“น่าเสียดายที่ไอ้ตัวแสบป่วยอยู่ คงมีลูกไม่ได้ไปสักพักเลย” คุณนายเป่ยเอ่ยด้วยความเสียดาย
ถังหนิงกับโม่ถิงสบตากันแต่ไม่ได้ปริปากออกมาสักคำ
หันซินเอ๋อร์ไม่ได้บอกถังหนิงถึงสถานการณ์ของเธอจนกระทั่งถึงช่วงงานเลี้ยงรับรอง หลังจากถังหนิงได้ยินเรื่องนี้ ก็รู้ว่าตัวเองไม่ที่สิทธิ์จะคัดค้านอะไรได้ แต่ก็ยังไม่ชอบวิธีการเสี่ยงๆ ของเป่ยเฉินตงอยู่ดี
ผู้หญิงมักนึกถึงความมั่นคงยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของการแต่งงานด้วยแล้ว ซินเอ๋อร์เสียเปรียบมาตั้งแต่แรก หากแต่เป่ยเฉินตงยังสร้างอุปสรรคมาขัดขวางเธอกับพ่อแม่ของเขาอีก แม้จะดูเหมือนว่าพวกเขาคงไม่รู้ความจริงในเร็วๆ นี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ต้องรู้เข้าอยู่ดี พอถึงวันนั้นแล้วพวกเขาจะทำอย่างไร
“ซินเอ๋อร์ ในเมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ฉันก็พูดอะไรไม่ได้หรอก แต่เธอเองก็ตามใจเป่ยเฉินตงเกินไปจริงๆ นะ พอเขาอยากได้อะไรก็มักจะลืมนึกถึงสิ่งที่จะตามมาบ่อยๆ แต่เธอจะปล่อยตามน้ำไปไม่ได้ ต้องมองการณ์ไกลให้มากกว่านี้
“วันนี้เป็นวันสำคัญของเธอฉันเลยไม่อยากพูดอะไรมาก แต่ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะโกหกพ่อแม่ตัวเองอย่างนี้เลย…”
“พี่หนิง ฉันเข้าใจที่พี่จะบอกนะคะ” หันซินเอ๋อร์ระบายยิ้ม “ในเมื่อฉันยอมให้เขาทำอย่างนี้ ฉันก็เตรียมใจในตอนที่เราถูกเปิดเผยไว้แล้วล่ะค่ะ
“แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเหมือนพี่กับประธานโม่นะคะ เราไม่ได้วางแผนรับมือทุกเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ฉันเข้าใจเขานะคะ แม้ว่าเขาจะดูอารมณ์ร้อนเพราะนิสัยแย่ๆ ของเขาแล้วก็ถูกมองเป็นคุณชายเอาแต่ใจ แต่ฉันก็รู้ทั้งข้อดีและข้อเสียของเขาดีค่ะ ฉันเลยพร้อมเผชิญหน้ากับทุกอย่างที่กำลังจะมาถึง”
ถังหนิงพยักหน้าเป็นคำตอบ “ฉันแค่เป็นห่วงว่าเธอจะถูกรังแกเท่านั้นแหละ…”
“มีเขาอยู่ทั้งคน ไม่มีใครรังแกฉันได้หรอกค่ะ ไม่ต้องห่วงนะคะ”
ถังหนิงไม่เคยเห็นเป่ยเฉินตงปกป้องหันซินเอ๋อร์กับตาตัวเองจริงๆ
เธอจึงปล่อยเรื่องนี้ไป อย่างไรเสียทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตในแบบของตัวเองและมีสิทธิ์ที่จะเลือกเส้นทางของตัวเอง แม้เธอจะเป็นห่วงหันซินเอ๋อร์แต่ก็ไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินอีกฝ่าย
“แค่เธอมีความสุขก็พอแล้วล่ะ แต่ถ้าวันหนึ่งเธอมีเรื่องขึ้นมาก็บอกฉันได้เสมอนะ ฉันจะเป็นครอบครัวให้เอง”
