มู่เวยเวยแสดงสีหน้าไม่เห็นด้วยแล้วพูดขึ้นว่า ” ฉันไม่มีอะไรที่ต้องใส่ใจหรอก กินดีอยู่ดีในทุกทุกวัน แต่ว่าน่าจะเป็นคุณเฉียวมากกว่าที่ต้องลำบากใจ ”
” ถ้าเธอคิดแบบนี้จริงๆ เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ข้าวปลาอาหารของคนในบ้านเธอต้องลงมือทำด้วยตัวเอง! ”
มู่เวยเวยขมวดคิ้ว ในใจรู้สึกเสียใจสุดสุด เธอไม่น่าปากพล่อยเลย
” ฉันทำไม่เป็น ” เธอพูดอย่างมั่นใจ
เย่ฉ่าวเฉินยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า ” ฉันจะให้ฉินหม่าสอนให้เธอ ที่เธอพูดก็ถูกนะ แทนที่จะให้เธอกินดีอยู่ดีไปวันวัน มันจะดีกว่าถ้าให้เธอทำประโยชน์ให้กับบ้านนี้สักหน่อย! ”
มู่เวยเวยหงุดหงิดแล้วพูดอย่างไม่พอใจ ” คุณไม่กลัวว่าฉันจะวางยาคุณตายหรอ! ”
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราอย่างเย็นชาแล้วค่อยๆพูดออกมาทีละคำ ” ถ้าเธอกล้าทำ ฉันจะทำให้เธอต้องตกนรก! ”
มู่เวยเวยหัวเราะแห้ง แล้วยกยิ้มมุมปากอย่างไม่พอใจพร้อมกับพูดอย่างเฉยเมย ” ลงนรก? คุณไม่รู้สึกหรอว่าที่ที่ฉันอยู่ตอนนี้มันคือนรก ”
คุณก็คือปีศาลในนรก
เย่ฉ่าวเฉินเชยคางเธอขึ้น แล้วยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาค่อยๆพูดอย่างจริงจังว่า ” มู่เวยเวย เธอนี่มันนับวันยิ่งเหิมเกริมใหญ่แล้วนะ มันเป็นเพราะว่าช่วงนี้ฉันดูแลเธอไม่ดีพอสินะ! ”
มู่เวยเวยรู้สึกโมโหมาก เธอยื่นมาออกไปเพื่อหยุดเขา แต่ว่าเธอก็สู้แรงของเขาไม่ได้อยู่ดี เธอรู้สึกหนาวสั่นในใจ และทันใดนั้นนั้นพอรู้ตัวอีกทีเธอก็นอนอยู่ที่พื้นแล้ว……
ความเย็นจัดบนแผ่นหลังของเธอ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหนาวสั่น ทันใดนั้นเธอก็ได้เหลือบไปเห็นไฟฉายที่อยู่บนหัวเตียง เธอรีบยื่นมาไปหยิบมันมาแล้วส่องไปที่ตาทั้งคู่ของเย่ฉ่าวเฉิน
แสงที่สว่างจ้าขึ้นมากะทันหัน ทำให้เย่ฉ่าวเฉินมองเห็นละบากไปชั่วขณะ เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธ ” มู่เวยเวย ยัยผู้หญิงที่น่าตายคนนี้! เธออยากให้ฉันตาบอดรึยังไง! ”
มู่เวยเวยใช้โอกาสนี้ผลักเขาออก และพุ่งตัวที่เปลือยอยู่ไปที่ห้องน้ำ แล้วล็อกประตูห้องน้ำทันที เธอรู้สึกโล่งอกไปที
มองไปที่หัวเขาที่เขียงช้ำไปหมด มู่เวยเวยก็อดไม่ได้ที่จะด่าเขาอย่างเงียบๆ: เย่ฉ่าวเฉิน ไอ้คนบ้านี้! ฉันขอสาปแช่งให้นายตาบอดไปเลย!
