วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ – ตอนที่ 702 ถ้าผู้อาวุโสอู๋ไม่ได้ลอกงาน ไหนล่ะหลักฐาน

“ไม่มีคำว่าแต่ครับ ไม่มีอะไรยากเกินไปสำหรับถังหนิงที่ผมรู้จัก แม้ว่าจะไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อน คำคำเดียวจากผมก็มากพอที่จะให้เธอเริ่มตั้งแต่ต้น ตอนนี้เองก็ไม่ต่างกัน คุณแค่กำลังสับสน…” โม่ถิงปลอบ “ผมลองอ่านบทของผู้อาวุโสอู๋แล้ว สไตล์การเขียนของเขามีความสอดคล้องกัน ดังนั้นความหวังเดียวของเราก็อยู่ในห้าแสนสี่หมื่นคำนี้แหละครับ”

 

 

ได้ยินคำพูดของโม่ถิง ถังหนิงก็สงบลงแล้วพยักหน้าในที่สุด “ค่ะ ฉันจะฟังคุณ คุณไม่เคยคิดผิด”

 

 

“คุณต้องเหนื่อยแล้วแน่ๆ ไปพักผ่อนนะครับ…”

 

 

ถังหนิงมองหน้าโม่ถิงเพื่อดูว่ามีโอกาสที่เธอจะเลี่ยงคำสั่งของเขาได้หรือไม่ ทว่าสีหน้าโม่ถิงนั้นหนักแน่น ดังนั้นเธอจึงไม่มาทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้า “ค่ะ ฉันจะไปพักผ่อน แต่ฉันจำเป็นต้องอยู่ข้างๆ คุณเพื่อให้ใจสงบนะคะ”

 

 

หญิงสาวไม่อาจใจร้อนกับเรื่องการหาคำตอบ สิ่งที่เธอต้องทำในตอนนี้ก็คือฟื้นความสงบของเธอ

 

 

หลังจากนั้น ถังหนิงก็เอนกายลงในอ้อมแขนของโม่ถิงแล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไป

 

 

ดูเหมือนเธอจะเหนื่อยจริงๆ …

 

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ โม่ถิงจึงเปิดแลปท็อปของเขาแล้วเลือกนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ โม่ถิงลงเอยด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกวาดสายตาอ่านนิยายทั้งเรื่องทีละคำ แน่นอนว่าเขาได้อะไรมามากมายจากการทำเช่นนี้…

 

 

เช้าวันถัดมา ถังหนิงตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของโม่ถิง เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจดจ่ออยู่กับนิยายเรื่องนั้น ถังหนิงก็รู้สึกปวดใจ “นี่คุณนั่งอ่านมาทั้งคืนเลยเหรอคะ”

 

 

“อย่าเพิ่งไปใส่ใจเรื่องนั้นเลยครับ มาดูนี่ก่อนสิ”

 

 

โม่ถิงเปิดภาพจากหน้าจอให้ถังหนิงดู “ดูสิครับว่าคุณจะเจออะไร”

 

 

ถังหนิงนั่งอยู่ระหว่างแขนของโม่ถิง หญิงสาวโน้มตัวไล่ดูภาพนั้นบนจอแล็ปท็อป ไม่ช้าเธอก็สังเกตเห็นปัญหา “สไตล์การเขียนไม่เหมือนกัน คำศัพท์ก็ไม่เหมือนกัน มันให้ความรู้สึกเหมือนไม่ได้มาจากคนคนเดียวกันเลยค่ะ”

 

 

“ความต่างพวกนั้นอยู่ที่ช่วงคำที่สองแสน ช่วงคำที่สองแสนห้าหมื่น ช่วงคำที่สี่แสน และช่วงคำที่สี่แสนห้าหมื่นครับ”

 

 

“คุณจะบอกว่านิยายเรื่องนี้ถูกเขียนขึ้นโดยคนจำนวนหนึ่งเหรอคะ” ถังหนิงเอ่ยถามด้วยท่าทางไม่แน่ใจ

 

 

“ครับ และมันก็เขียนขึ้นในช่วงเวลาอันสั้นด้วย” โม่ถิงตอบ “ผมขอให้ลู่เช่อไปค้นคว้าเรื่องคนในวงการนิยายออนไลน์และพบว่าสถิติในการแต่งนิยายของนักเขียนดังๆ นั้นอยู่ที่ประมาณห้าหมื่นถึงแปดหมื่นคำภายในเวลาสามถึงสี่วัน หากคนจำนวนหนึ่งแบ่งกันไปคนละหนึ่งหมื่นคำ หนังสือเรื่องหนึ่งก็สามารถเขียนให้จบได้ภายในสิบวัน”

 

 

“แต่สัญญาฉบับนั้นมันมีมานานแล้วนะคะ…” ถังหนิงนึกถึงสัญญาแผ่นนั้นขึ้นมา

 

 

“สัญญานั้นเป็นของจริงครับ แต่ใครจะการันตีได้ล่ะว่านี่คือเนื้อหาดั้งเดิมของมัน”

 

 

