เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่าง เขาไม่ได้พูดอะไรสีหน้าไร้อารมณ์ ตั้งแต่ได้ยินคำพูดนั้นของคณหมอ จิตใจที่เคยนิ่งสงบของเขาเต็มไปด้วยความกังวล เขาต้องป้องกันอย่างหนักเพื่อไม่ให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นนั้น
เขาเกลียดมู่เวยเวยมากไม่ใช่เหรอ? เมื่อคืนเธอวางยาเฉียวซินโยวอย่างโหดเหี้ยม ทำไมตอนนี้เมื่อได้ยินว่าเธอกำลังจะตาย ใจเขาถึงรู้สึกเป็นกังวล?
เย่ฉ่าวเฉินหลับตาลง จากนั้นเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในตอนนี้สติสัมปชัญญะเขากลับมาเป็นปกติแล้ว
เขาคิด เขาไม่เคยรักและทะนุถนอมเธอ เขาแค่เป็นห่วงเธอในฐานะที่เธอเป็นภรรยาเขาเท่านั้น ถ้าเธอตายไปทั้งแบบนี้ ก็จะมีข่าวซุบซิบมากมายเกี่ยวกับเขาออกไปสู่สังคมภายนอกอย่างไม่หยุดหย่อน
แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้วว่า เขาคือเย่ฉ่าวเฉินผู้ที่ไม่เคยสนใจความคิดเห็นของคนอื่น ทำตามเพียงใจของตัวเองเท่านั้น
จากความหมายที่กล่าวมา เขาไม่ต้องการให้มู่เวยเวยตาย แต่เขากลับไม่เคยมองย้อนดูตัวเอง
“จางเห่อ” เย่ฉ่าวเฉินเผชิญหน้ากับดวงดาว สีหน้าหมองคล้ำไม่สดใส น้ำเสียงเคร่งขรึม
จางเห่อเดินมาหาเขาอย่างรวดเร็ว คำนับแล้วถามอย่างใจเย็น “ครับคุณชาย มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ?”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นดูเวลา น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้น “นายรีบไปที่บริษัท ส่งเอกสารให้พนักงานทุกคนในบริษัท บอกว่าใครที่มีกรุ๊ปเลือดAB ให้มาที่นี่ทันที!”
จางเห่อตกใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาตอบรับทันที “ครับ!”
“และอีกอย่าง…” น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเฉินจริงจังมากขึ้น มองไปที่สีหน้าของจางเห่อที่เต็มไปด้วยความกดดัน ลมหายใจเย็นเฉียบ “จำไว้ ต้องพามาภายในสี่สิบนาที เพราะเรามีเวลาแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น!”
จางเห่อพยักหน้า แล้วรีบออกจากโรงพยาบาลทันที
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินหวั่นวิตก เขาจ้องมองไปที่ประตูห้องผ่าตัด มองไปที่ไฟกระพริบด้านบน จิตใจกระวนกระวาย เหงื่อเย็นๆ ไหลออกมา
เวลาผ่านไปทีละนิด อีกไม่ถึงสิบนาทีจะถึงเวลาที่นัดกับจางเห่อแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวคราวจากเขาเลยสักนิด กำลังเดินทางมาหรือเปล่า หรือว่ายังอยู่ที่บริษัท?
เขาอดทนรอไม่ไหว จึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วกดโทรออกหาจางเห่อทันที
“ฮัลโหลครับ คุณชาย”
เย่ฉ่าวเฉินทำใจนิ่งๆ แล้วเอ่ยถาม “ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน อีกนานไหมกว่าจะถึงโรงพยาบาล?”
ขณะนี้พวกเขาอยู่บนถนนย่านการค้าใจกลางเมือง จางเห่อมองดูจำนวนผู้คนข้างหน้าที่ยาวเป็นตัวมังกรยักษ์ ในใจก็เริ่มกระวนกระวาย เขาตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณชายเย่ตอนนี้ติดช่วงเวลาเร่งด่วนอยู่ครับ ผมเกรงว่าต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะพ้นออกไปได้”
เย่ฉ่าวเฉินบีบโทรศัพท์ในมือแน่น ความโกรธปรากฎขึ้นบนใบหน้า “แล้วจะทำยังไง? ถ้ามู่เวยเวยรอการถ่ายเลือดไม่ไหว เธอก็จะตายในอีกไม่ช้า!”
