สีหน้าของมู่เวยเวยนิ่งสงบมาก และตอบอย่างลุกลี้ลุกลน ” ฉันจะไม่ที่ไหนก็ได้หมด ขอแค่ไม่ใช่อยู่ที่นี่ก็พอ ”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วค่อยๆลุกยืนขึ้นจากนั้นถามด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “รู้ใช่ไหมว่าฉันเกลียดคนที่โอหังที่สุด? เธอคิดว่าฉันควรจะจัดการเธอยังไงดี? ”
สีหน้าของมู่เวยเวยเยือกเย็น หน้าเธอทวีความโหดมากขึ้น และเธอตะโกนออกมาสุดเสียง “เย่ฉ่าวเฉิน จะฆ่าจะแกงก็ตามใจคุฯเลย ไม่ต้องมาเสียเวลาถามฉัน ถึงยังไงฉันก็ไม่มีกำลังที่จะต่อต้านอะไรได้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ? ”
ไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว ทำไมต้องหน้าไหว้หลังหลอกด้วย?ยังไงเธอก็ไม่รู้สึกซาบซึ้งอะไรอยู่แล้วแต่จะเกลียดเขามากขึ้นมากกว่า!
มองไปที่หน้าของเธอที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกสงสัยและเขาก็โบกมือจากนั้นก็พูดอย่างเฉยเมย ” ในเมื่อก็รู้อยู่แล้วว่าไม่มีความสามารถพอที่จะต่อต้าน แล้วทำไมถึงยังได้ทำการกระทำโง่ๆแบบนี้ล่ะ? ”
มู่เวยเวยแสยะยิ้มแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา ” คุณทำกับฉันราวกับว่าฉันเป็นนักโทษที่อยู่ในคุก ยังจะหวังให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งอย่างนั้นหรอ! ”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว แล้วยกยิ้มมุมปากแล้วพูดอย่างเฉยเมยว่า ” นี่สินะสิ่งที่เธอไตร่ตรองดีแล้ว? ทำร้ายคนอื่นโดยเจตนา แล้วยังจะมาหาเรื่องกับฉันอีก! ”
“ให้ฉันไตร่ตรองงั้นหรอ? ” มู่เวยเวยแสยะยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ” ฉันต้องทนกับคนบ้าและคนตาบอดทุกวี่ทุกวันจนฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว คนบ้าอาการกำเริบ แล้วคนตาบอดก็ให้ฉันขอโทษคนบ้างั้นสินะ? ”
เมื่อได้ยินคำพูดเหน็บแนมพวกนั้นของเธอ เย่ฉ่าวเฉินชักสีหน้าเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นอย่างเฉยเมยว่า ” ดูเหมือนว่าเธอยังไม่สำนึกผิดสินะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ เธอก็ขึ้นห้องไปลองทบทวนตัวเองดีดีสะนะ คิดได้เมื่อไหร่ ก็ค่อยโผล่หน้ามา! ”
มู่เวยเวยจ้องไปที่เขาด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม ” ก็ได้ ในเมื่อฉันทำผิดมากมายขนาดนั้น ฉันต้องขอโทษด้วยความตายเลยไหม? ถ้าฉันตายแล้วก็สมแก่ใจพวกคุณแล้วนี่ใช่ไหม? ”
มองไปที่เธอที่ไม่ยอมคลายความโกรธง่ายๆ เย่ฉ่าวเฉินคว้ามือเธอขึ้นทันที เขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ” มู่เวยเวย เธอกำลังกดดันฉัน? ”
” ฉันจะกล้าได้ยังไง? “สิ่งที่มู่เวยเวยพูดเป็นความจริง แต่ว่าน้ำเสียงของเธอหนักแน่นมาก ” ที่ฉันพูดเพราะสำนึกผิดแล้วจริงๆ ”
” มู่เวยเวย อยากคิดนะว่าจะใช้คำพูดพวกนี้มากดดันฉันได้! ฉันเย่ฉ่าวเฉินเกลียดการถูกคนอื่นกดดันมาก ไม่ต้องกลัยขึ้นไปที่ห้องแล้ว ตอนนี้ฉันจะให้โอกาสเธอได้มีอิสระ ”
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างเฉยเมย แล้วยื่นมือไปหยิบมีดผลไม้ขึ้นมาจากนั้นก็โยนไปตรงหน้ามู่เวยเวย
มู่เวยเวยหยิบมีดขึ้นมาอย่างไม่ลังเล แล้วยกขึ้นจะกรีดลงที่ข้อมือตัวเองอย่างไม่รอช้า
ในวินาทีที่มีดกำลังจะเล็งไปที่เส้นเลือดของเธอ ก็เห็นเย่ฉ่าวเฉินที่พุ่งตัวเข้ามาหาเธอตรงหน้า และรีบดึงมีดออกไปทันที สีหน้าของเขาโกรธมาก ” มู่เวยเวย เธอกล้ามากจริงๆ! ”
สีหน้าของมู่เวยเวยนิ่งราวกับน้ำ เหมือนกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้จะกรีดข้อมือตัวเอง แต่จะหั่นเต้าหู้ยังไงอย่างนั้น แล้วพูดขึ้นอย่างไร้อารมณ์ ” ที่คนยังมีชีวิตอยู่ก็เพราะอยากได้ความสุขกันทั้งนั้น ในเมื่อมันไม่มี มีชีวิติยู่ต่อไปมันจะมีความหมายอะไร? ”
เธอเกลียดที่จะต้องรับมือกับการกระทำบ้าๆของเฉียวซินโยว ทุกวันต้องเตรียมรับมือกับอุบายต่างๆของเธอ และสุดท้ายคนผิดก็กลายเป็นเธอ
เมื่อกี้เธอไม่ได้แค่ขู่เย่ฉ่าวเฉิน แต่เธออยากทำแบบนั้นจริงๆ มีเพียงความตายเท่านั้น เรื่องทุกอย่างถึงจะจบลงไม่ใช่หรอ?
