“มีอะไรเหรอคะ” ถังหนิงสังเกตว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบเดินมาอยู่ข้างโม่ถิง ถึงได้เห็นว่าเขาอุ้มเด็กทารกอยู่ในอ้อมแขน “ลูกของใครคะเนี่ย”
โม่ถิงส่ายหน้าก่อนมองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นสิ่งน่าสงสัยเขาจึงคิดว่าเด็กคนนี้น่าจะถูกทิ้ง
“พาไปที่โรงพยาบาลก่อนเถอะ ผมจะบอกให้ลู่เช่อตรวจดูกล้องวงจรปิดในโรงหนังและก็สถานที่ใกล้เคียง บางทีเราอาจจะเจอตัวพ่อแม่เด็กก็ได้”
“โอเคค่ะ”
ทั้งคู่รีบส่งเด็กไปที่โรงพยาบาลใกล้ๆ หลังจากหมอตรวจดูอาการเสร็จก็ยืนยันว่าไม่ได้มีอาการรุนแรงถึงชีวิต อย่างไรก็ตามกลับมีอีกปัญหาหนึ่งโผล่ขึ้นมา
“คุณครับ เด็กคนนี้ไม่ได้มีความผิดปกติอะไร แต่มีบาดแผลบนตัวเยอะมากเลยครับ ดูเหมือนจะโดนทำร้ายร่างกายบ่อยๆ คุณมั่นใจว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของคุณแน่นะครับ”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ โม่ถิงก็ถอดผ้าพันคอออกเพื่อเปิดเผยตัวตน “ผมเจอเด็กคนนี้อยู่ข้างๆ รถของผมครับ”
หลังจากหมอได้เห็นหน้าโม่ถิง เขาก็ไม่ได้ถามไปมากกว่านี้ เพราะทุกคนก็รู้ดีว่าโม่ถิงมีลูกชายสองคนและลูกสาวอีกหนึ่งคน หมายความว่ายังคงต้องตามหาที่มาที่ไปของเด็กคนนี้
แน่นอนว่าหมอรู้ว่าหากคนที่เขาพูดอยู่ด้วยคือโม่ถิง อย่างนั้นผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังคงต้องเป็นถังหนิง
ด้วยท่าทีน่ายำเกรงของโม่ถิง หมอจึงไม่ได้ทำตัวแตกตื่นกับการมาถึงของพวกเขา ทำเพียงตรวจดูว่าเด็กไม่เป็นอะไรแล้วก่อนที่จะเอ่ยกับทั้งคู่ “ในเมื่อนี่ไม่ใช่ลูกของคุณ ผมว่าคุณโทรหาตำรวจแล้วปล่อยให้ตำรวจจัดการเรื่องนี้เถอะครับ”
ถังหนิงมองหน้าเด็กหญิงตัวน้อยที่นอนยู่บนเตียงโรงพยาบาล เธออายุมากกว่าเหยียนเอ๋อร์นิดเดียวเท่านั้น คนเป็นแม่ต้องใจดำขนาดไหนถึงได้ทิ้งลูกของตัวเองได้ลงคอ
ในขณะเดียวกันที่โรงภาพยนตร์ ลู่เช่อได้ภาพจากกล้องวงจรปิดในลานจอดรถมา
“ท่าประธานครับ จากภาพวงจรปิดที่ได้มา คนที่มาทิ้งเด็กเอาไว้ใกล้รถของคุณเป็นนางแบบคนหนึ่งชื่อว่าเหลียงหย่งอวี๋ครับ เธอเป็นนางแบบที่ช่วงนี้มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับนักธุรกิจมีฐานะคนหนึ่ง”
“ติดต่อผู้จัดการของเธอและบอกให้เธอมารับลูกของเธอไปซะ” โม่ถิงสั่ง
“ครับ ท่านประธาน!”