เย่ฉ่าวเฉินที่ปิดตาอยู่พอลืมตาขึ้นมาก็ค่อยๆเห็นภาพอย่างชัดเจน พอเห็นว่าในห้องนอนไม่มีแม้แต่เงาของเธอ ในใจของก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาทันที
พอนึกเธอเรื่องที่เธอต่อต้านเขา เย่ฉ่าวเฉินก็โกรธมาก ยัยผู้หญิงน่าตายนี่ ตอนนี้ถึงกับกล้าต่อต้านเขางั้นหรอ?
ในที่สุดเธอก็ไม่ให้เขาแตะเนื้อต้องตัวได้! ดีมาก!
เธอจะรักนวลสงวนตัวไปเพื่อใคร? หนานกงเฮ่างั้นหรอ!
พอคิดแบบนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกคับแค้นใจมาก แล้วกวาดมือควานหาไฟฉายบนหัวเตียงนั่นจากนั้นก็โยนลงพื้นอย่างสุดแรง
มู่เวยเวยที่หลบอยู่ในห้องน้ำ ได้ยินเพียงเสียง ” ตึกตัก– ” เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แล้วบ่นอย่างเงียบๆ: เป็นบ้าอะไรอีก! มีปัญญาก็ตีตัวเองสิ!
เย่ฉ่าวเฉินเหลือบไปมองเศษที่ตกแตกอยู่ที่พื้นอย่างไม่แยแส และหันหลังเดินออกไปทางประตูห้องนอน เมื่อเขาเดินผ่านประตู เขาก็ทุบประตูอย่างแรง
มู่เวยเวยที่หลบสังเกตการณ์อยู่ข้างนอก พอได้ยินเสียงปิดประตู เธอก็แน่ใจว่าเขาออกไปแล้ว เธอรู้สึกโล่งอกแล้วค่อยๆเดินออกมาด้วยความระมัดระวัง
เมื่อมองไปที่ไฟฉายที่แตกเป็นเศษอยู่บนพื้น เธอก็รู้สึกปวดใจนิดหน่อย เธอคิดได้ว่าต้องเก็บกวาดให้เรียบร้อย แต่สิ่งที่เธอทำก่อนอันดับแรกคือเดินไปล็อกประตูก่อนเผื่อเขาจะเดินกลับมาอีกรอบ
พอเปิดประตูห้องแล้ว มู่เวยเวยก็เริ่มเก็บกวาดให้เรียบร้อย จากนั้นก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องอยู่นาน จากนั้นมู่เวยเวยพึ่งจะเดินออกจากห้อง
เธอเดินลงบันไดไป มู่เวยเวยอยากไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ เธอเดินผ่านห้องรับแขกก็ได้เห็นเฉียวซินโยวที่กำลังนั่งดูข่าวบันเทิงอยู่
มู่เวยเวยไม่อยากสนใจเธอ และเดินตรงไปตรงประตูทางออก แต่ความรู้สึกของเฉียวซินโยวไม่ได้เหมือนกับเธอ รู้สึกได้ว่าเมื่อกี้ที่เดินผ่านหน้าเธอ ก็ได้ยินเสียงแว่วมาจากข้างหลังว่า ” นี่เธอจะไปไหนเนี่ย? คงไม่ใช่มีนัดเดทกับผู้ชายหรอกนะ? ”
มู่เวยเวยทำหน้าตึงเครียดแล้วหันหลังไปพูดกับเธอนิ่งว่า ” เฉียวซินโยวปากของเธอนี่เก็บออกมาจากส้วมหรือไง? ทำไมถึงได้พูดจาสกปรกแบบนี้?