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินซับซ้อนมาก ในหัวคิดถึงภาพที่เธอหยิบมีดขึ้นอย่างไม่ลังเล ในใจกลับมีความรู้สึกแปลกๆผุดขึ้นมา มันคือความรู้สึกอะไรกันแน่ เขาเองก็ไม่เข้าใจจริงๆ
เขารู้เพียงว่าเขาเสียใจ เขาไม่น่าใช้เรื่องนี้ลองใจเธอเลย
เขารู้อยู่แล้วว่า ถึงแม้มู่เวยเวยจะดูเปราะบางอ่อนแอ แต่จริงจริงแล้วเธอมีความกล้าหาญและดื้อรั้นอยู่ในตัว เมื่อสิ่งเหล่านั้นพุ่งออกมา เธอก็จะทำเรื่องที่คาดไม่ถึง
แน่นอน เกือบจะ……
” มู่เวยเวย เธอทำให้ฉันดูเธอเปลี่ยนไปเลย ทำไมแต่ก่อนฉันถึงไม่รู้ว่าเธอมีความเด็ดขาดมากขนาดนี้? ”
มู่เวยเวยรู้ว่าเขาพูดถากถางเธอ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เธอเพียงแค่ตอบอย่างนิ่งๆ ” ฉันยอมรับ ”
” เป็นเพราะเธอซ่อนมันไว้ดีเกินไปหรือเป็นเพราะฉันรู้จักเธอน้อยเกินไป? ”
มู่เวยเวยไม่อยากตอบ
แต่เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้โกรธ ปละพูดขึ้นนิ่งๆว่า “หวังว่าเธอจะเก็บมันไว้เป็นอย่างดี อย่าตายไปก่อนเด็ดขาด ถ้าไม่งั้นมันจะไม่สนุก ใช่ไหมล่ะ?”
พอพูดเสร็จ ก็ไม่สนใจเขาอีกแล้วเดินขึ้นชั้นสองไปเลย
มองดูเงาของเขาที่เย็นชาและกำยำของเขา มู่เวยเวยก็ขมวดคิ้ว สุดท้ายก็ทำได้เพียงเดินขึ้นบ้านอย่างเงียบๆแล้วเดินกลับมาที่ห้องนอนอีกครั้ง
……
เช้าวันที่สองหลังตื่นนอน มู่เวยเวยดูให้แน่ใจแล้วว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่ได้กักบริเวณเธอ เธอก็รู้สึกโล่งใจ
การกระทำที่กล้าหาญแบบเมื่อวาน ไม่ใช่จะกล้าทำออกมาอย่างง่ายๆ
ค่อยค่อยลุกออกจากเตียง มองไปบนหัวเตียงที่ยังคงมีเชือกที่ทำมาจากผ้าปูเตียงและผ้าม่าน เธอก็ถอนหายใจ
ยื่นมือไปแกะปมที่ผูกไว้ออก หลังจากนั้นก็โยนมันเข้าลิ้นชักข้างเตียง
เข้าไปอาบน้ำสักหน่อย ในตอนนี้เอง ก็ได้ยินเสียงฉินหม่ามาจากหน้าประตู
” เข้ามาสิ ” มู่เวยเวยพูดขึ้นพร้อมกับจัดเตียงไปด้วย
ประตูถูกเปิดออกจากข้างนอก ฉินหม่าปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า และฉินหม่าก็พูดขึ้นอย่างนอบน้อม ” คุณหนู คุณชายบอกว่าตั้งแต่นี่ไป อาหารทั้งสามมือภายในบ้านคุณหนูต้องเป็นคนรับผิดชอบ ”