ถังหนิงตื่นตัวขึ้นด้วยคำถามอันเรียบง่ายนี้ “พูดอีกอย่างก็คือ อีกฝ่ายจงใจโกหกเรา ไปดูสัญญานั่นแล้วตั้งคำถามพวกเขาเรื่องเนื้อหากันดีกว่าค่ะ”

 

 

“ผมบอกให้ลู่เช่อไปดูมาแล้วครับ นิยายออนไลน์นั้นต่างจากหนังสือที่จับต้องได้ มันเป็นไปได้ที่ผู้เขียนจะแก้ไขนิยายเรื่องนั้นหลังจากที่ถูกเผยแพร่ออกมาแล้ว การที่เรายังหาข้อมูลอะไรที่เกี่ยวกับหนังสือออนไลน์เล่มนี้ไม่ได้นั้นพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งครับ ถ้าไม่ได้ถูกดัดแปลง…ก็คงไม่มีคำเยอะมากขนาดนี้มาตั้งแต่แรกและมีใครบางคนแต่งเติมมันเข้าไปครับ”

 

 

หลังจากฟังการวิเคราะห์ของโม่ถิง ถังหนิงก็ต้องยอมรับว่าเธอประทับใจในตัวชายคนนี้จริงๆ

 

 

แน่นอนว่าเธอประทับใจในความชั่วร้ายของซ่งซินเช่นกัน

 

 

“งั้นถ้าเราหาตัวนักเขียนพวกนี้และบันทึกการแก้ไขนิยายได้ เราจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้อาวุโสอู๋ได้ไหมคะ”

 

 

“ผมไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวด้วยตัวเองเลย” “สิ่งเดียวที่เราต้องทำก็คือเปิดเผยการค้นพบของเราให้สาธารณชนได้รับรู้ ผมเข้าใจว่านักเขียนที่ดีที่สุดในกลุ่มนั้นเริ่มเข้าไปทำให้นิยายสมบูรณ์ขึ้นและแก้ตัวบท นี่แปลว่าพวกเขากลัวว่าจะถูกจับได้แน่ๆ

 

 

ในเมื่อใครบางคนกำลังแก้ไขมันอยู่ งั้นเรามาเข้าหามันจากอีกมุมหนึ่งแล้วกล่าวหาเจ้าของแพลตฟอร์มนิยายออนไลน์ว่ามีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้ดีกว่า”

 

 

“อันที่จริง ฉันเชื่อในการตัดสินของชาวเน็ตมากกว่าค่ะ” ถังหนิงกล่าวหลังจากสงบลง “เหตุผลเดียวที่พวกเขาโกรธขนาดนั้นก็เพราะพวกเขาสนับสนุนนักเขียนต้นฉบับและเกลียดการคัดลอกผลงาน แต่ผู้อาวุโสอู๋…”

 

 

“ทุกอย่างจะผ่านไปครับ”

 

 

หลังจากได้ยินคำปลอบโยนของโม่ถิง ถังหนิงก็พยักหน้า

 

 

“ฉันรู้สึกเหมือนสมองของฉันไม่ทำงานอีกแล้วเลยค่ะ”

 

 

“เด็กในท้องส่งผลต่อสมองของคนเป็นแม่นานถึงสามปีครับ ผมไม่โทษคุณหรอก” โม่ถิงจูบหน้าผากของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน

 

 

แน่นอนว่า เสียงของชาวเน็ตที่เรียกร้องให้ไห่รุ่ยออกมาขอโทษและระงับการฉายภาพยนตร์นั้นยังคงดังเหมือนเช่นเคย และในขณะเดียวกัน การด่าทอผู้อาวุโสอู๋ของพวกเขาก็ยังไม่สิ้นสุดลง เมื่อครอบครัวของเขาไม่สามารถรับมือกับเรื่องนี้ได้อีกต่อไป ภรรยาของผู้อาวโสอู๋จึงตัดสินใจให้สัมภาษณ์กับสื่อเพื่อแสดงต้นฉบับ บันทึกการสร้างตัวละคร ข้อมูลสถานที่ที่สามีของเธอไปเยี่ยมเยียนและผู้คนที่เขาได้สัมภาษณ์ให้พวกเขาดู

 

 

“สามีของฉันทุ่มเทชีวิตของเขาให้กับงานศิลปะของตัวเอง เพื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ เขาทำทุกอย่างที่เป็นไปได้ ฉันไม่เคยคาดคิดเลยว่าสุดท้ายแล้วเขาจะถูกด่าทอ

 

 

“ฉันไม่รู้ว่าเจตนาของคนร้ายคืออะไร แต่พวกเขาไม่ควรคิดฝันจะได้อะไรไปจากเรา

 

 

“กรรมจะตามสนองเสมอ คนชั่วคนนี้จะได้รับการลงโทษอย่างแน่นอน”

 

 

เพราะความสมัครใจที่จะออกมาพูดของคุณนายอู๋ เหล่าคนที่ผู้อาวุโสอู๋เคยสัมภาษณ์จึงเริ่มออกมายืนยันให้เขา

 

 

“ผู้อาวุโสอู๋มักจะออกไปทำการวิจัยผู้คนในชีวิตจริงเวลาที่เขาออกแบบตัวละครเพื่อที่เขาจะได้เข้าใจอารมณ์ของตัวละครนั้นๆ นี่ไม่ใช่สิ่งที่นักลอกเลียนแบบทำเลย”

 

 

ทว่า…ยังมีคนอีกมากมายที่ต่อต้านผู้อาวุโสอู๋

 

 

“ลอกก็คือลอก จบนะ”

 

 

“ถ้าผู้อาวุโสอู๋ไม่ได้ลอกงานใคร แล้วไหนล่ะหลักฐาน”

 

 

ไม่มีหลักฐานใด!