เย่ฉ่าวเฉินไม่อยากพบหน้าใครทั้งนั้น เพราะกำลังโมโหให้มู่เวยเวย แต่ตอนนี้เขากลั้นมันเอาไว้ไม่อยู่
เพียงแค่คิดว่าเธอจะกลายเป็นศพร่างกายเย็นชืด อารมณ์ภายในใจที่เกิดขึ้นก็ยากจะควบคุม มันทำให้เขาอยากจะฆ่าใครสักคน!
จางเห่อไม่คิดว่าคุณชายจะมองว่ามู่เวยเวยสำคัญขนาดนี้ เขาไม่ต้องตรวจสอบความสัมพันธ์ของทั้งสองคนอีกแล้ว แต่ตอนนี้จะมัวแต่คิดเรื่องนั้นไม่ได้ เขาต้องพยายามอย่างเต็มที่ที่ต้องคิดหาทางแก้ปัญหา
ทันใดนั้น ก็มีคนคนหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของจางเห่อ
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ จางเห่อลังเลอยู่ชั่วครู่ และคิดได้ว่าชีวิตของคนคนหนึ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย เมื่อเขาบอกออกไป ส่วนคุณชายจะเห็นด้วยหรือไม่ ก็ให้เขาตัดสินใจเอาเอง
“คุณชายครับ คุณหนูเฉียวซินโยวก็มีเลือดกรุ๊ปABครับ ล่าสุดที่ผมจำได้ ตอนนี้คุณหนูเฉียวตกบันได คุณหนูมู่ก็เป็นคนให้เลือดเธอ คุณลอง…”
จางเห่อพูดยังไม่จบ แต่ในใจของเย่ฉ่าวเฉินกลับยุ่งเหยิงพันกันไปหมด
อีกด้านในตัวเขากำลังต่อต้านการกระทำนี้ ที่มู่เวยเวยได้รับบาดเจ็บครั้งนี้เพราะเธอทำตัวเอง เขาแค่ต้องการตำหนิเธอที่ใจคอโหดเหี้ยมเกินไป คิดจะวางยาเฉียวซินโยว
เขาจะให้เธอมาเสียสละเพื่อผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไร มู่เวยเวยไม่คู่ควรเลยสักนิด!
แต่อีกด้านกลับชัดเจนยิ่งกว่า ถ้าอีกห้านาทีจางเห่อยังมาไม่ถึง คนที่อยู่ตรงหน้าเขา ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง
หนึ่ง คือเห็นด้วยกับการที่ให้เฉียวซินโยวให้เลือดแก่มู่เวยเวย เช่นนั้นเธอก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
สอง คือไม่เห็นด้วยกับการให้เฉียวซินโยวให้เลือด เช่นนั้นเธอก็จะตาย
ดูเหมือนทุกๆ ทางเลือกจะยากไปหมด เย่ฉ่าวเฉินเริ่มกระวนกระวาย
ถ้าเห็นด้วย มันก็จะไม่ยุติธรรมกับซินโยว…
ในขณะที่เย่ฉ่าวเฉินกำลังคิดไม่ตก ประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก คุณหมอที่เพิ่งออกมาเมื่อครู่เดินออกมาอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คล้ายกับเป็นเงาในตาของเย่ฉ่าวเฉิน
“เป็นยังไงบ้างครับ?”
เม็ดเหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผากของคุณหมอ เขาถามขึ้นอย่างเป็นกังวล “คุณชายเย่ได้กรุ๊ปเลือดที่ตรงกับของคุณผู้หญิงมู่หรือยังครับ?”