พอได้ยินที่ฉินหม่าพูดจา มู่เวยเวยก็พูดด้วยสีหน้านิ่งๆ ” ฉันทำอาหารไม่เป็น ”
” คุณชายพูดไว้แล้ว ว่าให้ฉันเป็นคนสอนคุณ วันนี้คุณต้องเริ่มเข้าครัวเลย ” ฉินหม่าตอบอย่างเห็นอกเห็นใจ เธอเองก็ลำบากใจ
มองไปที่มือขาวๆน้อยๆของมู่เวยเวย ดูก็รู้ว่าไม่เคยเข้าครัว ในห้องครัวนั้นสำหรับมือใหม่แล้ว มันต้องสัมผัสความร้อนบ้าง เผาโดนมือบ้าง ถ้าหากคุณชายถามหาคนรับผิดขึ้นมา เธอเองก็ไม่รู้จะรายงานยังไง
แต่ว่ายังไงก็เป็นคำสั่งของคุณชาย เธอก็ไม่กล้าที่จะขัดคำสั่ง ก็ทำได้เพียงสอนเมนูอาหารที่ง่ายง่ายให้กับมู่เวยเวย อะไรที่อันตายเธอจะเป็นคำช่วยทำเอง
พอมู่เวยเวยได้ยินคำพูดของฉินหม่าแล้วเธอไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า ” ฉันรู้แล้ว ”
เพราะว่าตอนกลางวันเย่ฉ่าวเฉินต้องทำงาน ถ้าอย่างนั้นหนึ่งวันสามมื้อของเย่ฉ่าวเฉินก็คงจะเป็นแค่มื้อเย็นเพียงมื้อเดียว เพราะว่ามื้อเช้าเขารีบมาก มือการวันก็กินที่บริษัท ก็เหลือแต่มื้อเย็นที่เธอต้องเตรียมให้เขา
มู่เวยเวยก็นั่งรถมาที่บริษัททันที และเฉียวซินโยวเองก็ได้มาถึงบริษัทอยู่แล้วตั้งใจเหลือบไปมองเธอแวบหนึ่ง แผลริมฝีปากหายไวดีนี่
เดิมทีเฉียวซินโยวอารมณ์ก็ยังดีดีอยู่ แต่พอเห็นหน้าเวยเวยก็อารมณ์เสียขึ้นมาทันที
เธอได้ยินป้าแม่บ้านพูดกันตอนเช้าว่ามู่เวยเวยทนไม่ได้และปีนดำแพงเพื่อหนีออกจากบ้าน แต่ก็โดนเวรยามที่รักษาความปลอดภัยจับตัวได้สะก่อน เลยถูกพาตัวกลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลเย่เหมือนอย่างเดิม
แต่ว่าเรื่องที่ทำให้คนไม่คาดคิดก็คือ เธอไม่ได้เย่ฉ่าวเฉินลงโทษแต่เย่ฉ่าวเฉินกลับเลิกกักบริเวณเธอ!
นี่มันยังไงกันแน่?
เฉียวซินโยวพยายามระงับความไม่พอใจของตัวเองไว้ แล้วแสดงสีหน้าออกมาอย่างมีความสุขแล้วพูดอย่างเย้ยหยันว่า ” เมื่อวานได้ยินว่าอยากหนีออกไป แต่โดนยามจับได้อย่างงั้นหรอ? ”
มู่เวยเวยเปิดคอมแล้วป้อนรหัสผ่าน จากนั้นก็ลงมือทำงานออกแบบใหม่โดยไม่สนใจสิ่งเธอกำลังพูดยั่วยุ
เฉียวซินโยวหน้าเสีย แล้วทำหน้าทำตาชั่วร้าย และคิดอย่างโกรธเคืองในใจ: มู่เวยเวย เธอกล้าทำให้ฉันเสียหน้างั้นหรอ ได้เธอคอยดูได้เลย ฉันจะทำให้เธอเสียใจในไม่ช้านี้แน่!
