วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 103 ฉันจะปล่อยเธอไปแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้

เย่ฉ่าวเฉินชี้นิ้วไปที่ห้องครัว และพูดด้วยน้ำเสียงคมชัดว่า ” ฉินหม่าไม่ได้บอกกับเธอหรอว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเธอมีหน้าที่รับผิดชอบในการทำอาหาร ”

พอมู่เวยเวยได้ยินเขาพูดอย่างนั้นก็พึ่งนึกได้ถึงคำพูดที่ฉินหม่าพูดเมื่อเช้า เธอยกยิ้มด้วยความเย้ยหยันแล้วพูดขึ้นอย่างนิ่งๆว่า ” ทำไมฉันต้องทำอาหารให้คุณด้วย? ใช้ไม่ใช่แม่บ้านที่คุณจ้างมานะ? ”

อยากจะให้ฉันรับใช้คุณ คุณนี่มันประเมินค่าตัวเองสูงไปรึป่าว!

เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะแห้งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงถากถาง “มู่เวยเวย เธอลืมไปรึป่าวว่าเธอเป็นสิ่งของที่ฉันจ่ายเงินซื้อมา? แล้วตอนนี้ฉันยังเป็นเจ้าหนี้เธออยู่ เหตุผลแค่นี้ไม่พออย่างนั้นหรอ? ”

” เจ้าหนี้? ”

” เธอลืมแล้วหรอว่าเธอเป็นหนี้ฉันหนึ่งล้าน ทำไม ตอนนี้ไม่อยากยอมรับงั้นหรอ? ”

เมื่อเธอได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องเงินหนึ่งล้าน มู่เวยเวยอึ้งไปเล็กน้อย และเธอก็รู้สึกผิดเล็กน้อยในใจ เธอจึงพูดขึ้นว่า ” ก็แค่ทำอาหารไม่ใช่หรอ? จะไปยากอะไร? ”

มองไปที่เธอที่กำลังเดินเข้าไปในห้องครัว เย่ฉ่าวเฉินก็เผลอยิ้มออกมา

ถ้ารู้ว่าเรื่องเงินหนึ่งล้านนั้นมันใช้ได้ผล เขาน่าจะเอาข้ออ้างนี้ออกมาใช้ตั้งแต่แรก!

มู่เวยเวยเดินเข้าไปในครัว เห็นว่าฉินมากำลังเด็ดผักอยู่ มู่เวยเวยเดินไปยืนข้างๆอ่างล้างจานแล้วพูดขึ้นว่า ” ฉินหม่า คุณสอนฉันทำอาหารหน่อยสิ! ”

ฉินหม่าเงยหน้าขึ้น ยากเหมือนกันนะที่เธอจะให้ความร่วมมือมากขนาดนี้ ฉินหม่ารู้สึกโล่งอกไปทีและพูดขึ้นอย่างรีบร้อน ” ได้เลย วันนี้คุณหนูเข้าครัวเป็นวันแรก อย่างนั้นก็เริ่มเรียนจากง่ายง่ายไปก่อนนะ วันนี้คุณหนูก็ลองฝึกล้างผักไปก่อน ”

มู่เวยเวยได้ยินคำพูดของฉินหม่า เธอก็รีบพูดขึ้นอย่างไม่รอช้า ” ได้เลย”

เป็นเหตุนี้ ทั้งสองร่วมมือกันทำอาหารเย็นของวันนี้จนเสร็จ และในห้องรับแขก เย่ฉ่าวเฉินกำลังดูข่าวการเงินภาคค่ำ แต่เซียวซินโยวกลับจ้องไปที่ทีวีแล้วเปิดดูข่าวบันเทิง

แค่คิดถึงภาพที่มู่เวยเวยยุ่งๆอยู่ในครัว เธอก็รู้สึกดีใจจนตัวสั่น เฉียวซินโยวได้ตอนนี้รู้สึกสดชื่นมาก

ยังจะมีอะไรดีไปกว่าการที่ถูกคนที่เกลียดคอยปรนนิบัติรับใช้ล่ะ?

