ไม่รอเธอตอบ ก็ได้ยินเสียงซิกซิกที่น่าสงสารของเฉียวซินโยวที่นั่งอยู่บนพื้น และพูดว่า “ฉ่าวเฉิน เรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวกับเวยเวย เป็นฉันเองที่ไม่ระวังจนล้ม ! ”
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินฉายแววขมขื่นเล็กน้อย เขาก้าวไปข้างหน้าและดึงแขนมู่เวยเวยอย่างโหดร้าย น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ “มู่เวยเวย เธอต้องการให้เฉียวซินโยวปกป้องไปถึงไหน เธอไม่รู้สึกละอายใจบ้างเหรอ !”
การแสดงออกของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยความเหน็บแนม เธอละอายใจต่อเฉียวซินโยวเหรอ ? เฉียวซินโยวพูดซ้ำไปซ้ำมากับเธอ เธอยังต้องรู้สึกผิดต่อเธออีกเหรอ ?
“เย่ฉ่าวเฉิน คุณหูหนวกรึไง ? คุณไม่ได้ยินที่คุณเฉียวพูดเหรอ เธอพูดว่าเธอล้มลงไปเอง !คุณมาใส่ร้ายฉันโดยไม่พูดอะไรเลย คุณไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยเหรอ ? ”
มู่เวยเวยพูดอย่างระมัดระวัง ทำให้เย่ฉ่าวเฉินไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาแสดงออกด้วยท่าทีเย็นชาและพูดอย่างเฉยเมยว่า “ไม่ต้องมาเล่นลิ้น เรื่องพวกนั้นที่คุณทำมันน้อยรึไง ?”
มู่เวยเวยครุ่นคิดอย่างจริงจัง และพูดอย่างประชดประชันว่า “ไม่น้อยจริงๆ”
เรื่องที่เธอออกหน้าแทนนั้นมีมากจริงๆ……
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็รีบขอโทษซินโยว !”
มู่เวยเวยยิ้มเยาะ และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแสและหนักแน่นว่า “ไม่มีทาง !”
มู่เวยเวย !เย่ฉ่าวเฉินกัดฟันโกรธ ความอดทนของเขามาถึงขีดสุดแล้ว เขาจับมือมู่เวยเวยแรงขึ้น และแทบทนไม่ไหวที่จะฉีกเธอเป็นชิ้นๆ
มู่เวยเวยเหงื่อออกด้วยความเจ็บปวด แต่เธอไม่มีทางก้มหัวให้เขาสองคน ถ้าเป็นแบบนั้นให้เธอไปตายยังจะดีซะกว่า !
ในที่สุดเย่ฉ่าวเฉินก็หมดความอดทน เขาผลักเธอกลับไปอย่างแรง ร่างของมู่เวยเวยเซถอยกลับไป ทันใดนั้นเธอก็สะดุดเข้ากับส้นเทาของตัวเอง และร่างทั้งร่างของเธอก็ล้มลงไปข้างหลัง
“อ๊ะ——!!”
ความเจ็บปวดเสียดแทงหัวใจขึ้นมาจากขาขวาของเธอ มู่เวยเวยเจ็บจนเหงื่อออกเย็นท่วมตัว เธอพยายามลุกขึ้นแต่ความเจ็บที่ขาขวาเธอก็กำเริบ จนเธอเป็นลมไปเพราะความเจ็บปวด
ก่อนที่จะอยู่ในอาการโคม่า เธอยังคงคิดว่าขาของเธอดูเหมือนจะไม่สามารถออกแรงได้……
เมื่อมองไปที่มู่เวยเวยที่หมดสติ สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินดูแย่ลง เขารีบเดินตรงไปหาเธอ ก็พบว่าเธอนั้นเหงื่อออกท่วมตัว แม้แต่ลมหายใจของเธอก็ดูโรยริน
เขารีบอุ้มเธอและวิ่งขึ้นบันไดไป แต่ในขณะเดียวกัน เสียงที่ดูเจ็บปวดของเฉียวซินโยวก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง “ฉ่าวเฉิน ฉันเจ็บขาจังเลย ฉันเหมือนว่าจะลุกไม่ขึ้นแล้ว……”
เมื่อเธอพูดจบ เย่ฉ่าวเฉินเพิ่งนึกถึงสภาพของเฉียวซินโยว เขารีบตะโกนเสียงดัง “จางเห่อ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงเขา ก็มองเห็นจางเห่อเดินขึ้นบันไดมา เดินมาตรงหน้าและถามด้วยความเคารพว่า “คุณชาย คุณมีอะไรจะสั่ง ?”