เฉียวซินโยวยิ้มอย่างเย็นชา สายตาของเธอเต็มไปด้วยความดูถูก ” ปากของฉันจะพูดยังไงก็ต้องดูที่คน ถ้าเป็นคนดีฉันก็จะพูดแต่คำยกย่อง แต่ถ้าเผชิญหน้ากับคนเลวฉันก็จะพูดอย่างไม่เกรงใจเช่นกัน! ”
” อ้อ หรอ? ” มู่เวยเวยตอบกลับเบาเบา ” เธอเป็นถังขยะหรอ? ยังมีการเลือกด้วยว่าจะใช้คำพูดยังไง? ”
เฉียวซินโยวหน้าเสีย แล้วลุกก้าวเดินไปข้างหน้าตลไปที่หน้ามู่เวยเวยหนึ่งที มองไปที่หน้าเธอที่ค่อยๆแดง ในใจของเธอรู้สึกสะใจมากแล้วพูดว่า ” ฉันจะสั่งสอนปากเธอแทนเอง ช่างน่าอายจริงๆ ”
มู่เวยเวยแสยะยิ้มเล็กน้อย แล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ก็ยกมือขึ้นแล้วตบคืนไปที่หน้าเธอทันที มองไปที่เธอด้วยอารมณ์โกรธมากแล้วพูดขึ้นอย่างนิ่ง ” เธอมันน่าไม่อาย ฉันทำได้เพียงสั่งสอนปากของเธอ เผื่อว่าเธอจะยังไมรู้ตัวเอง! ”
เฉียวซินโยวใช้มือปิดไปที่ปากที่โดนตบเมื่อกี้ของเธอ แล้วตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ ” มู่เวยเวยนางผู้หญิงชั้นต่ำ เธอกล้าตบฉันงั้นหรอ? ”
” ใช่ ตบไปที่หน้าแสแสร้างใบนี้ของเธอนั้นแหละ! ” มู่เวยเวยพูดขึ้นพร้อมกับจ้องเธออย่างเย็นชา
หน้าของเฉียวซินโยวโกรธมากอย่างเห็นได้ชัด ตบนี้ของมู่เวยเวยถทอเป็นการตบที่อัปยศมากสำหรับเธอ ไม่มีใครเคยทำแบนี้กับเธอมาก่อน ความโกรธเกลียดในใจของเธอมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย เธอคิดว่าเธอต้องลงมือทำอะไรสักอย่าง
ในตอนนี้เอง เย่ฉ่าวเฉินก็ได้โผล่มาอยู่ตรงบันได เฉียวซินโยวใช้โอกาสนี้ เธอรีบเปลี่ยนหน้าราวกับว่าเป็นนักแสดงละครเปลี่ยนหน้าอย่างงั้นเลย แสร้งทำเป็นนางเอกน่าสงสารและใช้น้ำเสียงที่น่าสงสาร
” เวยเวย ฉันว่าว่าเธอไม่อยากเห็นหน้าฉัน เธอไม่อยากให้ฉันอยู่คฤหาสน์ตระกูลเย่ไม่ใช่หรอ? ฉันออกไปเองเธอพอในรึยัง? ”
มู่เวยเวยก็เห็นเย่ฉ่าวเฉินพร้อมกับเฉียวซินโยว เธอก็คิดในใจว่าเฉียวซินโยวเจอที่พึ่งแล้วสินะ
มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ คำพูดของเฉียวซินโยวทำให้เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามา เห็นเพียงว่าเขารีบเดินมาอยู่ข้างๆเธอ แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ” ซินโยว เธอเป็นอะไร? ”
เฉียวซินโยวที่ใช้มือปิดปากอยู่จู่ๆก็เอามือออกเผยให้เห็นหน้าที่บวมแดงและมีเลือดซิบๆออกมาเล็กน้อยของเธอ
ทำเป็นน้ำตาไหลริน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า ” ฉ่าวเฉิน คุณให้คนส่งฉันออกจากบ้านไปเถอะ ฉันอยู่ที่นี่คงไม่ค่อยเหมาะสม ”
พอพูดจบ ก็ทำเป็นมองมู่เวยเวยอย่างไม่ได้ตั้งใจ
มู่เวยเวยแสยะยิ้มอย่างเย็นชา เธอไม่รู้เลยว่าตบของเธอจะแรงขนาดนี้ ถึงขั้นตอบจนเลือกซิบได้! แต่ก็เอาเถอะเธอคิดแล้วว่าจะต่อกรกับเธอจริงๆ ถือว่าไม่เสียแรง!
