เมื่อได้ยินคำถามของมู่เวยเวย สีหน้าหนานกงเฮ่าเปลี่ยนไป น้ำเสียงเขาก็หม่นหมอง ” ใครเป็นคนบอกเรื่องนี้กับคุณ? ”
มู่เวยเวยแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นและยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันจากนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา ” ใครเป็นคนบอกเรื่องนี้กับฉันมันสำคัญด้วยหรอ? ฉันแค่อยากรู้คำตอบ? ”
” เวยเวย เธอฟังฉันก่อนนะ เรื่องทั้งหมดมันไม่ได้เป็นแบบที่เธอคิด ” หนานกงเฮ่าพูดขึ้นและต้องการที่จะทำให้อารมณ์ของเธอคงที่
” ไม่ใช่แบบที่ฉันคิด แล้วมันเป็นแบบที่ใครคิด? หนานกงเฮ่า คุณรู้ไหมหลังจากที่ฉันรู้ความจริงทั้งหมดแล้ว ใจของฉันเจ็บปวดมากขนาดไหน ฉันเชื่อใจคุณขนาดนี้ แล้วคุณล่ะ คุณทำอะไรลงไปกับฉันบ้าง! ”
ท่าทีของมู่เวยเวยกระวนกระวายเล็กน้อย แววตาของเธอเต็มไปด้วยความผิดหวัง ทำให้ภายในใจหนานกงเฮ่าวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
หนานกงเดินเข้ามาตรงหน้าเธออย่างรวดเร็ว บังคับให้เธอมองตาของตัวเองที่ในแววตานั้นมีแต่ความจริงใจและความมุ่งมั่น ” เวยเวย เชื่อฉันนะ ฉันไม่เคยคิดจะทำร้ายเธอเลย ถึงแม้การกระทำของฉันก่อนหน้านี้มันจะไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ แต่ว่ามันก็เป็นเพราะรักเธอนะ!”
คนในคืนนั้นเป็นใครกันแน่ หนานกงเฮ่าน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุด แต่ว่าเขากลับวางแผนให้ความจริงนี้เก็บอยู่ในท้อง
ลู่จื่อหางคิดว่าผู้ชายในคืนนั้นคือหนานกงเฮ่า เขาน่าจะไม่รู้ชัดเจน ในคืนนั้นเขาเกือบจะประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนจึงไม่สามารถมาตามนัดได้ ในเมื่อทุกคนต่างคิดว่าเป็นเขา ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะปล่อยเลยตามเลย
รักเธอ?
มู่เวยเวยหัวเราะเยาะ คำว่ารักนั้นยิ่งใหญ่มากแต่ว่าใครๆก็พูดแบบนี้ ลู่จื่อหางเคยพูดว่ารักเธอ แต่ว่าสุดท้ายก็ส่งเธอขึ้นเตียงกับผู้ชายคนอื่นกับมือ
ตอนนี้หนานกงเฮ่าก็บอกว่ารักเธอ เธอที่พึ่งรู้ว่าคนที่พรากครั้งแรกของเธอไปในคืนนั้น คนที่ทำให้เธอทรมานมาจนถึงวันนี้คือเขา!
