“ลู่จื่อหางน่าจะทั้งรักทั้งแค้นเวยเวย ที่เขาโยนความผิดให้ฉัน เพราะรอบที่แล้วเราบังเอิญเจอกัน และเขาก็หวังว่าฉันจะ…มาแทนที่เวยเวย แต่ฉันปฏิเสธ ฉันจะแย่งสามีเพื่อนรักได้ยังไง เขาคิดว่าฉันเป็นคนยังไงกัน”
พูดถึงตรงนี้ เฉียวซินโยวก็จิกเท้าแน่น น้ำในตาค่อยๆไหลออกมา เธอแสร้งเสียใจร้องไห้พูด “ฉ่าวเฉิน จริงๆแล้วฉันชอบคุณมาก ฉันอยากตอบรับคำขอของคุณ คุณว่าฉันเป็นผู้หญิงไม่ดีมั้ย”
เมื่อเห็นเธอร้องไห้อย่างเจ็บปวด ความสงสัยในใจของเย่ฉ่าวเฉินก็หายไปในที่สุด เขาถอนหายใจเบาๆ ค่อยๆดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “ซินโยว ผมทำให้คุณรู้สึกผิดอีกแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เฉียวซินโยวก็รู้ทันทีว่าเธอบรรลุเป้าหมายแล้ว เธอค่อยๆฉีกยิ้มออกมาอย่างดีใจ และพูดอย่างใจกว้างมาก “ไม่เป็นไรค่ะ….ไม่ว่าคุณจะทำกับฉันยังไง ฉันก็จะไม่มีวันโทษคุณ ฉ่าวเฉิน…”
“ผมเชื่อคุณ”
“ค่ะ” เฉียวซินโยวฉีกยิ้มหวาน พร้อมเอนตัวซบอยู่ในอ้อมกอดของเย่ฉ่าวเฉินจนรู้สึกถึงความอบอุ่นจากร่างเขา เธอพูดอย่างเป็นกังวลว่า “ฉ่าวเฉินครั้งนี้คุณทำรุนแรงกับลู่จื่อหางมากเลย ถ้าเขามาเอาคืนพวกเราจะทำยังไง”
ฟังเธอพูดอย่างนี้ เย่แ่าวเฉินก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่เหมือนกัน เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า และโทรคุยกับจางเห่ออย่างเย็นชา “จางเห่อ นายไปส่งของขวัญชิ้นใหญ่แทนฉันให้คุณลู่หน่อย”
“ครับคุณชายเย่ ผมเข้าใจแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินวางสาย พลางมองเฉียวซินโยวอย่างอ่อนโยน และถาม “สบายใจได้ เขาจะไม่มารบกวนคุณอีก”
เมื่อได้ยินเย่ฉ่าวเฉินพูดยืนยัน ความกังวลในใจของเธอก็คลายลงทั้งหมด เธอรู้สึกว่าตอนนี้ทุกอย่างหวานมากจึงพูดอย่างเขินอาย “ฉันเชื่อคุณ แต่ฉ่าวเฉินคะ คุณบอกว่าเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ให้ลู่จื่อหาง มันคืออะไรคะ”
แววตาสีฟ้าของเย่ฉ่าวเฉินมืดมนลง และพูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอันตราย “เรื่องนี้คุณไม่ต้องรู้ ผมกลัวว่าคุณจะกลัว”
หลังจากฟังเขาพูด แผ่นหลังของเฉียวซินโยวก็เย็นยะเยือกขึ้นมาทันที เธอจึงปิดปากอย่างเชื่อฟัง
เธอรู้ว่าครั้งนี้เย่แ่าวเฉินลงมืออย่างทารุณมาก…
………
หลังลู่จื่อหางได้รับบาดเจ็บ เขาก็ไปรักษาแผลที่โรงพยาบาล เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เห็นว่าประตูเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง และได้ยินเสียงคนดังมาจากข้างใน ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นขโมยขึ้นบ้าน
แต่เขายังไม่ทันได้ดึงสติกลับมา ก็รู้สึกเจ็บท้ายทอยขึ้นมากะทันหัน จากนั้นเขาก็หมดสติ ล้มลงไปบนพื้น
พอเขาได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ห้องทั้งห้องก็ว่างเปล่า แม้แต่ตัวเขาเองก็นอนเปลือยอยู่บนพื้น