ในใจของเย่ฉ่าวเฉินรู้สึกอึดอัดขึ้นมา เขาตอบกลับไปอย่างใจเย็น “ได้แล้วครับ”
คุณหมอถอนหายใจอย่างโล่งอก “งั้นคุณรีบแจ้งเขาให้ไปรายงานตัวที่ห้องตรวจเลยนะครับ ต้องให้ได้เลือดตามจำนวนที่เหมาะสมกับผู้ป่วย พวกเราจำเป็นต้องผ่าตัดทันที”
ได้ฟังเช่นนั้น สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินก็เคร่งขรึมขึ้น เขาเอ่ยถามว่า “มู่เวยเวยจะอดทนได้อีกนานแค่ไหนครับ?”
คุณหมอขมวดคิ้วย่น จนใบหน้าดูไม่ได้ “ภายในสิบนาที ถ้าไม่มีการถ่ายเลือดมู่เวยเวยจะตกอยู่ในอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ครับ”
“เหลืออีกยี่สิบนาทีไม่ใช่เหรอ?”
คุณหมอส่ายหน้า พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ตอนนี้อาการเธอช็อกเข้าขั้นโคม่า หากล่าช้าอีกต่อไป เธอก็จะ…”
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ฟังคำที่คุณหมอพูดต่อไป เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก เมื่อรู้ว่าไม่มีเวลาแล้ว จึงรีบไปที่ห้องของเฉียวซินโยวทันที เขาค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป
เมื่อมองไปยังเธอที่กำลังหลับใหล เย่ฉ่าวเฉินก็เกิดลังเลขึ้นมาอีกครั้ง เขาพูดอะไรไม่ออก
เป็นเวลาเดียวกันที่บทสนทนาจากทางเดิน ดังเข้ามาดึงดูดความสนใจของเขาไป
“คุณหมอหลี่หาคนที่กรุ๊ปเลือดตรงกับเธอได้หรือยัง?”
“สถานการเป็นยังไงบ้าง?”
“ชีพจรของผู้ป่วยเริ่มลดต่ำลงเรื่อยๆ ตอนนี้หัวหน้ากำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อกู้คลื่นหัวใจให้กับเธอ แต่เหมือนจะไม่ทันแล้ว…”
เย่ฉ่าวเฉินตกใจอย่างมาก ความลังเลทั้งหมดหายไป เข้าก้าวเข้าไปเขย่าไหล่ของเฉียวซินโยว เธอลืมตาขึ้นมองเขาด้วยความสงสัย
เขาเอ่ยปากอย่างตรงไปตรงมา “ซินโยว ผมมีเรื่องจะขอให้คุณช่วย”
……
ภายในห้องผ่าตัด
เฉียวซินโยวมองดูเข็มสีขาวที่ปักอยู่แขนตัวเองด้วยสีหน้าเย็นชา ของเหลวสีแดงสดไหลเข้าไปในถุงเก็บเลือด
และตรงหน้าเธอ เมื่อมองผ่านผ้าโปร่งสีขาวไป ภายใต้แสงสว่างที่คุณหมอใช้ส่องในการผ่าตัด มองเห็นเป็นเงามืดๆ ของผู้คนขวักไขว่กันอย่างวุ่นวาย และคนที่นอนอยู่บนเตียงผ่าตัด ก็คือมู่เวยเวย เธอกัดฟันด้วยความเกลียดชัง
จู่ๆ เธอก็ยิ้มขึ้นมา แต่แฝงไปด้วยความเศร้า
เวลานี้เธอไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองหลอกคนอื่นอีกต่อไป
เพราะมู่เวยเวย เธอจึงต้องมานอนอยู่บนเตียงผ่าตัดแบบนี้ หลังจากที่เธอได้ยินเรื่องที่คุณหมอคุยกันตรงหน้าประตู และตอนที่รายงานอาการให้แก่เย่ฉ่าวเฉินรู้ เธอถึงขนาดอยากจะลุกขึ้นปรบมือร้องเชียร์เลยล่ะ!
ยิ่งมู่เวยเวยตกอยู่ในอันตราย เธอยิ่งมีความสุข อย่าหาว่าเธอโหดร้ายไปเลย ใครใช้ให้มู่เวยเวยเอาของที่เป็นของเธอไปแล้วไม่ยอมคืน!