ความรักของพวกเขานี่มันเห็นแก่ตัวจริงๆ
” หนานกง อย่าพูดคำว่ารักกับฉัน ฉันคิดว่าฉันไม่มีเสน่ห์มากพอที่จะให้คุณชายหนานกงผู้สูงศักดิ์มารักฉันหรอก? ท่านจะรักฉันได้ยังไงกัน?แล้วทำไมถึงรักฉันล่ะ? ”
หนานกงเฮ่าขมวดคิ้ว และรู้สึกได้ว่าคราวนี้มู่เวยเวยไม่ยอมง่ายๆแน่ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า ” มีอยู่เรื่องเธอน่าจะจำไม่ได้แล้ว เมื่อสามปีก่อนในซอยมืดๆแห่งหนึ่งเธอเคยช่วยชีวิตฉันไว้ ”
พอฟังเขาพูดจบ มู่เวยเวยก็ขมวดคิ้ว เธอพยายามนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เขาพูด จู่ๆก็รู้สึกว่ามีความคับคล้ายคับคา แล้วถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตกใจ ” คนที่ฉันช่วยในตอนนั้นคือคุณหรอ? ”
พอเห็นว่าเธอจำได้แล้ว หนานกงเฮ่าดีใจมาก เขาพยักหน้าด้วยความดีใจแล้วพูดว่า ” ใช่แล้ว เพราะว่าตอนนั้นเธอรีบมาก ฉันไม่กล้าที่จะรบกวนเธอ แต่ว่าหลายปีมานี้ ฉันเฝ้าดูเธออย่างเงียบๆมาโดยตลอด ”
มู่เวยเวยตะลึงแล้วถามต่อว่า ” ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ก็ฉันบอกแล้วว่าไม่ต้องการให้คุณตอบแทน คุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้! ถึงแม้ว่าตอนนั้นไม่ใช่คุณฉันก็เลือกที่จะช่วยเหลือแบบเดิมอยู่ดี! ”
พอได้บินเธอพูดแบบนี้ หนานกงเฮ่าก็ยิ้มอย่างข่มขื่น จากนั้นพูดต่อว่า ” ฉันรู้ แต่ว่าฉันกลับถูกเธอดึงดูดฉันโดยไม่รู้ตัวทำให้ฉันหลงเสน่ห์เธอมากขึ้นเรื่อยๆ ”
มู่เวยเวยเงียบเพราะเธอไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร
” ฉันสังเกตเห็นว่าเธอมักจะให้อาหารสุนัขจรจัดข้างทางอยู่บ่อยๆ และมักจะไปเป็นอาสาสมัครที่บ้านเด็กกำพร้าอยู่บ่อยครั้ง เธอช่างเป็นผู้หญิงที่ดีและอ่อนโยนมาก และนี่คือสิ่งที่ดึงดูดฉัน ”
มู่เวยเวยก้มหน้าลงสีหน้าของเธอเศร้าหมอง และมีรอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏบนหน้าเธอ แล้วพูดเบาๆว่า ” คุณแน่ใจได้ยังไงว่ามันคือความรัก? ไม่ใช่เพราะความขอบคุณหรือเพราะสงสาร? ”
แต่ก่อนมู่เวยเวยเชื่อเรื่องรักแรกพบ แต่หลังจากที่ได้ประสบพบเจอกับเหตุต่างๆเหล่านี้ เธอก็ค่อยๆเข้าใจ การที่ใช้คำว่ารักเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ตัวเองต้องการ นั่นมันไม่ใช่รักแต่มันคือการเห็นแก่ตัว
หนานกงเฮ่ากระตุกคิ้ว แล้วยกยิ้มจางๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลมาก “ฉันไม่เคยใช้ความรักมาเป็นข้อต่อรอง เวยเวย เธอน่าจะเข้าใจฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ”
ถ้าพูดถึงคำว่าเข้าใจ มู่เวยเวยในตอนนี้ไม่เข้าใจใครทั้งนั้น เมื่อเธอคิดว่าสิ่งของนั้นเป็นรูปรางกลม แต่ว่าสิ่งนั้นกลับเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม
เมื่อเธอคิดว่ามิตรภาพของพวกเขานั้นบริสุทธิ์ แต่แท้จริงแล้วถูกห่อหุ้มด้วยความหลอกลวงและความสกปรก
สีหน้าท่าทีของมู่เวยเวยนิ่งสงบ แล้วยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ
” หนานกง คุณรู้ไหม? ชีวิตของฉันในตอนนี้มันก็เหมือนเม็ดทราย สิ่งที่เคยเจอมามันไม่ได้มีความหมายอะไรอีกแล้ว การที่มีคุณอยู่คุณก็เหมือนเป็นโอเอซิสกลางทะเลทราย……”