ลู่จื่อหางตกใจมาก เขารีบดิ้นรนลุกขึ้นมา ก่อนจะพบว่าตัวเขาถูกมัดด้วยเชือกแน่น
ทันใดนั้นก็มีผู้ชายสองคนเดินเข้ามาจากข้างนอก ทั้งสองคนจ้องลู่จื่อหางอย่างเย็นชา และพูดออกมาโดยไม่มีอารมร์ใดๆ “ลู่จื่อหาง ตอนนี้แกรู้รึยังว่ายั่วโมโหนายของเราแล้วจะเป็นยังไง แกต้องรู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่อย่างนั้นแม้แต่ตายยังไงแกก็จะไม่มีวันได้รู้”
ลู่จื่อหางเบิกตากว้าง เขาจำทั้งสองคนได้ตั้งแต่ที่ทั้งสองคนเริ่มก้าวเข้ามาแล้ว บาดแผลบนร่างกายของเขา สองคนนี้เป็นคนทำ
“พวกแกจะทำอะไร” ลู่จื่อหางมองร่างของทั้งสองที่ขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และพูดอย่างวิตกกังวล
ทั้งคู่เดินมาตรงหน้าของลู่จื่อหาง ดึงมือซีดขาวของเขามากางออก และมองนิ้วเรียวของเขา พลางพูดอย่างหนักใจว่า “หลงอี ตัดนิ้วไหนดี”
ชายที่ชื่อหลงอีเหลือบตามามอง พร้อมพูดอย่างเย็นชามาก “หลงเอ้อ อย่ามัวลีลา รีบๆทำงานให้เสร็จแล้วกลับไปรายงานเถอะ”
พอหลงอีพูดจบ หลงเอ้อก็หยิบมีดพกสั้นออกมาจากกระเป๋าหนังตรงเอว ใบมีดคมส่องประกายวิบวับเข้ากระทบตาลู่จื่อหาง ทำให้เขากลัวจนใจสั่น
“อย่า…ฉันขอร้องหละ ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันจะให้เงินพวกแก ให้เงินเยอะๆ อย่าตัดนิ้วฉัน อย่าตัด อ๊ากก”
เสียงร้องจากความเจ็บปวดดังไปทั่วห้อง ทำให้ทั้งสองคนต้องขมวดคิ้ว และหยิบผ้าขนหนูมายัดใส่ปากเขา พลางพูดอย่างไม่พอใจ “อย่าร้องเอะอะไป รำคาญหู”
ลู่จื่อหางโดนปิดปาก จึงได้แต่ครางหงิงๆออกมา เขามองไปที่นิ้วเปื้อนเลือดบนพื้นด้วยความเจ็บปวดกระสับกระส่าย จนตัวเย็นเฉียบ
หลงเอ้อมองลู่จื่อหางที่หมดสติอยู่บนพื้น และเตะอัดอย่างเคียดแค้น แต่ก็โดนหลงอีห้ามไว้ก่อน ด้วยคำเตือนว่า “พอแล้ว รุ่นพี่จางบอกว่าอย่าเอาถึงตาย เดี๋ยวจะทำให้คุณชายพวกเราเสียชื่อเสียง แค่สั่งสอนมันให้เลือดตกยางออกก็พอ”
หลงเอ้อได้ยินก็พยักหน้า และถ่มน้ำลายใส่เขา ก่อนจะเดินออกไป
หลงอีมองตรงไปที่เขา จากนั้นก็เดินไปปลดเชือกออกให้ และเดินออกไปจากบ้านของลู่จื่อหาง…
เมื่อลู่จื่อหางค่อยๆได้สติขึ้นมา ก็พบว่าตอนนี้เขาถูกส่งมาอยู่โรงพยาบาลแล้ว หมอบอกว่าเพื่อนบ้านเห็นอาการของเขาพอดี จึงโทร119เรียกรถพยาบาลไปรับเขามาส่งที่โรงพยาบาล
ลู่จื่อหางมองนิ้วมือที่โดนพันไว้ และพบว่ามีนิ้วหนึ่งที่หายไป ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ ทำให้เขาโกรธแค้นขึ้นมาทันใด
เขารีบดึงมือหมอที่ฉีดยาให้เขา ถามว่า “หมอ ทำไมไม่ต่อนิ้วให้ผม นิ้วที่ขาดมันต่อได้ไม่ใช่หรอ”
หมอหลุบตาลง และพูดอย่างเสียใจ “คุณลู่ขอโทษด้วยจริงๆ เพราะนิ้วของคุณขาดจากกันนานเกินไป นิ้วก็เลยตาย ไม่สามารถทำการต่อติดกันได้อีก”
เมื่อได้ฟังคำพูดของหมอ ในหัวของลู่จื่อหางก็เหมือนระเบิดดัง ‘ตู้ม’ เขาจ้องมองนิ้วขาดๆ และส่งยิ้มโหดเหี้ยมออกมา
