ผู้อาวุโสหนานกงผูกมิตรกับคนในคุกมากมาย เมื่อเขาออกมาจากคุกจึงได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนและพักรักษาตัวอยู่ที่อเมริกาอยู่พักใหญ่
ตอนนี้เขากลับมาประเทศบ้านเกิด เปลี่ยนเป็นนามสกุลเฉิงและได้ใบรับรองด้านการจัดการวัตถุระเบิดเพื่อให้สามารถแฝงตัวเข้ามาในทีมงานของถังหนิง
ส่วนหนานกงเฉวียน เขาจะคิดเสียว่าไม่มีหลานชายแล้วกัน!
…
หลังจากดูหนังจบ หนานกงเฉวียนกับซูโยวหรานก็ค่อยๆ สนิทสนมกันทีละน้อย อย่างไรเสียพวกเขาก็ใจลอยไปไหนต่อไหนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ในขณะที่ซูโยวหรานแค่ดีใจที่มีหนานกงเฉวียนอยู่ข้างๆ หนานกงเฉวียนก็ไม่ได้เพลิดเพลินกับการดูหนังจริงๆ เขาเพียงต้องการอยู่กับซูโยวหรานเท่านั้น
คืนนั้นพวกเขากลับบ้านมาด้วยกัน แต่เมื่อมาถึงหน้าประตู เธอเอ่ยกับเขา “เดี๋ยวฉันจะเข้าไปก่อนนะคะ คุณค่อยตามมาทีหลัง…”
“ป่านนี้เสี่ยวต้านเขอคงหลับไปแล้วล่ะครับ…”
“แต่ว่าแม่ของฉันอาจจะยังไม่หลับนี่คะ” ซูโยวหรานท้วงขณะย่องออกมาจากรถและเงยหน้ามองห้องของแม่ตัวเอง แต่เมื่อเห็นไฟในห้องมืดเธอก็ระวังตัวน้อยลง “โอเคค่ะ ให้ฉันออกไปจากรถก่อนนะคะ”
หนานกงเฉวียนไม่ได้ออกอาการไม่พอใจขณะที่มองท่าทีลับๆ ล่อๆ ของเธอ แค่หวังว่าเธอจะสนุกกับประสบการณ์การเดตแทนที่จะข้ามขั้นไปหมั้นหมายกันอย่างที่เขาว่าไว้ตอนแรก ถึงเขาจะยินดีที่จะหมั้นกันแทบตายก็ตาม
ทั้งสองเดินตามกันเข้ามาในห้องนั่งเล่นก่อนแยกย้ายกันไปที่ห้องของตัวเอง
ทว่าก่อนจะเดินเข้าห้อง หนานกงเฉวียนพลันโอบกอดซูโยวหรานไว้พาให้เธอตกใจ “มีอะไรเหรอคะ”
หนานกงเฉวียนกอดค้างไว้ครู่หนึ่งก่อนที่สุดท้ายจะปล่อย “เข้านอนกันเถอะครับ…”
หัวใจของซูโยวหรานเต้นระรัวจนแทบหลุดออกมาจากอก…
นี่เป็นความรู้สึกที่เธอไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยชอบใครในกองทัพ แต่มันเป็นแค่ความชื่นชอบที่ไม่มีอะไรแอบแฝง เธอนึกไม่ถึงว่าจะได้ใกล้ชิดกับใครเข้าจริงๆ หากแต่ตอนนี้กลับได้รับอ้อมกอดจากหนานกงเฉวียน ชวนให้รู้สึกว่าได้คบหากับใครสักคนแล้วจริงๆ …
เธอกำลังคบกันอยู่…
อ้อมกอดหนานกงเฉวียนนั้นช่างอบอุ่นใจ
คืนนั้นทั้งสองต่างคนต่างนอนบนเตียงตัวเอง พลิกไปมาอย่างหลับไม่ลง ทั้งคู่ต่างกลัวความโหยหาของตัวเอง จึงพยายามควบคุมตัวเองเอาไว้อย่างถึงที่สุด…
