หลังจากฝึกฝนตัวเองมานานกว่าครึ่งเดือน ฝีมือการทำอาหารของมู่เวยเวยถือว่าใช้ได้เลย เธอเข้าใจขั้นตอนและสิ่งที่จำเป็นในการทำอาหารมากพอสมควรแล้ว และในวันนี้เธอตัดสินใจที่จะเริ่มทำจากเมนูง่ายๆอย่างโจ๊กก่อน
ภายใต้คำแนะนำของฉินหม่า มู่เวยเวยจัดแจงปริมาณของโจ๊กแล้วต้มลงในหม้อเล็กๆ จากนั้นก็เติมน้ำลงในปริมาณที่เหมาะสม จากนั้นเปิดฝาหม้อออกแล้วเคี้ยวด้วยไฟกลางก่อน พอน้ำเริ่มเดือดแล้วก็ค่อยๆเบาเป็นไฟอ่อนแทน
ทำงานช้าๆแต่เต็มไปด้วยความพิถีพิถันนี่คือเรื่องจริง
มองไปที่ท่าทางอันคล่องแคล่วของเธอ ฉินหม่าก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ แล้วค่อยๆพูดว่า ” คุณหนูมีศักยภาพที่จะเป็นเชฟได้เลยนะ แค่ไม่กี่วันก็ทำได้ดีมาก ”
มู่เวยเวยส่ายหัว ยิ้มเบาเบาแล้วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน ” จริงๆแล้วเรียนมากๆก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี ถ้าทำอาหารเป็นแล้ว ไปที่ไหนก็ไม่อดตาย ”
จริงๆแล้วสิ่งที่เธอไม่ได้พูดออกไปคือถ้าหากวันหนึ่งพี่ชายกลับมาแล้ว ในตอนนั้นถ้าเคลียร์กับเย่ฉ่าวเฉินได้แล้ว เธออยากทำซุปให้พี่ชายสุดที่รักของเธอ
ฉินหม่าไม่รู้ความคิดที่แท้จริงของเธอ คิดว่าเธอแค่เพียงอยากเรียนทำอาหารให้ดีเพื่อเอาใจและกระชับความสัมพันธ์กับเย่ฉ่าวเฉิน ทุกคนเขาก็คิดแบบนี้กันไม่ใช่หรอ อยากได้ใจของผู้ชายต้องได้มัดใจในด้านอาหารของผู้ชายให้ได้ก่อน!
ทั้งสองคนทำไปด้วยคุยกันไปด้วย จากนั้นไม่นานความร้อนของโจ๊กก็ได้ที่ มู่เวยเวยรีบเปิดฝาหม้อออกแล้วหยิบช้อนมาคนเล็กน้อย
ตามที่ฉินหม่าเคยบอกไว้ว่าถ้าหากไม่คน โจ๊กจะไปกองกันอยู่ที่ก้นหม้อและจะทำให้รสชาติไม่ดี
คุ้นเคยกับบรรยากาศในห้องครัวไปแล้ว มู่เวยเวยไม่ได้รู้สึกลำบากอีกต่อไป แต่เธอกลับรู้สึกชอบสะอีก อย่างน้อยตอนอยู่ในครัวก็ไม่ต้องเจอหน้าที่ทำให้ปวดหัวอย่างสองคนนั้น
แต่ว่า……
ตอนนี้พวกเขาทำอะไรกันอยู่ล่ะ? ต้องกำลังนั่งอยู่บนโซฟาห้องรับแขกรอทานอาหารอยู่แน่แน่
คราวนี้มู่เวยเวยไม่ได้เดาถูกทั้งหมด ทีวี LCD ขนาดใหญ่ในห้องรับแขกก็เป็นเหมือนในทุกๆวันที่รายการวาไรตี้กำลังออกอากาศอยู่ และเฉียวซินโยวที่นั่งตรงโซฟาดูอย่างได้อรรถมาก
เย่ฉ่าวเฉินในตอนนี้อยู่ที่ห้องหนังสือ ส่วนมากเขาก็กำลังจัดการกับเอกสารบริษัทอยู่
เฉียวซินโยวจิบกาแฟอุ่นๆ สายตาของเธอมีลับลมคมนัย มือของเธอล้วงไปที่กระเป๋าแล้วก็คิดว่าเธอควรจะลงมือยังไงดี
ฉินหม่าและมู่เวยเวยก็อยู่ในครัว แล้วเธอจะลงมือได้ยังไง? หรือว่าต้องล่อฉินหม่าให้ออกไปที่อื่นสะก่อน?