เมื่อเทียบกับครั้งที่แล้วที่เธอจงใจทำตัวเองตกบันได เลือดซิบแค่นี้มันเทียบอะไรไม่ได้เลย
แต่ว่ามู่เวยเวยไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ที่เอาแต่ปิดปากเงียบ แล้วให้เย่ฉ่าวเฉินมาจัดการกับเธอต่ออีกรอบ
ถึงแม้เธอไม่อยากอธิบาย แต่ว่าสถานการณ์ตรงหน้ามันจำเป็น
สีหน้าของมู่เวยเวยแสดงออกมาว่าตกใจ แล้วพูดขึ้นว่า ” ซินโยว นี่เธอพูดอะไรล่ะ? อยู่ดีดีทำไมถึงจะย้ายออกไปล่ะ? ”
พอพูดประโยคนี้เสร็จ ก็ยกมือขึ้นมาเสยผมตัวเองขึ้นนิดเล็กน้อย และเผยให้เห็นแก้มขวาที่บวมแดงอย่างเต็มที่ เฉียวซินโยวก็รู้สึกลอกแลกทันที
เย่ฉ่าวเฉินทำหน้าเคร่งขรึม พอเห็นรอยแดงบนหน้ามู่เวยเวยก็ตกใจเล็กน้อย และค่อยๆเปิดปากถามขึ้นว่า ” นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? ”
เฉียวซินโยวกัดไปที่ริมฝีปากล่างของตัวเองเพื่อให้รู้สึกเจ็บแล้วน้ำตาก็ไหลออกมามากขึ้น แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงลำบากใจ ” ฉ่าวเฉิน เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับเวยเวย เป็นเพราะฉันเอง ฉันอยากออกไปจากที่นี่ ”
” เพราะอะไร? ”
เฉียวซินโยวทำหน้าทำตาเสียใจ แล้วพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ” ฉันมันเป็นคนนอก จะอยู่ที่นี่ต่อไป คนอื่นจะเอาไปนินทาเปล่าๆ ”
เย่ฉ่าวเฉินเห็นถึงการแสดงออกของเธอที่เปราะบาง และรู้สึกไม่สบายใจเมื่อเห็นปากที่บวมแดงของเธอ แล้วพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ “บอกฉันมา ใครทำให้ปากของเธอเป็นแบบนี้? ”
เฉียวซินโยวได้ยินอย่างนั้น น้ำตาก็พลุ่งพล่านออกมามากกว่าเดิมราวกับว่าโดนทำร้ายอย่างหนักหนาสาหัสมาก แล้วพูดขึ้นอย่างน่าสงสาร ” ฉันทำตัวเอง! ”
เย่ฉ่าวเฉินจับมือเขาแล้วพูดขึ้นว่า ” ฉันจะฟังความจริง! ”
มู่เวยเวยเงยหน้ามองไปที่สามีของเธอกับการแสดงออกที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนอย่างเย็นชา ไม่สนใจภรรยาที่หน้ายวมแดงเลยแม้แต่น้อย แต่กลับไปใส่ใจผู้หญิงอีกคนต่อหน้าเธอ!
เธอคิดในใจ เธออาจจะทำเลวเป็นเฉียวซินโยวไม่ได้ เธอไม่ได้ทำร้ายแค่คนอื่น แต่เธอทำร้ายตัวเธอเองด้วย เธอนี่มันบ้าจริงๆเลย!