สายตาของเย่ฉ่าวเฉินจ้องมองไปที่ใบหน้าซีดเซียวของมู่เวยเวย เขาครุ่นคิดในใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ชี้ไปที่เฉียวซินโยวที่อยู่ข้างหลัง “คุณไปพาคุณเฉียวมา พวกเราจะรีบไปโรงพยาบาลกลางทันที”
จางเห่อพยักหน้า และพูดอย่างใจเย็นว่า “ครับ”
หลังจากเย่ฉ่าวเฉินพูดจบ เขาก็อุ้มมู่เวยเวยลงไปข้างล่าง และเห็นว่ารถจอดอยู่ชั้นล่างแล้ว เขาเดินนำไปนั่งที่เบาะหลัง และออกคำสั่งกับคนขับรถเสี่ยวหลิวว่า “รอคุณเฉียวก่อน”
คนขับรถเสี่ยวหลิวได้ยินคำสั่งของคุณชาย ก็หยุดรถ และรอให้คุณเฉียวมาถึง
ผ่านไปประมาณสองสามนาที ก็เห็นร่างของจางเห่อปรากฎตัวขึ้นที่ประตู เดินไปที่หน้ารถ และบอกตามจริงว่า “คุณชาย คุณเฉียวให้ผมมาบอกว่า ขาของเธอไม่ได้ร้ายแรงอะไร เธอไม่อยากไปโรงพยาบาลสร้างความวุ่นวายแล้ว ”
หลังจากได้ยินจางเห่ออธิบาย เย่ฉ่าวเฉินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ในใจก็ถอนหายใจและพูดออกคำสั่งว่า “จางเห่อ คุณให้ฉินหม่าดูแลเธอให้ดี ”
“ครับ คุณชาย”
จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปที่เบาะหน้า และพูดว่า “เสี่ยวหลิว ออกรถ”
“ครับ”
จนกระทั่งรถได้หายไปจากหน้าประตูคฤหาสน์ เฉียวซินโยวที่อยู่หน้าต่างชั้นสองก็หันกลับมา การแสดงของเธอเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ มือทั้งสองบีบเข้าหากันแน่น ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ฉ่าวเฉิน คุณไม่สนใจมู่เวยเวยจริงๆเหรอ ?
ทำไมเมื่อครู่ ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน แต่คนที่คุณช่วยก่อนดันเป็นมู่เวยเวย ?
ฉ่าวเฉิน ฉันเริ่มไม่เข้าใจคุณมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว…..
…….
มู่เวยเวยตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา ก็เห็นกลุ่มหมอในชุดขาวยืนล้อมรอบเธออยู่ มีหมอคนหนึ่งสังเกตเห็นว่าเธอตื่นแล้ว จึงถามขึ้นมาว่า “คุณรู้สึกยังไงบ้าง ?”