เย่ฉ่าวเฉินมึงโหดชิบหาย กูยังไม่ได้ไปยั่วโมโหมึงตรงไหน แต่มึงก็ทำแบบนี้กับกู กูลู่จื่อหางขอสาบาน กูจะทำให้มึงต้องเสียใจ
แล้วก็อีสารเลวซินโยว กูจะทำให้พวกมึงต้องชดใช้อย่างสาสม
“คุณลู่ ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ” หมอถามเขาอย่างกังวล เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะอย่างโหดเหี้ยมของเขา
เสียงของหมอ ทำให้เขาได้สติกลับมา จึงตอบกลับว่า “ผมไม่เป็นไร หมอออกไปเถอะครับ”
หมอพยักหน้า และทำท่ายึกยักจะพูดอะไร ทำให้ลู่จื่อหางต้องขมวดคิ้วถาม “มีอะไรครับ”
หมอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมเปิดปากบอก “คุณลู่คะ คืออย่างนี้ค่ะ มีค่าใช้จ่ายที่คุณต้องจ่ายก่อน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นแปดพันหยวนค่ะ”
ได้ยินคำพูดของหมอ ลู่จื่อหางก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม ตอนแรกเขาจะให้คนสนิทไปเอาเงินที่บ้านมาให้ แต่ก็นึกได้ว่าเย่ฉ่าวเฉินให้คนไปเอาของที่บ้านเขาไปหมดแล้ว จึงถามหมอว่า “หมอครับ ผมยืมมือถือหน่อย”
เมื่อเขาขอ หมอก็ไม่สามารถเดาความคิดเขาได้ จึงได้แต่หยิบโทรศัพท์ออกมาให้เขายืม
ลู่จื่อหางคิดถึงมู่อี้เหยาขึ้นมา ตอนนี้มีเพียงมู่อี้เหยาที่สามารถช่วยเขาได้ เขาจึงรีบกดเบอร์มู้อี้เหยาโทรออกอย่างรวดเร็ว เขาได้ยินเสียง ‘ตู้ดๆ’เพียงสองครั้ง ก็มีเสียงมู่อี้เหยาดังขึ้น
“ฮัลโหล ใครคะ”
ลู่จื่อหางดีใจ รีบตอบทันที “อี้เหยา ผมเอง ตอนนี้คุณอยู่ไหน”
เขาพูดจบ ปลายสายก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็มู่อี้เหยาก็ถามกลับมาเสียงสูง “จื่อหางหรอ”
ลู่จื่อหางรู้สึกว่ามู่อี้เหยาไม่ปกติ น้ำเสียงของเธอฟังแล้วแปลกๆ แต่ตอนนี้เขาต้องการเงิน จึงไม่ได้คิดสนใจเรื่องอื่น เขาพูดอย่างเร่งรีบว่า “อี้เหยา ตอนนี้ผมอยู่โรงพยาบาล คุณเอาเงินมาให้ผมหน่อยได้ไหม”
หลังจากฟังคำพูดเขาจบ มู่อี้เหยาก็ส่งเสียง ‘อ้าา’ ออกมา น้ำเสียงสุขสมอย่างนั้น ทำให้ลู่จื่อหางรู้ทันทีว่าทางนั้นกำลังทำอะไรอยู่
มู่อี้เหยาหักหลังเขา สวมเขาให้เขา นังผู้หญิงร่านสวาท
“มู่อี้เหยาคุณทำอะไรอยู่ คุณกำลังเสพสมกับผู้ชายคนอื่นใช่มั้ย คุณทำอย่างนี้กับผมได้ยังไง” ลู่จื่อหางโมโหมาก เพราะเรื่องต่างๆที่ถาโถมเข้ามาหลายวัน ทำให้เขาต้องระบายโทสะออกมา
ถ้าเป็นเมื่อก่อน มู่อี้เหยาจะพูดอย่างอ่อนโยน เพื่อให้เขาคลายความโกรธ แต่คราวนี้ไม่รู้ทำไม เขาถึงได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาของเธอ พร้อมพูดอย่างดูถูก “ลู่จื่อหาง คุณกล้าตะคอกฉันหรอ อยู่ดีๆไม่ได้ใช่มั้ย”
ลู่จื่อหานสูดหายใจหนักๆอย่างไม่อยากจะเชื่อว่ามู่อี้เหยาจะพูดอย่างนี้กับเขา วันนี้มันเป็นอะไรไปหมด
เขายังไม่ทันตอบมู่อี้เหยาก็พูดต่อว่า “ลู่จื่อหาง คุณคิดว่าคุณเป็นใคร ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อฉันชมคุณ และให้คุณมาทำงานที่บริษัท ตอนนี้คุณก็ยังเป็นนักศึกษาจบใหม่เร่ร่อนอยู่”
“มู่อี้เหยา คุณ…..”