ท่าทีของเฉียวซินโยว ทำให้เย่ฉ่าวเฉินหันมามองมู่เวยเวยด้วยสายตาที่เย็นชา แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงดมโปว่า ” มู่เวยเวย ใช่เธอมั้ย? ”
มู่เวยเวยขมวดคิ้ว แล้วฉีกยิ้มออกพร้อมกับถามว่า ” คุณไม่เห็นรอยแดงบนแก้มขวาของฉันหรอ? หรือว่าเป็นเพราะฉันไม่ไก้ร้องไห้ คุณถึงได้ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเลย? ”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วและไม่ได้พูดอะไร
มู่เวยเวยยิ้มแล้วพูดอย่างเฉยเมย ” ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันขอตัวก่อนนะ ไม่รบกวนเวลาส่วนตัวของทั้งสองที่จะอยู่กันตามลำพังแล้ว ”
มองไปที่มู่เวยเวยที่กำลังเดินออกไป เฉียวซินโยวไม่พอใจมาก ทันใดนั้นเธอกลับหลับตาทำราวกับว่าหมดสติไป
” ซินโยว เธอเป็นอะไรไป? ” เย่ฉ่าวเฉินตกใจเล็กน้อย และรับร่างของเธอที่ล้มลงไว้พร้อมกับตะโกนขึ้นอย่างรีบร้อน ” จางเห่อ! ”
จางเห่อพอได้ยินเสียงเรียก ก็รีบตรงเข้ามาหาเย่ฉ่าวเฉิน และเห็นเฉียวซินโยวที่หมดสติไปตรงหน้า เขาตกใจเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า” คุณชาย”
” รีบไปตามคุณหมอหานมา! ”
” ครับ ”
เย่ฉ่าวเฉินอุ้มเธอขึ้นห้อง พอเดินผ่านห้องของเธอ เขาทำหน้าจริงจังทันทีแล้วสั่งกับคุณอาหวังที่ยืนอยู่ข้างๆว่า ” คุณอาหวัง หลังจากวันนี้ อย่าให้คุณหนูออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว! ”
คุณอาหวังตกใจและอดไม่ได้ที่จะพูดว่า ” คุณชาย แบบนี้มันไม่ดีมั้งครับ? ”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องเขาอย่างเย็นชา คุณอาหวังก็เงียบลงทันที เขาจึงพูดขึ้นว่า ” นายไปบอกเธอ ว่าให้ลองทบทวนดูดีดี คิดไดเมื่อไหร่ก็ค่อยออกมาเมื่อนั้น! ”
คุณอาหวังพยักหน้า แล้วพูดว่า ” รับทราบครับ ”
มู่เวยเวยโดนกักบริเวณ ประตูถูกล็อกจากด้านนอก คุณอาหวังบอกว่ากุญแจอยู่ที่เย่ฉ่าวเฉิน ซึ่งก็หมายความว่า เธอจะออกมาได้ยังไงก็ขึ้นอยู่กับเย่ฉ่าวเฉิน
มองขึ้นไปบนเพดาน มู่เวยเวยก็หัวเราะออกมาด้วยความเยาะเย้ย เธอรู้สึกว่ามันน่าตลกมากช่างน่าสมเพชมากจริงๆ
เธออยากร้องไห้ แต่ทำยังไงเธอก็ร้องไห้ไม่ออก
เฉียวซินโยวตบหน้าเธอ เขาที่เป็นสามี ไม่ถามอะไรเธอเลยสักคำ
มันก็ใช่สินะ ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้เขาไม่เคยแคร์เธอจริงๆเลยสักครั้ง แม้แต่งานแต่งงานยังเป็นการแต่งเพื่อชดใช้เลยเขาจะใส่ใจเธอได้ยังไงกัน?
เธอไม่โทษใครเลย ถ้าจะโทษเธอขอโทษตัวเองที่อ่อนแอมาก อ่อนแอที่ไม่สามารถสู้เขาได้ อ่อนแอที่ไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตตัวเองได้!
