“คุณคิดจะทำอะไร? คุณไม่ต้องไปบริษัทหรอกเหรอ ฉันคิดว่าคุณว่างเกินไปแล้วนะ” มู่เวยเวยเอาเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ความอัดอั้นที่อยู่ในใจเธอถูกเก็บเอาไว้นานเกินไป จนแทบจะขาดอากาศหายใจตายอยู่แล้ว!
เธอเป็นแพะรับบาปแทนเฉียวซินโยวมามาก แม้กระทั่งฟื้นขึ้นมา ก็ไม่อาจทำในสิ่งที่ต้องการได้
ทุกคนที่คิดร้ายและเล่นงานเธอ อย่าคิดว่าเธอจะแสดงสีหน้าดีๆ ด้วยเลย
เย่ฉ่าวเฉินมองดูเธออย่างดูถูกเหยียดหยาม น้ำเสียงเย็นชาพูดขึ้น “ฉันคิดว่าเธอคงฟื้นตัวได้ดีแล้วล่ะ ยังมีกะจิตกะใจมาห่วงใยธุจกิจฉันอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่เวยเวยก็กระตุกยิ้ม “เย่ฉ่าวเฉิน นายรู้ไหม ตอนที่นายยังไม่พูดนายก็เหมือนดั่งภาพวาด แต่พอนายเอ่ยปากเท่านั้นแหละ เหมือนกับ…”
มู่เวยเวยจงใจไม่พูดคำนั้นออกมา เย่ฉ่าวเฉินเลิกคิ้วถาม “เหมือนอะไร?”
ความรู้สึกของเย่ฉ่าวเฉินบอกกับเขาว่า สิ่งที่เธอกำลังจะพูดต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ แต่ในใจเขาก็ยังสงสัย อยากรู้ว่าเธอจะคิดอย่างไรกับภาพลักษณ์ภายนอกของเขา
มู่เวยเวยยิ้ม แล้วตะโกนขึ้น “ก็เหมือนกันปีศาจนะสิ!”
“มู่เวยเวย!” เย่ฉ่าวเฉินกระชากผมเธอ ตะคอกใส่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู้หญิงสารเลวอย่างเธอ ปากก็ชั่วพอๆ กับใจของเธอ คงต้องชะล้างมันบ้าง!”
มู่เวยเวยยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย แม้ว่าหนังศีรษะจะเจ็บจนชาไปแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังยิ้มอย่างสดใส “ใช่ ฉันมันเลว คุณไม่เคยสำรวจตัวเองเลยเหรอ?”
อย่างไรเธอก็มีป้ายติดตัวว่า ‘เลว’ อยู่แล้ว เมื่อถูกเฉียวซินโยวเป็นคนติดให้ สำหรับทุกคนไม่ว่าเธอจะพิสูจน์ตัวอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ งั้นก็เอาตามนี้เลยละกัน!
เธอเป็นผู้หญิงเลวทรามต่ำช้า ก็ต้องได้รับการชำระล้าง แล้วพวกคุณจะทำอย่างไรกับเธอดีล่ะ?
เย่ฉ่าวเฉินยิ้ม เขากระชากผมเธอมากขึ้น ใจจริงอยากจะดึงมันขึ้นมาแทบทั้งหมด คำพูดร้ายกาจออกมาจากปากนั้น “เธอยอมรับมา ว่าเธอเป็นคนวางยาเฉียวซินโยว!”