ความเจ็บปวดที่ขาของเธอทำให้เธอแทบจะเป็นลม มู่เวยเวยพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ฉันเจ็บ……เจ็บมาก……”
หมอรู้ถึงสถานการณ์ของเธอ และรีบพูดว่า “หมออัน เตรียมยาชา”
“ครับ”
มู่เวยเวยกัดริมฝีปากของเธอ จนริมฝีปากเธอเริ่มมีกลิ่นคาวเลือด แต่เธอก็ไม่ทันสังเกต ความเจ็บปวดที่ขาของเธอไหลผ่านเสื้อผ้า และมีอาการที่อยากจะเป็นลมอีกรอบ
มู่เวยเวยจ้องมองไปที่เพดานห้องอย่างสิ้นหวัง ไฟโหมกระหน่ำลุกโชนภายในใจของเธอ แผดเผาหัวใจที่มีชีวิตเธออย่างไร้ความปราณี
มู่เวยเวย คุณต้องจำไว้เสมอว่า ความเจ็บปวดที่คุณได้รับจนแทบจะอยากตายนี้ !เกิดขึ้นจากเฉียวซินโยวและเย่ฉ่าวเฉินชายหญิงที่น่ารังเกียจนี้
คุณห้ามลืมเด็ดขาด !
เธอจะต้องแก้แค้น !
เธอต้องแก้แค้นอย่างแน่นอน !
ในขณะที่เธอกำลังต่อสู้กับความเจ็บปวด จู่ๆเธอก็รู้สึกเย็นวาบที่แขน หลังจากนั้นก็รู้สึกเจ็บของเข็มที่ทิ่มแทง และก็ค่อยๆหมดสติลงอีกครั้ง
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล มู่เวยเวยลองขยับตัวลุกขึ้นมา แต่ก็ถูกจางเห่อที่อยู่ในห้องหยุดไว้ก่อน “คุณหนู ขาของคุณเพิ่งผ่าตัดเสร็จ ตอนนี้ยังขยับไม่ได้”
หัวใจของมู่เวยเวยบีบแน่น เธอมองไปรอบๆห้อง พบว่านอกจากจางเห่อแล้วก็ไม่มีใครอื่น เธอถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
จางเห่อสังเกตเห็นท่าทางของเธอ จึงพูดอธิบายว่า “คุณชายได้รับโทรศัพท์ จำเป็นต้องไปประชุมด่วน และก็ไปที่บริษัทหลังจากคุณผ่าตัดเมื่อคืน”
การแสดงออกของมู่เวยเวยล้วนแต่ไม่เห็นด้วย เธอไม่ต้องการให้เขาปรากฎตัวต่อหน้าเธออีก ตอนนี้เธอก็อารมณ์ไม่ดีมากๆ ถ้าเขายังกล้ามา จะฟันต่อฟันเธอก็ไม่สนใจแล้ว !
มู่เวยเวยขยับร่างกายเธอ หลังจากเธอรู้สึกว่ามีการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย การแสดงออกก็เปลี่ยนไปในทันที “เธอพูดอย่างไม่เชื่อว่า ขาขวาของฉันทำไมถึงไม่มีความรู้สึก !นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ !”
เมื่อจางเห่อเจอกับคำถามของเธอ เขาก็ยังดูนิ่งสงบ และพูดอธิบายว่า “คุณหนู คุณไม่ต้องกังวล เป็นเพราะขาของคุณเพิ่งได้รับการผ่าตัด ตอนนี้ยาชาน่าจะยังออกฤทธิ์อยู่ คุณไม่ต้องกังวลมากเกินไป”
ผ่าตัด ?
เมื่อได้ยินคำนี้ มู่เวยเวยนึกไปถึงตอนถูกหมอหลายคนรายล้อมเธอ เหมือนเธออยู่บนเตียงผ่าตัดตอนนั้น
“ขาขวาของฉันเป็นยังไงบ้าง ?”
