“ผมไม่สน!” หนานกงเฮ่าตอบโต้กลับ “เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้รักเธอ เขาแต่งงานกับเธอเพียงเพราะพี่ชายของเธอที่ชื่อมู่เทียนเย่! ได้โปรดให้เวลาผมหน่อย ผมจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด”
“ฮ่าฮ่า…” เฉินซูฮว่าหัวเราะเยาะ เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “แม้เธอจะหย่ากับเย่ฉ่าวเฉิน ฉันก็ไม่อนุญาตให้แกแต่งงานกับผู้หญิงที่มีมลทินแบบนี้ หนานกงเฮ่า อย่าลืมนะว่าแกเป็นลูกชายของหนานกงยู ฉันจะปล่อยให้แกทำครอบครัวอับอายขายขี้หน้าไม่ได้!”
เมื่อเจอกับข้อพิพาทระหว่างแม่และลูกชาย มู่เวยเวยก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา เธอเหนื่อยมาก เห็นได้ชัดตั้งแต่ต้นจนจบ เธอไม่เคยก้าวก่ายชีวิตของพวกเขาเลย แต่ทำไมความผิดทั้งหมดจึงมาตกอยู่ที่เธอ!
บางทีเธออาจจะเรียบง่ายเกินไป เธอคิดว่าตราบใดที่เธอป้องกันหัวใจของตัวเองได้ เธอก็จะได้รับชีวิตที่ตัวเองต้องการ แต่ในความเป็นจริง เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่ง
“ไม่ต้องเถียงกันแล้ว!” ในที่สุดมู่เวยเวยก็ทนไม่ไหว จึงตะโกนออกมา
เฉินซูฮว่ามองเธอด้วยสายตาเยือกเย็น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายเอ่ยปากพูดออกมา “คุณหนูมู่เธอคิดคำตอบได้แล้วเหรอ?”
มู่เวยเวยไม่สนใจท่าทีของเธอ ตอนนี้เธอแค่ต้องการกลับโรงพยาบาล แม้จะทำได้แค่นอนอยู่บนเตียงและอ่านหนังสือเงียบๆ ก็ดีกว่าที่ต้องเผชิญหน้ากับการกระแทกแดกดันกันเช่นตอนนี้
“ก็ไม่เชิงค่ะ”
ทันทีที่เธอพูดออกไป สีหน้าของหนานกงเฮ่าก็เป็นประกาย มือทั้งสองข้างประสานกันไว้แน่น ราวกับว่าต้องการดึงดูดพลังอ่อนแอที่อยู่ลึกๆ ในใจ
เวยเวยได้โปรด อย่าผลักไสผม ได้โปรด…
แต่มู่เวยเวยกลับไม่ได้ยินเสียงที่อยู่ในใจเขา เธอหันกลับมามองหนานกงเฮ่า สีหน้าแน่วแน่ เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “หนานกง ฉันขอโทษ ขอบคุณที่คอยดูแลฉันในช่วงนี้ ฉันหวังว่าเราจะไม่ได้พบกันอีก สำหรับคุณและฉัน แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น”
หนานกงเฮ่ามองเธอด้วยความตกใจ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด น้ำเสียงแหบห้าวเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เวยเวยคุณไม่รู้หรอกถ้าทำตามที่คุณพูดไม่ให้เจอหน้าคุณอีก ใจผมจะเจ็บปวดมากแค่ไหน”
มู่เวยเวยหายใจเข้าลึกๆ หันเหสายตาไปมองการจราจรที่พลุกพล่านด้านนอกหน้าต่าง คิดให้กำลังใจตัวเองอยู่ภายในใจไม่หยุด
“ฉันโหยหาชีวิตที่สงบสุข คุณก็รู้ฉันตกอยู่ในสถานการณ์ยังไง ฉันทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้วจริงๆ กับอะไรก็ตามที่โจมตีเข้ามาในชีวิตฉัน”
พูดจบเธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดต่อ “หนานกง ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉันให้ในสิ่งที่คุณต้องการไม่ได้ ฉันแค่ต้องการมีชีวิตที่เรียบง่าย ถ้าคุณเป็นห่วงฉันจริงๆ ได้โปรดรับเงื่อนไขข้อนี้ไป”
พูดจบ มู่เวยเวยก็ยืนขึ้นและเดินจากออกมา เธอไม่อยากรับรู้ว่าหนานกงเฮ่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้าเขาสนใจเธอจริงๆ หวังว่าเขาจะยอมรับข้อเรียกร้องนี้ของเธอ
เธอไม่อยากถูกใส่ร้ายอย่างไม่มีเหตุผล!
เมื่อเดินออกมาจากร้านกาแฟ มู่เวยเวยก็เดินตรงกลับไปที่โรงพยาบาลทันที แต่จู่ๆ ก็มีลมพัดมาตรงหน้าเธอ จากนั้นแลมโบกินี่ที่ขับมาอย่างรวดเร็วก็จอดขวางทางเธอไว้
มู่เวยเวยผงะ จากนั้นกระจกหน้าต่างรถก็ค่อยๆ เลื่อนลงมา เผยให้เห็นใบหน้าที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“ขึ้นรถ”
เย่ฉ่าวเฉินมองเธออย่างแยแส แล้วพูดขึ้นมาสองคำสั้นๆ
มู่เวยเวยไม่อยากสนใจเขา เธอต้องการจะเดินผ่านรถนั้นไป แต่ข้อมือกลับถูกรั้งเอาไว้ มู่เวยเวยขมวดคิ้ว น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรำคาญ “ฉันจะกลับโรงพยาบาล คุณยังไม่จบอีกเหรอ?”
น้ำเสียงของเธอเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ เธอรู้เรื่องทุกอย่างดีในตอนนี้ ต้องขอบคุณผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ!