พอคิดได้แบบนี้ เฉียวซินโยวก็ตัดสินใจได้ แล้วจ้องไปที่ใครบางคนจากนั้นก็คิดขึ้นในใจ : มู่เวยเวย ฉันไม่เชื่อว่าคราวนี้ยังไล่เธออกไปไม่ได้อีก!
เฉียวซินโยวค่อยๆลุกขึ้นแล้วเดินตรงไปที่ห้องครัว มองไปที่คนตรงหน้าที่กำลังยุ่งๆกันอยู่เธอก็พูดขึ้นว่า ” ฉินหม่า เมื่อสองวันก่อนกาแฟจาเมก้าที่คุณอาหวังซื้อมาวางไว้ที่ไหน? ช่วยไปเอามาให้ฉันหน่อยได้มั้ย? ”
ฉินหม่ามองไปที่คนที่พิงอยู่ตรงหน้าประตูที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า ” ไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันจะไปเอามาให้เดี๋ยวนี้ ”
พอพูดเสร็จก็ถอดชุดทำงานออก แล้วเดินไปล้างมือจากนั้นก็เดินออกจากห้องครัวไป
มองไปที่แผ่นหลังของฉินหม่าที่กำลังเดินออกไป สายตาของมู่เวยเวยจดจ่ออยู่ที่หม้อโจ๊ก โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายร้ายขึ้น
พอโจ๊กเดือด มู่เวยเวยก็รีบเปิดฝาออกแล้วใช้ช้อนคนอีกรอบทันที กลิ่นหอมหอมที่ลอยออกมาจากโจ๊กทำให้มู่เวยเวยสบายใจขึ้นมากๆ
เพราะว่าเธอไม่ได้สนใจ เฉียวซินโยวมายืนอยู่ข้างหลังเธอ เธอยังไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิด
” อื้ม ไม่เลว โจ๊กนี้ทำได้ละเอียดมากมู่เวยเวยนี่ได้รับฝีมือมาจากฉินหม่าจริงๆ ” เฉียวซินโยวเหลือบไปมองโจ๊กในหม้อแวบแวบ แล้วยกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าท่าทางที่เย้ยหยัน
น้ำเสียงที่ไม่พอใจของเธอ มู่เวยเวยชินไปตั้งนานแล้ว ตอนนั้นยังมีเรื่องที่ต้องทำเลยไม่ได้สนใจเธอ พูดอย่างไม่ได้หันไปมองแม้แต่นิดว่า ” ตอนนี้ฉันไม่ว่าง ถ้าเธออยากทะเลาะก็ค่อยหาเวลามาใหม่! ”
ตั้งแต่ที่เฉียวซินโยวพูดแบบนั้น มู่เวยเวยก็ระวังตัวเองตลอดเวลา ไม่ใช่เพราะความกลัวแต่เพราะว่าแผนการของเธอมันมักจะเหนือความคาดหมายจริงๆ
โจ๊กเคี้ยวจนได้ที่แล้ว มู่เวยเวยเห็นว่าฉินหม่ายังไม่กลับมาสักที เธอจึงเดินไปที่ชั้นวางถ้วยชาม แล้วเอาจานชามออกมาสามชุด ลวดลายบนจานชามไม่เหมือนกันสักใบ เฉียวซินโยวดูแวบเดียวก็ดูออกว่าชุดไหนเป็นของเธอ ชุดนั้นที่มีลวดลายดอกโบตั๋น
เฉียวซินโยวชักสีหน้าแล้วพูดขึ้นว่า ” ไม่รู้ว่าชุดจานชามอาหารดอกเดซี่นี่เป็นของใคร รสนิยมแย่มาก แบบนี้ทำให้คนเห็นแล้วลำคานจริงๆ!”