หลังจากโม่ถิงติดต่อแม่ของเด็กได้ หมอไม่ได้แนะนำอะไรไปมากกว่านี้ หากแต่โม่ถิงไม่ได้ส่งตัวเด็กไปให้ตำรวจ หากเขาทำเช่นนั้นพรุ่งนี้คงมีข่าวใหญ่บนหน้าหนังสือพิมพ์แน่
ทั้งคู่จึงพาเด็กกลับไปที่ไฮแอทรีเจนซีเป็นการชั่วคราว
ราวๆ หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ลู่เช่อก็มาถึงด้านนอกไฮแอทรีเจนซีพร้อมกับเหลียงหย่งอวี๋ ครั้นแล้วก็อุ้มเด็กออกมาให้เธอ
“คุณเองก็มีหน้ามีตาในวงการ คงไม่ลำบากที่จะเลี้ยงเด็กคนนี้หรอกใช่ไหมครับ”
เหลียงหย่งอวี๋อายุเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้น หญิงสาวที่ดูใส่ซื่อเข้ามาหาลูกสาวของเธออย่างรู้สึกผิดก่อนแนบแก้มกับลูก “ผู้ช่วยลู่คะ คุณไม่รู้หรอกค่ะ แต่ฉันมีลูกสาวกับผู้ชายคนนั้นสองคนแล้ว
“อย่างที่คุณรู้แหละค่ะ นักธุรกิจรวยๆ ก็หวังว่าจะมีลูกชายมาสืบทอดธุรกิจต่อ เพราะลูกสาวสองคนของฉัน ฉันเลยไม่ได้รับการยอมรับหรือมีสถานะเป็นตัวเป็นตนสักนิด แต่ไม่ใช่แค่นั้นหรอกนะคะ ไอ้เวรนั่นยังทำร้ายลูกสาวฉันอีกด้วย
“ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากพาลูกสาวหนีออกมาในระหว่างที่เขาไปดูงานที่ต่างประเทศ
“ลูกสาวคนโตของฉันก็เสียไปแล้ว ฉันไม่อยากให้ลูกสาวคนเล็กของฉนต้องมาลงเอยด้วยชะตากรรมเดียวกันค่ะ…”
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางแบบสาวก็คุกเข่าบนพื้นก่อนเริ่มเอ่ยขอร้องลู่เช่อ “ผู้ช่วยลู่คะ คุณช่วยรับเลี้ยงลูกสาวของฉันได้ไหมคะ”
“เหลียงหย่งอวี๋ คุณต้องเข้าใจนะครับว่าผมเชื่อคุณโดยฟังความข้างเดียวไม่ได้”
ถึงอย่างไรก็มีนักแสดงมากมายในวงการนี้
“ได้โปรดเถอะค่ะ ฉันขอร้องคุณ รวมถึงถังหนิงกับประธานโม่ด้วยนะคะ! วันนี้ฉันเห็นรถของประธานโม่แล้วจำได้ ถึงได้วางลูกสาวตัวเองไว้ที่นั่น ฉันส่งเสียค่าเลี้ยงดูเองก็ได้ค่ะ แค่ให้ลูกสาวฉันได้มีชีวิตอย่างปลอดภัยก็พอ”
เธอปล่อยโฮออกมาอย่างน่าสงสาร หากแต่ลู่เช่อรู้ดีว่าในวงการนี้ ยิ่งดูดีมากเท่าไรก็ยิ่งร้ายกาจเท่านั้น แม้ว่าก่อนหน้านี้หลงเจี่ยจะต้องลำบากกับเพศของลูกแต่เขาก็ไม่ถูกหลอกได้ง่ายๆ
จากนั้นลู่เช่อจึงเล่าเรื่องที่เหลียงหย่งอวี๋บอกกับคู่รักโม่
“เรื่องก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ท่านประธาน คุณผู้หญิง”
“หมายความว่าเธอไปยุ่งเกี่ยวกับนักธุรกิจรวยๆ แต่เขาไม่ยอมรับเธอเป็นคนในครอบครัวจนกว่าจะมีลูกชายให้งั้นเหรอ” ถังหนิงส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าผู้หญิงทุกคนจะต้องการใครสักคนที่สามารถเลี้ยงเธอได้ตลอดชีวิตสินะ ก็เลยยอมเสียความสาวและเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตัวเอง”
“เรื่องที่เหลียงหย่งอวี๋เล่ามามีช่องโหว่อยู่ กลับไปปฏิเสธเธอซะ” โม่ถิงออกปากสั่ง “นี่เป็นกฎของเกมที่เธอต้องยอมรับ!”