พอได้ฟังสิ่งเธอเปรียบเทียบ หนานกงเฮ่าขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้ขัดจังหวะใดๆ
“ทุกครั้งที่ฉันโดนทำร้าย คุณก็ให้ความอบอุ่นกับฉันเสมอมา ฉันรู้สึกซาบซึ้งมากๆ ฉันดีใจนะที่ได้รู้จักคุณ แต่ว่าตอนนี้คุณกลับบอกฉันว่า ที่ฉันเห็นเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกของคุณ แต่ความจริงนั้นมันโหดร้าย! ”
แต่ละคำที่มู่เวยเวยพูดราวกับว่าพูดโดยใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี คิดแล้วก็เศร้า มีหมอกอันหนาแน่นลอยขึ้นมาบนดวงตาของเธอทำให้เห็นการแสดงออกที่แท้จริงของหนานกงเฮ่า
หนานกงเฮ่าจุกที่อก เขาอยากจะก้าวขึ้นไปข้างหน้าเพื่อเช็ดน้ำตาให้เธอ แต่กลับโดนมู่เวยเวยปัดออก
หนานกงเฮ่าตกใจแล้วรีบพูดอธิบายว่า ” เวยเวย เรื่องนี้ฉันขอโทษ เธอจะโทษฉันยังไงก็ได้แต่ว่าอย่าทำเป็นไม่สนใจฉันเลยนะ! ”
มู่เวยเวยส่ายหัวอย่างแน่วแน่ แล้วพูดขึ้นว่า ” หนานกง นับแต่นี้ไปเราอย่าได้ติดต่อกันอีกเลย เรื่องนี้ ฉันให้อภัยคุณไม่ได้จริงๆ! ”
พอมู่เวยเวยพูดจบก็หันหลังเดินออกไปเลย แต่เธอกลับรู้สึกมีหน้าอกอุ่นๆทาบอยู่บนแผ่นหลังของเธอ ทำให้เธอแข็งทื่อไปทั้งตัว
หนานกงเฮ่ารวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ในใจของเขารู้สึกวิตกกังวลอย่างมาก เขาบอกกับตัวเองอย่าปล่อยมือเด็ดขาด ถ้าเขาปล่อยมือ เรื่องของเขาและเธอก็จะเป็นไปไม่ได้แล้ว
” เวยเวย อย่าใจร้ายแบบนี้ได้ไหม? เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นฉันขอโทษ เธออย่าปล่อยมือฉันเลยนะไม่งั้นฉันแย่แน่ๆ! “หนานกงเฮ่าอธิบายสุดฤทธิ์ราวกับว่าเขากำลังคว้าความช่วยเหลือฟางเส้นสุดท้ายของเขา
มู่เวยเวยสั่นไปทั้งตัว เธอปิดตาลง และเธอก็ผลักตัวออกจากอ้อมกอดของเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ” หนานกง อย่าบังคับให้ฉันต้องเกลียดคุณ ”
พอหนานกงเฮ่าฟังประโยคนี้จบ สีหน้าก็ตกใจมาก เขาลังเลอยู่นาน ในที่สุดเขาก็พูดออกมาอย่างไม่เต็มใจว่า ” ได้ เวยเวย ฉันจะทำตามที่เธอพูดทุกอย่าง ”
ถ้ามันเป็นสิ่งที่เธอต้องการ ฉันก็ยินดีที่จะทำ
มู่เวยเวยไม่กล้าหันหลังกลับไปและเธอวิ่งตรงออกไปเลยจนกระทั่งมองไม่เห็นเงาของคฤหาสน์แล้วมู่เวยเวยจึงหยุดอย่างเหนื่อยล้า
ในตอนนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสดงแดดส่องผ่านก้อนเมฆและส่องไปบนร่างกายที่เย็นชาของมู่เวยเวย ทำให้เธอสั่นไปทั้งตัว
ถ้าจะถามว่าความสิ้นหวังคืออะไร มู่เวยเวยคิดว่าเธอในตอนนี้รับรู้ได้ถึงความรู้สึกนี้แล้ว
โลกใบนี้กว้างใหญ่ขนาดนี้ แต่คนที่คอยสนับสนุนเธอมาโดยตลอดก็ได้หายไปแล้ว เหลือเธอตัวคนเดียวอีกครั้ง
มู่เวยเวยขึ้นรถแท็กซี่แล้วกลับไปที่คฤหาส์นตะกูลเย่ เธอรีบขึ้นห้องแล้วนอนลงบนเตียงฝ้ายนุ่มๆ อาการเวียนหัวของเธอรุนแรงขึ้น
มู่เวยเวยมองไปที่เพดาน นึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อกี้ มีหลายร้อยล้านความรู้สึกอยู่ภายในใจ น้ำตาไหลรินออกมาราวกับว่าเขื่อนถูกทำลาย สายที่รัดแน่นในใจเธอก็แตกสลาย ทำให้มู่เวยเวยรู้สึกทรุดลงราวกับว่าเป็นเด็กที่หลงทางแล้วร้องไห้ฟูมฟายออกมา
” ฮือฮือฮือ……”
ทำไมความจริงมันถึงโหดร้ายมากขนาดนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ได้รับความรัก แต่ตอนนี้กลับต้องให้เธอสูญเสียมิตรภาพไปอีก!
