โชคร้ายที่อาการบาดเจ็บของโม่จื่อเฉินนั้นไม่ธรรมดาอย่างที่ถังหนิงคิด เพราะไม่นานหลังจากนั้นดวงตาข้างซ้ายของเขาก็เริ่มแดง ถังหนิงจึงต้องพาเขากลับไปตรวจเพิ่มเติมอย่างเลี่ยงไม่ได้
“อาจมีของแปลกปลอมเข้าตาเด็กจนทำให้กระจกตาได้รับความเสียหาย ถ้าอาการแย่กว่านี้เขาอาจจะตาบอดก็ได้ค่ะ เขาจะต้องเข้ารับการรักษาสักระยะหนึ่งนะคะ”
“แต่ว่าเขายังเล็กอยู่เลยนะคะ” ถังหนิงนิ่งค้างไปหลังจากได้ยินคำพูดจากปากหมอ
“คุณนายโม่คะ ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว คุณเองก็ต้องปล่อยวางและให้ลูกของคุณรับการรักษานะคะ” กุมารแพทย์กล่าวปลอบใจ
ถังหนิงหันไปมองหน้าโม่ถิงด้วยความวิตก “ตอนแรกทุกอย่างไม่มีปัญหาเลย อยู่ๆ เรื่องมาเป็นอย่างนี้ได้ยังไงกัน เขายังเด็กมากอยู่เลยนะคะ ถ้าฉันดูแลลูกๆ ให้ดีกว่านี้เรื่องนี้คงไม่เกิดขึ้นหรอกค่ะ”
โม่ถิงได้ยินน้ำเสียงตื่นตระหนกของถังหนิง เขารีบเข้ามาลูบหลังปลอบเธอ “จื่อเฉินจะไม่เป็นอะไรครับ ดูเขาสิ เขายังไม่ร้องไห้เลยครับ”
“ถูกของคุณค่ะ แปลกจังเลยนะคะ ถ้าเด็กคนอื่นเจออย่างเขาและบาดเจ็บรุนแรงอย่างนี้คงร้องไห้จ้าไปแล้ว แต่เขากลับไม่ส่งเสียงสักแอะเลย” หมอเอ่ยขณะที่มองหน้าโม่จื่อเฉินอย่างงุนงง “เหมือนว่าเขาจะไม่รู้สึกเจ็บเลยค่ะ”
ทว่าที่แท้เรื่องที่จื่อเฉินไม่ร้องไห้กลับทำให้ถังหนิงเจ็บปวด “มันเป็นความรับผิดชอบของฉันแต่ฉันกลับไม่ดูแลพวกเขาให้ดีๆ ”
เมื่อเห็นถังหนิงโทษตัวเอง โม่ถิงพลันรู้สึกเสียใจขึ้นมา พวกเขาไม่น่าจะมีลูกกันเลย
ถังหนิงมักเห็นชีวิตโม่ถิงกับลูกชายของเธอสำคัญมากกว่าตัวเองเสมอ ตอนนี้จื่อเฉินได้รับบาดเจ็บ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะคิดโทษตัวเอง
ซ้ำยังนึกหวาดวิตกอยู่ในใจ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ โม่ถิงตัดสินใจโทรหาไป๋ลี่หว่ากับซย่าอวี้หลิง “แม่ครับ จื่อเฉินได้รับบาดเจ็บ พวกแม่ทั้งสองคนพาเขากลับไปดูแลที่บ้านสักพักหนึ่งได้ไหมครับ”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ซย่าอวี้หลิงโพล่งถาม “บาดเจ็บตรงไหน รุนแรงไหม”
“แค่มารับเขาไปก็พอครับ”
“โอเค เราจะไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้ล่ะ” ซย่าอวี้หลิงออกอาการกังวลใจหลังได้ยินว่าหลายชายของตัวเองได้รับบาดเจ็บ เธอรีบละมือจากทุกอย่างที่ทำและมาที่โรงพยาบาลพร้อมกับไป๋ลีหวาในทันที
“คุณแม่คะ มาที่นี่ทำไมคะ” ถังหนิงลุกพรวดจากที่นั่งเมื่อเห็นคุณแม่ทั้งสองคนมาถึง
