เมื่อคุณพ่อหันยกประเด็นนี้ขึ้นมา สื่อเริ่มถามคำถามทันที “ประธานหันคะ ในระหว่างที่พูดอยู่นี้ คิดบ้างไหมคะว่าคุณกับเลขาเองก็ถูกจับได้ว่าคบชู้กันเหมือนกัน”
“หลักฐานนั่นไม่ใช่ของจริงครับ! มีใครบางคนทำขึ้นมา! ทุกคนรู้ดีว่าผมเป็นคนรักครอบครัว ไม่อยากจะเชื่อว่ายี่สิบปีให้หลัง ผู้หญิงคนนั้นจะสร้างหลักฐานขึ้นมาใส่ร้ายผม ผมสาบานได้ว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ผมไม่มีอะไรต้องปิดบังทั้งนั้น!
“เลขาของผมกับผมคบหากันหลังจากที่หย่าเรียบร้อยแล้วครับ…
“ลูกชายทั้งสองคนของผมเป็นพยานได้”
คุณพ่อหันมั่นอกมั่นใจ เขาแผ่รังสีไม่พอใจเกินกว่าที่ใครจะต้านทานได้ ยากที่นักข่าวถามต่อไป พวกเขาทำได้แต่กลอกตามอง เห็นได้ชัดว่าตระกูลหันไม่ได้มาที่นี่เพื่อชี้แจงแต่อย่างใด แต่กลับยืนกรานกับทุกคนเสียงแข็งว่าพวกเขาไม่ผิด และใครที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามพวกเขาเป็นพวกขยะ
ดังนั้นจึงยากที่จะคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตามมา
ลูกชายทั้งสองคนกำลังจะก้าวออกมาต่อต้านแม่ของพวกเขา แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็คงจะจบลง
หากแต่นี่มันไม่ใช่วิธีการแก้ข่าวสมัยยี่สิบปีก่อนหรอกเหรอ วิธีอย่างนี้มันเชยไปเสียแล้ว คุณพ่อหันคิดว่าตัวเองกำลังจัดประชุมกรรมการบริหารอยู่หรืออย่างไร
“หลักฐานของซูอวี๋มันพิสูจน์อะไรไม่ได้เลย พวกคุณควรจะเชื่อคำพูดของลูกชายผมนะครับ ยังไงผู้หญิงคนนั้นก็คลอดพวกเขาออกมา พวกเขาไม่มีเหตุผลอะไรจะใส่ร้ายแม่ตัวเองหรอกครับ ใช่ไหมล่ะ”
คุณพ่อหันทำอย่างที่นักข่าวคิดไว้ ก่อนหันไปมองหันเจี๋ย “หันเจี๋ย ออกมาบอกความจริงกับทุกคนสิ!”