มู่เวยเวยพอได้ยินเธอจงใจที่จะพูดเหน็บแนม ในใจเธอโกรธมาก แต่ว่าตอนนี้เธอไม่อยากสนใจ เดียวเธอเป็นบ้าขึ้นมาแล้วจะเทโจ๊กของเธอทิ้งหมด
พอแน่ใจว่าโจ๊กได้ที่แล้ว เธอก็ปิดแก๊ส แล้วตักโจ๊กลงถ้วย แต่ว่าเธอตักแค่สองถ้วย เหลือไว้เพียงถ้วยลายดอกโบตั๋นนั้นที่เธอไม่ตักให้
เฉียวซินโยวดูออกสีหน้าของเธอไม่พอใจ ” มู่เวยเวย อย่างนี้หมายความว่าอะไร? นี่เธอตั้งใจใช่มั้ย? ”
มองไปที่เฉียวซินโยวที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ มู่เวยเวยกระตุกยิ้มแล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ตักเองเลย ถ้าเธอไม่ตักเองก็รอให้ฉินหม่ามาตักให้! ”
เฉียวซินโยวฟังน้ำเสียงที่เธอโต้แย้ง ใบหน้าบูดเบี้ยวด้วยความไม่พอใจ ” บอกว่าเธออ้วนเธอก็ยอมรับเนอะ! ฉันจะบอกเธอให้นะ อย่ามาทำขายหน้า รีบตักให้ฉันเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะฟ้องฉ่าวเฉิน ว่าเธอทำหน้าที่แม่ครัวขาดตกบกพร่อง! ”
มู่เวยเวยไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย เธอยิ้มอย่างมีความสุขแล้วพูดนิ่งๆว่า ” เธอรีบไปเลยนะ ถ้าเพราะเหตุนี้แล้วเขาจะละเว้นหน้าที่นี้ให้ฉัน มันจะเป็นผลดีกับฉันมากเลย ”
มองดูท่าทีของเธอที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว เฉียวซินโยวโกรธมากขึ้นกว่าเดิม เธอสังเกตว่าช่วงนี้มู่เวยเวยนี่จะเก่งกล้ามากไปแล้ว กล้าต่อปากต่อคำกับเธอมากถึงขนาดนี้!
ดูเหมือนว่าถ้าไม่เจอของจริงสักหน่อย เธอจะไม่ได้รับบทเรียน!
” เมื่อกี้ฉันแค่ล้อเล่น เรื่องโง่ๆแบบนั้นฉันไม่มีวันทำหรอก ” เฉียวซินโยวมองเธออย่างสะใจ พูดด้วยน้ำเสียงที่น่ารังเกียจ
แต่ว่ามู่เวยเวยก็ไม่ได้ตกใจอะไร รู้จักเธอมาสี่ปีแล้ว ตั้งแต่รู้ธาตุแท้ของเธอก็รู้ไส้รู้พุงเธอหมดแล้ว
” เธอจะทำหรือไม่ทำมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน ” มู่เวยเวยตักโจ๊กเสร็จแล้ว ก็เอาถาดออกมาจากตู้
เฉียวซินโยวจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของเธอ ใบหน้าก็มีรอยยิ้มร้ายกาจแสดงออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงที่ช้าๆและลากยาว ” ถ้าฉันจะทำ ฉันจะต้องทำมากกว่านี้ ถ้าไม่ทำให้อีกฝ่ายถึงที่ตายฉันก็ไม่อยากเสียแรงเปล่า! ”
ตอนที่เฉียวซินโยวพูดประโยคนี้จบ ตาของเธอเหมือนมีประกายบางอย่าง แต่มู่เวยเวยหันหลังให้เธอเลยมองไม่เห็นว่าเธอทำอะไร แต่ว่าตอนที่เธอพูดประโยคนั้น มู่เวยเวยมีลางสังหรณ์บางอย่าง
เธอรู้สึกเหมือนกับว่า เฉียวซินโยวกำลังบอกเธออ้อมๆว่า เธอกำลังจะลงมือแก้แค้นเธอ……
มู่เวยเวยสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างไว เธอหันหลังแล้วยกโจ๊กร้อนๆออกไปวางที่โต๊ะ