แต่ในทางกลับกันเมื่อเทียวกับเย่ฉ่าวเฉินเขานิ่งเงียบสงบมาก สายตาของเขาไม่ได้จ้องไปที่ห้องครัวแต่เขาเหลือบไปมองเป็นครั้งคราว

จริงๆแล้วในใจของเขาก็มีความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้น หวังเพียงว่าอยากให้อาหารเย็นมือนี้จัดขึ้นโต๊ะไวไว

มู่เวยเวยมองไปที่ฉินหม่าอย่างตั้งใจ ดูท่าทีที่เธอแล่เนื้ออย่าง ปรุงอาหาร แม้กระทั้งการตุ๋นเนื้อหรือทำโจ๊กอย่างชำนาญ จิตใจก็ยากที่จะนิ่งเงียบ เธอรู้สึกว่าอาหารที่เธอได้กินในทุกเช้า มันไม่ได้ออกมาได้ง่ายๆอย่างที่คิด

มองไปที่ฉินหม่าที่ต้องผัดผักไปด้วยพร้อมกับปรุงรสต่างๆไปด้วย เธอก็แอบจำไว้ในใจเงียบๆ

” คุณหนู พอจะดูเข้าใจรึยังคะ? ทุกเมนูที่ทำต้องใส่เกลือ และต้องใส่ซีอิ้วขาวเล็กน้อย สองสิ่งนี้ไม่เพียงช่วยสีสั้นของอาหาร แต่ยังช่วยเพิ่มความอร่อยให้กับอาหารด้วย ”

พอได้ฟังคำอธิบายของฉินหม่า มู่เวยเวยก็พยักหน้าอย่างจริงใจแล้วพูดว่า ” ฉันเข้าใจแล้ว ”

ฉินหม่ากำลังทำเมนูไก่ตุ๋นเห็ด เห็นเธอที่กำลังจัดการนำไก่ที่ทำความสะอาดหมดจดเรียบร้อยแล้วลงไปในหม้อหินด้วยความชำนาญ จากนั้นก็โรยเห็ด ต้นหอม ขิง กระเทียม และเครื่องเทศอื่นๆ และเริ่มปรุงอาหารอย่างช้าๆโดยใช้ไฟกลาง

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ฉินหม่าคิดว่าน่าจะได้ที่แล้ว จึงพูดกับมู่เวยเวยที่ยืนอยู่ข้างๆว่า ” คุณหนู เมนูนี้ขาดแค่ใส่เกลือแล้ว คุณหนูลองใส่เกลือเองดูนะ ”

พอมู่เวยเวยได้ยินอย่างนั้น ก็ไม่รอช้าที่จะเดินไปตักเกลือออกมาหนึ่งช้อนโต๊ะแล้วค่อยๆเทปรุงลงไปในหม้อ

ฉินหม่าจะลองชิมดู แต่ว่าก็คิดขึ้นได้ว่าน่าจะให้คุณชายเป็นคนชิมคนแรก ยังไงสะนี่ก็เป็นการเข้าครัวครั้งแรกของคุณหนู ฉินหม่าคิดว่าปริมาณเกลือน่าจะกำลังดี เลยปิดแก๊สทันที

อาหารเต็มโต๊ะเลย มู่เวยเวยช่วยฉินหม่าเสิร์ฟอาหาร แต่ไม่คิดเลยว่าโดนฉินหม่าห้ามไว้แล้วพูดว่า ” คุณหนู อาหารพวกนั้นมันร้อนมาก คุณไปจัดวางช้อน ตะเกียบดีกว่า ”

มู่เวยเวยไม่ได้ปฏิเสธอะไร จากนั้นก็เดินไปที่โต๊ะอาหารเพื่อเตรียมความพร้อม

เย่ฉ่าวเฉินมองไปบนโต๊ะอาหารที่มีกลิ่นหอมโชยมา ครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองเจริญอาหาร ไม่รอให้ฉินหม่าเรียกเขาก็พูดกับคนที่นั่งข้างๆอย่างเฉียวซินโยวว่า ” ซินโยบาย ไปทานข้าวกันก่อนเถอะ ”