“มู่เวยเวย เจอกันวันนี้ เธออ้วนขึ้นหรือเปล่า?” เย่ฉ่าวเฉินมองเธอด้วยสายตาเย็นชา พร้อมกับน้ำเสียงนั้นที่พูดจาคุกคามเธอ
มู่เวยเวยอดหัวเราะขึ้นมาเสียไม่ได้ น้ำเสียงที่พูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “นายมีเงินนายมีอำนาจ ฉันจะกล้าทำอะไรนาย? แต่ฉันอยากรู้จริงๆ กับการแต่งงานไร้สาระนี่ นายคิดจะดึงฉันไว้จนถึงเมื่อไหร่!”
เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะพังทลายลง ก่อนหน้าก็ต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามจากครอบครัวของหนานกงเฮ่า ตอนนี้ก็ต้องมาเผชิญหน้ากับเย่ฉ่าวเฉินอีก วันที่เลวร้ายของเธอจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่กันนะ!
เย่ฉ่าวเฉินเลิกคิ้ว ดวงตาสีน้ำเงินจ้องมองเธอด้วยความเย้ยยัน น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรังเกียจเอ่ยขึ้น “เธอรอหย่ากับฉัน แล้วอยากจะกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของหนานกงเฮ่า แบบนั้นใช่ไหม?”
เขาบีบข้อมือเธอแรงขึ้น ราวกับว่าเขาใช้แรงเพียงแค่เล็กน้อย ข้อมือของเธอก็จะหักเหมือนกับขาของเธอ แต่มู่เวยเวยกลับไม่ได้ขัดขืน เธอเพียงแค่มองเขาอย่างไม่ได้ใส่ใจ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “นายอยากจะตัดมือฉันทิ้งเลยไหม แบบนั้นนายถึงจะสะใจใช่ไหม?”
สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินดูเหยียดหยาม คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นร้ายยิ่งกว่า “มู่เวยเวยตอนนี้เธอไม่กลัวฉันแล้วสินะ ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะสบายเกินไปแล้ว”
สีหน้าของมู่เวยเวยเยือกเย็น น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูกเอ่ยขึ้น “ต้องการให้ฉันกลัวนาย? ฉันไม่ใช่พี่ชายฉัน ไม่ว่านายจะปฎิบัติกับฉันยังไง จ้างให้ก็ทำอะไรฉันไม่ได้ ถ้านายรู้สึกอาย แล้วคำพูดนั้นทำให้นายสบายใจ ฉันก็คงไม่ห้ามไม่ได้ ไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อได้ยินเธอพูดถึงมู่เทียนเย่ สิ่งแรกที่ผุดเข้ามาในหัวของเย่ฉ่าวเฉินคือ เขาอยากจะบีบคอเธอให้ตาย แต่เมื่อสังเกตเห็นไม้ค้ำที่เธอใช้อยู่ เขาจึงพยายามอดทนกับมัน แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา “ฉันจัดการยื่นเรื่องที่โรงพยาบาลให้เธอเรียบร้อยแล้ว ขึ้นรถมากับฉันเดี๋ยวนี้!”
พูดจบ เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้สนใจเธอ เขาเดินตรงไปที่รถ
มู่เวยเวยยิ้มเยาะ พลางในใจคิดว่า บางทีตอนนี้เขาอาจกำลังเบื่อ เลยคิดจะทรมานเธอเพื่อความสนุกอีกครั้ง?
เธอค่อยๆ ขึ้นไปนั่งบนรถ ในใจมู่เวยเวยเริ่มรู้สึกสงบ หรือจะพูดให้ชัดเจนคือ หัวใจเธอตายด้านไปแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้จะเป็นกังวลหรือยุ่งเหยิงจะมีความหมายอะไร? มีแต่จะทำให้ตัวเองเป็นประสาทมากขึ้น!
รถแล่นไปด้วยความเร็วสูง มู่เวยเวยมองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ เธอไม่สนใจเย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ
จนกระทั่งเสียงของเขาดังขึ้นมา “กลับไปถึงบ้านตระกูลเย่ฉันจะให้เธออยู่ในห้องอย่างเงียบๆ อย่าออกมาข้างนอกตามอำเภอใจ ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกให้ฉินหม่าไปจัดการให้”
มู่เวยเวยได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว “คิดจะห้ามแม้กระทั่งเท้าของฉันเลยเหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินตะคอกขึ้น “แน่นอนว่าไม่ใช่ ถ้าฉันบอกเธอว่าน้องชายฉันกลับมา ถ้าเธอฉลาดพอ ก็ไม่ต้องพูดอะไร…”
“น้องชายนาย?”
มู่เวยเวยแปลกใจ เธอพยายามคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ในสมอง จู่ๆ ก็จำเรื่องบางอย่างในอดีตขึ้นมาได้
เธอจำได้ชัดเจน ที่เย่ฉ่าวเฉินแต่งงานกับเธอก็เพราะพี่ชายของเธอ เหมือนครั้งนี้เขาจะโกรธมาก เขาเคยบอกกับเธอ ตอนนั้นหลังจากที่เขากับพี่ชายเกิดขัดแย้งกัน เพื่อเขาน้องชายจึง…
เมื่อคิดถึงจุดนี้ หัวใจของมู่เวยเวยที่ช็อกไป แต่ก็กลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
น้องชายเขาถูกพี่ชายทำร้ายจนได้รับบาทเจ็บ คิดว่าเขาต้องเกลียดแม้กระทั่งตัวเธอเอง หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ นับจากนี้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากขึ้น ไม่มีเพียงแต่เย่ฉ่าวเฉินและเฉียวซินโยว แต่ยังมีเย่ฉ่าวเหยี่ยนเพิ่มขึ้นมาอีกคน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่เวยเวยก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ เย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้ว “เธอยิ้มอะไร?”