“เข้าใจแล้วค่ะ พี่หนิง” หันซินเอ๋อร์อ้าแขนโอบกอดถังหนิงแน่น แม้ว่าการแต่งงานกับเป่ยเฉินตงจะไม่มั่นคงเท่ากับโม่ถิง แต่เธอก็มีความสุขที่ได้อยู่กับคนที่เธอรัก ต่อให้มันจะต้องเสี่ยงและทำเรื่องผิดๆ ลงไปก็ตาม
ไม่นานงานแต่งงานราวกับเทพนิยายก็จบลง
หากแต่ยังคงมีการแสดงดอกไม้ไฟในช่วงกลางคืนอยู่
เป่ยเฉินตงเตรียมมาให้หันซินเอ๋อร์เป็นพิเศษ
แขกเหรื่อทั้งหมดบนเกาะจึงได้ดื่มด่ำกับทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่งดงาม รวมถึงถังหนิงกับโม่ถิงด้วย
“ต้องขอบคุณเป่ยเฉินตงนะคะ คืนนี้ฉันเลยได้ชมดอกไม้ไฟ” ถังหนิงยิ้มขณะที่โน้มกายเข้าสู่อ้อมแขนของโม่ถิง ถึงเธอจะโชคดีที่ได้แต่งงานกับเขา แต่เขาก็ไม่ใช้คนประเภทที่จะมาทำเรื่องหวานๆ นัก
“คุณคิดว่าผมโรแมนติกไม่พอเหรอครับ” โม่ถิงถาม
ถังหนิงส่ายหน้า “ฉันดีใจที่คุณไม่ทำเรื่องเอิกเกริกอย่างนี้ค่ะ ของอย่างนี้เหมาะกับคนประหลาดอย่างเป่ยเฉินตงเท่านั้นแหละ เขาเป็นคนเดียวที่มีเวลาว่างมากขนาดนี้”
โม่ถิงยิ้มพลันรู้สึกรำคาญลูกสาวในอ้อมแขนตัวเอง “ถ้าเหยียนเอ๋อร์ไม่อยู่ที่นี่มันจะดีแค่ไหนกัน…”
พวกเขาอยู่บนเกาะส่วนตัวซึ่งไร้ซึ่งสิ่งใดนอกจากดวงดาว หากลูกสาวพวกเขาไม่ได้อยู่ด้วย เขาคงได้ทำอะไรตามแต่ใจปรารถนาไปแล้ว
“เลิกคิดไปเรื่อยได้แล้วค่ะ คุณพ่อถิง ถึงเวลาป้อนข้าวลูกสาวคุณแล้วค่ะ”
…
ในขณะที่ทุกคนดื่มด่ำไปกับทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่งดงาม คุณนายเป่ยยุ่งอยู่กับการเตรียมห้องหอให้กับคู่แต่งงานข้าวใหม่ปลามัน เธอเจอหนังสือที่อยู่ใต้หมอนของเป่ยเฉินตง ทั้งหมดล้วนเกี่ยวกับโรคซึมเศร้า
เมื่อเธอเห็นหนังสือเหล่านั้นก็นึกปวดใจ รู้สึกว่าที่ลูกชายต้องมาป่วยเป็นเพราะความละเลยของเธอ แต่เมื่อเธออ่านรายละเอียดในหนังสือก็พบว่าอาการซึมเศร้าต้องรักษาโดยการทานยา ทว่าเธอไม่เห็นยาสักเม็ดในบ้านของเป่ยเฉินตง
ต่อให้ค้นหาจนทั่วบ้านเธอก็ยังไม่เจอแต่อย่างใด ซ้ำยังไม่พบใบรับรองแพทย์จากโรงพยาบาลที่ยืนยันอาการป่วยของเขาด้วย
หรือบางทีเขาอาจจะแค่เข้ารับการบำบัดธรรมดา
ด้วยคิดได้เช่นนั้น คุณนายเป่ยวางหนังสือลงก่อนออกจากห้องไป
น่าเสียดายที่สุดท้ายความคลุมเครือนี้จะถูกเปิดเผยออกมาอย่างไม่คาดฝัน…
…
หลังจากเป่ยเฉินตงและหันซินเอ๋อร์เข้าประตูวิวาห์กันไป ผู้ชายดีๆ ในวงการก็หายไปอีกหนึ่งคน แน่นอนคุณหนูในสังคมชั้นสูงทุกคนต่างรู้ว่าเป่ยเฉินตงไม่ใช้คนที่จะกำราบได้ง่าย พวกเธอจึงไม่ได้หวังในตัวเขาแม้แต่น้อย เพียงแค่นึกสงสัยว่าผู้หญิงแบบไหนที่จัดการคนประหลาดอย่างเป่ยเฉินตงได้อยู่หมัด
