มู่เวยเวยปล่อยให้พยาบาลแทงเข็มตัวเอง เธอมองไปที่รอยช้ำเข็มบนแขนด้วยสีหน้าราบเรียบ
เธอไม่ใช่คนบอบบาง ตั้งแต่แต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉิน ดูเหมือนว่าสิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ง่ายยิ่งกว่าการกินข้าวและดื่มน้ำซะอีก
ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอกับโรงพยาบาลจะเป็นบุพเพสันนิวาสต่อกันไปแล้ว
เป็นเวลาเดียวกันที่ประตูห้องถูกเปิดออก จางเห่อก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “คุณหนูครับ คุณชายสั่งให้ผมมาจัดการเรื่องรักษาพยาบาลให้เรียบร้อยแล้วพาคุณหนูออกจากโรงพยาบาล ถ้าไม่มีอะไรแล้ว รถจอดรออยู่ด้านล่าง เรากลับได้ทุกเมื่อครับ”
มู่เวยเวยโบกมือ เป็นการตอบกลับ
จางเห่อขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ยังคงรักษาหน้าที่ของตัวเอง เขาเอ่ยตอบด้วยความเคารพ “งั้นผมจะรอที่ทางเดินด้านนอกนะครับ”
“อืม”
จางเห่อหันหลังและเดินจากไป มู่เวยเวยไม่ได้เพิกเฉยต่อการแสดงออกทางสีหน้าเพียงเล็กน้อยของเขา การกระทำทั้งหมดของเธอเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ บางทีคงแพร่กระจายไปทั่วบ้านตะกูลเย่แล้ว ชีวิตในบ้านตระกูลเย่ต่อจากนี้ คงก้าวเดินไปได้อย่างยากลำบาก
ตอนนี้ เธอในสายตาทุกคนคงถูกตราหน้าว่าชั่วร้าย เลวทราม โหดเหี้ยม และเนรคุณ
แต่เธอไม่สนใจ
รอจนพยาบาลออกไป มู่เวยเวยเก็บของเล็กๆน้อยๆ จากนั้นเดินออกจากห้องผู้ป่วยที่อยู่มานานกว่าหนึ่งสัปดาห์ ตามจางเห่อลงไปชั้นล่าง เดินเข้าไปนั่งในรถของตระกูลเย่
บอกตามตรง เมื่อเทียบกับบ้านตระกูลเย่แล้ว เธอยอมอยู่โรงพยาบาลซะยังดีกว่า ทุกอย่างที่อยู่ที่นั้นล้วนทำให้เธอไม่สบายใจ
หลังจากนั้นประมาณสามสิบนาที ในที่สุดรถก็จอดอยู่ที่ลานจอดรถในบ้านตระกูลเย่ เมื่อมองดูคฤหาสน์หรูหราที่คุ้นเคย แต่กลับไม่รู้สึกคุ้นเคยเลยแม้แต่นิด มู่เวยเวยคล้ายกับได้อยู่โลกอีกใบ
สิ่งที่ทำให้เธอปลื้มใจก็คือ เมื่อกลับมาถึงคนแรกที่เจอไม่ใช่เย่ฉ่าวเฉิน และไม่ใช่เฉียวซินโยวด้วยเหมือนกัน แต่เป็นเสี่ยวจื่อที่ชอบทำให้เธอแปลกใจอยู่เสมอ
เมื่อเธอเปิดประตูห้องนอนเข้าไป เห็นเสี่ยวจื่อปรากฎตัวอยู่กลางอากาศ อารมณ์ไม่ดีของมู่เวยเวยก็ผ่อนคลายลงไปมาก
“เสี่ยวจื่อ ทำไมนายอยู่ที่นี่ล่ะ?”