เย่ฉ่าวเฉินรังแกเธอ ลู่จื่อหางรังแกเธอ แม้แต่หนานกงเฮ่าที่คอยให้ความอบอุ่นกับเธอมาโดยตลอดแต่กลับเป็นคนที่ทำร้ายเธอได้เจ็บปวดมากที่สุด!
เธออาจจะหมกมุ่นกับความคิดของตัวเองมากเกินไป พอมีคนเข้าห้องมาเธอกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด จนกระทั่งมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากข้างหลัง ” นี่ เรื่องอะไรทำให้ร้องไห้ได้เศร้ามากขนาดนี้? ”
มู่เวยเวยหยุดร้องแล้วรีบเช็ดน้ำตาทันที สีหน้าของเธอเย็นชาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ” เธอมาทำไมอีก? ”
เฉียวซินโยวทำหน้าสะใจ ยิ้มมุมปากอย่างเยาะยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ถากถาง ” ฉันก็มาเพื่อปลอบใจเธอน่ะสิ ดูเธอร้องไห้สินี่มันเป็นเรื่องเศร้ามากขนาดไหนกัน! ”
เผชิญกับคำพูดที่เยาะเย้ยและถากถางของเธอ สีหน้าของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยความเย็นชา เธอลุกขึ้นยืนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ” เฉียวซินโยว เธอรู้ไหมใบหน้าที่เจ้าเล่ห์นี้ของเธอมันทำให้คนขยะแขยงมากแค่ไหน! ”
เฉียวซินโยวหัวเราะเยาะแล้วพูดอย่างหนักแน่น ” ฉันน่าขยะแขยง? ใช่ ฉันแทบจะอยากให้เธอขยะแขยะจนตายไปเลย! แต่ว่าตอนนี้ฉันกำลังหัวเราะแต่เธอกลับกำลังร้องไห้!
มู่เวยเวยชักสีหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่รังเกียจ ” เธอคงคิดว่าไม่มีอะไรที่ต้องกลัวสินะ? ตอนนี้เธอแสร้งทำหน้าทำตาน่าสงสาร แต่เธออย่าลืมล่ะ ยังไงก็ต้องมีสักวันธาตุแท้ที่น่ากลัวของเธอจะเผยให้กับทุกคนได้รู้! ”
เมื่อเผชิญกับคำขู่ของเธอ เฉียวซินโยวก็หัวเราะเยาะออกมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย่อหยิ่ง ” อย่าคิดนะว่าเธอพูดแบบนี้แล้วฉันจะกลัวเธอ! ทุกคนก็ล้วนเห็นแก่ตัว พยายามที่จะไขว่คว้าสิ่งที่ตัวเองอยากได้มาครอบครองมันผิดตรงไหน? ”
” มันไม่ผิด! ” มู่เวยเวยพูดอย่างเสียงดัง ” ถ้าเธอต้องการอะไรแล้วเธอใช้ความสามารถของตัวเองเพื่อได้มันมาครอง แต่ต้องไม่ใช่กลอุบายที่ไร้ยางอายแบบนี้! ”
สีหน้าท่าทีของเฉียวซินโยวเยือกเย็น ปละพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ ” และไงล่ะ ถึงยังไงฉันก็เข้าใกล้เป้าหมายของฉันเต็มทีแล้ว! แล้วเธอล่ะ? เธอเอาแต่ใช้ความอ่อนแอและความไร้เดียงสาของเธอ แล้วเธอได้อะไรบ้างล่ะ? ”
มู่เวยเวยยิ้มอย่างเย็นชา คำพูดโต้แย้งอยู่ที่มุมปากของเธอแต่เธอกลับไม่พูดอะไรเลยสักคำ เพราะว่าถ้าต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงเธอก็ไม่อาจโต้แย้งใดใดได้!
