงแล้ว ทว่าอยู่ๆ โม่ถิงก็พาเธอไปหาหันเจี๋ย
“ประธานหันครับ…”
“โอ้พระเจ้า ประธานโม่” แน่นอนว่าหันเจี๋ยต้องแปลกใจกับการเข้ามาหาของประธานโม่
“ไม่ทราบว่าน้องชายของคุณไปไหนซะล่ะครับ เขายังติดค้างคำขอโทษกับภรรยาผมอยู่ไม่ใช่เหรอครับ” โม่ถิงเอ่ยถามเขา ทันทีที่โม่ถิงเอ่ยคำนี้ ทุกคนต่างชะงักงัน แต่คงไม่มีใครที่จะอึ้งเท่าหันเจี๋ย
“แค่เพราะว่าผมไม่ได้พูดอะไรไม่ได้หมายความว่าผมจะลืมหรอกนะครับ น้องชายของคุณเป็นคนที่ออกปากสัญญาเอง…ทำไมเขาถึงไม่รับผิดชอบคำพูดล่ะครับ”
หันเจี๋ยมองไปรอบๆ อย่างอึดอัดใจคล้ายไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไร…
“ประธานโม่ครับ…คุณไม่คิดว่ามันไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้โจ่งแจ้งอย่างนี้บ้างเหรอครับ”
โม่ถิงส่งยิ้มบางก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “ประธานหันนี่เลือกปฏิบัติจังเลยนะครับ”
“ระหว่างการประชุมวันนี้ ผู้ช่วยของภรรยาผมโทรมาหา ภรรยาของผมแค่มาร่วมงานเทศกาลหนังวันนี้ แต่ก็มีข่าวลือว่าเธอมีความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสมกับอันจื่อเฮ่า ผมมั่นใจว่านั่นคือสิ่งที่ทุกคนกำลังแอบพูดถึงกันอยู่ใช่ไหมครับ
“คนที่สงสัยเรื่องนี้คงต้องไม่มีหัวคิดแน่ๆ คุณคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าผมหรือยังไงครับ ที่รู้ว่าภรรยาของผมน่าจะมีชู้ทั้งๆ ที่ผมกลับไม่รู้ ถ้าเป็นอย่างนั้นทำไมผมถึงได้มาเป็นผู้บริหารไห่รุ่ยไม่ใช่คุณล่ะครับ
“พวกคุณแค่เลือกทับถมภรรยาผมเพราะว่าต่อว่าเธอแล้วสนุกเหรอครับ”
“ประธานโม่ครับ ต่อให้จะมีข่าวลือเกี่ยวกับภรรยาคุณ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะครับ” หันเจี๋ยถามพลางอดกลั้นอารมณ์โกรธของตัวเองเอาไว้
“คนอื่นอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ไม่มีทางที่คุณจะพ้นผิดไปได้หรอกครับ” โม่ถิงเอ่ยขณะที่ส่งสัญญาณให้ลู่เช่อ
หลังจากนั้นลู่เช่อจึงก้าวขึ้นมาพร้อมพนักงานรักษาความปลอดภัยที่เริ่มเผยแพร่ข่าวลือ
“ผมไม่ผิดนะครับ…ผมไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง แค่อยากรู้อยากเห็นเฉยๆ ผมไม่คิดว่าข่าวลือจะลุกลามไปใหญ่โตขนาดนี้” เขาเอ่ยแก้ตัวพร้อมมือที่โบกพัลวันอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว “คนที่บอกเรื่องนี้กับผมเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่สวมหมวกครับ เขาบอกว่าเห็นด้วยตาตัวเองน่ะครับ”
“ผู้ชายคนไหน” โม่ถิงถาม
“ผู้ชายที่สวมหมวกสีขาวที่มีตัวอักษรจีปักอยู่ด้านหน้าครับ”
ทันทีที่หันเจี๋ยได้ยินเช่นนี้สีหน้าเขาก็พลันซีดเผือด…มันเป็นหมวกที่หันซิวเช่อใส่ออกมาจากบ้านวันนี้
ไอ้โง่เอ๊ย!