แสงสว่างในแววตาของมู่เวยเวยที่มองทะลุผ่านเข้าไปช่างน่าขนลุก เธอพยายามเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดที่หนังศีรษะ แล้วเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่ว่าฉันจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม พวกคุณทุกคนก็คิดว่าฉันเป็นคนทำอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“จางเห่อตรวจสอบชัดเจนแล้ว มียานอนหลับจำนวนมากอยู่ในโจ๊กที่เธอทำให้ซินโยวกิน เธอยังจะแก้ตัวว่ายังไง?” เย่ฉ่าวเฉินขาดสติ เมื่อถูกมู่เวยเวยยั่วโมโห
“ในบ้านตระกูลเย่ไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ทำโจ๊ก เพียงแค่คืนนั้นฉันเป็นคนทำโจ๊ก ก็เลยคิดว่าคนที่วางยาเป็นฉันงั้นเหรอ?” มู่เวยเวยตะคอกอย่างเหยียดหยาม
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินเย็นชา เขาเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแส “ทีแรกก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเธอ เพราะตอนนั้นควรจะเป็นฉินหม่าที่อยู่ห้องครัว แต่ฉันเพิ่งมารู้จากอาหวังว่า ตอนนั้นฉินหม่าไปขอเมล็ดกาแฟจากเขา”
“แล้วไง พวกคุณไม่มีตามองดูเหรอ ก็เลยคิดว่าฉันเป็นคนวางยา?”
“นี่เธอยังไม่ยอมรับใช่ไหม ฉินหม่าไม่มีแรงจูงใจที่จะทำ และเธออยู่กับฉันมาเป็นสิบๆ ปี ฉันรู้นิสัยของเธอดี”
มู่เวยเวยเม้มปาก เธอยิ้มอย่างเยือกเย็น น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ “ฉันบอกหรือยังว่าเป็นฉินหม่า? แม้ว่าตำรวจจะกระทำความผิดก็ตาม ทุกคนย่อมมีแรงจูงใจ แต่คุณกลับเจาะจงมาที่ฉันโดยตรง?”
“งั้นเธอหมายถึงใคร?” เย่ฉ่าวเฉินเอ่ยถาม
“เฉียวซินโยวล่ะ? คุณกล้ารับปากไหมว่าเธอบริสุทธิ์?” มู่เวยเวยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา มีความเกลียดชังแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น
จะไม่ให้เธอเกลียดได้อย่างไร!
เธอเพิ่งรู้มาจากพยาบาลว่า เธอเกือบตายไปแล้ว แต่เฉียวซินโยวได้ถ่ายเลือดให้เธอ เธอจึงรอดชีวิตมาได้ เมื่อได้ยินแบบนั้นเธออยากจะหัวเราะจริงๆ เธอไม่เชื่อว่าเฉียวซินโยวจะใจดีขนาดนั้น เธอคงแสดงละครอยู่แน่ๆ!
เธอต้องฉวยโอกาสนี้สร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูอ่อนโยนและใจดีต่อหน้าทุกคนอีกครั้ง และให้ตัวมู่เวยเวยเองเป็นคนเลว เพื่อทำให้เธอดูดีขึ้นใช่ไหมล่ะ?
เป็นคนเจ้าเล่ห์ที่หนึ่งในจักรวาลจริงๆ สามารถแสดงละครเสแสร้งได้ขนาดนี้ ไม่แปลกใจเลยที่หลอกล้อเย่ฉ่าวเฉินและคนรอบตัวได้ เกือบจะสมบูรณ์แบบแล้วเชียว!
เมื่อได้ยินว่าเธอสงสัยเฉียวซินโยว เย่ฉ่าวเฉินก็ชะงักไป เขาอยากจะบีบคอเธอให้ตายคอมือจริงๆ!
เขาเคยเห็นคนใจดำ แต่กลับไม่เคยเห็นคนที่เนรคุณขนาดนี้มาก่อน!
“เธอไม่รู้ใช่ไหมว่าซินโยวถ่ายเลือดให้เธอ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่มีชีวิตอยู่คุยแบบนี้หรอก เธอคงตายไปนานแล้ว!” เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองเธออย่างดุร้าย ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
มู่เวยเวยยิ้มเยาะ พูดขึ้นอย่างไม่แยแส “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ควรจะกล่าวขอบคุณ และเคาะหัวเธอ แล้วเรียกเธอว่าผู้มีพระคุณใช่ไหม?”
ถ้าไม่ใช่เพราะเฉียวซินโยว เธอต้องมานอนอยู่ในห้องผ่าตัดแบบนี้ไหม?