เธอไม่กล้าพูดว่าเธอเป็นคนดี แต่เธอก็ไม่เคยทำร้ายใคร และยิ่งไม่เคยทำร้ายคนอื่นเพื่อสนองความปรารถนาของตัวเอง!
แต่สุดท้ายมันก็เหมือนที่เฉียวซินโยวพูด เธอได้อะไรจากการเป็นคนดีหล่ะ?
สิ่งที่เธอได้รับคือการทรยศและความดูถูกเหยียดหยาม
แต่คนที่คอยเอาแต่ทำร้ายเธอเสมอมาอย่างเฉียวซินโยวทุกคนกลับพูดชื่นชมเธอว่าเธอเป็นคนดีและอ่อนโยน เมื่่อเทียบกับเรื่องโหดร้ายที่เธอทำแต่เธอกลับถูกย่อย่องให้เป็นนางฟ้า
มันน่าตลกไหมล่ะ? เมื่อคำอธิบายของเธอถูกมองว่าเป็นคำหลอกลวง เมื่อความเจ็บปวดของเธอที่ได้รับกลับเป็นเหมือนความผิดที่ต้องถูกทำโทษ ก้มหน้ารับกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตมันเหมือนกับประโยคหนึ่งที่เธอเคยอ่านในหนังสือ :
หากคุณไม่สามารถเปลี่ยนความเจ็บปวดทั้งหมดในชีวิตของคุณได้ คุณก็ต้องพยายามที่จะเรียนรู้ที่จะยอมรับบาปทั้งหมดของมัน
ในตอนนั้นเธอเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ตอนนี้เธอเข้าใจมันอย่างถ่องแท้
เฉียวซินโยวแสดงสีหน้าท่าทีออกมาอย่างน่าเกลียด และพูดด้วยน้ำเสียงที่รังเกียจว่า ” ก็เหมือนกับในตอนนี้ ที่สายตาทุกคนเห็นเธอเป็นปีศาจร้าย แต่ในสายตาทุกคนฉันกลับเป็นนางฟ้าที่ทุกคนสงสาร จุดจบแบบนี้ เธอเองควรจะเข้าใจได้แล้วนะ! ”
สีหน้าของมู่เวยเวยนิ่งเฉย เธอยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาแล้วพูดขึ้นนิ่งๆว่า ” ในเมื่อเธอพูดออกมาอย่างมั่นใจขนาดนี้แล้วทำไมเธอถึงต้องวิ่งมาหาฉันอวดอำนาจบารมีกับฉันหล่ะ? ไม่ว่าเธอจะพูดยังไง จนถึงตอนนี้ สถานะของเราสองคนก็ไม่ได้เปลี่ยนไปไม่ใช่หรอ! ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ เฉียวซินโยวแทบกระอักเลือดตาย ที่เธอพูดมันไม่ผิด ความจริงข้อนี้ทำให้เธอโกรธมาก!
เธอจะพูดแดกดันเธอยังไงก็ได้ มีแค่เรื่องนี่ที่เธอไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ไม่ว่าเธอจะพูดยังไง มู่เวยเวยก็ยังอยู่ในฐานะคุณผู้หญิงแห่งตระกูลเย่ แต่เธอกลับไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเลย
” มู่เวยเวยเธออย่าทำเป็นได้ใจไป ฉันขอให้เธอมีชีวิตที่ยืนยาว ขอแค่เธอยังอยู่ที่นี่หนึ่งวัน ฉันก็จะทรมานเธอไปเรื่อยๆ! ”
เฉียวซินโยวบ้าไปแล้ว!ไร้เหตุผลจริงๆ!