ซินโยวพยักหน้าแล้วเดินไปปิดทีวีจากนั้นก็เดินตามเขาไปที่โต๊ะอาหร มองไปที่อาหารที่หลากหลายเต็มโต๊ะ เธอก็อุทานเสียงหึออกมา

จากการที่เธอรู้จักมู่เวยเวยเป็นอย่างดี เธอเชื่อว่าอาหารต้องไม่อร่อยเท่าไหร่แน่ๆ แล้วถ้าในอาหารมียาพิษล่ะแล้วจะทำยังไง?

พอคิดได้แบบนี้ ซินโยวก็เหมือนจะคิดแผนที่ชั่วร้ายขึ้นอีกครั้ง……

ฉินหม่ามองไปที่เย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะอาหารด้วยสีหน้าท่าทางที่ยิ้มแย้มแล้วพูดออกมาเบาๆว่า ” คุณชาย ไก่ตุ๋นเห็นตรงกลางนี้ คุณหนูช่วงลงมือทำเยอะมาก ท่านและคุณเฉียวลองทานดูนะคะ ”

มู่เวยเวยพอได้ยินแบบนี้ก็ใจแป้ว พูดถึงเรื่องช่วยทำ เธอก็แค่เทเกลือลงไปแค่นั้น นอกนั้นก็เป็นฝีมือของฉินหม่า

แต่ว่าฉินหม่าก็ทำไปด้วยความหวังดี เธอก็ไม่อยากทำให้ฉินหม่าเสียหน้า เธอนั่งเงียบๆอยู่ในที่ของตัวเองแล้วก็กินข้าวต่อไป

พอเย่ฉ่าวเฉินฟังจบก็เงยหน้าขึ้นแล้วเหลือบไปมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็ให้ฉินหม่าตักไก่ให้เขาสองชิ้น เขาใช้ตะเกียบคีบขึ้นแล้วเอาเข้าปาก จากนั้นก็เคี้ยวไปสองทีแล้ววางตะเกียบลง

เขาคิ้วขมวด แล้วพูดขึ้นด้วยความจากลำบาก ” น้ำ ”

มู่เวยเวยขมวดคิ้ว เป็นเพราะว่าใส่เกลือมากเกินไปแล้วเค็มงั้นหรอ?

ฉินหม่ารีบยื่นน้ำให้เขาแล้วมองไปที่เขาด้วยความสงสัยเช่นกัน

” ทำไมมันถึงหวานขนาดนี้? เวยเวย เธอคงไม่ได้คิดว่าน้ำตาลคือเกลือใช่ไหม? ”

เฉียวซินโยวก็วางตะเกียบลงเช่นกัน จากนั้นก็ยกนมขึ้นดื่มอย่างรีบร้อนด้วยสีหน้าที่ทนไม่ได้

เธอคิดว่าจริงๆแล้วมู่เวยเวยตั้งใจ เธอไม่พอใจที่ต้องทำอาหารอย่างนั้นหรอ? แค่เกลือกับน้ำตาลก็แยกไม่ออก?

ในปากมีแต่รสชาติหวานของน้ำตาลทำให้เฉียวซินโยวรู้สึกแสบกระเพาะจึงรีบยกนมขึ้นดื่มทันที แล้วค่อยคลายรสชาติในปากไปได้บ้าง

มุมปากของมู่เวยเวยกระตุก นี่เธอคิดว่าน้ำตาลเป็นเกลือหรือเนี่ย เมื่อคิดถึงรสชาติของเมนูนั้นคิ้วของเธอก็อดไม่ได้ที่จะขมวดเข้าหากัน

เธอโชคดีมากที่เธอไม่ได้กิน ไม่อย่างนั้นแค่คิดถึงรสชาตินั้น ก็อยากอ้วกเต็มทีแล้ว…..