“รับทราบครับ ท่านประธาน”
หลังจากรับคำสั่ง ลู่เช่อออกจากไฮแอทรีเจนซีไป ตอนนั้นเองที่ถังหนิงมีท่าทีอ่านยาก สัญชาตญาณของเธอบอกว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา
“แล้วถ้าเธอพูดความจริงล่ะคะ” อยู่ๆ ถังหนิงก็ถามขึ้น “ถ้าเด็กคนนั้นถูกทำร้ายจนตายล่ะคะ ถ้าเหลียงหย่งอวี๋ทิ้งเธอไว้ข้างนอกในอากาศหนาวๆ อีกล่ะคะ เด็กคนหนึ่งควรต้องมาทุกข์ทรมานจากความผิดพลาดของผู้ใหญ่เหรอ”
หลังพูดจบ ถังหนิงหันไปมองลูกๆ ทั้งสามคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียง
“ทุกคนมีโชคชะตาของตัวเองและราคาที่พวกเขาต้องจ่ายครับ ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนเถอะครับ” โม่ถิงปลอบ
ถังหนิงไม่ได้ใจดีเกินไป เธอแค่รู้สึกอย่างที่คนเป็นแม่ควรรู้สึกเท่านั้น แต่แน่นอนว่าหากทุกคนมาหาเธอเมื่อมีปัญหา เธอคงไม่สามารถเห็นใจทุกคนได้ต่อให้จะมีหัวใจสิบดวงก็ตาม
…
ไม่นานลู่เช่อก็ได้ถ่ายทอดคำพูดของคู่รักโม่กับเหลียงหย่งอวี๋ “ในเมื่อคุณเป็นคนคลอดเด็กคนนี้ออกมา คุณก็ต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูเธอ ไม่ว่าคุณจะเจอปัญหาอะไร ก็ถือเป็นการปัดความรับผิดชอบถ้าไปทิ้งเธอไว้มั่วซั่วข้างรถของคนอื่นนะครับ ผมต้องขอโทษด้วย แต่คุณผู้หญิงกับท่านประธานไม่สะดวกจะเข้ามายุ่งกับเรื่องของคนอื่นครับ ผมว่าคุณกลับบ้านไปเถอะครับ”
เหลียงหย่งอวี๋ได้ยินดังนั้น ก็มองลู่เช่ออย่างสิ้นหวัง
เธอคุกเข่าต่อหน้าลู่เช่ออีกครั้ง “ฉันรู้ว่าตัวเองยังอายุน้อยและอ่อนต่อโลกเลยทำผิดพลาดครั้งใหญ่ แต่ว่าเด็กคนนี้ไม่ผิดนะคะ ถ้าไอ้เลวนั่นหาเธอเจอ เธอต้องตายแน่เลยค่ะ ขอร้องล่ะค่ะ!”
“ทำไมคุณไม่ไปขอให้คนอื่นช่วยแทนล่ะ”
“ไม่มีใครยอมช่วยฉันเลยค่ะ…” เธอร้องไห้ออกมา “ขอร้องคุณล่ะค่ะ!”
“คุณจะไปคาดหวังให้คนอื่นเลี้ยงลูกที่คุณคลอดมาเองได้ยังไงกันล่ะครับ” ลู่เช่อถาม “นี่มันคนทั้งคนนะ ไม่ใช่หมาแมว เราไม่ได้พูดถึงเรื่องง่ายๆ อย่างการไปซื้อผักจากข้างถนน แต่พูดถึงคนคนหนึ่งที่มีลมหายใจนะครับ
“คุณจะหวังให้คนอื่นตกลงช่วยได้ยังไงล่ะ
“คุณเหลียงครับ ผมหวังว่าคุณจะไม่บังคับให้คนอื่นทำสิ่งที่ไม่เต็มใจนะครับ”
“ช่วยคิดอีกครั้งเถอะนะคะ ขอร้องล่ะค่ะ…”
ลู่เช่อส่ายหน้า “คุณจะทิ้งทุกอย่างแล้วหนีไปกับลูกสาวของคุณก็ได้ แต่คุณกลับโลภเกินจะปล่อยวางสิ่งที่คุณมี แล้วหวังให้คนอื่นมาเลี้ยงลูกสาวให้คุณอีก ไม่คิดว่าขอร้องอะไรงี่เง่าไปหน่อยเหรอครับ”
“ฉัน…”
“คุณเหลียงครับ กลับบ้านไปเถอะครับ”
แม้ว่าเขาจะรู้สึกผิดกับเด็ก แต่ลู่เช่อก็ปฏิเสธเธออย่างหนักแน่นเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะช่วยได้เพียงเพราะเขาหวังดี
เมื่อเห็นว่าคำขอร้องของตัวเองถูกปฏิเสธ เหลียงหย่งอวี๋ไม่มีทางเลือกนอกจากอุ้มลูกสาวของตัวเองจากไปด้วยท่าทีหดหู่
ทว่าเป็นอย่างที่ถังหนิงคิด สุดท้ายเธอได้ทิ้งลูกเอาไว้บางที่และพยายามหาคนอื่นมาอุ้มเธอไป…