มู่เวยเวยรู้สึกว่าใบหน้าเธอซีดเซียว จึงคว้าแขนของเฉียวซินโยวแล้วผลักเธอให้ออกจากห้องไปแล้วพูดขึ้นอย่างไม่แยแสว่า ” ฉันเหนื่อยแล้ว ถ้าเธออาการกำเริบก็ไปบ้าที่ห้องของตัวเอง! ”
เฉียวซินโยวโกรธมาก แล้วพูดคำที่โหดร้ายกว่าเดิม ” มู่เวยเวย ยัยคนชั้นต่ำ ท้องลูกชู้อยู่ยังจะมีหน้าอยู่ข้างๆเย่ฉ่าวเฉินได้อยู่อีก!ไร้ยางอายจริงๆเลย! ”
มู่เวยเวยชักสีหน้า และยกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาจากนั้นพูดขึ้นนิ่งๆว่า ” ถึงฉันจะไร้ยางอายยังไงก็สู้เธอไม่ได้หรอก เต็มใจที่จะเป็นชู้ของคนอื่น ยังมีหน้ามาภาคภูมิใจอีก! ”
” เธอ ยัยผู้หญิงนี่ ฉันจะฆ่าแก! ”
เฉียวซินโยวยกมือขึ้นกำลังจะตบไปที่หน้าของมู่เวยเวย เธอกลับโดนเธอผลักเข้าอย่างแรงสะก่อนจึงทำให้เฉียวซินโยวถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว แต่เพราะเธอใส่รองเท้าส้นสูง จึงทำให้ข้อเท้าเธอพลิกตัวเธอจึงล้มนั่งลงไปกับพื้น
เฉียวซินโยวขมวดคิ้วด้วยความเจ็บ เท้าข้างขวาของเธอที่พลิกมีเสียงปวดกระดูกออกมา ทำให้เธอร้องคร่ำครวญออกมา
“ทีนี้เธอก็หายใจทั่วท้องสักทีนะ! ” มู่เวยเวยพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน มองดูเฉียวซินโยวที่ร้องไห้อย่างฟูมฟายภายในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจ
” มู่เวยเวย เธอยังไม่เข็ดจริงๆสินะ! ทำร้ายซินโยวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอนี่มันโหดเหี้ยมจริงๆ!”
จนกระทั่งมีเสียงเย่ฉ่าวเฉินดังมาจากข้างหลัง มู่เวยเวยเข้าใจทันทีว่าเธอตกหลุมพรางของเฉียวซินโยวเข้าแล้ว เธอหัวเราะเยาะในใจ นี่มันยากที่จะป้องกันจริงๆเลย!
” ฉันโหดเหี้ยม? ถึงยังไงก็ไม่ได้โหดเหี้ยมเพียงครั้งสองครั้ง โหดอีกสักครั้งมันก็คงไม่ได้แตกต่างอะไรใช่ไหม? “ มู่เวยเวยแสยะยิ้มแล้วพูดอย่างเฉยเมย
เรื่องที่เคยใส่ร้าย แล้วเข้าใจผิดเธอไปรอบหนึ่ง รอบสองรองสามมันก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไร เพราะว่า ” มลพิษ ” มันฝังเข้าไปในใจของคนนั้นไปแล้ว
ถึงแม้ว่าเธออยากขจัดมันออกไปมากเท่าไหร่มันก็ไม่มีวันขจัดออกไปได้!
ก็เหมือนกับตอนแรกที่โดนเฉียวซินโยววางแผนเล่นงาน ทุกคนก็ต่างพากันคิดว่าคนที่ผลักเธอตกบันไดคือตัวเอง ตั้งแต่ตอนนั้นมา ไม่ว่าเธอจะได้ทำหรือไม่ได้ทำเรื่องอะไรก็ตาม ขอแค่เฉียวซินโยวแสแสร้างเป็นคนที่โดนทำร้าย ไม่ว่าเธอจะอธิบายยังไง ความผิดนั้นยังไงมันก็ต้องอยู่บนหัวเธออยู่ดี
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่มู่เวยเวยที่ไม่รู้สึกสำนึกผิดเลยสักนิด เขาชักสีหน้าแล้วเดินตรงเข้าไปหามู่เวยเวยจากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ” เมื่อกี้เธอทำยังไงนะ? ”
มู่เวยเวยหัวเราะเยอะออกมา ประธานผู้สง่าของเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ปกลับโดนผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งหลอกจนโงหัวไม่ขึ้น ช่างเป็นเรื่องที่น่าตลกจริงๆ!