หันเจี๋ยก้าวออกมาด้านหน้าเวที
ความจริงแล้วหันเจี๋ยค่อนข้างอึ้งที่คุณพ่อหันใช้วิธีตรงๆ อย่างนี้
เขายืนยันว่าตัวเองไม่ผิดและคนอื่นกำลังเล่นไม่ซื่อ วิธีหลอกตัวเองเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเขานั้นจะตกต่ำไปได้เพียงไหน แต่ถ้าหากวิธีการตื้นๆ อย่างนี้ได้ผลขึ้นมาจริงๆ ล่ะ
“เรื่องก็ผ่านไปตั้งยี่สิบปีแล้วนับตั้งแต่ทึ่ทุกอย่างเกิดขึ้น ผมคิดว่าการกลับไปพูดถึงเรื่องเก่าๆ อย่างนี้มีแต่จะทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเจ็บปวดเป็นครั้งที่สองเปล่าๆ จริงๆ วันนี้แล้วผมไม่อยากนั่งอยู่ที่นี่เลย ยังไงคนที่ผมกำลังโจมตีอยู่ก็เป็นแม่ที่คลอดและเลี้ยงดูผมมา แต่คนเราก็มีขีดจำกัดของตัวเอง แค่เพราะว่าเธอเป็นแม่ของผม ผมปล่อยให้เธอทำร้ายคนบริสุทธิ์ไม่ได้ครับ ผมมีเรื่องจะพูดแค่นี้ ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจครับ”
หันเจี๋ยเคยถูกตบหน้ามาก่อน เขาจึงพูดกว้างๆ โดยไม่มีประเด็นเฉพาะเจาะจงใดๆ
คุณพ่อหันมองหน้าลูกชาย เขาหวังให้หันเจี๋ยเล่ารายละเอียดสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อก่อน แต่ผลกลับออกมาเป็นอย่างไรล่ะ หันเจี๋ยเลี่ยงไม่พูดเรื่องที่มีประโยชน์
คุณพ่อหันทำท่าทางให้หันเจี๋ยก้าวขึ้นไปพูดเสริมคำตอบของตัวเองอีกครั้ง แต่หันเจี๋ยแสร้งมองไม่เห็นเขาแทน
ในขณะเดียวกันหันซิวเช่อก้มหน้า ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ด้วยเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น คุณพ่อหันจึงไม่ได้บอกให้เขาพูดอะไร แต่กลับเลื่อนสายตาไปมองภรรยาคนปัจจุบันของเขา
เธอเข้าใจสายตาของเขาทันที
เธอบีบน้ำตาออกมาเล็กน้อยก่อนแกล้งทำทีรู้สึกผิด ขณะที่ก้าวมาด้านหน้าและโค้งขอโทษ “ฉันต้องขอโทษที่เรื่องของครอบครัวเรารบกวนสายตาของทุกคนด้วยนะคะ เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ยี่สิบปีก่อน มันควรจะจบและถูกลืมไปได้แล้ว ใครจะคิดว่าจะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีก ฉันเองก็ไม่แน่ใจจุดประสงค์ของคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้เหมือนกันคะ
“พี่ซูคะ ฉันไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไร ถ้าคุณคิดว่าฉันแย่งสามีคุณมาแล้วกำลังพยายามแก้แค้น อย่างนั้นก็ตามสบายเลยค่ะ ฉันจะยอมรับมันเอง คุณอยากจะให้ชดใช้ด้วยอะไรล่ะคะ บอกฉันมาสิ ไม่ต้องขุดเรื่องเก่ามาให้ทุกคนรู้ก็ได้ค่ะ คุณทำให้ลูกชายสองคนของคุณไม่มีหน้าไปสู้ใครในโลกแล้วนะคะ
“ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ควรแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ค่ะ แต่ฉันทนเห็นเขาทนทรมานไม่ได้ นอกจากการปลอบใจและแต่งงานกับเขา ก็ไม่มีอะไรที่ฉันทำให้ได้เลย
“ถ้าคุณอยากจะเกลียดใครสักคนงั้นก็มาลงที่ฉันเถอะค่ะ ฉันไม่อยากเห็นคุณเลือกเดินทางผิดอีกต่อไปแล้ว”
คนในครอบครัวทั้งสี่แค่ผลัดกันออกมาพูด แต่พวกเขาไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของตัวเองแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าการตอบโต้ของพวกเขานั้นมีปัญหา
สิ่งที่นักข่าวต้องการคือการเปิดเผยและหลักฐานที่แน่นหนา พวกเขาไม่ได้มางานแถลงข่าวเพื่อดูคนตระกูลหันร้องไห้คร่ำครวญว่าซูอวี๋ไม่น่าขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาเสียหน่อย
“ซิวเช่อเธอมีอะไรจะพูดหรือเปล่า” เลขาส่งไม้ต่อให้หันซิวเช่อ หลังชะงักไปชั่วขณะเขาก็พยักหน้ารับ
“มีสิครับ!”