มู่เวยเวยสังเกตไปถึงขาขวาที่ถูกดามอยู่กลางอากาศของเธอ และถามขึ้นอย่างไม่แยแส
เมื่อจางเห่อฟังคำถามเธอ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ขาของคุณหัก หมอสั่งห้ามคุณลงจากเตียงเดินในช่วงนี้ ถ้าคุณจะสั่งอะไรก็บอกผม”
หลังจากฟังจางเห่อพูดแล้ว มู่เวยเวยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะและพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า “ฉันรู้แล้ว คุณออกไปเถอะ”
สีหน้าของจางเห่อดุเป็นประกาย และหันหลังเดินออกไป
เมื่อภายในห้องไม่มีคนแล้ว มู่เวยเวยก็หันกลับไปมองขาขวาที่ดูน่าเกลียดและหนาอีกครั้ง พร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันที่มุมปากของเธอ
เธอผลักเฉียวซินโยวลงพื้น แต่ผลปรากฎว่าขาเธอก็หักไปข้างหนึ่ง การแก้แค้นแบบนี้ก็นับว่าคุ้ม !
เธอสงสัยด้วยซ้ำว่าตัวเองจะเป็นแมว มีเก้าชีวิต ครั้งที่แล้วถูกเย่ฉ่าวเฉินทำแขนแตกหัก เลือดออกเป็นจำนวนมาก แต่ปรากฎว่าเธอรอดปลอดภัย ครั้งนี้เปลี่ยนเป็นขาหัก แต่เธอก็ยังฟิ้นขึ้นมา……
ครั้งหน้าล่ะ ? ครั้งหน้าจะหักที่ไหนอีก ? คงไม่ใช่ที่คอหรอกนะ…….
ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เธอก็คงจะโล่งใจมาก แทนที่จะอยู่อย่างเจ็บปวดอย่างนี้ สู้สะใจไปครั้งเดียวเลยดีกว่า !
ในขณะที่มู่เวยเวยถอนหายใจไม่หยุด ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก แต่ในเสี้ยววินาทีก่อนประตูจะเปิดกว้าง มู่เวยเวยก็หลับตาลงแสร้งทำเป็นว่าตายแล้ว
ได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาในหู และรับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมาที่ตัวเธอ ทำให้เธอสั่นไหว
ไม่ใช่ว่าการมองนั้นรุนแรงไป แต่เป็นเพราะเธอสังเกตเห็นเจ้าของสายตาคู่นั้น และในใจเธอก็มีความเกลียดชังขึ้นมาทันที แทบทนไม่ได้ที่จะหยิบมีดออก และแก้แค้นเขา !
เย่ฉ่าวเฉินมองเธอด้วยสายตาเย็นชา และเมื่อเขาสังเกตเห็นขนตาที่สั่นไหวของเธอ จึงพูดออกไปว่า “อย่าเสร้งเลยนอนเลย ในเมื่อตื่นแล้วจะแสร้งนอนทำไม ! ”
อย่างที่มู่เวยเวยคาดไว้ ทัศนคติของเย่ฉ่าวเฉินยังแย่มาก !เหมือนกับว่าที่เธอขาหักเธอต้องรับผิดชอบเอง และไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย !
ในเมื่อเธอถูกจับได้แล้ว มู่เวยเวยก็ไม่แสร้งนอน และลืมตาขึ้นมา สายตามองผ่านเขาออกไปนอกหน้าต่าง
ตอนนี้เธอไม่อยากเห็นใบหน้าของเขา ไม่งั้นเธออาจจะอดไม่ได้ทำเรื่องโง่ๆ เมื่อดูจากสถานการณ์ที่ไม่สามารถทำอะไรได้ ผลลัพธ์ก็แสดงให้เห็นชัด ในตอนนี้เธอจึงทำได้เพียงอยู่ห่างๆเขา
เมื่อเผชิญกับปฎิกิริยาที่ไม่แยแสของมู่เวยเวย เย่ฉ่าวเฉินกลับไม่โกรธ เขามองเธออย่างเฉยเมย และสังเกตไปเห็นขาขวาที่ถูกดามของเธอ สีหน้าเขาก็วาวขึ้น และพูดอกไปว่า “ตอนกลางวันอยากกินอะไร ?”