มู่เวยเวยส่ายหน้า ตอบกลับอย่างแผ่วเบา “ไม่มีอะไร ฉันเพียงแค่คิดอะไรตลกๆ “
“เรื่องอะไร?”
เมื่อได้ยินคำถามของเขา มู่เวยเวยก็เลิกคิ้วสงสัย “ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย? มันเกี่ยวอะไรกับนาย”
เมื่อถูกเธอย้อนแบบนี้ ไฟในใจเย่ฉ่าวเฉินก็ลุกโชนขึ้น เขาต้องสอนบทเรียนให้เธอสักหน่อยแล้ว แต่เมื่อคิดได้ว่าเธอกำลังบาดเจ็บอยู่ สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าค่อยคิดบัญชีกับเธอทีหลัง!
มู่เวยเวยประสานมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน ในใจว่า: เย่ฉ่าวเหยียนคนนี้จะจัดการกับเธออย่างไร?
……
รถแล่นเข้าสู่ประตูบ้านของตระกูลเย่อย่างรวดเร็ว มู่เวยเวยมองเห็นคฤหาสน์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ช่วงเวลาที่รู้สึกยาวนานคล้ายดั่งผ่านไปอีกชาติหนึ่ง ราวกับว่าเธอจากไปแล้วกว่าครึ่งเดือน เหมือนเวลาผ่านไปแล้วยาวนาน
หลังจากที่ลงมาจากรถ เธอก็เดินเข้ามายังห้องรับแขก เจอชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่ที่โซฟา แสงแดดกระทบกับใบหน้าด้านข้างของเขา เพิ่มความสง่างามให้เขาขึ้นไปอีก
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่มู่เวยเวย จากนั้นก็หันไปสนใจเย่ฉ่าวเหยียนที่นั่งอยู่บนโซฟา เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ “ฉ่าวเหยียนทำไมนายไม่พักผ่อนอยู่ที่ห้องล่ะ?”
เย่ฉ่าวเหยียนเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียง รอยยิ้มสวยงามปรากฎขึ้นที่มุมปากของเขา เมื่อสังเกตเห็นมู่เวยเวยที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองเธอซ้ำอีกรอบ “สวัสดี เราเจอกันอีกแล้วนะ…”
มู่เวยเวยสะดุ้ง เมื่อเห็นเขาแวบแรก มู่เวยเวยจำได้ว่า เขาคือผู้ชายคนนั้นคนที่ช่วยเธอตอนอยู่โรงพยาบาล เธอไม่อยากให้เขาเป็นน้องชายของเย่ฉ่าวเฉินเลยจริงๆ
มู่เวยเวยถอนหายใจข้างในใจ ขอให้ตัวเองโชคดี
“สวัสดี บังเอิญจัง…” มู่เวยเวยคลี่ยิ้มเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น
เย่ฉ่าวเหยียนมองเธออย่างครุ่นคิด แล้วเอ่ยถามขึ้นเบาๆ “พี่ สาวสวยคนนี้พี่คือสะใภ้ใช่ไหม?”
สีหน้ามู่เวยเวยดูลำบากใจ ไม่รู้ว่าจะตอบเขาอย่างไร
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินได้ยินแบบนั้น ก็พยักหน้าอย่างอ่อนแรง แล้วหันหน้าไปทางมู่เวยเวย “ขาของเธอยังไม่หายดี กลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ”
แม้คำพูดของเขาจะดูเย็นชา แต่เธอกลับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก สำหรับเธอ แทนที่ต้องยื่นอยู่ต่อหน้าพวกเขา สู้อยู่ในห้องตัวเองยังสบายใจกว่า เมื่อคิดได้อย่างนั้นเธอก็เดินโดยมีไม้เท้าช่วยพยุงขึ้นไปที่ชั้นบน
เมื่อกลับมาถึงห้องตัวเอง มู่เวยเวยก็เดินไปที่โต๊ะแล้วหยิบหนังสือวาดรูปขึ้นมา จากนั้นเธอก็นอนคว่ำลงไปบนเตียงและเริ่มลงมือวาด เธอยังไม่ลืมการสัมภาษณ์กับนิตยสารแฟชั่นในเดือนหน้า ตอนนี้เธอทำงานอย่างหนัก เพื่อจัดการกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
……
ภายในห้องรับแขก
“ใช่สิพี่ ผมยังไม่รู้เลยว่าพี่สะใภ้ชื่ออะไร…”
เย่ฉ่าวเหยียนเอนกายลงบนโซฟา รูปร่างสูงยาว
แก้วไวน์บ่มอย่างดีที่อยู่ในมือถูกเขย่าเบาๆ พลางเอ่ยถามอย่างใจเย็น
“มู่เวยเวย”
เย่ฉ่าวเหยียนเลิกคิ้วถามด้วยความแปลกใจ “เธอนามสกุลมู่เหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินชะงักไป ในใจกำลังสับสน เขาอยากบอกความสัมพันธ์ของมู่เวยเวยกับมู่เทียนเย่ให้เย่ฉ่าวเหยียนได้รับรู้ แต่ไม่รู้ทำไม เขากลับไม่กล้าเอ่ยออกไป
สีหน้าของเย่ฉ่าวเหยียนเป็นประกาย รอยยิ้มที่ดูเลือนราง ยากที่คาดเอาความคิดที่แท้จริงของเขาได้
มู่เวยเวยกำลังออกแบบอย่างขยันขันแข็ง ทันใดนั้นก็มีเสียงดังเบาๆ เกิดขึ้นในห้อง ดึงดูดความสนใจของมู่เวยเวยไปทันที เธอเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเสี่ยวจื่อที่เธอไม่ได้เจอหน้ามานานหลายวัน