ยิ่งไปกว่านั้นความจริงก็คือ เฉียวซินโยวรู้ดีว่าตัวเองไม่ได้มีเจตนาที่ดีต่อเธอ หากต้องให้เธอไปขอบคุณ เธอเกรงว่าเฉียวซินโยวจะรับไม่ได้
“มู่เวยเวยเธอ!” เย่ฉ่าวเฉินกำหมัดแน่น เธอมันไม่รู้จักชั่วดี! ตอนนั้นเขาคิดได้อย่างไรให้ซินโยวให้เลือดเธอเพื่อช่วยชีวิตเธอนะ!
“เธอมันน่าไม่อายจริงๆ มู่เวยเวย ถ้าไม่ใช่เพราะซินโยวให้เลือดเธอ เธอคิดว่าเธอจะได้มานอนอยู่ตรงนี้ไหม?”
มู่เวยเวยเม้มปาก รอยยิ้มเยือกเย็น แล้วเอ่ยขึ้น “ฉันได้ขอร้องให้พวกนายมาช่วยไหม ถ้าฉันรู้ว่าเฉียวซินโยวเป็นช่วย สู้ฉันตายไปซะยังดีกว่า!”
เมื่อคิดได้ว่าเลือดของเฉียวซินโยว ไหลเวียนอยู่ในร่างกายเธอ เธอยิ่งรู้สึกขยะแขยง
เธอร้ายกาจขนาดนั้น ไม่รู้ว่าเลือดจะมีอะไรปนเปื้อนอยู่บ้าง ถ้าเธอติดสิ่งที่ไม่ดีมาล่ะ งั้นเธอก็อาจจะตายได้!
“มู่เวยเวย ไม่อยากคิดว่าเธอจะเป็นคนปากแข็งแบบนี้ ที่จริงแล้วเธออิจฉาซินโยวใช่ไหม” เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองมาที่ดวงตาของเธอ แต่กลับพบเพียงความเย้ยยันในแววตานั้น
เธออิจฉาซินโยว? เย่ฉ่าวเฉินนายโง่หรือเปล่า?!
เฉียวซินโยวทำร้ายเธอขนาดนั้น ยังจะให้อิจฉาเธองั้นเหรอ?
มีเรื่องที่ตลกกว่านี้อีกไหมเนี้ย!
“นายบอกว่าฉันอิจฉาซินโยวเหรอ ฉันอิจฉาเธอตรงไหมไม่ทราบ?”
น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเฉินเย็นชา มุมปากยกยิ้มอย่างมีความหมาย “คนเลวก็ต้องอิจฉาคนดีเป็นเรื่องปกติ ยังต้องให้ฉันอธิบายอีกไหม?”
“ถ้าคุณเชื่อแบบนั้นจริงๆ” มู่เวยเวยเอ่ยอย่างไม่แยแส
“ที่ฉันมาหาเธอไม่ใช่มาฟังคำถกเถียงของเธอ ตอนนี้ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรเธอ แต่เมื่อไหร่ที่เธอออกจากโรงพยาบาล เธอต้องขอโทษซินโยวต่อหน้าทุกคนในตระกูลเย่”
ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น มู่เวยเวยไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เธอไม่ได้ทำอะไรผิด จะให้เธอขอโทษเฉียวซินโยวงั้นเหรอ?
ทำร้ายเธอขนาดนี้ แต่จะให้เธอเป็นฝ่ายขอโทษ ไม่มีทางแน่นอน!
มู่เวยเวยครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ พยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง ทันใดนั้นเธอก็ยิ้ม แล้วเอ่ยขึ้น “ให้ฉันขอโทษก็ได้ แต่ฉันมีเงื่อนไขกับนายข้อหนึ่ง”
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินว่าเธอเห็นด้วย สีหน้าเขาก็ดูผ่อนคลายลง แต่เมื่อได้ยินว่าเธอยื่นเสนอมา สีหน้าเขากลับบึ้งตึงอีกครั้ง เธอไม่ยอมพลาดโอกาสเลยจริงๆ!
“เธอพูดมาก่อน”
“นายต้องตกลงก่อน ไม่งั้นก็ไม่พูด และก็ไม่ขอโทษด้วย”
มู่เวยเวยยิ้ม เขาคิดว่าเธอคงจะทำเหมือนที่เคยทำ เหมือนกับลูกพลับลูกหนึ่ง ที่ปล่อยให้พวกเขาบีบ
เย่ฉ่าวเฉินครุ่นคิดเล็กน้อย พูดขึ้นช้าๆ “เงื่อนไขอะไร?”