มองไปที่เธอที่กำลังเดินออกไป เฉียวซินโยวก็รีบทำสายตาให้ปกติ แล้วหยดบางอย่างลงในถ้วยของตัวเอง จากนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างร้ายกาจ
เย่ฉ่าวเฉินกำลังเดินลงบันไดมาและมองเห็นมู่เวยเวยที่กำลังยกอาหารมาที่โต๊ะอย่างไม่รู้ตัว พอเขาเห็นลายการ์ตูนพวกนั้นบนเสื้อเธอเขาก็รู้สึกอุ่นใจ
เดินผ่านบันไดห้องรับแขกแล้วตรงมานั่งที่หัวโต๊ะ ตอนที่เห็นแค่มู่เวยเวยคนเดียวที่ยุ่งๆอยู่ เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นนิ่งๆว่า ” ฉินหม่าล่ะ? ”
เฉียวซินโยวที่นั่งอยู่ข้างๆเขาเป็นธรรมดาอยู่แล้วก็คีบอาหารให้เขาไปด้วยพร้อมกับพูดขึ้นว่า ” ฉินหม่าบอกว่ากาแฟที่คุณมักจะชงดื่มบ่อยๆมันหมดแล้ว เลยบอกว่าจะไปเอามาเติมสักหน่อย ”
เย่ฉ่าวเฉินพอฟังจบก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่กลับมองไปที่มู่เวยเวยที่กำลังทำความสะอาดห้องครัวอยู่ ค่อยๆเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า ” อย่าพึ่งเก็บกวาด มากินข้าวก่อน ”
เมื่อมู่เวยเวยได้ยินสิ่งที่เขาพูด ก็ทำตามแต่โดยดี เธอถอดผ้ากันเปื้อนออก แล้วเดินไปที่โต๊ะอาหารจากนั้นก็กินข้าวอย่างเงียบๆ
เธอไม่คิดว่าที่เย่ฉ่าวเฉินจะเรียกเธอให้มากินข้าวเพราะว่าเขาใจดีหรือเป็นห่วงเธอ แต่ไม่ว่าเขาจะมีเหตุผลอะไรเธอก็เดาไม่ออกแล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย
ถึงยังไงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีหรอก
เฉียวซินโยวคีบผักให้เย่ฉ่าวเฉินและถามเย่ฉ่าวเฉินอย่างคาดหวัง “ฉ่าวเฉิน คุณรู้สึกว่ารสชาติเป็นไงบ้าง? ”
เย่ฉ่าวเฉินเคี้ยวไปสองที แล้วค่อยๆพยักหน้า ” ก็ไม่แย่นะ ”
คำชมนี้คือสำหรับฉันหม่า เพราะมู่เวยเวยทำเพียงแค่โจ๊กเท่านั้น ผักทั้งหมดเป็นฝีมือของฉินหม่า แน่นอนว่าเธอไม่อยากได้รับคำวิจารณ์ใดๆจากเขาทั้งคู่ ถึงจะเป็นคำชม เธอก็ไม่ดีใจ
ต่างก็พูดกันว่าที่ผู้หญิงทำอาหารมักจะทำให้คนที่ใส่ใจ ญาติสนิทหรือคนรักกิน แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นเย่ฉ่าวเฉินหรือเฉียวซินโยวสำหรับเธอแล้วมันไม่ใช่ความสัมพันธ์พวกนั้นเลย
มู่เวยเวยหยิบช้อนตักโจ๊กเข้าปาก แล้วรู้สึกว่าถึงแม้เธอฝีมือจะสู้ฉินหม่าไม่ได้ แต่สำหรับเธอทำได้แบบนี้ก็ถือว่ายากมากแล้ว
ไม่เลว
มู่เวยเวยให้กำลังใจตัวเอง
เฉียวซินโยวเหลือบไปมองเธอแวบหนึ่ง แล้วทำเป็นไม่สนใจตักโจ๊กร้อนๆเข้าปากไปสองคำ จากนั้นก็พูดชมว่า ” เวยเวยทำโจ๊กได้ละเอียดมากเลยนะ โดยเฉพาะลำไย ข้าวฟืนนุ่มๆนี้ รสชาติไม่เลวเลยทีเดียว ฉ่าวเฉินคุณต้องกินเยอะๆนะ ”
เย่ฉ่าวเฉินพูดขึ้นด้วยท่าทีและน้ำเสียงที่นิ่งๆ ” ธรรมดา ถ้าเทียบกับฉินหม่ายังห่างไกลอีกเยอะ ”
พอได้ฟังเขาพูดจบ มู่เวยเวยครุ่นคิดในใจ ในเมื่อบอกว่าธรรมดายังจะกินอีก? ปากไม่ตรงกับใจ? ประสาท!