เสี่ยวจื่อหรี่ตามองเธอ ดวงตาสีม่วงเปล่งประกายแวววาว ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเอ่ยถามขึ้นช้าๆ “คราวนี้คุณไปไหนมา? ผมมาที่นี่ตั้งหลายครั้ง แต่พบว่าคุณไม่อยู่”
มู่เวยเวยวางสมุดวาดรูปลง รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฎขึ้น แล้วกระซิบตอบเบาๆ “ฉันไม่ระวังก็เลยหกล้มน่ะ ช่วงนี้เลยต้องอยู่ที่โรงพยาบาลตลอด”
“อ่อ เป็นแบบนี้นี่เอง”
เสี่ยวจื่อเม้มปาก น้ำเสียงดูผ่อนคลาย เขาย้ายจากบนอากาศไปที่เตียงของมู่เวยเวยทันที มองไปที่เธออย่างอ่อนโยน พึมพำเบาๆ “ครั้งนี้คุณเจ็บหนักเลย แล้วเป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อรับรู้ถึงคำพูดห่วงใยของเสี่ยวจื่อ มู่เวยเวยก็เม้มปากเบาๆ “ไม่มีอะไร ฉันเพิ่งล้มไปไม่นาน ต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะหายดี”
ในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ เธอตั้งใจปกปิดเค้า จากก้นบึ้งของหัวใจลึกๆ บอกกับเธอว่า เธอไม่ต้องการให้เสี่ยวจื่อรู้ว่าชีวิตตอนนี้ของเธอนั้นแย่แค่ไหน เธอหวังจะคงเหลือภาพลักษณ์ดีๆ ให้ไว้แก่เขา
เสี่ยวจื่อได้ยินที่เธอพูดดังนั้น สีหน้าก็เป็นประกายแพรวพราว แต่เขาก็ไม่ได้ถามเธอต่อ จากนั้นก็หันตัวกลับ ยืดแขนออกเบาๆ สิ่งของที่อยู่ห้องก็ลอยขึ้นมาทันที เป็นสถานการณ์ที่พบเห็นจนเป็นปกติ
มู่เวยเวยเบิกตากว้าง มองดูสีหน้าท่าทางของเสี่ยวจื่ออย่างเฝ้าคอย นึกถึงเวทมนต์อันใหม่ที่เสี่ยวจื่อจะนำมาใช้กับเธอในครั้งนี้
เสี่ยวจื่อยิ้ม แล้วกระซิบเบาๆ “ผมเพิ่งได้เรียนรู้ทักษะใหม่มา คุณอยากดูไหม?”
ได้ยินแบบนั้น สีหน้าของมู่เวยเวยก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เธอรีบพยักหน้าแล้วตอบว่า “เอาสิ…”
เสี่ยวจื่อเม้มปากอย่างไม่พอใจ เอ่ยขึ้นเสียงทุ้มต่ำ “การแสดงออกของคุณดูเสแสร้งเกินไป รู้สึกเหมือนแค่พูดไปงั้นๆ… ไม่เอาแบบนี้ คุณต้องทายมาก่อนว่าทักษะใหม่ของผมคืออะไร ถ้าคุณทายถูกผมถึงจะแสดงให้คุณดู…”
เมื่อได้ยินเสี่ยวจื่อพูดแบบนั้น สีหน้าของมู่เวยเวยก็ดูลำบากใจขึ้น ความหมายที่เขาจะบอกคือ ถ้าทายถูกเขาก็จะแสดงให้ดู อย่างนั้นถ้าทายไม่ถูก เขาก็จะไม่แสดงให้เธอดูงั้นเหรอ?
อะไรนะ… ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย… แบบนี้แล้วเธอจะทายถูกได้อย่างไร?
“งั้น นายบอกใบ้ให้ฉันหน่อยได้ไหม ไม่อย่างนั้นฉันจะทายถูกได้ยังไงเล่า?” มู่เวยเวยพูดขึ้นสีหน้าเต็มไปด้วยความลังเลใจ
เสี่ยวจื่อครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วพูดว่า “เอาล่ะ ผมจะสาธิตให้คุณดูรอบหนึ่ง”
“โอเค”
มู่เวยเวยจ้องมองอย่างตั้งใจ เธอพบว่าร่างของเสี่ยวจื่อหายไปทันที มองหาทั่วทุกมุมห้องก็ไม่เจอเขา มู่เวยเวยงงอยู่สักพัก ทันใดนั้นก็มีเสียงดังกรอบแกรบดังออกมาจากในห้องน้ำ
รอให้เสี่ยวจื่อปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง มีแก้วน้ำอยู่ในมือเขา และมีน้ำใสๆ อยู่เต็มแก้วใบนั้น
สีหน้าของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของเขาอย่างตั้งใจ
เสี่ยวจื่อคว่ำแก้วลง น้ำที่อยู่ในแก้วไหลออกมาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มู่เวยเวยคิดว่า น้ำเหล่านั้นคงจะหกเลอะเต็มพื้นห้อง แต่ความมหัศจรรย์ก็ปรากฎขึ้น เมื่อเสี่ยวจื่อตบมือเบาๆ หยดน้ำเหล่านั้นก็เหมือนกลับมีชีวิตขึ้นมา!
พวกมันลอยขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จนลอยไปอยู่บนอากาศตามการเคลื่อนไหวของเสี่ยวจื่อ หยดน้ำเหล่าเริ่มรวมตัวกัน แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นลูกบอลน้ำกลมๆ
สีหน้าของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ปากพูดออกไปโดยไม่รู้ตัว “วิเศษมาก เสี่ยวจื่อนายทำได้ยังไง?”