ยังไม่พูดตอบอะไรเขาไป ทันใดนั้นสีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินก็ดูแย่ลง ในใจก็ด่าเธอไม่มีชิ้นดี จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
จากแรงที่เขากระแทกประตูก็มองออกว่า ในใจของเย่ฉ่าวเฉินนั้นโกรธแค่ไหน แต่มู่เวยเวยก็ไม่สนใจ ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องการคือรีบรักษาอาการบาดเจ็บของเธอโดยเร็วที่สุด ส่วนเรื่องอารมณ์ของเขาจะเป็นอย่างไร มันเป็นความผิดของเธอ !
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มองเห็นพยาบาลเดินเข้ามา มู่เวยเวยสังเกตเห็นกล่องข้าวในมือของเธอ
เมื่อเห็นเธอวางไว้ที่โต๊ะบนหัวเตียง เธอจึงพูดว่า “คุณมู่ นี่เป็นอาหารกลางวันที่คุณเย่ขอร้องให้ฉันซื้อมา ตอนนี้คุณได้รับบาดเจ็บหนัก ยังไม่สามารถกินอาหารรสจัดได้ ฉันจึงซื้อโจ๊กหมูไข่เยี่ยวม้าให้คุณ คุณรีบดื่มตอนร้อนๆเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ใจดีของเธอ มู่เวยเวยไม่อยากให้เธอผิดหวัง มุมปากเผยรอยยิ้มที่สุภาพ และพูดด้วยเสียงเบาว่า “ ขอบคุณค่ะ ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ พยาบาลก็รู้สึกอายเล็กน้อย ตาคู่นั้นเป็นประกาย และพูดด้วยความอิจฉาว่า คุณมู่ นี่เป็นคำสั่งของเย่ฉ่าวเฉิน ฉันอิจฉาคุณจริงๆ ที่ได้แต่งงานกับผู้ชายที่ดีแบบนี้ !
หลังจากฟังเธอพูด ในใจมู่เวยเวยก็รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย ตอนนี้สิ่งที่เธอไม่อยากฟังก็คือ เรื่องที่เกี่ยวกับเย่ฉ่าวเฉิน เธอจึงพูดขึ้นว่า “คุณกินข้าวรึยัง ? มากินด้วยกันไหม ?”
เมื่อพยาบาลได้ยิน เธอก็ส่ายหัวและพูดขึ้นว่า ตอนนี้ฉันกำลังปฎิบัติหน้าที่อยู่ ขอบคุณสำหรับความหวังดี งั้นก็ถือว่างานของฉันสำเร็จแล้ว ฉันไปก่อนนะ คุณก็อย่าลืมกินล่ะ !
หลังจากฟังเธอพูด มู่เวยเวยก็พยักหน้า และพูดว่า “ค่ะ ขอบคุณคุณอีกครั้งค่ะ”
พยาบาลหน้าแดง ใบหน้าเล็กของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ไร้เดียงสา “ไม่เป็นไร งั้นฉันไปก่อนนะ”
เมื่อพยาบาลออกไป มู่เวยเวยก็ลุกขึ้นและหยิบข้าวกล่องมากินสองคำ แม้ว่าตอนนี้เธอจะไม่อยากอาหารเลย แต่เธอก็ยังฝืนตัวเองกินไปไม่กี่คำ จากนั้นก็รู้สึกไม่อยากอาหาร จึงโยนกล่องข้าวไปอีกทาง
มู่เวยเวยไม่สามารถออกกำลังได้ เธอจึงได้แต่นอนนิ่งๆอยู่บนเตียง ถ้าหากว่าเธอรู้สึกเบื่อ เธอก็จะคิดถึงแรงบันดาลใจใหม่ๆ และเตรียมตัวให้สัมภาษณ์กับนิตยสารในเดือนหน้า
เมื่อเทียบกับผู้ป่วยคนอื่นๆแล้ว มู่เวยเวยในตอนนี้สามารถพูดได้เลยว่าในขณะที่เธอรักษาตัวที่โรงพยาบาลนั้นเงียบเหงามาก เธอไม่มีเพื่อน หรือญาติเลย ดังนั้นจึงไม่มีใครมาเยี่ยมเธอ แต่เธอก็ไม่รู้สึกเหงา