มู่เวยเวยเม้มปาก พูดขึ้นทันที “นายอยากให้ฉันขอโทษเฉียวซินโยวต่อหน้าทุกคน นายต้องขอโทษฉันต่อหน้าทุกคนก่อน!”
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินดังนั้น เงามืดของความไม่อยากเชื่อก็ปรากฎขึ้นที่ใบหน้าของเขา พลางยิ้มเยาะ “เธอล้อเล่นงั้นเหรอ?”
มู่เวยเวยก็ยิ้มกลับเช่นกัน “นายคิดว่าไงล่ะ?”
แววตาสีน้ำเงินของเย่ฉ่าวเฉินส่องแสงแพรวพราว น้ำเสียงที่ดึงดูด เอ่ยออกมา “เธอคิดว่าจะเป็นไปได้ไหม? เธอเป็นคนผิด แต่กลับให้คนที่ถูกทำร้ายต้องมาขอโทษ”
เขายังสงสัยว่ามู่เวยเวยอาจจะมีอาการผิดปกติทางจิต ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่พูดอะไรที่ไร้สาระแบบนี้ออกมา
“คนที่ถูกทำร้าย?” น้ำเสียงของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยความเย้ยยัน “ฉันก็เป็นคนที่ถูกทำร้าย เฉียวซินโยวก็ถูกทำร้าย นายบาดเจ็บหรือเปล่า? นายถูกคนอื่นทำร้ายไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินมองเธอด้วยแววตาเย็นชา “เธอคิดว่าเธอมีสิทธิ์ต่อรองกับฉันงั้นเหรอ”
มู่เวยเวยไม่โกรธแต่กลับยิ้มอย่างมีความสุข “นายไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไร เพราะในความสัมพันธ์ของเรา ฉันเป็นผู้ถูกทำร้าย ดังนั้นฉันต้องการคำขอโทษ นายต้องขอโทษฉันก่อน ไม่งั้นก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีก”
เย่ฉ่าวเฉินถูกเธอทำให้รู้สึกแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรมนี้ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าเจรจาต่อรองกับเขา เธอมันบ้า!
ตอนนี้ไม่เพียงแต่ทำเรื่องบ้าๆ สมองเธอก็บ้าไปด้วย กล้าพูดออกมาได้อย่างไร ให้คนอย่างเย่ฉ่าวเฉินเอ่ยคำขอโทษ!
“มู่เวยเวยเธอรู้ไหมว่าคนที่ต้องการให้ฉันเอ่ยคำขอโทษ ตอนนี้เป็นยังไง?”
มู่เวยเวยเม้มปาก ไม่สนใจต่อคำขู่ของเขา “ไม่ว่ายังไง ฉันรู้เพียงว่าถ้านายไม่ขอโทษฉัน ฉันก็จะไม่ขอโทษเฉียวซินโยว แม้ว่านายจะบีบคอฉันให้ตายก็ตาม”
เมื่อมองเห็นว่าเขาต้องการจะยื่นมือออกมา มู่เวยเวยจึงเอ่ยขึ้น เพียงแค่เขาเอื้อมมือออกมาในตอนนี้ เธอก็คาดเดาการเคลื่อนไหวของเขาได้แล้ว
หึหึ น่าขันจริงๆ เธอรู้จักเขาดีกว่าที่รู้จักตัวเองซะอีก
เย่ฉ่าวเฉินชะงักมือไว้ ร่างกายแข็งทื่อ คิดอยู่ในใจว่าจะบีบคอเธอดีหรือไม่ สุดท้ายมือนั้นก็ผ่านใบหน้าซีดเผือดของเธอไป เขารีบดึงมันกลับทันที
ไม่ใช่ว่าเขาเห็นด้วยกับเธอ แต่เมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่เฉียวซินโยวพยายามทำมา ถ้าเขาบีบคอเธอตายไป แล้วเลือดที่ซินโยวให้ไปก็จะไม่สูญเปล่าหรอกเหรอ?