เสี่ยวจื่อไม่ได้ตอบ เขาตวัดนิ้วเบาๆ ลูกบอลน้ำก็แตกตัวออกอีกครั้ง จากนั้นรวมตัวกันกลายเป็นรูปร่างอื่น
มู่เวยเวยรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ในใจเหมือนถูกเขากระตุ้นให้อยากรู้ เธอรีบร้อนอยากรู้สาเหตุโดยเร็ว
น้ำใสๆ เดิมทีมีสถานะเป็นของเหลว เว้นแต่เมื่อวางไว้ในภาชนะ เธอนึกไม่ออกว่าต้องใช้พลังแบบไหน ถึงจะสามารถเปลี่ยนให้มันกลายเป็นสถานะของแข็งได้…
เสี่ยวจื่อโบกมือ น้ำก็กระจายออกอีกครั้ง จากนั้นเริ่มรวมตัวกันใหม่ น้ำใสๆ เริ่มรวมตัวกันอีกครั้ง คราวน้ำกลายเป็นรูปแก้วน้ำ!
มู่เวยเวยสีหน้าผ่อนคลายลง เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจ “เสี่ยวจื่อความสามารถของนายเจ๋งจริงๆ… แม้นักมายากลที่มีชื่อเสียงพวกเขาก็สู้นายไม่ได้!”
คำเหล่านี้ไม่ใช่มีไว้เพื่อพูดเอาใจ มู่เวยเวยเชื่ออย่างนั้นจริงๆ เสี่ยวจื่อไม่ได้ใช้เครื่องมือช่วยใดๆในการแสดง หากเธอไม่รู้จักเขา เธอคงคิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่แน่!
เมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของมู่เวยเวย แววตาของเสี่ยวจื่อก็เปลี่ยนไป เขาเฝ้าดูการแสดงออกของเธออย่างเงียบๆ ในใจรับรู้ได้ถึงความพึงพอใจอย่างไม่มีเหตุผล
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างมีความสุข เป็นเวลาเดียวกันที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดจังหวะพวกเราทั้งสอง มู่เวยเวยเอานิ้วชี้มาแตะที่ปาก ให้เงียบเสียง
เสี่ยวจื่อเม้มปากเล็กน้อย กวาดมือสองข้างเบาๆ น้ำใสๆ ไหลกลับไปที่แก้วดังเดิม จากนั้นเสี่ยวจื่อก็โบกมือให้เธอ แล้วหายตัวไปจากห้องทันที
เมื่อเห็นเสี่ยวจื่อหายไปแล้ว มู่เวยเวยก็รู้สึกอ้างว้างขึ้นมาเล็กน้อย แต่เธอก็ให้กำลังใจตัวเอง แล้วพูดขึ้นช้า “เข้ามา”
ประตูห้องถูกเปิดออก เมื่อเห็นเงาที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าประตูอย่างชัดเจน เส้นประสาทของมู่เวยเวยก็ตึงขึ้นมาทันที เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เฉียวซินโยว หามาฉันมีธุระอะไร?”
สีหน้าของเฉียวซินโยวเย็นชา รองเท้าส้นสูงที่เธอสวมก้าวเข้ามาที่หัวเตียงของมู่เวยเวย มองเธอด้วยความรังเกียจ “ทำไมต้องทำอะไรให้ตึงเครียด ฉันแค่อยากมาเยี่ยมเธอ”
มู่เวยเวยยิ้มเยาะ สีหน้าไม่แยแส “ไม่จำเป็น”
พังพอนมอบของขวัญปีใหม่ให้ไก่ หาใช่ด้วยความหวังดีไม่? ถ้าให้ทาย เธอต้องกำลังเล่นอุบายอะไรอยู่แน่ อยากจัดการเธออยู่แล้วหนิ!
เฉียวซินโยวไม่โกรธ น้ำเสียงเย่อหยิ่งเอ่ยขึ้น “มู่เวยเวยฉันคิดว่าเธอควรจะได้ยินมาบ้างแล้วนะ? เย่ฉ่าวเหยียนน้องชายของเย่ฉ่าวเฉินกลับมาแล้ว หลังจากนี้ชีวิตเธอลำบากแน่…”
มู่เวยเวยเหลือบมองเธอ รู้สึกว่าใบหน้าของเธอช่างขัดลูกหูลูกตาซะเหลือเกิน น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ย “เธอนี่ก็แปลกเนาะ เย่ฉ่าวเหยียนจะกลับมาหรือไม่กลับมา แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน”
เฉียวซินโยวหัวเราะ “เธอคิดว่าตอนนี้ทำตัวโง่ๆ แล้วจะเปลี่ยนแปลงสถานะตัวเองได้เหรอ? ฉ่าวเฉินเกลียดเธอมากแค่ไหน และเหตุผลที่เย่ฉ่าวเหยียนหายตัวไปนานขนาดนี้ ฉันคิดว่าเธอไม่รู้คงไม่ได้?”
มู่เวยเวยยกยิ้มอย่างเย้ยยัน น้ำเสียงแข็งกระด้างพูดขึ้น “ในเมื่อเธอรู้เรื่องทั้งหมด ฉันต้องชื่นชมเธอจริงๆเฉียวซินโยว ยังมีอะไรที่เธอไม่รู้อีกไหม?”
เธอคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเฉียวซินโยวจะรู้สถานะของเย่ฉ่าวเหยียน ดูเหมือนว่าเพื่อจะจัดการกับมู่เวยเวย ความมุ่งมั่นของเธอช่างยอดเยี่ยมจริงๆ
“ฉะนั้นเธอก็อย่ามายั่วโมโหฉัน!” เฉียวซินโยวลูบผมตัวเองช้าๆ “แต่ว่าเธอก็รู้จักฉันดี ถ้ายั่วโมโหฉันเธอได้จบไม่สวยแน่…”
มู่เวยเวยเข้าใจเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น แต่นั้นก็ไม่ได้มายความว่าเธอจะยอมรับความพ่ายแพ้
“ฉันไม่เคยยั่วโมโหเธอ ดูเหมือนว่าจะมีแต่เธอที่ค่อยมายั่วโมโหฉันตลอด เฉียวซินโยว ไม่รู้ว่าเธอจะเคยได้ยินคำคำนี้หรือเปล่านะ ที่เขาเรียกว่า ‘หาเรื่องใส่ตัวหาเหาใส่หัว’ น่ะ? ทั้งหมดนี้เธอวางแผนมันมาอย่างรอบคอบอยู่ทุกวัน เธอคิดว่าจะปกปิดได้อีกนานแค่ไหน”
เฉียวซินโยวเพียงแค่หัวเราะเยาะให้แก่คำพูดของมู่เวยเวย แล้วเอ่ยขึ้นอย่างสุดทน “เธอพูดเรื่องความยุติธรรมโง่ๆ แล้วสุดท้ายเกิดอะไรขึ้น? เธอก็ขาหักนอนอยู่บนเตียงนี่ไง! ใช้ผลสรุปผีๆ นั้นมาหลอกฉันงั้นเหรอ? สิ่งที่ฉันรู้ว่าตลอดก็คือ ผู้คน ความมั่นคง ชัยชนะ และสวรรค์”
มู่เวยเวยชะงักไป ไม่ต้องตอบโต้อีกต่อไป เธอรู้ว่าคำพูดของเธอเฉียวซินโยวคงไม่ฟังมันอีก จึงหยิบสมุดวาดรูปขึ้นมาอีกครั้ง แล้ววาดมันต่ออย่างเงียบๆ
แต่ใช่ว่าเฉียวซินโยวจะยอมให้เธอทำตามต้องการได้?
เฉียวซินโยวก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว คว้าภาพวาดที่อยู่ในมือเธอ มองมันอย่างไม่แยแส ในปากพึมพำขึ้นว่า “ฉันยังคิดว่าเธอไม่คู่ควรกับตำแหน่งคุณผู้หญิง! เธอมันไม่เจียมเนื้อเจียมตัวตั้งแต่แรก! เธอวาดท่อนล่างของฉ่าวเฉิน มู่เวยเวยเธอยังมีอะไรจะพูดอีกไหม?”
มู่เวยเวยขมวดคิ้ว รู้สึกรังเกียจกับคำพูดของเธอ เธอไม่ได้วาดภาพเย่ฉ่าวเฉิน แต่ภาพที่เธอวาดคือเสี่ยวจื่อ
ทันใดนั้นเธอก็คิดขึ้นมาได้ว่า รูปร่างหน้าตาของเสี่ยวจื่อเหมือนกับเย่ฉ่าวเฉินทุกประการ ไม่เช่นนั้นเฉียวซินโยวคงไม่เข้าใจผิด
ทันใดนั้นใจเธอก็หงุดหงิดขึ้นมา ความจริงจากใจลึกๆ เธอไม่อยากให้พวกเขาหน้าตาเหมือนกันเลย เสี่ยวจื่อผู้อ่อนโยนและใจดี ไม่ใช่เย่ฉ่าวเฉินผู้ชั่วร้ายคนนั้น
มู่เวยเวยไม่ได้ปฎิเสธ แม้ว่าจะอธิบายอย่างไรเฉียวซินโยวก็คงไม่เชื่อ เพราะเธอไม่เคยเจอเสี่ยวจื่อ จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ใช่แล้วทำไม ไม่ใช่แล้วจะทำไม ฉันจะทำอะไรต้องแคร์เธอด้วยเหรอ”
“เธอ!” เฉียวซินโยวถูกเธอยั่วโมโห อีกใจหนึ่งโกรธแค้น แต่อีกใจก็ทำให้มั่นใจยิ่งขึ้น มู่เวยเวยแสดงออกมาอย่างเด็ดขาด ว่าไม่สนใจกับชีวิตในตอนนี้ มีใครบ้างที่ไม่อยากใช้ชีวิตแบบไร้กังวล!
“ถ้าฉ่าวเฉินรู้ต้องรู้สึกรำคาญใจมากแน่ๆ สุดท้ายเธอก็คิดเรื่องพวกนี้กับเขา เธอกำลังดูถูกเขา!” เฉียวซินโยวกล่าวอย่างโหดร้าย .ใบหน้าไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ต่อมู่เวยเวย
มู่เวยเวยไม่สงสัย เธอรู้จักเฉียวซินโยวไม่ใช่วันสองวัน แต่รู้จักดีถึงคุณธรรมในใจเธอ
“เป็นการดูถูกหรือไม่ คุณหนูเฉียวก็ไม่ต้องกังวล…เมื่อเทียบกับเธอที่ยังไม่ได้แต่งงาน แต่มาอยู่อย่างไร้ยางอายในบ้านของผู้ชายที่แต่งงานแล้ว เธอคิดว่าตัวเองสูงส่งสักแค่ไหนกันเชียว?”
คำพูดของเธอยั่วอารมณ์ของเฉียวซินโยวที่อยู่ข้างในลึกๆ เธอเดินไปตรงหน้าต่างของมู่เวยเวย ก่อนจะยกมือขึ้นตบหน้าเธอ แต่ถูกมู่เวยเวยคว้าข้อมือเธอเอาไว้ได้ซะก่อน
เมื่อไม่ได้ทำตามที่ต้องการ เฉียวซินโยวโกรธมาก เธอยกมือขึ้นอีกข้าง แล้วมือนั้นก็พัดผ่านหน้ามู่เวยเวยไปอีกครั้ง
สีหน้าของมู่เวยเวยยังคงนิ่งสงบเหมือนเดิม จับมืออีกข้างของเธอไว้ รับรู้ได้ถึงความดิ้นรนของเธอ ร่างกายของมู่เวยเวยยังไม่เป็นปกติเหงื่อจึงออกจากการดิ้นขัดขืนของเธอ
“ปล่อย!” เฉียวซินโยวพูดเตือน
สีหน้ามู่เวยเวยเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม “คิดว่าฉันโง่เหรอ? ปล่อยให้เธอมาตบหน้าฉันละสิ?”