หากมู่เวยเวยใช้โอกาสนี้ชิงตายไปซะก่อน เช่นนั้นเธอคงไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมาน และคนที่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ต้องไม่ใช่เธอ!
เฉียวซินโยวก้มมองเลือดของตัวเองที่ไหลออกไปจากร่างกายอย่างรวดเร็ว มันเหมือนสิ่งที่เธอเพิ่งได้รับมา ห่างออกไปจากเธออีกครั้ง
เธอไม่ได้เต็มใจสักนิด!
โดยเฉพาะท่าทีของเย่ฉ่าวเฉิน เธอจำได้ ผู้ชายคนนั้นเป็นเหมือนผู้วิเศษที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ เป็นเทพเจ้าในสายตาเธอ แต่เพื่อมู่เวยเวยหญิงสารเลวคนนั้น เขากลับ ‘ขอร้อง’ ให้เธอถ่ายเลือดให้มัน!
ตอนนั้นเธอโกรธมาก เธออยากจะทิ้งความเสแสร้งที่แกล้งทำมาทั้งหมด แล้วยืนกรานกับเขาว่าไม่
เธอไม่ต้องการให้มู่เวยเวยได้เลือดไป เธออยากให้มันตายไปแทบทนไม่ไหว จะให้ยอมทรยศตัวเองเพื่อช่วยมันงั้นเหรอ?
แต่เธอต้องฝืนต่อไป เธอรู้ดีว่ากว่าจะมาถึงจุดๆ นี้ได้นั้นมันยากแค่ไหน เธอจะแพ้ไม่ได้ ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนก็ตาม เธอต้องทนมันให้ได้ เธอจะล้มเหลวอยู่ตรงนี้ไม่ได้!
“มู่เวยเวยไม่สบายเหรอ? ร้ายแรงหรือเปล่าคะ? คุณต้องการให้ฉันไปถ่ายเลือดให้เธอใช่ไหม งั้นฉันจะไปเตรียมตัวตอนนี้เลย…”
เธอตอบกลับไปแบบนั้น เธอยังจำความรู้สึกขอบคุณของเย่ฉ่าวเฉินได้ การสัมผัสเพียงเล็กน้อยที่เอื้อมมือมาจับมือเธอ เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่า แล้วจะตอบแทนให้อย่างดี
อันที่จริงเธอก็รู้สึกหวั่นไหว คิดว่าแม้จะให้เลือดแก่มู่เวยเวยจริงๆ แล้วจะเสียหายอะไร?
แต่เมื่อเห็นเลือดของตัวเองไหลออกมาเรื่อยๆ ไม่หยุด ความหึงหวงความเคียดแค้นที่อยู่ภายในใจ ก็ปะทุขึ้นมา ราวกับกระทิงร้ายที่ทำลายอวัยวะภายในของเธอให้เจ็บปวด
เป็นเวลาเดียวกันที่ผ้าโปร่งสีขาวถูกเปิดออก พยาบาลสาวค่อยๆ เดินเข้ามาหาเธอ สีหน้าเป็นกังวลยืนอยู่ตรงหน้า เธอหยิบเอาถุงเลือดที่เต็มแล้วออกไป จากนั้นแทนที่ด้วยถุงว่างเปล่า
เธอมองดูเลือดของตัวเอง ที่ไหลผ่านสายน้ำเหลือ ในที่สุดมันก็ไหลเข้าสู่ร่างกายของมู่เวยเวย นั้นคือความเกลียดชังที่อยู่ในใจของเฉียวซินโยว!
มู่เวยเวยมีดีอะไรที่ต้องได้รับเลือดจากเธอ เธอมีดีอะไรที่ตัวเองต้องให้เลือดเพื่อช่วยชีวิตเธอ!