มู่เวยเวยแปลกใจ เธอมองดูสิ่งของต่างๆ ภายในห้อง คิดว่าตัวเองอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก ของส่วนใหญ่ภายในห้องล้วนลอยอยู่กลางอากาศอย่างน่าอัศจรรย์
เสี่ยวจื่อหันกลับมาช้าๆ มีรอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปากของเขา แล้วถามขึ้นเบาๆ “หลายวันมานี้คุณไปไหนมา ทำไมไม่เห็นคุณกลับบ้าน ผมคิดว่าคุณย้ายออกไปซะแล้ว”
เธอจะย้ายออกไปไหนได้ล่ะ?
เธอคิดถึงที่นี่ มู่เวยเวยถอนหายใจเบาๆ รอยยิ้มอบอุ่นปรากฎบนใบหน้าของเธอ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “ฉันไปไม่ได้หรอก”
“โอ้?” เสี่ยวจื่อสงสัย เขารู้ดีที่เธอบอกว่า ‘ไปไม่ได้’ แต่ไม่ใช่ ‘ไม่ไป’
แม้ตัวอักษรจะขาดไปแค่ตัวเดียว แต่ความหมายนั้นช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
มู่เวยเวยพยักหน้า มองดูท่าทางสงสัยของเสี่ยวจื่อ แล้วกระซิบเบาๆ “พูดไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก พวกเราอย่าคุยเรื่องนี้กันอีกดีกว่า”
เมื่อเธอไม่อยากพูดถึงมัน เสี่ยวจื่อก็ไม่บังคับ เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ครับ ความสามารถของผมเพิ่มมากขึ้น ตอนนี้รองรับการเคลื่อนไหวของวัตถุขนาดใหญ่ได้แล้ว คุณอยากลองไหม?”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนั้น มู่เวยเวยก็เริ่มสนใจทันที เธอรีบพยักหน้า “เอาสิ!”
“แล้วคุณอยากให้ผมย้ายอะไร?”
มู่เวยเวยเท้าคางคิดอยู่สักพัก สายตามองไปรอบๆ ห้อง และหยุดลงที่เตียงใหญ่โดยไม่ได้ตั้งใจ เธอเอ่ยถาม “แล้วเตียงนี้ล่ะ?”
เสี่ยวจื่อครุ่นคิด จากนั้นเขาก็พยักหน้า “ผมจะลองดู”
พูดจบ เสี่ยวจื่อก็หายตัวไปทันที และปรากฎตัวขึ้นที่เหนือเตียง เขายกนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว แล้วพึมพำอะไรบางอย่าง จากนั้นเตียงก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวเล็กน้อย
เสี่ยวจื่อควบคุมมัน นิ้วมือขยับอย่างรวดเร็ว เตียงที่ลอยอยู่คล้ายกับสูญเสียการควบคุม มันลอยสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และหมุนอยู่กลางอากาศไม่หยุด
มู่เวยเวยตกตะลึง เธอรับรู้ได้ถึงการหมุนของเตียงที่นำพากระแสลมรอบๆ พัดเส้นผมของเธอ
หลังจากนั้นประมาณสิบนาที เสี่ยวจื่อก็ตวัดนิ้วอย่างรวดเร็ว เตียงที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เริ่มดิ่งลงสู่พื้น และตกลงบนพื้นอย่างมั่นคง
“เป็นอะไรเหรอ?” มู่เวยเวยถามขึ้นอย่างงงงวย เธอพึมพำในใจ :ยังชื่นชมไม่หนำใจเลย!