เมื่อก่อนเธอมักจะโอดครวญกับแผนร้ายของเฉียวซินโยวอยู่เสมอ แต่เธอมันก็แค่ปีศาจ ตอนนี้มู่เวยเวยมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น หลายเรื่องทำให้เธอมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
ก่อนหน้านี้มู่เวยเวยอยากจะปล่อยเธอไป แม้ว่าเฉียวซินโยวจะทำให้เธออับอายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เธอกลับหลอกลวงคนอื่น เธอไม่ได้ต้องการให้เธอมาเป็นศัตรูของตัวเอง
แต่ตอนนี้มู่เวยเวยได้เห็นธาตุแท้ของเธอแล้ว รู้ว่าเธอคงเปลี่ยนสันดานไม่ได้ หลังจากนั้นก็ค้นพบว่า จริงๆ แล้วเธอมันก็แค่แปรงสองด้าม นอกจากวางแผนคอยใส่ร้ายมู่เวยเวยแล้ว เธอก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรอีก!
เฉียวซินโยวไม่รู้ตัวว่ามู่เวยเวยกำลังพูดแขวะตัวเอง ถ้าเธอได้ยินเสียงในใจของมู่เวยเวย คงจะโกรธจนกระอักเลือด
เฉียวซินโยวเป็นคนที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ไม่อาจทนต่อการดูถูกเหยียดยามจากผู้อื่นได้ โดยเฉาะจากมู่เวยเวยเธอยิ่งไม่ยอมเด็ดขาด!
เฉียวซินโยวยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างแรง ทำให้หลุดพ้นจากการจับกุมของมู่เวยเวยทันที เธอมองมู่เวยเวยด้วยสายตาเย็นชา แล้วพูดขึ้นอย่างเดือดดาล “ ฉันแนะนำให้เธอออกไปดีๆ ไม่อย่างนั้นจะไม่ง่ายเหมือนขาเธอที่หัก!”
เธอเชื่อมาโดยตลอด ถ้าเย่ฉ่าวเหยียนตั้งใจจะจัดการกับมู่เวยเวยจริงๆ ผลลัพธ์คงชัดเจนมากกว่าที่เธอลงมือทำแน่นอน เมื่อถึงเวลาเธอก็แค่รอคอยเก็บเกี่ยวเอาผลประโยชน์ก็พอ…
เฉียวซินโยวคิดในใจ เธอคิดว่าวันนั้นคงมาถึงในอีกไม่ช้า แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้เธอยังจำเป็นต้องลงมือทำด้วยตัวเอง
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่เฉียวซินโยวเตือน มู่เวยเวยมีแผนไว้ในใจนานแล้ว เธอคิดอยู่แล้วว่าเย่ฉ่าวเฉินจะจัดการเธอได้ แต่ทั้งหมดนี้จะไม่ให้เธอให้ความสนใจ คงไม่ได้?
“ขอบคุณสำหรับคำเตือนนะเฉียวซินโยว ฉันให้ความสนใจมันแน่ๆ ในเมื่อคุณหนูเฉียวไม่มีอะไรแล้ว งั้นก็กรุณาเชิญออกไปได้แล้ว”
เมื่อมู่เวยเวยออกปากไล่ เฉียวซินโยวจ้องมองเธอด้วยสายตาเยือกเย็น จากนั้นจึงหันหลังเดินออกไป เมื่อเดินมาถึงที่ประตู ก็เกือบจะชนเข้ากับใครคนหนึ่ง รูปร่างคล้ายๆ กับเย่ฉ่าวเฉิน
เฉียวซินโยวตาเป็นประกาย เอ่ยเรียกเขาอยู่ในใจ เธอคิดว่าถ้าเธอเรียกเขาในตอนนี้ เป็นไปได้ที่เย่ฉ่าวเฉินจะได้ยิน จากนั้นเธอจึงตะโกนเรียกเขาทันที “ฉ่าวเฉิน คุณมาหาเวยเวยเหรอคะ?”
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าเบาๆ “ผมมีเรื่องที่ต้องมาหาเธอ”
“อ่อ”
เมื่อมองเห็นเขาหายเข้าประตูไป เฉียวซินโยวก็เกิดความวิตก เธอไม่คิดว่าเย่ฉ่าวเฉินจะมาคุยเรื่องธุระกิจกับมู่เวยเวย ถ้าไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับบริษัท งั้นจะมีเรื่องอะไรที่สำคัญเป็นการส่วนตัว?
เธอจ้องมองไปที่ประตูอย่างอยากรู้อยากเห็น จึงอดไม่ได้ที่จะแอบส่องผ่านดู จากนั้นเธอเดินเข้าไปข้างหน้าสองก้าว แล้วแนบหูฟังที่ประตู เพื่อให้ได้ยินเสียงข้างในอย่างชัดเจน
“คุณหนูเฉียว มาทำอะไรที่นี่?”
แต่เป็นเวลาเดียวกันที่น้ำเสียงดึงดูดมีเสน่ห์ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้เฉียวซินโยวตื่นตกใจ!
เฉียวซินโยวลูบหน้าอกตัวเอง แล้วหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว เห็นเย่ฉ่าวเหยียนยืนมองอยู่ด้วยสีหน้างุนงง ความคิดแรกในใจเธอคือ เขามาทำอะไรที่นี่ ใบหน้าที่แสร้งทำเป็นบอบบางเอ่ยขึ้น “คุณชายเหยียน เออ ฉันแค่จะดูให้แน่ใจว่าเวยเวยอยู่ข้างในหรือเปล่าน่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเธอ เย่ฉ่าวเหยียนก็เลิกคิ้ว น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยขึ้น “ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ครับ ในเมื่อคุณและพี่สะใภ้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เรียกผมว่า ฉ่าวเหยียน ก็พอ”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เฉียวซินโยวก็รู้สึกชอบใจ เธอคิดมาเสมอว่า ถ้าได้มีโอกาสรู้จักกับเย่ฉ่าวเหยียนจะทำตัวอย่างไร แต่คิดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะคลี่คลายด้วยดี
เฉียวซินโยวยิ้มให้อย่างสดใส ราวกับว่าเขินอายที่ต้องเรียกแบบนั้น “ฉ่าวเหยียน คุณเรียกฉันว่า ซินโยว ก็ได้ค่ะ…”
เมื่อได้ยินแบบนั้นเย่ฉ่าวเหยียนก็ไม่ได้รู้สึกว่าไม่เหมาะสมอะไร เขาพยักหน้ารับ “ซินโยวถ้าไม่มีอะไรแล้ว ทำไมคุณไม่ไปเดินสำรวจข้างนอกเป็นเพื่อนผมหน่อยละครับ ห่างจากที่นี่ไปนาน รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย”
เฉียวซินโยวลังเลเล็กน้อย ตอนนี้เธออยากรู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินมาหามู่เวยเวยทำไม เธอจึงเป็นกังวลเมื่อต้องห่างจากห้องนี้ กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นจนเธอรับไม่ไหว
“ทำไม คุณไม่เต็มใจเหรอ?”
เมื่อต้องเจอกับคำถามของเย่ฉ่าวเหยียน เฉียวซินโยวก็ยากจะปฎิเสธได้ เธอเพียงแค่ยิ้มแล้วตอบว่า “ที่ไหน? ฉันกำลังคิดว่าเราควรไปที่ไหนก่อนดีค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น แววตาของเย่ฉ่าวเหยียนก็เป็นประกาย เขาเหลือบมองไปที่ประตู แล้วหันกลับมาพูดกับเธอ “งั้นพวกเราไปกันเถอะ”
“ค่ะ”
เฉียวซินโยวมองไปที่แผ่นหลังของเขาอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็เดินตามเขาลงไปที่ชั้นล่าง
เฉียวซินโยวอดคิดขึ้นมาเสียไม่ได้ อันที่จริงถ้าเธอใช้โอกาศนี้ใกล้ชิดกับเย่ฉ่าวเหยียนให้มากขึ้น ก็ไม่ได้เสียหายอะไร
บรรยากาศภายในห้อง หลังจากเย่ฉ่าวเฉินปรากฎตัวขึ้น บรรยากาศก็มีแต่ความกดดัน
มู่เวยเวยออกแบบงานอยู่เงียบๆ มองไปที่เย่ฉ่าวเฉินแล้วเขาไม่สนใจ จึงเลือกที่จะเพิกเฉย แต่ในที่สุดข้อมือเธอก็ถูกจับเอาไว้ แล้วกระดาษวาดรูปก็หายไป
เย่ฉ่าวเฉินทิ้งกระดาษวาดรูปลงบนโต๊ะ จนเกือบจะโดนแก้วน้ำที่อยู่วางอยู่ข้างบน เขามองเธออย่างไม่แยแส แล้วจากนั้นก็เริ่มปลดเข็มขัด
มู่เวยเวยมองการเคลื่อนไหวของเขา เมื่อเห็นว่าเขากำลังเข้ามาใกล้ตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ถามขึ้นอย่างเย็นชาว่า “นายจะทำอะไร?”
“เรื่องที่เธอพูดนั้นแหละ”
เมื่อได้ยินคำตอบสั้นๆ ของเขา มู่เวยเวยก็แทบกระอักเลือด!
“เย่ฉ่าวเฉิน ฉันไม่อนุญาตนาย…” มู่เวยเวยพูดขึ้น
เมื่อมองไปที่ใบหน้าแดงระเรื่อของเธอ เย่ฉ่าวเฉินก็หัวเราะออกมา “ไม่อนุญาตแล้วยังไง?”
“ฉันไม่อนุญาตให้นายเข้าใกล้ฉัน!”
“ทำไมฉันต้องฟังคำพูดเธอด้วย?”
มู่เวยเวยรู้สึกคุ้นๆ กับคำคำนี้ เธอจำได้ เหมือนกับกรณีของเฉียวซินโยว คิดไม่ถึงว่าเวลาเพียงสั้นๆ เย่ฉ่าวเฉินก็ส่งประโยคนี้มาให้เธออีกแล้ว
“คุณหนูเฉียวทำให้นายไม่พอใจงั้นเหรอ ทำให้นายอยากแล้วก็มาหาฉันแบบนี้?” สีหน้ามู่เวยเวยเต็มไปด้วยความระแวดระวัง น้ำเสียงเหน็บแนมพูดขึ้น
เธอมองไปที่ใบหน้าเคร่งขรึมของเย่ฉ่าวเฉิน แต่มู่เวยเวยกลับไม่กลัว ตรงกันข้ามกลับพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ขาของเธอก็ไม่สะดวก ถ้าฉันอยากได้ผู้หญิง ไปหาเฉียวซินโยวก็ได้ ฉันคิดว่าเธอให้ความสุขฉันได้มากกว่าแน่ๆ…”
ใบหน้าของเย่ฉ่าวเฉินดูเย็นลง นี่คือสิ่งที่มู่เวยเวยหมายถึง
เธอไม่กลัวว่าเย่ฉ่าวเฉินจะโกรธ แต่กังวลว่าเขาจะไม่โกรธมากกว่า ตอนนี้ขาของเธอไม่ค่อยสะดวก ถ้าเขาใช้โอกาสนี้ทรมานเธอ เธอก็คงจะทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นควรจะกำจัดเขาออกไปดีที่สุด!