ในตอนนี้เธอที่เธอกำลังคิดไปต่างๆนานาเธอก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง ที่แท้ก็เป็นเสียงของการเปิดประตูห้องนี่เอง
” คุณหนู อาหารจัดวางไว้ที่โต๊ะแล้ว กินเยอะๆนะ ” ฉินหม่าพูดขึ้นด้วยความนอบน้อม
มู่เวยเวยโบกมือและพูดว่า ” ฉันรู้แล้ว ฉินหม่าไม่ทำอย่างอื่นเถอะ ”
ฉินหม่าถอนหายใจแล้วพูดว่า ” โอเค ”
พอฉินหม่าออกไปแล้ว มู่เวยเวยก็มองไปที่อาหารที่ค่อยๆเย็นลงเรื่อยๆ แต่เธอกลับไม่มีความอยากกินอาหารเลย
เธอก็ยังคงเป็นเหมือนนกขมิ้นที่ถูกขังไว้ในกรงเหล็ก ไม่ได้สูญเสียไปแค่อิสรภาพ แต่ยังสูญเสียศักดิ์ศรีไปด้วย
เธอไม่พอใจ!
มู่เวยเวยกำมือแน่น เธอไม่ชอบแย่งชิงอะไรกับใคร แต่ว่าเฉียวซินโยวไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆ เธอทำร้ายเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วเธอก็ยังต้องเผชิญกับหายนะจากเย่ฉ่าวเฉินซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ค่อยๆลุกขึ้น มู่เวยเวยมองออกไปที่ท้องฟ้านอกหน้าต่าง ในใจเธอมีความคิดที่กล้าหาญผุดขึ้นมา
ฉันจะหนีออกไปจากที่นี่
พอคิดได้แบบนี้ มู่เวยเวยก็โดดลงจากเตียง แล้วพยายามหาเชือกรอบห้อง ที่เธออยู่ตอนนี้แค่ชั้นสอง เธอปีนออกไปทางหน้าต่างก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่ว่าเธอพยายามหาทั่วห้องแล้ว แม้แต่เชือกเส้นเดียวเธอก็หาไม่เจอ ไ เชือกที่จะสามารถรับน้ำหนักตัวเธอได้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
มู่เวยเวยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกท้อแท้ เธอโดดขึ้นเตียงสุดแรงโดยสองมือของเอจับเตียงนุ่มๆของเธอไว้ ทันใดนั้นตาเธอก็เป็นประกายขึ้นทันที และมีความมั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง
เพราะว่างานออกแบเครื่องแต่งกาย เธอมีอุปกรณ์บางอย่างพกติดตัวไว้ เช่น กรรไกร
เธอเอากรรไกรออกจากกระเป๋า มู่เวยเวยใช้มันตัดลงบนผ้าปูที่นอนของตัวเองจนผ้าปูที่นอนแยกออกเป็นหลายๆเส้น และเธอก็ผูกปมไว้ที่ชายผ้าแต่ละเส้นเพื่อวัดความยาว และเธอก็เห็นว่ามันยังยาวไม่พอ
เธอค้นหาทั่วห้อง และไปสะดุดตากับผ้าม่านที่ลอยไปมาอยู่ เธอก้าวไปข้างหน้าและทำการตัดให้เรียบร้อย ด้วยความสามารถของเธอก็ตัดเป็นเส้นๆได้อย่างง่ายดาย
พอเตรียมทุกอย่างเส้นแล้ว มู่เวยเวยก็เอาเชือกที่ทำขึ้นซ่อนไว้ใต้เตียง และรอเวลาให้ถึงตอนกลางคืน
มุ่เวยเวยรีบกินข้าวที่เย็นแล้วอย่างมูมมาม และทันใดนั้นเธอก็คิกขึ้นได้ ระบบรักษาความปลอดภัยของเย่ฉ่าวเฉินหนาแน่นมาก เธอต้องวางแผนเส้นทางการเดินทางล่วงหน้าให้ดี