“เธอก็รู้ดีว่าเรามาที่นี่ทำไม มีเพื่อนบอกฉันว่าเธออยู่ที่โรงพยาบาลและจื่อเฉินก็ได้รับบาดเจ็บ เราถึงได้รีบมาที่นี่ไงล่ะ” ซย่าอวี้หลิงเอ่ยอย่างตำหนิเล็กน้อย “ไหนๆ ลี่หวากับฉันก็มีเวลาว่างเยอะอยู่แล้ว ฝากจื่อเฉินไว้ให้เราดูแลเถอะ ฝากจื่อซีไว้กับเราด้วยก็ได้ เธอจะได้ตั้งใจกับการดูแลเหยียนเอ๋อร์ได้ไง”
“คุณแม่คะ…”
“อะไรกัน เธอคิดว่าเราจัดการเรื่องนี้ไม่ได้เหรอ” ซย่าอวี้หลิงทำทีเป็นโกรธ “เอาตามนี้แล้วกัน แวะมาเยี่ยมพวกเขาสักอาทิตย์ละครั้งก็ได้”
“เสี่ยวหนิง อย่าโทษที่แม่ของเธอทำรุนแรงขนาดนี้เลยนะ อวี้หลิงทำไปเพื่อเธอจริงๆ นะ ดูเธอเข้าสิ จื่อเฉินยังเด็ก เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะได้รับบาดเจ็บได้ แต่เธอก็ยังวุ่นวายใจขนาดนี้” ไป๋ลี่หวาพูดขณะที่ลูบหลังมือถังหนิง “เธอให้ความสำคัญกับโม่ถิงและลูกๆ เกินไปแล้วนะ บางครั้งเธอก็ควรคิดถึงตัวเองบ้าง…
…ฝากเจ้าแฝดไว้กับเราเถอะ ไม่ต้องห่วงนะ”
“พอพวกเขาโตขึ้น เธอจะมาเอาเขากลับไปก็ได้ อีกอย่างทำอย่างนี้เราก็ไม่ต้องไปๆ มาๆ ระหว่างสองบ้านด้วย เธอจะได้ดูแลเหยียนเอ๋อร์ได้ ให้ลูกสาวอยู่กับแม่น่าจะดีกว่านะ”
“คุณแม่คะ…”
“เอาตามนี้ล่ะ ไม่ต้องห่วง ฉันรับรองได้ว่าตาของจื่อเฉินจะต้องหายเป็นปกติแน่นอน!”
ถังหนิงพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงสบตากับโม่ถิงอย่างจนปัญญา เขาจึงลูบท้ายทอยของเธอ “เชื่อพวกแม่ๆ เถอะครับ”
“โอเคค่ะ…”
ถังหนิงคงไม่ได้เจอพวกเขาเมื่อส่งลูกๆ ไป หากเธอไม่ได้เห็นหน้าพวกเขาเธอก็คงไม่รู้สึกผิด มันเป็นทางเดียวที่จะเยียวยาหัวใจที่แตกร้าวของโม่ถิง
เมื่อมองท่าทีสิ้นหวังของภรรยา โม่ถิงรู้สึกราวกับถูกเข็มมากมายเสียดแทงเข้าที่หัวใจ
บางครั้งเมื่อใครสักคนมอบความรักลึกซึ้งให้กับใครอีกคน ทั้งชีวิตของพวกเขาก็จะมีผลต่อกันและกัน
เป็นเพราะความรู้สึกของคู่รักที่มีต่อกันนั้นช่างน่าหวั่นเกรง…
ไม่นานจื่อเฉินได้เข้ารับการรักษาเป็นครั้งแรก ดวงตาเล็กๆ ของเขาถูกผ้าปิดแผลปิดไว้ แต่เขาก็ยังไม่ร้องไห้ออกมา ราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หลังจากรักษาเสร็จ ไป๋ลี่หวาและซย่าอวี้หลิงพาเจ้าแฝดกลับไปที่บ้าน ทิ้งให้โม่ถิงอยู่ปลอบใจถังหนิง
ไม่ว่าเธอจะดูแข็งแกร่งต่อหน้าสาธารณชนแค่ไหน เธอก็เป็นเพียงแม่คนหนึ่งเท่านั้น
หลังจากกลับมาที่บ้าน ถังหนิงมองเตียงเล็กๆ ซึ่งเป็นของลูกชาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้มันหมายความว่าเธอดูแลลูกได้ไม่ดีพอ แม้ว่าเธอจะดูเก่งกาจก็ตาม
