หลังถังหนิงสั่งสอนบทเรียนให้กับไป๋หลินหลิน เรื่องนี้ก็กลายเป็นประเด็นร้อนในวงการ เพราะเด็กแก่แดดที่ไม่มีเหตุผลคนนั้นคิดว่าเธอสามารถทำตัวจองหองได้เพราะเธอมีชื่อเสียงนิดหน่อย ดังนั้นเธอจึงควรได้รับการสั่งสอน
แต่หลังจากไป๋อวี๋ได้ยินเรื่องนี้ เธอโกรธมากจนหน้าแดงไปหมดขณะที่เธอทุบมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะตรงหน้า
แม้เธอจะอบรมไป๋หลินหลินอยู่บ่อยครั้ง แต่ยังไงอีกฝ่ายก็เป็นน้องสาวของเธอ ด้วยสิ่งที่ถังหนิงทำนั้นไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าเธออย่างแรง
เพราะท้ายที่สุด การกระทำของถังหนิงนั้นมีนัยอื่นแอบแฝงอยู่แล้ว ในเมื่อไป๋อวี๋ไม่รู้จักวิธีสั่งสอนน้องสาวของตัวเองให้ดี งั้นถังหนิงก็ต้องมีใครสั่งคนมาทำหน้าที่นี้แทน ต้องมีใครสักคนสอนเด็กคนนี้ให้รู้จักทำตัวให้เหมือนกับมนุษย์ทั่วไปบ้าง
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ไป๋อวี๋โทรหาไป๋หลินหลิน โดยไป๋หลินหลินเอาแต่ระบายความเจ็บปวดของตัวเอง
“เธอทำได้แค่ร้องไห้หรือไง ใช้ไม่ได้ ไม่รู้วิธีต่อสู้หรือไงกัน อะไรที่เด็กเฉินนั้นอยากได้ เธอต้องไปต่อสู้แย่งมันมาด้วย อย่าบอกนะว่าน้องสาวฉันไม่รู้วิธีจัดการเรื่องพวกนี้ ไร้ประโยชน์สิ้นดี!”
“พี่ไม่รู้หรอกว่าถังหนิงมันหยาบคายแค่ไหน…”
“ฉันรู้…” แค่ได้ยินชื่อถังหนิงก็ทำเอาไป๋อวี๋ปวดหัวแล้ว แต่เธอมีความปรารถนาอื่นอยู่ในใจ เธอต้องการลองต่อกรกับถังหนิงด้วยตัวเธอเอง เธออยากรู้ว่าในจุดที่เธอเคยยอมแพ้และจากจุดที่เธอเคยกลัวจะเสียไป ถังหนิงจะยังใช้ชีวิตสงบสุขอยู่ได้ไหม
หลังจากคลอดลูกแล้ว เธอจะยังสามารถรักษาชื่อเสียงเอาไว้อยู่จริงหรือ
…
ตกค่ำในวันนั้น ถังหนิงกับโม่ถิงต่างอุ้มลูกชายไว้ในอ้อมแขน พวกเขากำลังกล่อมเด็กตัวแสบทั้งสองและพยายามแข่งกันว่าเด็กคนไหนจะหลับก่อน
แต่กั่วกั่วในอ้อมแขนของถังหนิงนั้นได้มีไข้ขึ้นอีกครั้ง ทำเอาทั้งสองต้องอยู่ในความตื่นตระหนกไปครึ่งค่อนคืน หลังพยายามลดไข้ให้เด็กน้อยอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดทั้งสองก็ทำได้สำเร็จ
ณ เวลานั้น ถังหนิงได้ผล็อยหลับไปที่โซฟา เมื่อโม่ถิงเห็นเช่นนั้น ก็อุ้มอีกฝ่ายออกจากห้องของเด็กๆ อย่างแผ่วเบา
“ฉันเผลอหลับไปงั้นเหรอ” ถังหนิงตื่นขึ้นขณะที่อยู่ในอ้อมแขนของโม่ถิงแล้วขยี้ตาเล็กน้อยก่อนเธอจะโอบเรียวแขนของตัวเองรอบคอของชายหนุ่ม “กั่วกั่วมีไข้เพราะเขาต้องการทำโทษที่ฉันไม่อยู่บ้านดูแลเขาเมื่อคืนหรือเปล่านะ”
“หยุดคิดแบบนั้นเลยครับ” โม่ถิงตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ผมนัดกับกุมารแพทย์ที่ได้รับความนับถืออย่างดีเอาไว้แล้ว หมอจะช่วยตรวจร่างกายให้กั่วกั่วเอง”