ด้วยนอนหลับไม่เพียงพอ ซูโยวหรานตื่นขึ้นมาในวันต่อมาพร้อมอาการไข้หวัด
แม้เธอจะยืนยันว่าจะขับรถไปส่งเสี่ยวต้านเขอที่โรงเรียนและยังจะไปรับฝาแฝดโม่ หนานกงเฉวียนก็ห้ามเธอไว้ “พาเสี่ยวต้านเขอมาครับ ผมจะขับไปส่งทั้งสองคนเอง”
“แต่ว่า…ฉันต้องไปที่ไฮแอทรีเจนซีด้วยนะคะ…”
“ผมจะพาคุณไปเองครับ…” หนานกงเฉวียนตอบทันทีก่อนดันตัวเธอเข้าไปในรถ เมื่อลูกสาวกับแฟนสาวของเขานั่งบนรถเรียบร้อยเขาก็ติดเครื่อง “ผมเคยเจอกับโม่ถิงมาก่อนหน้านี้แล้วก็ไม่อยากเป็นศัตรูกับเขาด้วยครับ”
ไม่ใช่ว่าหนานกงเฉวียนไม่รู้สึกเกลียดชัง แต่เขารู้ว่าคนผิดที่แท้จริงไม่ใช่ตระกูลโม่ต่างหาก
ซูโยวหรานมองหนานกงเฉวียนและรู้สึกว่าเขาเป็นคนใจกว้างไม่น้อย อย่างน้อยถ้าเธอตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขา เธอคงไม่อาจปล่อยวางทุกสิ่งไปอย่างง่ายดายขนาดนี้
“เสี่ยวต้านเขอ คุณพ่อเท่สุดๆ ไปเลยใช่ไหมคะ” ซูโยวหรานถาม
“แต่หนูไม่ชอบที่พ่อหนูไม่หล่อพอเลยค่ะ!” เสี่ยวต้านเขอว่าพลางกุมศีรษะตัวเองไว้ “พ่อไม่หล่อเท่าพ่อของฝาแฝดเลย!”
“ใครบอกกันคะ” ซูโยวหรานเริ่มเถียงกับเสี่ยวต้านเขอ
หนานกงเฉวียนเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยชอบเข้าสังคม และดูเป็นผู้ชายที่มีประวัติ ซ้ำรูปลักษณ์ของเขายังออกจะดิบเถื่อนหน่อยๆ และมีเสน่ห์อย่างชายภูมิฐาน ผิดกับความสง่างามของโม่ถิงลิบลับ
“พี่สาวคิดว่าพ่อหนูหล่อกว่าเหรอคะ”
“พ่อหนูแข็งแกร่งกว่าอีกนะ!”
ด้วยอายุของเธอ เสี่ยวต้านเขอไม่เข้าใจความหมายของคำว่าแข็งแกร่ง แต่คำนี้กลับทำให้หนานกงเฉวียนปลื้มปริ่ม หญิงสาวคนนี้กำลังท้าทายเขาอยู่ชัดๆ หากเสี่ยวต้านเขอไม่ได้อยู่ด้วย เขาคงจะรุกเข้าใส่เธอไปแล้ว
ไม่นานทั้งสามก็มาถึงไฮแอทรีเจนซี
ถังหนิงเดินออกมาพร้อมกับเจ้าสองแสบ ก่อนเห็นว่าซูโยวหรานเดินลงมาจากรถด้วยตัวเอง เธอคาดเดาว่าคงมีใครอีกคนอยู่บนรถด้วย
“วันนี้เสี่ยวต้านเขออยู่ในรถด้วยเหรอ”
“ค่ะ ฉันเป็นหวัดนิดหน่อย เลย…” ซูโยวหรานอธิบาย
“ไม่เป็นไรหรอก ไปเถอะ” ถังหนิงส่งลูกๆ ให้ซูโยวหราน
ซูโยวหรานมองถังหนิงอย่างขอบคุณ นี่เป็นเหตุผลที่เธอชื่นชอบและเคารพถังหนิง ด้วยสถานะของเธอในปักกิ่ง ถังหนิงสามารถปฏิบัติกับคนที่ทำงานด้วยอย่างเย่อหยิ่งได้ง่ายดาย ทว่าเธอไม่เคยทำไม่ดีหรือดูถูกคนรอบตัวเธอสักครั้ง
ถือว่าเป็นต้นแบบที่เยี่ยมยอดที่สุดสำหรับผู้หญิง!