“ดูท่าทางของคุณตอนนี้สิ คุณจะดูแลลูกๆ ทั้งอย่างนี้ได้ยังไงล่ะ ตอนนี้คุณรู้สึกผิดกับจื่อเฉิน คุณต้องละเลยจื่อซีไปโดยไม่รู้ตัวอยู่แล้ว สุดท้ายลูกๆ ก็จะรู้สึกน้อยใจ ให้พวกเขาไปอยู่กับพวกแม่ๆ ของเราก็ดีแล้วล่ะครับ”
ถังหนิงหันไปกอดโม่ถิง “ฉันรู้ว่าคุณโทรหาพวกเธอให้มาเพื่อรับลูกๆ ไปค่ะ…”
โม่ถิงชะงัก
“ฉันรู้ด้วยว่าคุณกลัวว่าฉันจะรู้สึกผิด ฉันไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำอย่างนี้ ทุกครั้งที่มีเรื่องเกี่ยวกับคุณหรือลูกๆ ฉันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลน่ะค่ะ”
“คุณคงต้องรู้สึกแย่เหมือนกัน ผมเองก็รู้สึกผิดพอๆ กับที่คุณโทษตัวเองนั่นแหละครับ”
“คุณควรเลิกเอาใจฉันสักทีนะคะ! ฉันรู้ว่าคุณแบกรับภาระไว้มากแล้ว แล้วคุณก็เจ็บปวดมากกว่าที่ฉันเป็นด้วย แต่คุณกลับไม่เคยพูดออกมาเลย…”
“ผมชินซะแล้วล่ะครับ” โม่ถิงกล่าวปลอบ “คุณเครียดมากไปแล้วนะ ทุกอย่างจะไม่เป็นอะไร จื่อเฉินจะหายดี เชื่อผมนะ โอเคไหมครับ”
ตอนนั้นเองที่ถังหนิงพลันสัมผัสถึงความเข้มแข็งที่ได้แผ่ออกมาจากอ้อมกอดของโม่ถิงก่อนเอ่ย “ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
“คุณก็แค่ผู้หญิงซื่อบื้อที่ทำตัวเข้มแข็งเท่านั้นแหละครับ”
โม่ถิงไม่อาจทำอะไรกับถังหนิงได้
ดังนั้นเพื่อดึงความสนใจของเธอจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด โม่ถิงปลุกเหยียนเอ๋อร์ที่กำลังหลับอยู่และเสริมความมั่นใจให้ภรรยาของเขาในฐานะแม่คนหนึ่ง
โม่ถิงทำงานจนถึงดึกดื่นเพื่อเขียนบทมดราชินีสองให้เสร็จ ก่อนส่งให้ถังหนิงในเช้าวันต่อมา
“ลองดูสิครับ”
ถังหนิงไม่มีแม้แต่โอกาสจะมาเศร้าใจกับเรื่องเมื่อคืนก่อนด้วยซ้ำ ก่อนที่โม่ถิงจะวางบทของมดราชินีสองลงบนมือเธอ จากนั้นเขาจึงออกไปไห่รุ่ยซึ่งได้ผล๊อยหลับคาโต๊ะทำงานในท้ายที่สุด
เมื่อลู่เช่อเห็นโม่ถิงกำลังนอนหลับอยู่ เขาจึงไม่เข้าไปรบกวน กลับย่องออกมาพร้อมปิดประตู และสั่งไม่ให้พนักงานเข้าไปด้านใน
เห็นได้ชัดว่าโม่ถิงยอมเหนื่อยล้าไปเพื่อใคร
ในโลกใบนี้มีเพียงถังหนิงคนเดียวเท่านั้น!
ลู่เช่อโทรหาถังหนิงเพื่อถามไถ่อาการของโม่ถิง “คุณหญิงครับ เมื่อคืนท่านประธานไม่ได้นอนทั้งคืนเหรอครับ”
“อะไรนะ”
“ท่านประธานหลับในห้องทำงานทั้งวันเลยครับ ผมกลัวเกินกว่าจะไปรบกวนเขา”
ถังหนิงมองบทในมือก่อนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คราวนี้โม่ถิงทำอะไรเพื่อเธออีกแล้ว…