เมื่อคิดถึงเหตุผลนี้ เขาจ้องมองเธออย่างดุร้าย ก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไป
เมื่อเห็นหลังของเขาเดินหายไปจากประตูห้อง มู่เวยเวยก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ไม่ว่าเธอจะแสร้งทำเป็นนิ่งแค่ไหน แต่สิ่งที่ทรมานอยู่ภายในใจลึกๆ กลับไม่มีทางจางหายไป
จนกระทั่งตอนนี้ หนังศีรษะของเธอยังรู้สึกเจ็บไม่หาย เพราะมันถูกดึงอย่างแรงจนชาไปแล้ว
หลังของเธอ แม้ว่าคุณหมอจะเอาเศษกระจกออกให้ แต่บาดแผลยังไม่หายดี เธอยังเจ็บปวดเหมือนใจของเธอ
และยังมีแขนข้างขวา…
มู่เวยเวยลูบแขนเบาๆ แขนของเธอกลับมามีความรู้สึกแล้ว เธอยังจำได้ดี ตอนนั้นเหมือนกระดูกจะหักคามือเขาด้วยซ้ำ รับรู้ได้ว่ามันเจ็บมากแค่ไหน
ว่ากันว่ากระดูกจะเชื่อมต่อกับเส้นประสาท เวลานั้น เธออดคิดขึ้นมาเสียไม่ได้ว่า ถ้าเขาทำให้เธอตายจริงๆ จะดีแค่ไหนนะ? ถ้าเป็นเช่นนี้เธอก็ควรจะขอบคุณเขา ขอบคุณที่เขาช่วยปลดปล่อยเธอ
แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา นอกจากความเกลียดชังที่มีอยู่เต็มอก เธอยังเกลียดเพิ่มขึ้นไปอีก
เธอเกลียดที่เฉียวซินโยวทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี่ และเกลียดยิ่งกว่ากับความโหดร้ายของเย่ฉ่าวเฉิน
พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ พวกเขามันคือปีศาจ!
มีความจริงอย่างหนึ่งที่เฉียวซินโยวพูดถูก เธอและเย่ฉ่าวเฉินอยู่ในโลกเดียวกัน พวกเขาเห็นแก่ตัวเหมือนกัน โหดร้ายเหมือนกัน และไม่มีความเห็นอกเห็นใจเหมือนมนุษย์
เธอสงสารตัวเอง ที่โชคร้ายต้องมาเป็นเหยื่อในวิธีการอันเลวทรามของพวกเขา…
เป็นเวลาเดียวกันที่เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นภายในห้อง มู่เวยเวยละทิ้งความคิดเหล่านั้นไป
มู่เวยเวยมองดูหมายเลขที่โทรเข้ามา หลังจากที่ลังเลเล็กน้อย เธอก็กดรับสาย “ฮัลโหล หนานกงคุณโทรมามีธุระอะไรหรือเปล่า?”
ทางด้านปลายสาย น้ำเสียงอ่อนโยนที่คุ้นเคยผสมกับความอบอุ่น ค่อยๆ บรรเทาความหดหู่ภายในใจของมู่เวยเวยลงได้
“เวยเวยตอนนี้คุณยังทำงานอยู่หรือเปล่า? เรามาเจอกันหน่อยได้ไหม?”
สีหน้าของมู่เวยเวยเป็นกังวลใจ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดออกไปตามตรง “หนานกง ฉันว่าสิ่งที่ฉันพูดไปชัดเจนแล้วนะคะ หลังจากนี้เราอย่าติดต่อกันอีกเลย”
เมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้น สีหน้าของหนานกงเฮ่าก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาเงยหน้าขึ้นมองต้นไม้เขียวขจีด้านนอกหน้าต่าง เอ่ยเบาๆ “เวยเวยคุณรู้ไหมเมื่อได้ยินประโยคนี้จากปากคุณ มันทำให้ผมรู้สึกทรมานยิ่งว่าตายซะอีก คุณใจร้ายขนาดนี้เลยเหรอ ไม่มีช่องทางให้ผมเข้าไปได้เลยใช่ไหม?”