ยิ่งคิดเฉียวซินโยวยิ่งโกรธ มือของเธอเกร็งจนไม่อาจควบคุมมันได้ จากนั้นเธอก็รู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่แขน เลือดที่เคยไหลออกไป กลับไหลย้อนเข้ามา…
ก่อนหน้านี้เธอยังไม่มีปฎิกิริยาตอบสนองอะไร พยาบาลที่เพิ่งกลับมา เมื่อได้เห็นเช่นนั้นสีหน้าก็ตึงเครียดขึ้นทันที เธอรีบเข้ามาแก้ไข พลางเอ่ยปลอบว่า “คุณอย่าเพิ่งขยับนะคะ แบบนี้อันตรายมาก”
เมื่อมองดูที่ปลายเข็ม แขนขวาของเธอเป็นจุดสีฟ้าและสีม่วง แต่เธอกลับไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่นานพยาบาลก็ดึงเข็มออก
แต่ก่อนที่เธอจะได้ตอบสนองใดๆ ปลายเข็มก็แทงทะลุเข้าที่เส้นเลือดแขนซ้ายของเธออย่างแม่นยำ…
“เยี่ยมมาก ผู้ป่วยพ้นจากขีดอันตรายแล้ว รีบไปบอกคุณชายเย่ เกรงว่าเขาคงกำลังเป็นห่วง”
เป็นเวลาเดียวกันที่เสียงของหัวหน้าแผนกดังขึ้นด้านหน้าโต๊ะเครื่องมือ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเปิดประตูห้องผ่าตัด และเสียงฝีเท้า
เฉียวซินโยวเหม่อมองอย่างอ้างว้าง พยาบาลดึงเข็มออกให้เธอ ยิ้มสดใส และพูดขึ้นอย่างมีความสุข “คุณเฉียวเพื่อนของคุณพ้นขีดอันตรายแล้ว เป็นเพราะคุณเลยนะคะ”
เธอมองไปยังดวงตาที่เป็นประกายด้วยความชื่นชม ปากของเฉียวซินโยวกระตุกเล็กน้อย เธอดึงรอยยิ้มอ่อนโยนกลับมา และพูดเบาๆ “จริงเหรอคะ เยี่ยมไปเลยค่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินยืนอยู่ในห้องผ่าตัด เมื่อมองเห็นเฉียวซินโยวเดินออกมา หัวใจเขาก็เจ็บขึ้นมาทันที
สีหน้าของเธอดูลำบากใจอย่างมาก แต่เมื่อเห็นเย่ฉ่าวเฉิน สติของเฉียวซินโยวก็ถูกดึงกลับมา
“ซินโยว!”
เย่ฉ่าวเฉินรีบเข้าไปประคองร่างที่ล้มลงของเธอ เหงื่อเธอออกเต็มไปหมด น้ำเสียงเศร้าใจเอ่ยถามขึ้น “เธอเป็นยังไงบ้าง?”
คุณหมอหลี่ที่ตรวจร่างกายอยู่ข้างๆ พูดขึ้น “คุณชายเย่ไม่ต้องเป็นห่วง คุณหนูเฉียวอ่อนแอจากการให้เลือดเล็กน้อย ผมจะส่งคนไปให้สารอาหารเธอทันที เชื่อว่าคงฟื้นตัวได้ในไม่ช้า”
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็คลายกังวล เขากอดเธอเอาไว้ และวางเธอ ไว้บนเตียงเบาๆ เป็นเวลาเดียวกันที่คุณหมอหลายท่านเข็นเตียงของมู่เวยเวยที่เพิ่งเสร็จจากการผ่าตัดออกมา
เย่ฉ่าวเฉินนิ่ง เขาเพียงแค่ถามพยาบาลที่มาให้ยาแก่เฉียวซินโยวว่า “มู่เวยเวยเป็นยังไงบ้าง?”