หันซิวเช่อเดินออกมาหน้าเวที
นักข่าวออกอาการเบื่อหน่ายจนแทบจะหลับ พวกเขาเป็นคนในวงการบันเทิงอย่างถังหนิงไปทำไมกัน ข่าวของถังหนิงมักจะน่าตื่นเต้นเร้าใจอยู่เสมอ ผิดกับการนั่งฟังคนตระกูลหันที่เหมือนนั่งประชุมงานอยู่
หลังจากหันซิวเช่อพูดจบ ทุกอย่างก็คงจะจบลง
สื่อคิดว่าคุณพ่อหันคงประกาศว่าเขาจะไม่ออกมาตอบโต้อีกแล้ว และเหตุการณ์ทั้งหมดก็จะถูกลืมเลือนไป
“ก่อนที่ผมจะพูดอะไร ผมอยากจะขอชี้แจงว่าผมไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุตอนที่เกิดเรื่องทุกอย่างขึ้น และไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่!”
บ้าเอ๊ย! หันซิวเช่อแค่พยายามแยกตัวเองออกมาจากเรื่องนี้หรืออย่างไร
“ตอนที่ผมได้ยินว่าแม่ถูกจับได้คาเตียงกับผู้ชายสองคน ผมนึกเกลียดเธอมานานหลายปี เกลียดเธอที่ทำให้ผมอับอายต่อหน้าคนมากมาย
“เกลียดที่เธอทำลายครอบครัวของเรา เกลียดเธออย่างนั้นมากว่ายี่สิบปี
“ตอนนี้ผ่านมายี่สิบปีแล้ว อยู่ๆ ผมก็มีหนึ่งคำถามที่อยากจะถามพ่อตัวเอง”
คุณพ่อหันมองหน้าลูกชายตัวเองอย่างงุนงงคล้ายสงสัยว่าจะป่วนขนาดนี้ไปทำไม หากแต่เขาก็ยังทำทีเป็นคนดีขณะที่เอ่ย “ถามมาได้เลย!”
“ผมอยากจะถามพ่อว่าไม่เหนื่อยกับการหลอกตัวเองมาหลายปีบ้างเหรอครับ”
ทันทีที่เขาว่าดังนั้น ทุกคนต่างตกตะลึง โดยเฉพาะคุณพ่อหัน
เขาถามอย่างนั้นหมายความว่าอะไรกัน
“ซิวเช่อ!”
“ผมขอโทษด้วยนะครับ พ่อจัดงานแถลงข่าวนี้ขึ้นเพื่อปกปิดเรื่องนี้ แต่ผมมาร่วมงานนี้เพราะอยากจะรู้ความจริงต่างหาก!” หันซิวเช่อสวนกลับ เขาหันไปเผชิญหน้ากับนักข่าวโดยไม่ชายตามองพ่อตัวเองสักครั้ง “ในเมื่อมีนักข่าวอยู่เยอะขนาดนี้ ทำไมเราไม่สร้างเรื่องกับสักหน่อยล่ะครับ ผมเชิญคุณซูมาในวันนี้แล้ว ทั้งสองคนทั้งสงสัยและเกลียดกันมากขนาดนี้ ทำไมไม่นั่งจับเข่าคุยกันดีๆ ล่ะครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ นักข่าวที่ง่วงงุนตื่นเต็มตาในทันที…
หันซิวเช่อกำลังจะทำให้พวกเขาประหลาดใจหรือ
ด้วยเหตุนี้ทั้งงานจึงระอุไปด้วยความตื่นเต้น เป็นจังหวะเดียวกับที่หันเจี๋ยทุบเข้าที่สะโพกน้องชาย “นายจะทำอะไร เรื่องมันกำลังจะจบอยู่แล้วเชียว!”
“จบเหรอ เราไม่ได้เพิ่งจะเริ่มกันเหรอครับ” หันซิวเช่อหัวเราะ