เมื่อมองไปสายตาหยั่งรู้ของเย่ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวยยังคงมีท่าทีที่สงบ แล้วพูดขึ้นอย่างเฉยเมยว่า ” คุณทำไมมองฉันแบบนี้? ”

สายตาของเย่ฉ่าวเฉินเต็มไปด้วยความสงสัยแล้วถามขึ้นอย่างไม่พอใจ ” อย่าบอกฉันนะ ว่าเธอแยกเกลือกับน้ำตาลไม่ออก ”

มู่เวยเวยแสดงออกด้วยสีหน้าไร้เดียงสา แล้วพูดไปตรงๆว่า ” ก็กล่องที่ใส่เครื่องปรุงมันไม่มีเครื่องหมาย ”

พอได้ฟังสิ่งเธออธิบาย เย่ฉ่าวเฉินอึ้งไปเลย แล้วหันหลังไปบอกกับฉินหม่าว่า ” ฉินหม่าหลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว คุณช่วยพาคุณหนูไปที่ชั้นที่วางเครื่องปรุงทั้งหมดไว้แล้วทำเครื่องหมายลงบนเครื่องปรุงทุกขวด ”

พอฉินหม่าได้ยินคำสั่งนั้นก็รีบตอบรับที ” ค่ะ คุณชาย ”

ในใจมู่เวยเวยไม่อยากไป แต่ก็ปฏิเสธอะไรไม่ได้ พึ่งเข้าใจสำนวนนี้ครั้งแรกในชีวิต : อยู่ชายหลังคาบ้านคนอื่น ต้องรู้จักก้มหัว

งานล้างจานหลังจากกินอาหารก็ตกเป็นหน้าที่ของมู่เวยเวย เย่ฉ่าวเฉินออกคำสั่งว่าต้องให้มู่เวยเวยทำด้วยตัวเอง มู่เวยเวยมองท่าทีที่ไม่ดีนักของเขาออกนี่คงเป็นการแก้แค้นของเขาสินะ

มู่เวยเวยใส่ผ้ากันเปื้อน และใส่ถุงมอให้เรียบร้อย จากนั้นก็ยืนล้างจานที่มีแต่น้ำมันอยู่ตรงอ่างล้างจาน

เธอรู้สึกตัวเองในตอนนี้น่าเวทนาสุดๆแล้ว ตั้งแต่แต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉินมา โดนทำร้ายจิตใจก็ไม่น้อย ตอนนี้การทรมานร่างกายได้เริ่มขึ้นแล้ว

เธอสงสัยว่าชาติที่แล้วคงไปทำกรรมกับเขาไว้! ชาตินี่เขาถึงได้ทำกับเธอแบบนี้!

ใช้เวลาไปประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดเธอก็ล้างจานที่กองโตเท่าภูเขานั้นเสร็จจนได้ และรู้สึกปวดเอวและปวดมือขึ้นมาทันที และถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ถอดผ้ากันเปื้อนออกและเดินออกจากห้องครัวอย่างกระสับกระต่าย

เดิมทีแต่อยากตรงไปที่บันไดโดยไม่ผ่านห้องรับแขก แต่ว่าก็ได้พบเข้าไปเย่ฉ่าวเฉินโดยบังเอิญ

สีหน้าของมู่เวยเวยตกใจ ในใจรู้สึกว่าจะมีลางร้าย เธออยากเดินตรงขึ้นบันไดไปแบบไม่สนใจเขา แต่ว่าจากท่าทีเขาแล้วไม่น่าจะยอมปล่อยเธอขึ้นไปง่ายๆ

“ล้างจานหมดแล้วหรอ? ”

มู่เวยเวยหยุดเดินแล้วหันไปตอบว่า ” ล้างเสร็จหมดแล้ว ”

เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าแล้วถามขึ้นอีกครั้ง ” เครื่องปรุงทั้งหมดที่มีได้ทำเครื่องหมายไว้แล้วรึยัง? ”