เธอในตอนนี้ รู้สึกคุ้นชินกับชีวิตที่อ้างว้างแบบนี้ โดยปราศจากความวุ่นวาย และตอนนี้เธอก็เริ่มสนุกกับมัน
วันๆนอกจากกินและนอน วันนี้ก็รู้สึกสบายขึ้นมาก หลังจากดื่มโจ๊กเข้าไป มู่เวยเวยก็รู้สึกคอแห้ง แต่ก็พบว่าบนหัวเตียงของเธอมีน้ำแร่วางอยู่หลายขวด
วันปกติมู่เวยเวยจะไม่ดื่มน้ำแร่ แต่เธอก็ไม่อยากบอกจางเห่อ และก็ดื่มน้ำไปสองอึก หลังจากดื่มแล้ว มู่เวยเวยก็รู้สึกไม่ค่อยสบายท้อง รู้สึกแสบท้อง
มู่เวยเวยขมวดคิ้วเข้าหากัน ราวกับว่าท้องของเธอนั้นปั่นป่วน และอดไม่ได้หันไปข้างๆและอาเจียนออกมา
จางเห่อที่เฝ้าอยู่หน้าประตู ได้ยินเสียงออกมาจากในห้อง เขารีบวิ่งเข้าไป จากนั้นเขาก็พบท่าทีที่ไม่สบายเป็นอย่างมากของมู่เวยเวย จึงรีบวิ่งไปตามหมอมา
เมื่อหมอมาถึง ก็พบว่ามู่เวยเวยตกอยู่ในอาการโคม่าแล้ว หมอจึงรีบตรวจเช็ค และในที่สุดก็พบว่ามู่เวยเวยเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเฉียบพลัน ต้องรีบผ่าตัดด่วน
เมื่อมองไปที่ไฟสีแดงของห้องผ่าตัดอีกครั้ง ท่าทางของจางเห่อก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวาย เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรไปหาเย่ฉ่าวเฉิน และรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น
……
บริษัทเย่ฮวางอินเตอร์เนชั่นแนล
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินวางสาย สีหน้าของเขาก็ดูหนักหน่วงขึ้น มู่เวยเวยเข้าห้องผ่าตัดเป็นครั้งที่สอง เมื่อได้รับข่าวนี้ ทันใดนั้นอารมณ์ของเขาก็หวั่นไหวเล็กน้อย
เขาไม่เข้าใจความคิดที่แท้จริงของตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเธอต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เธอทำผิดลงไป แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกวิตกกังวลภายในใจ ?
อะไรที่รบกวนจิตใจของเขาอยู่กันแน่ ?
ท่าทีที่เปลี่ยนไปของเย่ฉ่าวเฉิน ทำให้เฉียวซินโยวระมัดระวังตัวขึ้นมา เธอค่อยๆวางแก้วกาแฟลง เธอได้ยินเนื้อหาในโทรศัพท์เมื่อครู่หมดแล้ว เมื่อรู้ว่ามู่เวยเวยต้องเข้าผ่าตัดอีกรอบ ในใจเธอก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา
เธอหวังว่ามู่เวยเวยจะป่วยตลอดไปแบบนี้ก็จะเป็นไปตามแผนของเธอ เพราะเธอจะทำอะไรได้ราบรื่นขึ้นโดยไม่มีอุปสรรค์ขวางกั้น
“ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวยเป็นยังไงบ้าง ?”ซินโยวซ่อนความดีใจไว้ในดวงตา และแสดงท่าทีที่เป็นกังวลออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูกระวนกระวายมาก
เย่ฉ่าวเฉินโบกมือ และพูดว่า “ไม่ต้องรีบ เธอถูกส่งเข้าไปในห้องผ่าตัดแล้ว ฉันเชื่อว่าทุกอย่างจะต้องราบรื่น ”