 

 

ถ้าเขามีหลักฐาน เขาจะฆ่าตัวตายไหม

 

 

ตอนนั้นเองที่ผู้เขียน ‘นักแกะรอย’ ทนการถูกใส่ร้ายไม่ได้ ดังนั้นทัศนคติของเขาจึงเริ่มจองหองยิ่งกว่าเดิม “ถ้าเขาไม่ได้ลอกงานผม ผมจะหักมือตัวเอง!”

 

 

ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนเหยื่อ แต่หลักฐานนั้นเอื้อให้ทางผู้เขียนเรื่อง ‘นักแกะรอย’ เพียงอย่างเดียว…

 

 

อย่างไรก็ตาม ระหว่างช่วงเวลาที่น่าท้อแท้นี้ ในที่สุดไห่รุ่ยก็ออกมาพูดและปล่อยคำแถลงการณ์ที่มีหัวเรื่องว่า ‘จำที่พูดเอาไว้ด้วย’

 

 

จุดประสงค์หลักของคำแถลงการณ์นี้ก็เพื่อบอกทุกคนว่าไห่รุ่ยจะเริ่มปล่อยหลักฐานที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้อาวุโสอู๋ตอนหนึ่งทุ่มตรง หากไห่รุ่ยพิสูจน์ได้ว่าผู้อาวุโสอู๋บริสุทธิ์ ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง ‘นักแกะรอย’ ควรจะจำสัญญาของเขาเอาไว้ให้ดี

 

 

เขาพูดว่าเขาจะหักมือตัวเอง!

 

 

ผู้เขียนรายนั้นไม่คิดว่ามันเป็นไปได้ที่ไห่รุ่ยจะค้นอะไรเจอ ดังนั้นเขาจึงตอบไปอย่างมั่นใจว่า “ถ้าผมสัญญาอะไรไว้ ผมก็จะทำ!”

 

 

ผลก็คือเหตุการณ์ยิ่งบานปลายกันไปใหญ่ ครั้งนี้มีมือคู่หนึ่งเขามาเกี่ยวข้องด้วย!

 

 

[ไห่รุ่ยมีหลักฐานอะไรจะแสดงให้พวกเราได้เห็นกันนะ ฉันสงสัยจังว่าพวกเขาวางแผนจะพลิกสถานการณ์ยังไง]

 

 

[พวกเขาจะไม่ใช้ข้ออ้างเห่ยๆ กับตรรกะป่วยๆ มาบงการสาธารณชนใช่ไหม]

 

 

[ไห่รุ่ยไม่เคยทำอะไรอย่างนั้นมาก่อน พวกเขาซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาเสมอ ดังนั้นฉันจึงคาดหวังกับคืนนี้มากๆ เลยล่ะ]

 

 

[พวกเขายังพลิกสถานการณ์ได้อยู่เหรอ หลักฐานมันไม่ได้ชัดเจนอยู่แล้วหรือยังไง ฉันไม่อยากได้ยินข้ออ้างอะไรทั้งนั้น!]

 

 

[ถ้าไห่รุ่ยวางแผนที่จะแก้ตัวให้ไอ้หมาขี้ลอกนั่น ฉันจะเกลียดพวกเขาไปทั้งชีวิตเลย! ถึงฉันจะชอบเซเลบจากไห่รุ่ย ฉันก็จะไม่ยอมรับพวกเขาอยู่ดี]

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

ถังหนิง ผู้กำลังจะก้าวขึ้นไปเป็นนางแบบแนวหน้า แต่เพราะรักจึงสละสิ้นทุกอย่าง ทว่าคืนก่อนวันวิวาห์ที่เธอกำลังจะได้ครองรักดั่งหวังนั่นเอง คู่หมั้นของเธอกลับหนีออกไปกับหญิงอื่น ด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ เธอจึงเดินจ้ำไปหาผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าสำนักงานเขต “ประธานโม่คะ ในเมื่อเจ้าสาวของคุณยังไม่มาและเจ้าบ่าวของฉันก็หนีไปแล้วอย่างนี้… ฉันว่า… เรามาแต่งงานกันเสียเลยดีไหมคะ” … ก่อนแต่งงานเธอเอ่ยว่า “แม้เราจะนอนร่วมเตียงกัน แต่จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา” หลังแต่งงานเขาเอ่ยว่า “ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้หรือ”

Options

not work with dark mode
Reset