พยาบาลมองเขา พยายามไม่สนใจต่ออาการสั่นที่อยู่ภายใน “คุณชายเย่ ตอนนี้คุณหนูมู่ปลอดภัยแล้วค่ะ แต่ต้องอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการอีกสักระยะ”
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินเย็นชา เขาพยักหน้าเบาๆ จากนั้นมองไปที่เฉียวซินโยวอีกครั้ง
มู่เวยเวยค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แสงสว่างจ้าทำให้เธอลืมตาไม่ขึ้น จนต้องยกมือขึ้นบังเอาไว้ แต่ต้องหยุดลงด้วยเสียงร้องห้าม
“คุณกำลังให้น้ำเกลืออยู่ อย่าเพิ่งขยับแขนนะคะ”
มู่เวยเวยเพิ่งจะสังเกตเห็น คนที่ยืนอยู่ข้างเตียง คือหญิงสาวในชุดพยาบาลสีชมพู เธอเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางจริงจัง
เมื่อได้รับคำเตือนจากเธอ มู่เวยเวยก็พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
พยาบาลสาวยังออกคำสั่งกับเธออีกสองสามอย่าง จากนั้นก็เข็นรถเข็นออกไปจากห้องผู้ป่วย
เมื่อเธอก้าวพ้นประตูออกไป ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง มู่เวยเวยขมวดคิ้ว คนที่ไม่เต็มใจจะเห็นหน้าเดินเข้ามา
เย่ฉ่าวเฉินมองเธอด้วยสีหน้ารังเกียจ ทันใดนั้นความโกรธก็ผุดขึ้นมาในใจ สีหน้าเย็นชาเอ่ยขึ้น “เห็นหน้าฉันแล้วเป็นทุกข์มากไหม?”
มู่เวยเวยไม่อยากสนใจเขา เธอจึงมองออกไปนอกหน้าต่าง ราวกับว่าเห็นหน้าเขาแล้วทำจิตใจเธอห่อเหี่ยว
เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว เขาบีบคางเธอบังคับให้มองตัวเอง รอยยิ้มเย็นชาปรากฎขึ้นที่มุมปาก “มู่เวยเวยเธอปฎิบัติต่อผู้มีพระคุณแบบนี้เหรอ?”
ผู้มีพระคุณ?
หึหึ เขาลืมตัวไปหรือเปล่า ใครกันที่ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บ พูดแบบนี้ไม่รู้สึกอายบ้างเหรอ!
เมื่อเห็นเธอยังเมินเฉยใส่ เย่ฉ่าวเฉินยิ่งโกรธ เขายิ้ม คำพูดที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงดูถูกถากถาง “ฉันนี่ยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ ถ้ารู้เร็วกว่านี้ว่าเธอจะอกตัญญูแบบนี้ ฉันคงปล่อยให้เธอตายอยู่บนเตียงผ่าตัด!”
แม้ต้องเผชิญกับคำพูดไม่ดีของเขา เธอก็ยังไม่สนใจ แววตาจับจ้องมองที่เขา แต่ความหมายที่อยู่ภายในนั้นกลับทำให้เขาหายใจลำบาก
ราวกับเธอต้องการจะบอกว่า ใช่! เขายุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ…
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกอึดอัดจนอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ หลังจากผ่าตัดแล้วเป็นใบ้เหรอ? เพื่อตรวจสอบคำตอบข้อนี้ เย่ฉ่าวเฉินจึงทำการทดลองทันที
“อ่ะ เย่ฉ่าวเฉิน นายเป็นบ้ารึไง!”
มู่เวยเวยลูบแขนที่ถูกเขาบีบ พลางตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
เขาเป็นบ้าไปแล้ว การที่เธอได้มาพบเจอเขาในชีวิตนี้ เป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดไปแปดชั่วโคตร
จริงๆ แล้วเขาแค่แสร้งทำมัน เมื่อแสร้งทำก็ไม่ต้องชดใช้!
ในที่สุดเธอก็พูดออกมา เขาแคะหูตัวเองด้วยความตื่นเต้น รอยยิ้มสดใสปรากฎขึ้น “ฉันนึกว่าเธอจะเป็นใบ้หลักจากการผ่าตัด ก็เลยต้องกระตุ้นหลอมลมเธอสักหน่อย”
เขาต้องไปกระตุ้นสมองตัวเองก่อน! เขามันบ้า!
“ทำไมไม่พูดอีกล่ะ? ต้องการให้ฉันกระตุ้นอีกใช่ไหม?” เย่ฉ่าวเฉินกัดฟันพูดอย่างโกรธแค้น