มองไปที่เขาที่กำลังตักโจ๊กกิน มู่เวยเวยอยากจะเอาโจ๊กออกให้หมดเลย โจ๊กที่เธอทำเองกับมือ เขาไม่อยากกินยิ่งดี เธอไม่ได้ขอร้องให้กินสักหน่อย!
เฉียวซินโยวกินโจ๊กอย่างใจจดใจจ่อ พอกินไปได้ครึ่งถ้วย เธอก็หยิบทิชชู่มาเช็ดปาก
เธอใช้มือแตะไปที่ขอบโต๊ะเบาๆแล้วพูดขึ้นว่า ” ฉ่าวเฉิน เดี๋ยวเราไปเดินเล่นในสวนกันมั้ย เอาแต่นั่งอยู่ที่ห้องทำงานมันไม่ดี ”
เย่ฉ่าวเฉินตอบอย่างนิ่งๆ ” ได้ ”
เฉียวซินโยวยิ้มแก้มปริ แต่ว่าผ่านไปไม่กี่วินาทีรอยยิ้มบนหน้าของเธอก็หายไป และหน้าซีดเชียวทันที มีเหงื่อออกเต็มหน้าไปหมด แล้วเอามือกุมท้องตัวเองไว้
” โอ๊ย – – ! เจ็บมากเลย……” สีหน้าของเฉียวซินโยวเต็มไปด้วยความเจ็บปวด และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีแรงว่า ” ฉ่าวเฉิน ฉันปวดท้องมากเลย……”
เย่ฉ่าวเฉินตกใจมากและรีบเดินเข้าไปข้างกายเธอ เห็นท่าทางที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ก็พูดขึ้นด้วยความกังวลว่า ” ซินโยว เจ็บมากเลยหรอ? ”
” อือ! ” เฉียวซินโยวพูดด้วยความขมวดคิ้ว เหงื่อบนใบหน้าของเธอมากขึ้นเรื่อยๆน้ำเสียงอ่อนแรงมากราวกับว่ากว่าจะพูดออกมาสักคำมันยากลำบากมาก
เย่ฉ่าวเฉินไม่ถามอะไรต่อ เขารีบอุ้มเฉียวซินโยวขึ้นแล้วตรงไปที่ประตู พอผ่านประตูเขาก็ตะโกนขึ้นว่า ” คุณอาหวัง! ”
คุณอาหวังที่กำลังทำงานอยู่ พอได้ยินเสียงเย่ฉ่าวเฉินเรียก ก็รีบตรงมาหาทันที พอเห็นหน้าตาที่ซีดเซียวของเฉียวซินโยวก็ตกใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า ” คุณชาย มีอะไรจะสั่งหรอครับ? ”
” ไป!รีบไปเตรียมรถไปโรงพยาบาล!” เย่ฉ่าวเฉินตะโกนออกมาด้วยสีหน้ากังวล
” ครับ! ”
คุณอาหวังรีบไปเตรียมรถ ในช่วงเวลานี้เอง เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ใบหน้าที่ซีดเซียวชองเฉียวซินโยวแล้วพูดปลอบเธอว่า ” ซินโยว อดทนหน่อยนะ อีกแป๊บเดียวก็ถึงโรงพยาบาลแล้ว! ”
เฉียวซินโยวอ่อนแรงราวกับว่าหมดสติไปแล้ว และไม่มีการตอบสนองใดใด ทำให้เย่ฉ่าวเฉินใจเสีย
รถถูกขับออกมาอย่างรวดเร็ว เย่ฉ่าวเฉินรีบขึ้นรถโดยเร็วที่สุด แล้วมุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาลใจกลางเมือง
โรงพยาบาลใจกลางเมือง
เย่ฉ่าวเฉินอยู่หน้าห้องผ่าตัดด้วยอารมณ์ที่สับสนวุ่นวาย อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศที่เงียบสงบ เขาจึงตั้งสติได้
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่าตอนแรกเฉียวซินโยวยังดีดีอยู่ทำไมถึงเจ็บท้องขึ้นมาได้?