” ฉันเองก็รู้สึกเสียดายนะ ถ้าเธอหนีไปได้ สำหรับฉันแล้วมันจะเป็นผลดีมากมากเลย “เฉียวซิวโนวกล่าวอย่างไม่สงวนท่าที และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจที่เธอหนีไปไม่สำเร็จ
มู่เวยเวยทำหน้านิ่งและพูดขึ้นอย่างไม่แยแส ” เสียดายที่ฉันฉันไม่มีความสามารถร้อยเล่ห์มารยาแบบเฉียวซินโยว ที่หลับตาปุ๊บก็สลบไปทันทีเลย! ถ้าฉันมีความสามารถแบบนี้ฉันคิดว่าฉันคงจะหาทางหนีออกไปได้ตั้งนานแล้ว ”
เฉียวซินโยวไม่พอใจกับคำเยาะเย้นของมู่เวยเวย และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ ” เธออย่าพูดมั่วๆนะ ตอนนั้นฉันเป็นลมไปจริงๆ ”
มู่เวยเวยหัวเราะแห้งแล้วพูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ ” ซินโยว น่าเสียดายมากที่เธอไม่เป็นนักแสดง ฉันนี่นับถือเธอจริงๆ! ”
ในตอนที่จางเห่อไปตามคุณหมอหานมา ก่อนคุณหมอหานจะมา เฉียวซินโยวก็ลืมตาขึ้นทันที เธอจำได้ว่าประโยคแรกที่เธอพูดหลังฟื้นขึ้นมาคือ ” ฉ่าวเฉิน ฉันเจ็บปากมากเลย คุณดูหน่อยว่าฉีกหรือเปล่า? ”
แววตาที่ทำเป็นน่าสงสารบวกกับกริยาท่าทางที่อ่อนโยน เป็นเหมือนกับชู้ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ!
เธออยากจะปรบมือชื่นชมจริงๆ รางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมคงเป็นของเธอได้ง่ายๆแน่ๆ!
เฉียวซินโยวยกยิ้มมุมปาก และไม่สนใจคำพูดเยาะเย้ยพวกนั้นของมู่เวยเวย แต่กลับพูดขึ้นอยากภาคภูมิใจว่า ” มู่เวยเวย เธอควรจะรู้ตัวตั้งนานแล้วนะ เธอสู้ฉันไม่ได้หรอก รู้จักเจียมตัวสะบ้างถ้าไม่ยังงั้นฉันรับรองได้ว่าทุกวันต่อจากนี้ชีวิตเธอจะมีแต่ความหายนะ! ”
มู่เวยเวยตอบกลับด้วยท่าทีและน้ำเสียงนิ่งๆว่า ” เฉียวซินโยว กลอุบายชั่วๆของเธอฉันก็เจอมาหมดแล้ว เธอยังมีอุบายอะไรใหม่ๆอีกงั้นหรอ? ”
พอเฉียวซินโยวฟังจบ เธอก็กำมือแน่น แต่ว่าเธอกลับแสดงออกด้วยสีหน้าที่ยิ้มอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมแล้วพูดนิ่งๆว่า ” มีแน่นอน รับรองว่าเธอจะลืมไม่ลงแน่แน่! ”
” เรื่องนี้ฉันเชื่อนะ ” มู่เวยเวยพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน ” ถ้าอย่างนั้นฉันจะรอดูการแสดงครั้งต่อไปของเธอนะ ”
พอพูดจบก็ไม่สนเธออีกเลยแม้แต่นิด เธอทุ่มเทพลังกายและพลังใจทั้งหมดให้กับงาน แล้วมองไม่เห็นสายตาของเฉียวซินโยวที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย
สำหรับมู่เวยเวยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเฉียวซินโยวหรือเย่ฉ่าวเฉินพวกเขาไม่ได้เป็นทุกอย่างในชีวิตของเธอ มีเพียงแค่ความคิดอุดมคติของเอเท่านั้นที่เธอต้องให้ความสำคัญ
เธอรู้ดีว่าเฉียวซินโยวต้องไม่พอใจและต้องวางแผนทำเรื่องต่างๆอีกเป็นแน่ ถึงยังไงก็หนีไม่รอดอยู่แล้วแล้วทำไมต้องกังวลด้วย?
ถึงเรียกทหารมาปิดเมืองไว้ แต่น้ำก็ท่วมอยู่ดี
พอถึงเวลาเลิกงาน ทั้งสามคนก็กลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลเย่ ถ้าเวลานี้ในทุกวัน ฉินหม่าก็คงจะเตรียมอาหารไว้เสร็จแล้ รอแค่พวกเขาถึงบ้านก็พร้อมทานข้าว
มู่เวยเวยสังเกตเห็นว่าวันนี้ฉินหม่าไม่ได้ทำเหมือนทุกๆวันที่มารอเชิญพวกเขาไปทานข้าวบนโต๊ะอาหาร
แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไร เธอเดินตรงไปที่บันไดและกำลังจะเดินเข้าห้องไปพักผ่อนแต่กลับโดนเย่ฉ่าวเฉินขวางไว้
เมื่อมองไปที่คนบึกบึนราวกับกำแพงที่ยืนขวางอยู่ตรงหน้า มู่เวยเวยก็ขมวดคิ้วแล้วถามอย่างนิ่งๆว่า “นี่คุณทำอะไร? ”