เพราะติดนัดตรวจครรภ์ หลงเจี่ยเสียใจเป็นอย่างมากที่ไม่สามารถไปร่วมงานแต่งงานของหันซินเอ๋อร์กับถังหนิงได้
แต่เมื่อเธอรู้ว่าเป่ยเฉินตงโกหกพ่อแม่เพื่อให้ได้รับอนุญาตให้แต่งงานกับหันซินเอ๋อร์ หลงเจี่ยกลับไม่เห็นด้วยกับความเห็นของถังหนิง
“ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนซื่อสัตย์และรับไม่ได้การหลอกลวงทุกรูปแบบนะคะ แต่ว่าคุณจะบอกทุกอย่างกับครอบครัวได้จริงๆ เหรอคะ
“บางครั้งการโกหกสีขาวก็ใช้ได้ผลนะคะ มันเป็นวิธีที่ทำให้เรื่องผ่านไปได้ด้วยดี”
“มีคุณหญิงคุณนายที่งานแต่งงานหลายคนที่ซุบซิบนินทาและตัดสินซินเอ๋อร์ ฉันแค่ไม่อยากให้เธอถูกตระกูลเป่ยรังแกหลังจากรู้ความจริงต่างหากล่ะ ถ้ามีคนโทษว่าเธอเป็นคนโกหก เป่ยเฉินตงก็ควรจะรับผิดชอบเอง”
ที่ถังหนิงคาดการณ์ก็ถูกเพราะตระกูลเป่ยไม่ใช่คนโง่
“มันก็อาจจะจริงนะคะ ฉันหวังว่าเป่ยเฉินตงจะปกป้องซินเอ๋อร์ได้ดีแล้วกันนะคะ ส่วนคุณ ฉันว่าเลิกเก็บเรื่องของคนอื่นมาคิดได้แล้วค่ะ ใกล้ถึงงานรางวัลเฟยเทียนแล้ว ไปกังวลกับหนังของคุณดีกว่าค่ะ
“แล้วฉันก็ได้ยินมาว่าเจ้านายเก็บเด็กมาได้คนหนึ่งเมื่อวันก่อน ตอนนี้ตระกูลตี๋กำลังตามหาไปทั่วเลยนะคะ” หลงเจี่ยเอ่ย “ถ้าลูกสาวของพวกเขาจะถูกทำร้ายร่างกายถ้าถูกเจอตัวเข้า ทำไมพวกเขาถึงปล่อยเด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนี้ไปไม่ได้ล่ะ”
ถังหนิงส่ายหน้าเป็นคำตอบ “เธอคงไม่เข้าใจหรอก ตามกฎหมายแล้วเด็กทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรับมรดกไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม แล้วตระกูลตี๋จะทำยังไงถ้าต่อไปลูกสาวของพวกเขาโผล่มาแล้วแย่งมรดกกับน้องชายของเธอล่ะ”
“เฮ้อ…สังคมชั้นสูงช่างยากแท้หยั่งถึง น่ากลัวจริงๆ…”
“จับตาดูเรื่องนี้ไว้ให้ดี อย่าให้ตระกูลตี๋รู้เรื่องนี้เด็ดขาด พวกเขาไม่ได้สนใจเหลียงหย่งอวี๋เลย ฉันเห็นลูกชายคนรองที่งานแต่งงานของซินเอ๋อร์กับผู้หญิงคนอื่น”
“ฉันถึงไม่เข้าใจว่าทำไมเหลียงหย่งอวี๋ที่ทั้งสาวและสวยถึงทนอยู่ในสภาพอย่างนี้ นอกจากเงินทองแล้ว ลูกชายคนรองของตระกูลตี๋มีอะไรดีขนาดนั้น ทำไมผู้หญิงถึงยอมพลีกายให้เขากันนะ”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ถังหนิงก็ย้อนคำพูดของหลงเจี่ยกลับไป “เลิกเก็บเรื่องของคนอื่นมาคิดได้แล้ว ใกล้ถึงงานรางวัลเฟยเทียนแล้ว ไปกังวลกับหนังของเราดีกว่านะ
“ส่วนเรื่องซินเอ๋อร์ ฉันแค่หวังว่าเธอจะรักษาความลับได้นานกว่านี้สักหน่อย…”