เสี่ยวต้านเขอเชื่อฟังเป็นอย่างดี ในขณะที่เธอขยับไปด้านข้างและเว้นที่ในรถไว้ให้สองแฝด
โม่จื่อซีเริ่มคุยจ้อกับเสี่ยวต้านเขอทันทีที่ขึ้นมาในรถ ในขณะที่โม่จื่อเฉินจ้องมองหนานกงเฉวียนอย่างกับชายแก่
หนานกงเฉวียนแปลกใจที่เด็กตัวเล็กๆ มีแววตาเช่นนั้น เขาจึงหันไปมองโม่จื่อเฉินและเอ่ยกับซูโยวหราน “เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลยนะครับ”
“ค่ะ เขาไม่ธรรมดาจริงๆ ค่ะ” เธอพยักหน้ารับ “จื่อเฉินไม่ค่อยพูดน่ะค่ะ แต่ทุกคนก็เชื่อว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่คิดกัน…”
“น่าทึ่งจังนะครับ!”
ตอนนั้นเองที่โม่จื่อซีกับเสี่ยวต้านเขอเริ่มเถียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กัน ทันใดนั้นโม่จื่อเฉินเข้ามาบังพี่ชายตัวเองไว้และมองหน้าเสี่ยวต้านเขออย่างระแวง
โม่จื่อซีเป็นพี่ชาย หากแต่…โม่จื่อเฉินมักเป็นฝ่ายปกป้องเขาแทนอยู่บ่อยครั้ง
เห็นได้ชัดจากรอยแผลเป็นบนแก้มเป็นตัวอย่างครั้งใหญ่
ไม่นานเด็กทั้งสามคนก็เดินเข้าไปในโรงเรียนด้วยกัน ก่อนหนานกงเฉวียนจะไปส่งซูโยวหรานที่บ้าน แต่เมื่อมาถึงบ้าน อยู่ๆ เขาก็คว้าสายคาดนิรภัยของเธอไว้
“อะ…อะไรคะ”
“อย่าลืมกินยาด้วยนะครับ” หนานกงเฉวียนเอ่ยเตือน
“เข้าใจแล้วค่ะ คุณไปทำงานได้แล้วนะคะ” ซูโยวหรานพยักหน้าให้พลางสูดหายใจลึก “ฉันจะกลับเข้าบ้าน กินยาแล้วก็นอนพัก แค่นั้นก็ไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ”
เขายื่นมือออกมาแตะหน้าผากเธอ ก่อนจะก้าวลงจากรถ เดินอ้อมมาช้อนตัวอุ้มเธอออกมา “คุณมีไข้…”
“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ นะคะ” เธออธิบาย “ฉันเคยเป็นหวัดมาบ่อยแล้ว อีกไม่นานก็คงดีขึ้นเองแหละค่ะ”
“นั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้คุณมีผมแล้วนี่ครับ” เขาว่าขณะอุ้มเธอเข้ามาในห้องนั่งเล่น โชคดีที่ตอนนั้นคุณนายซูไม่ได้อยู่บ้าน เขาจึงเดินขึ้นไปชั้นบนและวางซูโยวหรานลงบนเตียงของเขา
“คุณลืมว่าฉันนอนห้องตรงข้ามคุณเหรอคะ”
“คุณไม่ต้องพูดอะไรแล้วครับ พักให้หายไข้ก่อนเถอะครับ”
หนานกงเฉวียนไม่สนใจคำทัดทานของเธอพลางหยิบปรอทวัดไข้มา
“คุณกำลังจะไปทำงานสายนะคะ…”
“ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความสัมพันธ์อย่างนี้ทำให้คนเราขี้เกียจได้” เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสายหาผู้ช่วยตัวเอง “ฉันจะเข้างานสายหน่อยนะ”
ตอนนี้เขาต้องการเพียงดูแลซูโยวหรานเท่านั้น!