มู่เวยเวยย่นหน้า ใบหน้าเล็กดูเคร่งขรึม เธอมองแขนที่มีรอยช้ำของตัวเอง ภายในใจคิดขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ หากจะพูดตามตรง หนานกงเฮ่าเป็นคนเดียวเท่านั้นที่เห็นด้วยกับเธอ เพื่อนที่จริงใจ เธอไม่อยากให้ตัวเองดูเหมือนคนไร้น้ำใจ
“หนานกงทำไมคุณทำแบบนี้ เห็นอยู่ชัดเจนว่าเรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ ถ้าคุณยังดื้อแบบนี้ มันจะไม่ดีสำหรับเราทั้งคู่”
“คุณรังเกียจผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ คุณคิดว่าตอนนี้ผมคอยแต่ตามรังควานคุณ คุณคงรังเกียจผมมาก”
มู่เวยเวยถอนหายใจเฮือกใหญ่ นวดคลึงจุดเลือดลมบนร่างกาย แล้วเอ่ยว่า “ฉันไม่ได้รังเกียจคุณจริงๆ ฉันเพียงแค่ต้องการเวลาสงบสติอารมณ์ สะสางความสัมพันธ์ของเราให้เรียบร้อย”
เมื่อได้ยินเธอปฎิเสธ หนานกงเฮ่าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขารู้ว่าตอนนี้เขาคงบังคับเธอมากไปกว่านี้ไม่ได้ แต่เขาก็อดทนต่อไปอีกไม่ไหวกับความจริงที่ว่าจะไม่ได้เจอเธออีกต่อไป ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาคงแตกสลาย!
“ครับเวยเวย ผมให้เวลาคุณ แต่มีเวลากำหนดไหม หนึ่งอาทิตย์ หรือหนึ่งเดือน?”
มู่เวยเวยคิด แล้วตอบออกไปเสียงแผ่วเบา “หนึ่งเดือน”
“โอเค หลังจากนี้หนึ่งเดือน ผมจะรอฟังคำตอบจากคุณ”
“อืม”
เมื่อวางสายจากหนานกงเฮ่า มู่เวยเวยก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที ภายในใจถูกปั่นป่วนไปด้วยอารมณ์ต่างๆ จนเธอไม่รู้จะทำอย่างไร
อันที่จริงเธอก็ไม่อยากเสียหนานกงเฮ่าเพื่อนคนนี้ไป แต่ตอนที่ยังไม่ทราบเบาะแสของพี่ชายเธอ หนานกงเฮ่าเป็นคนเดียวที่อยู่เคียงข้างและปฎิบัติต่อเธอด้วยความจริงใจ แต่เขากลับบีบบังคับเธอ
เขารู้สึกกับเธออย่างไร ไม่ใช่ว่าเธอไม่สังเกตเห็น เพราะเหตุนี้ เธอจึงตัดสินใจไม่ได้
เธอไม่อยากคิดเกินเลยกับเขา หากวันหนึ่งเพราะเรื่องนี้ทำร้ายกันและกันจนเจ็บปวด แทนที่จะเป็นแบบนี้ สู้อยู่ห่างๆ กันซะยังดีกว่า
เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เธอไม่ใช่เด็กผู้หญิงไร้เดียงสาเหมือนที่เคยเป็นในตอนนั้น เธอเกลียดชีวิตในตอนนี้ของเธอ เธอรู้สึกว่าจริงๆ แล้ว ตัวเองเธอไม่คู่ควรกับหนานกงเฮ่าด้วยซ้ำ
และเธอแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉินแล้ว
คำจำกัดความเดียวสำหรับหนานกงเฮ่าในใจของเธอคือ มิตรภาพที่แสนบริสุทธิ์ ไม่มีความคิดอื่นใด
แต่หนานกงเฮ่าล่ะ? เขาจะมีความสามารถมากพอที่จะปล่อยวางความรู้สึกตัวเอง และซื่อสัตย์กับเธอในฐานะเพื่อนที่ดีได้หรือเปล่า?