เสื้อสีขาวของเสี่ยวจื่อเพื่อมเบาๆ ร่างนั้นเคลื่อนที่มาอยู่ข้างๆ มู่เวยเวยทันที เขาใช้แขนเสื้อซับเหงื่อที่หน้าผากเบาๆ “วัตถุขนาดใหญ่แบบนี้ ผมยังควบคุมได้ไม่ดีนัก”
มู่เวยเวยพยักหน้า เพื่อแสดงความเข้าใจ “ไม่เป็นไร แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”
เสี่ยวจื่อมองไปที่ใบหน้าของเธอ ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นรอยแผลตรงหน้าผาก เขาขมวดคิ้ว “หน้าผากของคุณ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
มู่เวยเวยส่ายหัวเบาๆ “ไม่มีอะไร ฉันไม่ระวังหัวเลยกระแทกน่ะ”
เสี่ยวจื่อมองไปที่ใบหน้ายิ้มแย้มของเธอ เงาดำฉายผ่านดวงตาสีม่วง อย่างดาดเดาไม่ได้
มู่เวยเวยไม่ได้บอกความจริง ว่าที่แท้จริงแล้วแผลนี้คือผลงานชิ้นเอกของเย่ฉ่าวเฉิน ถ้าเธอพูดไปแบบนั้น เธอกังวลว่าเสี่ยวจื่อจะเป็นห่วง จึงโกหกออกไป
ในใจของเธอ การมีอยู่ของเสี่ยวจื่อก็เปรียบเสมือนกับดวงดาว แม้ว่าจะไม่ส่องสว่างเท่าดวงอาทิตย์ แต่นำมาซึ่งความอบอุ่นที่ยากจะละเลย
เสี่ยวจื่อก็เป็นเหมือนกับศาสตราจารย์เชียนซ่งอี้ในใจเธอ ที่นำพามาซึ่งความลึกลับ และความคิดถึง
ถ้าวันหนึ่ง เธอสามารถออกไปจากที่นี่ได้จริงๆ เป็นไปได้หรือเปล่าที่เธอกับเสี่ยวจื่อจะได้พบกันอีก?
อันที่จริง สิ่งที่เธอต้องการถามคือ เสี่ยวจื่อจะออกไปกับเธอไหม…
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ในใจของมู่เวยเวยก็สั่นไหว เธอก็คง…
เสี่ยวจื่อเฝ้ามองเธออยู่เงียบๆ ดวงตาสีม่วงเปล่งประกายระยิบระยับ เขารู้สึกว่าเธอถูกกลืนหายไปกับความเหม่อลอยนั้น และรับรู้ได้ถึงความหดหู่จากเธอเช่นกัน
แล้วทำไมเธอถึงหดหู่ล่ะ?
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” เสี่ยวจื่อเอ่ยถามเบาๆ
มู่เวยเวยส่ายหน้า พยายามปกปิดความคิดในใจ “รู้สึกเบื่อนิดหน่อยน่ะ”
เมื่อเสี่ยวจื่อได้ยินที่เธอพูด เขาก็ยิ้มอย่างพออกพอใจ “เบื่อเหรอ? งั้นคุณอยากดมกลิ่นดอกไม้ และฟังเสียงนกร้องไหม?”
เมื่อมู่เวยเวยได้ยินเช่นนั้น ก็คิดว่าเขาต้องพาเธอไปล่องลอยเล่นแน่ๆ จึงตอบตกลงไปอย่างมีความสุข “เอาสิ”
ใครจะรู้ว่า เสี่ยวจื่อจะหันหลังไปแล้วเปิดหน้าต่าง เมื่อมองผ่านหน้าต่างออกไปจะเห็นสวนดอกไม้ของบ้านตระกูลเย่
มู่เวยเวยสงสัย จึงให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของเขา
เห็นเขาวาดแขนเป็นรูปวงกลมไปทางสวนดอกไม้ ปากพึมพำอะไรบางอย่าง เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
มู่เวยเวยจ้องมองไปที่หน้าต่าง เธอเริ่มอยากรู้อยากเห็น จึงเข้าไปมองใกล้ๆ เมื่อเห็นนกบินต่อแถวกันเรียงราย ในใจก็ตกตะลึง!
สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คือ มีดอกไม้สดใสห้อยอยู่ในปากนกแต่ละตัว!
น่าอัศจรรย์เหลือเกิน มู่เวยเวยอดอุทานในใจเสียไม่ได้
นกบินผ่านหน้าต่างเข้ามา ตรงมายังห้องของมู่เวยเวย บินวนเวียนอยู่รอบๆ ห้อง ทันใดนั้นก็มีเสียงนกร้องจ๊อกแจ๊กขึ้นไม่หยุด และมีกลิ่นดอกไม้หอมคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง
มู่เวยเวยประหลาดใจ เธอมองดูฉากนี้อย่างเหลือเชื่อ ในใจคิดว่าคงจะมีแค่นี้ แต่เมื่อเสี่ยวจื่อขยับนิ้วอีกครั้ง นกเหล่านั้้นก็อ้าปาก
ดอกไม้ร่วงหล่นลงมา แต่ไม่ตกลงสู่พื้น มันลอยอยู่ในอากาศ
เสี่ยวจื่อตวัดนิ้วมือ จากนั้นดอกไม้ที่เห็นเรียงราย ก็เริ่มรวมตัวกัน กิ่งก้านของดอกไม้คล้ายกับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง มันเริ่มเกี่ยวพัน และในที่สุดทั้งหมดก็รวมตัวเข้าด้วยกัน
“เป็นพวงมาลัยที่สวยมาก!”
มู่เวยเวยอุทานออกมา เป็นเวลาเดียวกันที่พวงมาลัยนั้นกำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาเธอ ค่อยๆ เข้ามาที่ด้านบนศีรษะ ทันใดนั้นมันก็คล้ายกับสูญเสียการควบคุม และตกลงมา
ไม่รอให้มู่เวยเวยมีท่าทีใดๆ พวงมาลัยแสนสวย ก็ตกลงมาบนศีรษะของเธอ
“สวยมาก” เสี่ยวจื่อมองไปที่เธอ มู่เวยเวยสวยงามราวกับนางฟ้าแห่งดอกไม้ เขาจึงเอ่ยปากชม
ในสายตาของเขา มู่เวยเวยช่างสง่างามและบริสุทธิ์ ทั้งมีเสน่ห์ ทั้งมีสติปัญญา อ่อนโยนราวกับสาวน้อยข้างบ้าน
มู่เวยเวยเมื่อได้ยินเขาชมเช่นนั้น แก้มทั้งสองข้างก็ขึ้นสีทันที เธอไม่รู้จะตอบกลับว่าอย่างไร
มีรอยยิ้มที่สง่างามอยู่บนใบหน้าของเสี่ยวจื่อ “ตอนนี้คุณมีความสุขไหม?”
มู่เวยเวยผงะ เธอไม่คิดว่าเสี่ยวจื่อจะเห็นว่าเธออารมณ์ไม่ดี ดูเหมือนว่าทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้น ทำให้เธอมีความสุข จนเกิดความร้อนรุ่มอยู่ในใจ
นอกจากพี่ชาย เสี่ยวจื่อเป็นคนเดียวที่เต็มใจดูแลเธอ
มู่เวยเวยพยักหน้าอย่างแรง ในใจเธอมีความสุขจริงๆ “ขอบคุณนะเสี่ยวจื่อ ตอนนี้ฉันผ่อนคลายขึ้นมากแล้วล่ะ”
“งั้นก็ดีแล้ว”
เสี่ยวจื่อค่อยๆ โน้มตัวลงมาตรงหน้าเธอ ไล่นิ้วเรียวยาวไปบนพวงแก้มของเธอ น้ำเสียงนุ่มนวลราวกับสายน้ำ “คนเราจะมีความสุขไปตลอดชีวิตหรือไม่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเอง คุณต้องรู้จักเรียนรู้ความรู้สึกของตัวเอง แบบนั้นจะสบายใจกว่า”
มู่เวยเวยเมื่อได้ยินแบบนั้น ก็พูดติดตลกขึ้นว่า “เสี่ยวจื่อ ฉันไม่ยักรู้ว่านายเป็นนักปรัชญาด้วย”
เสี่ยวจื่อยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น เขาหัวเราะหึหึ แล้วเอ่ยขึ้น “นี่คือการเข้าใจชีวิตของผม ชีวิตคนเรานั้นสั้น จงปล่อยวางและทะนุถนอมมัน”
มู่เวยเวยยิ้ม สิ่งที่เสี่ยวจื่อคร่ำครวญกลายเป็นวรรณกรรมเยาวชนไปแล้ว เธอจึงถอนหายใจ
เสี่ยวจื่อหัวเราะอีกสองครั้ง ความเลือดเย็นในตอนแรกหายไปหมด เขาเดินสู่เส้นทางแห่งความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ…
มู่เวยเวยกะพริบตา ความเปลี่ยนแปลงในใจเขา เธอก็มีความสุขเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่เย่อหยิ่งก่อนหน้านี้ เธอชอบเสี่ยวจื่อที่อ่อนโยนและใจดีในตอนนี้มากกว่า
“对了,你想不想体验下我现在的感觉?”小紫神秘一笑,缓缓的问道。
“ใช่แล้ว คุณอยากเรียนรู้ความรู้สึกของผมตอนนี้ไหม?” เสี่ยวจื่อยิ้ม แล้วเอ่ยถามขึ้นช้าๆ
มู่เวยเวยไม่เข้าใจ จึงถามขึ้น “หมายความว่ายังไง?”
เสี่ยวจื่อครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วตอบ “ผมหมายถึง คุณอยากสัมผัสกับความรู้สึกที่กำลังเดินอยู่บนปุยเมฆไหม?”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของมู่เวยเวยก็ตกตะลึง “นายหมายความว่า จะใช้เวทมนต์ให้ฉันลอยขึ้นไปอยู่บนอากาศเหรอ?”
เสี่ยวจื่อพยักหน้า แล้วตอบ “ใช่ คุณอยากลองสัมผัสดูไหม?”
มู่เวยเวยครุ่นคิด เมื่อพิจารณาได้ว่าคงไม่มีอันตรายถึงแก่ชีวิต สุดท้ายจึงพยักหน้า
เสี่ยวจื่อประสานนิ้วทั้งสิบเข้าด้วยกัน มีเพียงนิ้วชี้สองนิ้วที่ตั้งตรงออกมา เขาหลับตา ปากพึมพำอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น ดวงตาเปิดกว้างพร้อมกับแสงสีม่วงที่สว่างจ้าออกมา
มู่เวยเวยรู้สึกราวกับว่ามีพลังบางอย่างที่มองไม่เห็น ดึงเธอขึ้นมาจากพื้น เดินไปหน้าข้างอย่างมั่นคง แล้วลอยขึ้นไปกลางอากาศ
เธอก้มมองพื้นที่อยู่ใต้เท้า มองไปยังเฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา ความตื่นเต้นเกิดขึ้นในใจ
เธอบินได้แล้ว!
เสี่ยวจื่อปรากฎตัวตรงหน้าเธอทันที ทั้งสองยืนอยู่ตรงข้ามกัน เขามองไปที่สีหน้าประหลาดใจของเธอ แล้วคลี่ยิ้ม พลางเอ่ยถามเบาๆ “คุณรู้สึกยังไงบ้าง?”
มู่เวยเวยกางแขนออกทั้งสองข้าง เธอคว้ากระถางดอกไม้ที่ลอยอยู่ จากนั้นปล่อยมันไป แต่เธอก็ยังเห็นกระถางดอกไม้นั้นลอยอยู่กลางอากาศเช่นเดิม
“ทั้งหมดราวกับมีเวทมนต์ รู้สึกดีเป็นบ้า!”
เสี่ยวจื่อพยักหน้า ทันใดนั้นก็วาดมือทั้งสองข้าง ให้ได้ยินเสียงเพียงแค่ในห้อง โชคดีที่เขาทำฉากกั้นห้องเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนนอกได้ยินเสียง
สีหน้าของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยหวาดผวา เมื่อเธอมองเห็นเพียงแค่ขาข้างของเสี่ยวจื่อ กว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าเธอถูกเสี่ยวจื่อแกล้งให้กลับหัว!
มู่เวยเวยเงยคอขึ้นมา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธ “เสี่ยวจื่อ มาพลิกฉันกลับเร็วเข้า ทำแบบนี้ฉันจะอ้วกอยู่แล้ว!”
ความรู้สึกของมู่เวยเวยตอนนี้ เหมือนกับกำลังกลับหัวกลับหางกับผนังห้อง ศีรษะของเธอหันเข้าหาพื้นด้านล่าง ขอเพียงเวทมนต์ไม่หายไป ไม่งั้นหัวเธอได้แบะเป็นดอกไม้บานแน่!
เสี่ยวจื่อกวาดมืออีกครั้ง ร่างของมู่เวยเวยก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ตัวอีกที ก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่กลางอากาศ
เธอมองดูเสี่ยวจื่อที่อยู่ในท่าเดียวกัน เขาเอามือเท้าศีรษะ ด้วยสีหน้าผ่อนคลาย เวลานี้เธออิจฉาเขาจริงๆ
มู่เวยเวยเลียนแบบท่าของเขา ทำให้เสี่ยวจื่อหัวเราะออกมา
มู่เวยเวยหน้าเปลี่ยนสี นี่แหละที่เขาเรียกว่า ตงซีเลียนขมวดคิ้ว* (หมายความว่า การหลับหูหลับตาเลียนแบบคนอื่น) ก็คือสถานการณ์ในตอนนี้…
“นายยิ้มอะไร?” มู่เวยเวยอดถามขึ้นมาไม่ได้
เสี่ยวจื่อส่ายหัว แล้วพูดว่า “ผมรู้สึกว่าท่าทางของคุณมัน…น่ารักดี”
น่ารัก?
เมื่อได้ยินคำนี้ ใบหน้าของมู่เวยเวยก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ เขาคิดว่าที่เขาพูดมามันน่าขำนักหรือไง!
ทั้งสองเล่นกันอยู่สักพัก ครั้งไหนที่เสี่ยวจื่อแกล้งเธอ มู่เวยเวยก็หัวใจหยุดเต้นไปเสียทุกครั้ง เธอคิดว่าถ้าตัวเองได้เล่นกับเขาอีกครั้ง คาดว่าความกลัวคงไม่มีแล้ว
มู่เวยเวยถอนหายใจ แล้วพูดขึ้น “เสี่ยวจื่อ นายยัง… ปล่อยฉันลงก่อนเถอะนะ ฉันเหนื่อยแล้ว”
“เหนื่อยแล้ว? เห็นได้ชัดว่าคนที่ใช้แรงคือผม คุณจะเหนื่อยได้ยังไง?” เสี่ยวจื่อทำหน้าเจ้าเล่ห์ แล้วเอ่ยถาม
มู่เวยเวยรู้สึกผิด แต่จำใจต้องเด็ดขาดพูดออกไป “ตอนที่อยู่กลางอากาศฉันเวียนหัว คงทนไม่ไหวที่ต้องห่างจากพื้นเป็นเวลานานๆ”
เสี่ยวจื่อได้ฟังเธอพูดแบบนั้น ก็ไม่อยากทรมานเธออีก เขาเพียงตวัดนิ้ว ร่างของมู่เวยเวยก็ดิ่งลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว มู่เวยเวยหวาดกลัวจนกรีดร้องออกมา
“อร๊าย!”
มู่เวยเวยรีบหลับตาปี๋ เมื่อคิดว่าตัวเองกำลังจะตกลงสู่พื้น แต่ทันใดนั้นก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างนุ่นๆ ใต้ร่างของเธอ เมื่อลืมตาขึ้น ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงใหญ่
มู่เวยเวยกำลังจะเปิดปากพูด ประตูห้องก็ถูกเคาะขัดจังหวะขึ้นซะก่อน จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงของฉินหม่าที่ดังมาจากด้านนอก “คุณหนูคะ ทานอาหารเที่ยงค่ะ”
“เข้ามา”
มู่เวยเวยตอบกลับไป ตอนนี้ ร่างของเสี่ยวจื่อได้หายไปแล้ว…