ถังหนิงพยักหน้าขณะที่เธอเอียงศีรษะแนบชิดร่างกายของโม่ถิง “เอาจริงๆ นะคะ ฉันรู้สึกดีใจจริงๆ ดูผู้ชายทุกวันนี้สิ จะมีสักกี่คนที่เข้ามาช่วยดูแลลูกของตัวเองโดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ เทียบกันแล้วตราบใดที่คุณอยู่บ้าน คุณจะรับผิดชอบดูแลลูกๆ ของเราอย่างเต็มที่เสมอ…”
“ตอนผมเด็กๆ ผมจำเรื่องของพ่อไม่ได้มากเท่าคุณอารองด้วยซ้ำ ผมเลยไม่อยากให้ลูกๆ มองว่าผมเป็นคนที่แทบไม่เคยอยู่บ้านเลยแบบนั้น”
“ปะป๊าถิง คุณทำได้ยอดเยี่ยมแล้วนะคะ”
โม่ถิงไม่พูดอะไร แต่เขารู้สึกไม่ต่างจากถังหนิง บางครั้งถังหนิงคิดด้วยซ้ำว่าถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นผู้หญิงและโม่ถิงเป็นผู้ชาย หรือบางที ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ชายไม่สามารถมีลูกได้ เขาคงไม่อยากแม้แต่จะให้เด็กทั้งสองออกมาจากท้องของเธอและทำให้เธอต้องเจ็บปวดจากการคลอดแบบนี้
ดังนั้นความรักที่เธอมีต่อโม่ถิงนั้น…
…เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะสิ่งเล็กน้อยเช่นนี้
เป็นไปไม่ได้แน่ที่จะไม่หลงรักผู้ชายแบบนี้
“อีกไม่กี่วัน คุณอยากให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณตอนถ่ายโฆษณาไหม”
“ไม่จำเป็นค่ะ… อยู่บ้านดูแลเด็กๆ เถอะ”
เมื่อเป็นเรื่องภาษาอังกฤษ ถังหนิงพูดภาษาอังกฤษได้คล่องว่าโม่ถิง และเมื่อเป็นเรื่องของการถ่ายทำและเรื่องอื่นๆ ในกองถ่าย ถังหนิงก็มีประสบการณ์เป็นอย่างดี ทำให้เธอไม่ต้องการคำแนะนำใดๆ จากเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่ผู้จัดการของเธอจะต้องไปปรากฏตัวด้วย สิ่งที่เธอต้องการคือผู้ช่วยสักคนที่จะดูแลเรื่องจิปาถะอื่นๆ แต่นับตั้งแต่เหตุการณ์ของเหยียนซู ถังหนิงก็ไม่เคยมีผู้ช่วยอย่างจริงๆ จังๆ อีกเลย
“แต่ฉันต้องพูดว่าคุณเป็นพี่ชายที่ไม่ค่อยได้เรื่องนะ คุณไม่ชอบซิงเยียนเหรอ”
ได้ยินเช่นนั้น โม่ถิงถึงกับอึ้ง ก่อนที่เขาจะตอบหลังผ่านไปครู่หนึ่ง “เธอจำเป็นต้องฝึกฝนด้วยตัวเอง โลกนี้ไม่ได้หมุนรอบตัวเธอ ต่อให้เราวางโอกาสที่จะได้เป็นซูเปอร์สตาร์ระดับโลกไว้ตรงหน้า แต่ถ้าเธอไม่ตระหนักได้ด้วยตัวเอง เธอก็จะไม่มีวันเหมาะกับบทบาทนั้น”
“ก็ได้… ฉันว่าสิ่งที่คุณพูดฟังดูมีเหตุผลค่ะ” ถังหนิงพยักหน้าเห็นด้วย เพราะนั้นเป็นวิธีเดียวกันกับที่เธอเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ในอดีต ไม่ว่าคนจะพยายามโน้มน้าวเธออย่างไร เธอก็ไม่เคยฟัง เธอทั้งดื้อดึงและเอาแต่ต่อต้านจนเธอวิ่งมาถึงทางตัน ท้ายที่สุดด้วยเหตุการณ์ของหันอวี่ฝาน เธอจึงได้หูตาสว่างในที่สุด
“ไปอาบน้ำเถอะ…”
หลังเข้ามาภายในห้องนอน โม่ถิงก็วางถังหนิงลงและตบหลังเธอเบาๆ
ถังหนิงอึ้งไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เธอจะวิ่งตามหลังอีกฝ่ายแล้วโอบเอวของเขาเอาไว้ “เราเคยทำ…’ รถโยก’ กันมาก่อนไหมคะ”
“หืม?”
“ฉันอยากจะเอาใจคุณต่ออีกหน่อย…” แก้มทั้งสองข้างของถังหนิงแดงระเรื่อ
โม่ถิงหันกลับมาแล้วอุ้มเธอกลับมาไว้ในอ้อมแขนพลางรีบเดินตรงไปที่ประตู
“คุณรีบขนาดนั้นเลยเหรอ เดี๋ยวลูกตื่นขึ้นมาจะทำยังไง”
ถึงยังไงตอนนี้พวกเขาก็เป็นพ่อแม่คนแล้ว ดังนั้นทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาต้องคำนึงถึงลูกชายทั้งสองเสมอ
ถังหนิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ต่อให้เธอคลอดลูกแล้วมันยังไงเหรอ นั่นหมายความว่าชีวิตของเธอจะต้องจืดชืดอย่างนั้นหรือ ต่อให้เธอเป็นคุณแม่ลูกสอง เธอก็ยังเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างเร่าร้อนกับโม่ถิง
หลังทั้งเดินมาถึงโรงจอดรถชั้นใต้ดิน โม่ถิงเลือกรถเอสยูวีของพวกเขา เพราะมันเป็นรถเพียงคันเดียวที่มีพื้นที่กว้างขวางเพียงพอ
แม้ทั้งสองจะยังอยู่ที่บ้าน ถังหนิงก็พบว่าหัวใจของเธอกำลังเต้นระรัวขณะที่เธอก้าวเข้าไปในรถ มันรู้สึกราวกับพวกเขากำลังมีความสัมพันธ์ต้องห้าม
“ถ้านี่ยังทำให้คุณตื่นเต้นไม่พอ… เราจะขับรถออกไปข้างนอกก็ได้นะ”
“จุ๊ๆ” ถังหนิงไม่อาจอดทนรอได้อีกต่อไปขณะที่เธอปิดปากอีกฝ่ายด้วยรสจูบ
…
หลังจากไป๋หลินหลินได้รับบทเรียนจากถังหนิง สถานการณ์ของเฉินซิงเยียนก็ดีขึ้นมาก เพราะถึงยังไงถังหนิงก็เป็นตัวแทนของโม่ถิง และโม่ถิงเป็นตัวแทนของไห่รุ่ย
ส่งผลให้เฉินซิงเยียนสามารถถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกได้ในที่สุด หลังการร่วมงานอีเวนต์ เธอก็กลับมาถึงบ้านพร้อมกับความตัวเบาและผ่อนคลายขึ้นมาก
กระนั้น ในค่ำคืนนั้นเอง ขณะที่เธอกลับมาถึงอะพาร์ตเมนต์ของอันจื่อเฮ่า สิ่งที่กำลังรอเธออยู่กลับไม่ใช่อันจื่อเฮ่าแต่เป็นพ่อแม่ของอวิ๋นซิน…
“พวกคุณรอจื่อเฮ่าอยู่เหรอคะ”
“ไม่ วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของอวิ๋นซิน จื่อเฮ่าไปเยี่ยมที่หลุมศพของเธอ พวกเรากำลังรอเธออยู่ต่างหาก” ลุงอวิ๋นอธิบายพลางประคองป้าอวิ๋น
“อ๋อ ถ้างั้นเข้ามาด้านในก่อนสิคะ” เฉินซิงเยียนเชื้อเชิญพลางเปิดประตูบ้าน เมื่อทั้งหมดเข้ามาภายใน เธอก็รินชาชั้นดีให้ทั้งสองคนละแก้ว แต่ไม่เพียงป้าอวิ๋นจะไม่รับมันแล้ว เธอยังปัดมันทิ้งและกล่าว “ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน แต่ฉันก็ต้องขอให้เธอเลิกกับอันจื่อเฮ่าซะ ไปให้พ้นจากลูกเขยของเรานะ!
“นับตั้งแต่ตอนที่จื่อเฮ่าตกลงไปจะเยี่ยมหลุมศพของอวิ๋นซิน ฉันก็รู้ดีว่าเขามีแต่ลูกสาวของเราอยู่ในใจ เขาไม่มีทางชอบเธอแน่ ถ้าเธอฉลาดพอ เธอควรจะไสหัวไปซะก่อนจะทำให้ตัวเองลำบาก!”
คำพูดของป้าอวิ๋นฟังดูไม่ดีนัก อีกทั้งนี่เป็นครั้งแรกของเฉินซิงเยียนที่ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นรักแรกของเธอ…
ดังนั้นเธอจึงไม่รู้จะรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร หรือพูดตามตรงคือเธอไม่รู้จะทำอะไรดี
“ฉันว่าฉันควรโทรหาจื่อเฮ่าดีกว่า…”
“โทรอะไรอีกล่ะ” ป้าอวิ๋นคว้าโทรศัพท์ของเฉินซิงเยียนออกจากมือของเธอแล้วขว้างมันลงกับพื้นจนแตกเป็นเสี่ยง…