เธอนึกถึงภาพที่เฉียวซินโยวเจ็บปวดอย่างทรมาน ในใจเขาก็รู้สึกเป็นกังวลมาก และสัญชาตญาณของเขาบอกว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดแน่แน่
สามชั่วโมงผ่านไปภายใต้การร่วมมือกันของแพทย์ในที่สุดประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก และคุณหมอที่ใส่ชุดยูนิฟอร์มอยู่ก็เดินออกมา มองไปที่เย่ฉ่าวเฉินที่ดูเป็นกังวลมาก คุณหมอก็พูดขึ้นอย่างนอบน้อม ” คุณชายเย่ คุณเฉียวพ้นขีดอันตรายแล้ว คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ”
เมื่อได้ยินว่าเฉียวซินโยวพ้นขีดอันตรายแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็โล่งใจ และถามขึ้นด้วยท่าทีที่สุขุม ” ผู้อำนวยการหลี่ ซินโยวเป็นอะไรกันแน่? ”
เมื่ผู้อำนวลการหลี่ได้ยินแบบนี้ก็ไม่กล้าที่จะปกปิดและพูดไปตามตรง “พวกเราค้นพบยานอนหลับที่มีฤทธิ์แรงมากในกระเพาะของคุณเฉียว เพราะว่าฤทธิ์แรงมากจึงทำให้คุณเฉียวหมดสติไป คาดว่าน่าจะเป็นอาหารเป็นพิษ ”
อาหารเป็นพิษ?
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว และเขาก็แน่ใจทันที ท่าทางเขาสุขุมมากขึ้นแล้วพูดว่า ” ฉันรู้แล้ว ครั้งนี้รบกวนผู้อำนวยการหลี่ด้วยนะครับ ”
” ไม่รบกวนเลย ” ผู้อำนวยการหลี่พูดด้วยท่าทีที่ยิ้มแย้ม ” คุณชายเย่ถ้ามีอะไรก็เรียกผมได้ตลอดเวลา ตอนนี้ผมขอตัวก่อนนะครับ ”
” โอเค ”
ในตอนนี้เอง ที่เฉียวซินโยวถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัด มองไปที่ใบหน้าที่ซีดเซียวของเธอ เย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกเจ็บราวกับว่าโดนเข็มแทงมาที่ใจ
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินสุขุมเคร่งขรึม และสั่งจางเห่อที่อยู่ข้างๆเขาว่า ” จางเห่อ นายรีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้ และฝากจัดการเรื่องหนึ่งแทนฉันหน่อย”
จางเห่อพยักหน้าแล้วออกไปทันที
เฉียวซินโยวถูกนำมาพักฟื้นที่ห้องผู้ป่วย VIP เย่ฉ่าวเฉินกำลังจะก้าวขาเข้าไปในห้อง เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น เขาหยุดเดินแล้วล้วงโทรศัพท์ออกมาแล้วดูหมายเลขมือถือของผู้โทรเขาก็รับสาย
” ฮัลโหล? ”