เพราะว่าเธอต้องเดินทางในตอนกลางคืน ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำก็คือเติมพลังให้ตัวเอง มู่เวยเวยขึ้นไปนอนลงบนเตียง หลับตาแล้วเข้าสู่การหลับอย่างง่ายดาย……
เธอลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ รอบๆห้องมืดสนิทมีเพียงแสงจันทร์ที่ส่องผ่านกระจกห้องเข้ามา
พอมู่เวยเวยคิดได้ เธอก็รีบลุกออกจากเตียงทันที และยกนาฬิกาขึ้นภายใต้แสงจันทร์ เข็มนาฬิกาชี้ไปที่ห้าทุ่นแล้ว
มู่เวยเวยรีบไปหยิบกระเป๋าที่เตรียมทุกอย่างไว้แล้วออกมาจากตู้เสื้อผ้า ข้างในมีพวกของใช้ในชีวิตประจำวัน
เอาเชือกออกมาจากใต้เตียง เธอมัดเชือกไว้ตรงหัวเตียงอย่างแน่นหนา อีกด้านหนึ่งของเชื่อก็มัดไปที่เอวตัวเอง แล้วก็ค่อยๆพุ่งตัวออกไปทางหน้าต่าง ใช้เชือกนั้นช่วยพยุงตัวและค่อยๆเคลื่อนตัวไปข้างล่าง
พอเท้าแตะที่พื้นแล้ว มู่เวยเวยก็รู้สึกโล่งใจ และปลดเชือกที่เอวออก จากนั้นก็พุ่งตัวไปที่ประตูทางออกหน้าบ้าน……
เมื่อได้ยินเสียงร้องจากพพนักงานรักษาความปลอดภัย เย่ฉ่าวเฉินก็ลืมตาขึ้น และลุกออกจากเตียงด้วยความสะลึมสะลือ
” จางเห่อ นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว สายตาของเขาดุไม่พอใจ และพาตัวเองไปนั่ลงบนโซฟา และรอให้พวกเขาอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้น
จางเห่อเอาแต่กุมหัวไว้แน่น ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี ผ่านไปหลายวินาทีจึงค่อยๆยกหน้าขึ้นแล้วพูดว่า ” คุณชาย เราจับตัวคนที่คิดจะปีนกำแพงหนีได้คนหนึ่ง คนคนนี้ก็คือ……”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว แล้วถามขึ้นด้วยเสียงแหบแต่เต็มไปด้วยพลัง ” คือใคร? ”
” คือคุณหนูครับ! คุณหนีอยากจะหนีออกไป แต่โชคดีที่โดนพี่น้องเวรยามคืนนี้สกัดไว้ได้สะก่อน ไม่ทราบว่าคุณชายจะจัดการยังไงดีครับ? ”
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง แล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า ” ไปพาตัวเธอมา ”
ก็ดี กล้าหนีงั้นหรือ ดูเหมือนว่าจะกล้าหาญมาก
ในตอนนี้เองที่มู่เวยเวยถูกพาเข้ามา เขาไปที่เธอ เขาก็ยิ้มเยาะเย้นออกมา ใส่แค่เสื้อเชิ้ตกางเกงยีนต์กับรองเท้าผ้าใบ เธอใส่แบบนี้ก็กล้าที่จะหนีงั้นหรอ?
มู่เวยเวยเพิกเฉยต่อสายตาของเขาแล้วมองไปทางอื่น ในใจของเธอรู้สึกผิดหวังมาก เธอรู้อยู่แล้วว่าจะโดนจับได้ แต่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้!
” ดึกดื่นป่านนี้เธอจะไปไหน? “เย่ฉ่าวเฉินออกอก เขาพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่เยาะเย้ย