มู่เวยเวยถอนหายใจ แล้วพูดขึ้นอย่างเหลืออดว่า ” แต่ว่าฉินหม่าไม่อยู่ เครื่องปรุงส่วนใหญ่ฉันก็ไม่รู้จัก ฉันทำไม่ได้หรอก ”

ตอนแรกก็คิดว่าจะหนีรอดสะแล้ว แต่ว่ามู่เวยเวยคงคิดไปเอง

เห็นเพียงเย่ฉ่าวเฉินจิบกาแฟและยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็ค่อยๆพูดขึ้นว่า ” ยังมีอีกวิธีหนึ่ง ”

มู่เวยเวยสีหน้าตกใจแล้วถามขึ้นว่า ” วิธีอะไร? ”

” เธอก็ลองชิมเครื่องปรุงทั้งหมดดูสักรอบหนึ่ง ”

พอฟังเขาพูดจบ มู่เวยเวยก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่เหลือเชื่อ ” เย่ฉ่าวเฉิน คุณคงไม่ได้ล้อฉันเล่นใช่ไหม? และมุกมันไม่ตลกเลยสักนิด! ”

เล่นมุกอะไรห้าบาทสิบบาท

เมื่อกี้ที่ลองเปิดตู้วางเครื่องปรุงออก อย่างน้อยๆในนั้นก็มีเครื่องปรุงไม่ต่ำกว่าร้อยชนิด ถ้าจะให้เธอชิมทีละอย่าง นี่มันเป็นเรื่องที่ยังไงก็เป็นไปไม่ได้!

การแสดงออกของสีหน้าและน้ำเสียงของเยฉ่าวฉ่าวเฉินเต็มไปด้วยความเย็นชาและเคร่งขรึม. ” ฉันไม่ได้ล้อเล่น ”

มู่เวยเวยเม้มปากและพูดขึ้นอย่างเย็นชา ” เป็นไปไม่ได้ ไม่งั้นคุณก็ลองไปชิมเองก่อนสักรอบสิ ”

” เธอคิดว่าเธอมีสิทธิต่อรองหรอ? อย่าลืมนะว่าตอนนี้เธอยังติดเงินฉันอยู่หนึ่งล้าน ในฐานะเจ้าหนี้ ฉันไม่ทวงเงินเธอคืนตอนนี้ ก็ถือว่าเป็นบุญคุณที่ยิ่งใหญ่มากแล้ว ”

เย่ฉ่าวเฉินพูดออกมาอย่างง่ายๆเหมือนกับว่าพูดเรื่องธรรมดาทั่วไป

มู่เวยเวยเมื่อได้ยินเขาเอาเรื่องเงินหนึ่งล้านมาต่อรองอีกแล้ว เธอรู้สึกโกรธมาก เธอเคยเจอคนที่น่ารังเกียจแต่ไม่เคยเจอใครที่น่ารังเกียจเท่านี้มาก่อน

นี่มันเลวทรามต่ำช้าจริงๆ

มู่เวยเวยแสดงออกอย่างแข็งกระด้าง สีหน้าท่าทีของเธอแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ยอมอ่อนข้อเป็นแน่ ” ฉันติดเงินคุณหนึ่งล้านก็จริง แต่ว่าตอนั้นเราตกลงกันไว้แล้วว่าฉันมีเวลาสามปีในการหาเงินมาชดใช้ให้คุณ! ”

” แล้วยังไง? ”

” ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นเจ้าหนี้ฉัน แต่ว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่ต้องเงินเงิน ดังนั้นคุณก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะออกคำสั่งกับฉัน! ”

พอมู่เวยเวยพูดจบก็เดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่สนใจเขาสักนิด

เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่รูปร่างที่ผอมเพรียวของเธอ สีหน้าเคร่งขรึมกะทันหัน และในใจก็มีความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามา

ดีมาก! ตอนนี้กล้าที่จะขัดคำสั่งเขาแล้ว!

เป็นเพราะว่าช่วงนี้ตามใจเธอมากเกินไปสินะเลยทำให้เธอกล้าท้าทายความอดทนของฉันอยู่เรื่อยๆ!

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset