พอมู่เวยเวยถอนหายใจแล้วลุกจากเตียงนอน ก็พบว่าของทุกอย่างที่อยู่ในห้องกลับไปอยู่ที่เดิม ถ้าเกิดว่าไม่ได้สัมผัสเองจริงๆ มู่เวยเวยอาจคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน
พอดีที่ฉินหม่าเปิดประตูห้องมา มู่เวยเวยรู้สึกว่าฉินหม่าเปลี่ยนไป เหมือนกับว่าฉินหม่าตั้งใจจะหลบหน้าเธอ มู่เวยเวยสังเกตุเห็น แต่ก็ไม่ได้กล่าวโทษเธอแต่อย่างใด
เธอกลับคิดว่าเป็นแบบนี้ยิ่งดี ทุกคนจะได้ตีตัวออกห่างเธอ เกิดเรื่องอะไรขึ้นเธอจะได้ไม่ต้องสนใจความรู้สึกของคนอื่น
เป็นแบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว
มู่เวยเวยเดินออกจากห้อง เดินลงบันไดมาที่โต๊ะกินข้าว เห็นโต๊ะทานข้าวโต๊ะใหญ่ที่มีแค่อาหารเตรียมไว้สำหรับเธอคนเดียว
แต่ในขณะเดียวกันก็สงสัยว่า เย่ฉ่าวเฉินกับเฉียวฉินโยวก็อยู่บ้านไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไม่มีใครลงมากินข้าวล่ะ?
แต่ก็แค่สงสัย เธอไม่ได้สนใจอยู่แล้ว เธอกลับคิดว่าแบบนี้จะได้สะดวกสะบายมากขึ้น ถ้าเกิดได้กินข้าวร่วมโต๊ะกัน ทุกๆ วันแบบนั้นเธออาจจะอ้วกได้!
“คุณหนูเชิญท่านข้าวก่อนค่ะ คุณชายฝากดิฉันมาบอกว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะเปลี่ยนเวลาทานข้าวของคุณหนู”น้ำเสียงของฉินหม่าที่ยืนอยู่ข้างๆ ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แต่มู่เวยเวยไม่ได้คิดอะไร กลับยิ้มจางๆ แล้วพูดว่า “ฉันรู้แล้ว ฉินหม่าไปทำงานต่อเถอะ”
พอฉินหม่าเดินออกไป มู่เวยเวยก็เริ่มรับประทานข้าว ด้วยท่าทีมีความสุข อาหารที่ฉินหม่าเตรียมให้เป็นอาหารสองสามอย่าง เต้าหู้ท่าโผวและผัดถั่วเต้าเจี้ยวพร้อมกับซุปปลาทะเล
มู่เวยเวยรับประทานอาหารไปเรื่อยๆ แต่พอยกซุปขึ้นมา กินไปได้แค่คำเดียว เธอก็รู้สึกผะอืดผะอมมวนท้องคล้ายกับกำลังจะอาเจียน
เธอวางทุกอย่างลงบนโต๊ะ แล้ววิ่งไปอ่างล้างหน้าในห้องน้ำชั้นหนึ่ง เธออาเจียนออกมาอย่างหนักแทบจะอาเจียนเอาน้ำดีออกมาด้วย
มู่เวยเวยอาเจียนเสียงดัง จนทำให้ฉินหม่าตกใจวิ่งมาดูเขาที่ห้องน้ำ พอเห็นมู่เวยเวยอาเจียนอย่างหนัก และสีหน้าไม่ค่อยดี จึงเดินเข้ามาลูบหลังให้เธอ
“คุณหนู คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
ฉินหม่าตกใจมาก สีหน้าเริ่มไม่สู้ดีกลัวมู่เวยเวยจะเป็นอะไรไป แล้วถามต่อว่า “คุณหนูไม่สบายตรงไหนคะ?”
มู่เวยเวยอาเจียนจนไม่มีอะไรจะอาเจียนแล้ว เธอเปิดก็อกน้ำป้วนปากแล้วพูดกับฉินหม่าว่า “ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉินหม่าไปทำงานต่อเถอะ”
ที่จริงแล้วมู่เวยเวยก็ไม่รู้ว่าตัวเองไม่สบายตรงไหน? เธอคิดว่าอาจจะเป็นเพราะช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย และมีเรื่องให้คิดเยอะเลยทำให้ไม่สบาย
ฉินหม่าเดินตามเธอไป และพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “หรือให้ฉันพาคุณหนูไปตรวจที่โรงพยาบาลไหมคะ? ถ้าชะล่าใจ ร่างกายอาจอ่อนแอลง ถึงตอนนั้นอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้”
มู่เวยเวยส่ายหน้า น้ำเสียงอ่อนแรงพูดกับฉินหม่าว่า “ไม่เป็นไรหรอก ฉันกลับห้องไปพักผ่อนสักหน่อยก็หายแล้ว”
ฉินหม่าถอนหายใจ แล้วพูดอย่างจริงใจ “พวกเราเป็นผู้หญิง สิ่งที่คุณเป็นอยู่ตอนนี้ฉันเข้าใจดี คุณไปตรวจที่โรงพยาบาลเถอะค่ะ ถ้าเกิดว่าไม่ใช่แค่ไม่สบายล่ะ?”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น มู่เวยเวยนั่งคิดอยู่สักพัก พอเข้าใจในสิ่งที่ฉินหม่าพูดแล้วเธอก็ตกใจ “เธอจะบอกว่าฉัน……..”
“คุณหนูเข้าใจถูกแล้วค่ะ ฉันจะสั่งให้อาหวังพาคุณไปโรงพยาบาล ไปตรวจให้แน่ใจ ยังไงก็ดีกว่าไม่ตรวจนะคะ” ฉินหม่าพูด
ฉินหม่าคิด ถ้ามู่เวยเวยท้องจริงๆล่ะก็ เด็กในท้องก็คือลูกคุณชาย ถ้าอย่างงั้นก็ต้องดูแลมู่เวยเวยเป็นอย่างดี ถ้าเกิดแท้งขึ้นมา เป็นเรื่องแน่!
อีกอย่างเรื่องนี้ต้องรีบบอกให้คุณชายรู้…
ครั้งนี้มู่เวยเวยไม่เชื่อในความคิดตัวเอง เพราะถูกฉินหม่าหว่านล้อม เธอจึงเดินตรงไปนั่งในรถของตระกูลเย่ จุดหมายปลายทางก็คือโรงพยาบาลใจกลางเมือง
มู่เวยเวยอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองกับโรงพยาบาลมีโชคชะตาต่อกันหรือเปล่า ออกจากโรงบาลยังไม่ถึงวัน ก็ได้กลับเข้าไปอีกแล้ว
อีกด้านหนึ่ง เมื่อฉินหม่าเห็นรถขับออกไป เธอก็กลับไปในบ้าน เดินขึ้นไปบนชั้นสาม เพราะรู้ว่าตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินกำลังทำงานอยู่ที่ชั้นสาม
ภายในห้องแทบจะไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมา ฉินหม่าอดส่งสัยไม่ได้หรือว่าคุณชายอยู่ที่นี่หรือไม่ ขณะที่หันหลังจะเดินกลับไปนั้นประตูห้องก็เปิดออก
เย่ฉ่าวเฉินกับสีหน้าที่ไม่สนใจโลกของเขาถามขึ้น “มีอะไร?”
ฉินหม่าเข้าไปใกล้ๆ อย่างระมัดระวัง สีหน้ายินดี แล้วบอกว่า “เมื่อกี่คุณหนูกินข้าวแล้วอ้วกออกมาอย่างหนัก ฉันคิดว่าเธออาจจะไม่สบายเลยสั่งให้คนขับรถพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาลค่ะ”
พอฟังจบ เย่ฉ่าวเฉินก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เธออ้วกเหรอ?”
ฉินหม่าก็พยักหน้า ตอบกลับไปว่า “อ้วกอย่างหนัก ฉันถามเธอว่าเป็นอะไร เธอบอกว่าพอกินซุปแล้วก็อ้วก ฉันสงสัยว่า…”
หลังจากนั้นฉินหม่าก็ไม่พูดต่อ แต่ว่าเย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าประโยคต่อจากนั้นคืออะไร สีหน้าเขาเย็นชา พยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉันรู้แล้ว สองสามวันนี้ก็ช่วยดูแลเธอเป็นอย่างดีด้วย ถ้าเกิดมีเรื่องอะไรก็รีบมาบอกฉัน”
“ได้ค่ะ”
พูดจบเย่ฉ่าวเฉินก็ปิดประตู ในตอนนี้ความอึดอัดของฉินหม่าได้หายไปแล้ว เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก
ฉินหม่าสงสัยว่าคุณชายไม่ดีใจเลยเหรอ? หรือเป็นเพราะว่ายังไม่รู้ว่าคุณหนูท้องจริงๆ หรือเปล่า?
พอคิดต่อไปก็พอจะรู้เหตุผล เพราะช่วงนี้คุณหนูเอาแต่ก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน อาจทำให้คุณชายไม่พอใจ คุณชายก็เลยเย็นชาและไม่สนใจเธอ
พอรู้เช่นนั้น ฉินหม่าก็เดินลงมาชั้นล่างอย่างรวดเร็ว พลางคิดว่า:ไม่ว่าจะเพราะเหตุผลอะไรก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของคนรับใช้อย่างเธอ แต่ว่าตอนที่คุณชายเปิดประตู ในห้องสมุดฉินหม่ามองเห็นเงาของคุณหนูเฉียว…
พอเย่ฉ่าวเฉินปิดประตู สีหน้าเหมือนกำลังคุ้นคิดอะไรบางอย่าง ถึงขนาดที่เฉียวซินโยวเดินออกมาจากห้องน้ำก็ยังไม่รู้สึกตัว
เฉียวซินโยวหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะความโมโห ในหัวเมื่อคิดถึงเรื่องที่เพิ่งได้ยิน หน้าก็ร้อนขึ้นมาราวกับเปลวไฟ
พอนึกถึงรอยจูบสีม่วงบนคอของเย่ฉ่าวเฉิน เฉียวซินโยวก็ยิ้มมุมปาก เพราะก่อนหน้านั้นเธอรับรู้ได้ถึงความเร่าร้อนของเย่ฉ่าวเฉิน ที่ราวกับว่ากำลังเปิดใจยอมรับเธอ จูบนั้นช่างรุ่มร้อนและอบอุน…
ถ้าไม่ใช่เพราะฉินหม่าเข้ามาขัดจังหวะ ตอนนี้พวกเราอาจจะ…ทำไมถึงทำไม่เคยสำเร็จสักที? เฉียวซินโยววิตกกังวล
“ซินโยว”
เย่ฉ่าวเฉินเรียก ทำให้เธอหันหน้ากลับมา รอยยิ้มเหมือนมีเลสนัย แล้วพูดตอบรับอย่างอ่อนโยนว่า “มีอะไรเหรอคะ ฉ่าวเฉิน? ”
สีหน้าเย่ฉ่าวเฉินไม่สู้ดี เขาเอามือจับหน้าเฉียวซินอย่างเบาๆ น้ำเสียงโทนต่ำและมีเสน่ห์พูดกับเธอว่า “ซินโยว คุณกลับไปพักผ่อนก่อน อีกเดี๋ยวผมจะออกไปประชุม”
พอได้ยินเช่นนั้น เฉียวซินโยวรู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกไป แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถาม ถึงจะน้อยใจแต่ก็บอกว่า “ได้ค่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินมองตามเงาด้านหลังของร่างบาง แล้วหันกลับมาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง และรีบโทรหาจางเห่อทันที
“คุณชาย คุณมีเรื่องอะไรจะให้รับใช้ครับ?” เสียงของจางเห่อ
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกรำคาญใจ จึงจุดไฟแช็คสูบบุหรี่แล้วพ้นควันสีขาวออกมา หมอกขาวปกคลุมไปทั่วจนมองไม่เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาที่กำลังมีเรื่องให้รำคาญใจ ได้ยินเพียงแต่น้ำเสียงอันเย็นชาจากเขา “จางเห่อ นายไปตรวจสอบเรื่องบางเรื่องให้ฉันหน่อย”
ณ โรงพยาบาลใจกลางเมือง
มู่เวยเวยลงจากรถ มองไปที่หน้าโรงพยาบาล ภายในใจรู้สึกแย่เอามากๆ
เธอเป็นกังวล และหวังว่าตัวเองคงเพียงแค่ไม่สบายเท่านั้น ถ้าเกิดผลออกมาว่าท้องจริงๆ เธอรับไม่ได้แน่ๆ และคงไม่อาจยอมรับลูกของเย่ฉ่าวเฉินที่อยู่ในท้องตัวเองได้
มู่เวยเวยเกลียดเย่ฉ่าวเฉินมากขนาดนั้น ถ้าเกิดว่ามีคนรู้ว่าตัวเองได้มาพัวพันกับเย่ฉ่าวเฉิน เธอก็คงอาจจะเสียสติ!
ถึงแม้ว่าจะ…จริงๆ
มู่เวยเวยค่อนข้างลำบากใจ พลางคิดอย่างเย็นชาอยู่ในใจ:ถ้าเกิดว่าท้องจริงๆ เธอจะไม่เอาเด็กไว้!
มู่เวยเวยเดินตรงมาที่แผนกสูติ-นรีเวชกรรม เธอมาที่ห้องซักประวัติ แล้วพยาบาลก็บอกให้เธอไปรอที่ห้องสูติ-นรีเวชกรรม
เก้าอี้หน้าห้องมีผู้หญิงที่เข้ามาตรวจเยอะมาก คนที่ท้องก็มีสามีมาอยู่รอตรวจเป็นเพื่อนคอยดูแล ทุกคนใช้เวลานี้ในการพูดคุยกันเพื่อคั้นเวลาได้เข้าตรวจ
มู่เวยเวยอยู่ลำดับที่สามสิบหก และเมื่อสักครู่คุณหมอพึ่งจะเรียกลำดับที่สิบห้า ยังเหลืออีกนานกว่าจะถึงลำดับของเธอ มู่เวยเวยยื่นอยู่ที่ทางเดินมองดูผู้คนเดินเข้าๆ ออกๆ อย่างเงียบๆ
ข้างๆ เธอมีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งที่ยังเป็นวัยรุ่น เธอเห็นท้องของผู้เป็นภรรยาที่ป่องขึ้นมา ทำให้ใจเธอเต้นแรง
ผู้ที่เป็นสามีนวดขาให้ภรรยา ตาก็มองไปที่ท้องของภรรยาตลอด ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความรักความอบอุ่น และพูดอยู่ตลอดว่า “ที่รัก คุณคิดว่าลูกชายของเราจะเหมือนคุณหรือเหมือนผม?”
ภรรยาสีหน้าดูมีความสุข อิ่มเอมเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แต่ทำน้ำเสียงไม่พอใจแล้วพูดว่า “ลูกชายอะไร? ถ้าเป็นลูกสาวล่ะ?ฉันจะบอกให้ ฉันไม่เหมือนคนสมัยก่อนที่รักลูกชายมากกว่าลูกสาวหรอกนะ!”
สามีได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้า แล้วพูดว่า “คุณพูดอะไรของคุณ? ลูกชายลูกสาวก็เหมือนกันนั้นแหละ ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นลูกของเรา ผมรักเท่ากัน”
ฟังสามีพูดเช่นนั้น ภรรยาก็ทำหน้าหมั่นไส้ “ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าจะเหมือนคุณหรือเหมือนฉัน? คุณอยากให้เขาเหมือนใคร?”
สามีคิดสักพัก แล้วพูดว่า “ผมหวังว่าจะเหมือนคุณ เพราะว่าคุณสวย ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงคงต้องน่ารักแน่ๆ”
พอได้ยินสามีพูดเช่นนั้น ภรรยาก็ยิ้มหน้าบาน “คุณก็พูดไปเรื่อย”
……………….
มู่เวยเวยยื่นอยู่ข้างๆ ได้ยินสองสามีพูดคุยกันตลอด ในตามีน้ำตาคลอ เธอเจ็บจี๊ดข้างในหัวใจ
ในมุมมองความคิดของเธอ หน้าตาของผู้เป็นภรรยาก็ไม่ได้สวยเด่นอะไรมาก เพราะว่าพอท้องตัวก็จะดูบวมๆ หน่อย แต่สามีกลับหวังให้ลูกหน้าเหมือนแม่ ทำให้มู่เวยเวยอดอิจฉาขึ้นมาไม่ได้
ความรักที่เธอเฝ้ารอคอยในเมื่อก่อนก็คงเป็นแบบนี้!
เธอเคยคิดว่าคู่ของเธอไม่จำเป็นต้องมีเงิน แม้ว่าจะเป็นคนที่มีฐานะธรรมดาก็ไม่เป็นไร ของแค่ซื่อสัตย์และรักเธอจริงๆ ก็พอเพียงแล้ว
แต่ว่าตอนนี้ ถึงแม้ว่าเย่ฉ่าวเฉินจะหน้าตาหลอเหลา ฉลาด มีเงิน มีชีวิตที่หรูหรา แต่เธอกลับไม่มีความสุขเลยสักนิด
ถ้าเกิดคนอื่นรู้เข้า คงจะยิ้มหรือหัวเราะเยาะเธอก็ได้
ก็เหมือนที่เฉียวซินโยวเคยพูดว่า: เวยเวย เธอแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉิน เป็นอะไรที่คุ้มค่าจริงๆ
หึหึ…
มู่เวยเวยยิ้มราวกับไม่เต็มใจ มันใช่เหรอ? ทำไมเธอรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น และเธอคิดว่ามันไร้ค่าซะมากกว่า!
เธอไม่ได้เต็มใจแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉิน เย่ฉ่าวเฉินแต่งงานกับเธอเพื่อผลประโยชน์อะไรบางอย่าง พวกเขาไม่ได้รักกันและไม่ได้ยินดีกับการแต่งงานครั้งนี้ ทั้งคู่มีเพียงแต่ความเย็นชาให้กันและกัน
บางครั้งเธอก็คิดว่า ถ้าเกิดเธอไม่ได้เป็นน้องสาวของพี่ชาย หรือพี่ชายกับเย่ฉ่าวเฉินไม่มีเรื่องที่ต้องพัวพันกัน แล้วชีวิตเธอตอนนี้จะเป็นอย่างไร?
หรืออาจจะมีความเครียดในชีวิตที่วุ่นวาย มีแฟนเป็นแค่คนธรรมดาๆ ที่รักเธอ แต่งงานและใช้ชีวิตธรรมดาๆ ด้วยกัน
ถ้าเป็นแบบนั้น อย่างน้อยก็มีความสุขกว่าตอนนี้ที่เป็นอยู่!
ตั้งแต่ที่เฉียวซินโยวย้ายเข้ามาในบ้านตระกูลเย่ ชีวิตการแต่งงานที่ไร้ความปราณีมาก่อนหน้านี้ ก็เบาะบางสุดจะทนรับได้
ไม่ว่าเฉียวซินโยวจะปั้นเรื่องใส่ร้ายเธออย่างไร จะเกลียดเธอแค่ไหน แต่เธอก็ไม่เคยโทษเธอเลย แม้ว่าเธอจะเข้ามาแทรกแซงกับการแต่งงานครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะความตั้งใจของเย่ฉ่าวเฉิน เธอจะทำอย่างราบรื่นได้อย่างไร
เพื่ออะไร?
ถ้าหากทั้งคู่ไม่มีความตั้งใจที่จะแต่งงานกัน ถ้าเย่ฉ่าวเฉินชอบเฉียวซินโยว แล้วทำไมพวกเขาไม่ปล่อยเธอไป แล้วหลังจากนั้นก็แต่งงานกับเฉียวซินโยวอย่างเปิดเผย ไม่ดีกว่าเหรอ?
เพราะเย่ฉ่าวเฉินไม่ละอายใจกับสิ่งที่ทำในตอนนี้!
เขาไม่ยอมปล่อยตัวเธอไป ส่วนเรื่องที่เฉียวซินโยวชอบแต่เขาก็ไม่ให้คำมั่นสัญญากับเธอ พัวพันกับผู้หญิงสองคนในเวลาเดียวกัน ยังมีอะไรที่น่าโกรธแค้นไปกว่าผู้ชายคนนี้อีกไหม?
ถ้ารัก โปรดให้ความรู้สึกดีๆ ถ้าไม่รัก ก็จงปล่อยเธอไป
ตอนนี้เธอกำลังเหม่อลอย ทันทีที่ได้ยินเสียงคุณหมอตะโกนว่า “หมายเลขสามสิบสอง มู่เวยเวย!”
สติของมู่เวยเวยก็กลับมา เธอรีบเข้าไปในห้อง พบคุณหมอผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งนั่งอยู่ มู่เวยเวยสังเกตเห็นป้ายที่ห้อยอยู่หน้าอกของเธอ เขียนว่า :นักศึกษาฝึกงาน ตู้เสี่ยวเยี่ยน
บางทีเธออาจรับรู้ได้ถึงการจ้องมองของมู่เวยเวย ตู้เสี่ยวเยี่ยนจึงอธิบายว่า “สวัสดีค่ะ เดิมทีคุณหมอผู้ป่วยนอกของเราคือ ดร.ซุนค่ะ แต่เขามีประชุม ฉันมาทำหน้าที่แทนเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้นค่ะ”
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของเธอ มู่เวยเวยก็พยักหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ”
ตู้เสี่ยวเยี่ยนพยักหน้า แล้วเอ่ยว่า “ฉันต้องแจ้งคุณไว้ก่อนค่ะ เพราะฉันเป็นนักศึกษาฝึกงาน ยังไม่มีประสบการณ์ ดังนั้นฉันจึงมีหน้าที่แค่บันทึกประวัติของคุณ ส่วนการวินิจฉัยต่างๆ ต้องรอให้ดร.ซุนมาเป็นผู้วิเคราะห์ คุณช่วยบอกช่องทางการติดต่อของคุณหน่อยนะคะ เราจะรายงานผลให้ทราบในภายหลัง”
มู่เวยเวยพยักหน้า จากนั้นกรอกข้อมูลช่องทางการติดต่อลงในสมุดบันทึกที่เธอส่งให้
รอจนเขียนเสร็จ คุณหมอตู้เสี่ยวเยี่ยนก็เริ่มซักประวัติ “คุณมีปัญหาด้านไหนคะ?”
“วันนี้ฉันรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน ก็เลยมาตรวจดูว่าท้องหรือเปล่า”
เมื่อมู่เวยเวยพูดจบ ตู้เสี่ยวเยี่ยนก็พยักหน้า “จากอาการของคุณก็พอจะแนวโน้มที่เป็นไปได้ สำหรับเรื่องนี้ ฉันจะทำการอัลตร้าซาวด์ให้คุณ เพื่อตรวจดูให้ละเอียดนะคะ”
ได้ยินเช่นนั้น มู่เวยเวยก็พยักหน้าทันที เธอเห็นคุณหมอยืนขึ้น แล้วเดินไปที่ห้องทางทิศใต้ มู่เวยเวยสังเกตเห็น ที่หน้าประตูห้อง มีป้ายเขียนไว้ว่า “ห้องอัลตร้าซาวด์”
มู่เวยเวยกำลังจะเดินตามเธอไป เป็นเวลาเดียวกันที่เสียงขอโทษขอโพยดังขึ้นจากทางด้านหลัง “คุณหมอคะ ขอโทษนะคะ ฉันไปเข้าห้องน้ำมา ตอนที่กลับมาก็เพิ่งรู้ว่าผ่านคิวของฉันไปแล้ว”
ตู้เสี่ยวเยี่ยนหยุดฝีเท้า มองดูคุณผู้หญิงท่านนี้ แล้วเอ่ยถาม “คุณหมายเลขเท่าไหร่ และชื่ออะไรคะ?”
หญิงสาวตอบ “หมายเลขสามสิบสอง ชื่อมู่เวยเวยค่ะ”
เมื่อได้ยินที่หญิงสาวพูด มู่เวยเวยก็ชะงักไป มองดูป้ายที่อยู่ในมือตัวเอง พบว่าบนป้ายนั้นคือหมายเลขสามสิบหก เขียนไว้อย่างชัดเจน เธอรู้สึกอายขึ้นมาทันทีที่รู้ว่าตัวเองเข้ามาผิดคิว
ตู้เสี่ยวเยี่ยนได้ยินแบบนั้น ก็หันไปถามมู่เวยเวย “คุณคือหมายเลขสามสิบสามใช่ไหมคะ”
มู่เวยเวยส่ายหน้า พูดอย่างเลี่ยงไม่ได้ “หมายเลขของฉันคือสามสิบหกค่ะ แต่ฉันก็ชื่อมู่เวยเวยเหมือนกัน”