ไม่รอให้ลู่จื่อหางพูดจบ มู่อี้เหยารีบพูดว่า “ใช่ เมื่อกี้ฉันขึ้นเตียงกับผู้ชายคนอื่น…ถ้าตอนนั้นคุณไม่ใช่แฟนของมู่เวยเวย คิดว่าฉันจะมองคุณหรอ ฉันก็แค่อยากแย่งผู้ชายของมู่เวยเวยแค่นั้น”
เมื่อฟังความจริงจบ ลู่จื่อหางก็อ้าปาก สูดหายใจหนักๆ สายตาของเขาแสดงความโกรธออกมาอย่างถึงที่สุด
แต่มู่อี้เหยาก็ยังคงพล่ามต่อ “ตอนแรกคุณสงบเสงี่ยมอยู่กับฉัน ก็ไม่ได้แย่อะไร แต่ตอนนี้คุณกลับไปยั่วโมโหเย่ฉ่าวเฉิน คุณรู้มั้ยเขามีอำนาจขนาดไหน เอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง น่าขำสิ้นดี….”
ฟังมู่อี้เหยาพูดจบ ลู่จื่อหางก็เข้าใจทันที ที่แท้มู่จางรุ่ยก็กลัวมีปัญหากับเย่ฉ่าวเฉิน ถึงได้ตัดสัมพันธ์กับเขา
ลู่จื่อหางขัดคำพูดถากถางของมู่อี้เหยา ข่มความโกรธในใจ และพูดอย่างหลอกล่อ “ถึงคุณจะเลิกกับผม แต่ตอนนี้ผมกำลังลำบาก เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าๆของเรา คุณก็ช่วยให้ผมยืมเงินหน่อยเถอะ”
มู่อี้เหยาหัวเราะเยาะทันทีที่ได้ยินเขาพูดจบ “คุณมันชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยน ครั้งนี้ต้องทำให้คุณรู้จักประมาณตน ฉันไม่มีเงิน ถึงมีก็ไม่ให้”
“อี้เหยา ทำไมคุณใจดำขนาดนี้”
“หึหึ บอกตรงนะ ฉันไม่เคยชอบคุณเลย ฉันแค่อยากให้มู่เวยเวยขายหน้า ฉันจะบอกคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะ คราวหลังอย่าโทรหาฉัน และก็อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่เบามือให้แล้ว บาย…”
มู่อี้เหยาพูดจบก็วางสายทันที เมื่อได้ยินสายที่ตัดไป ลู่จื่อหางก็รู้สึกเสียใจมาก
เขาเสียใจที่ไม่เคยรู้ถึงใบหน้าที่แท้จริงของมู่อี้เหยา เขาเคยหัวเราะเยาะเย่ฉ่าวเฉินที่หูหนวกตาบอด แต่ก็เป็นคนที่โดนผู้หญิงปั่นหัวเล่นเหมือนกัน
มู่อี้เหยา ดีมาก ผมจะจำไว้…
ลู่จื่อหางมืดแปดด้าน เขาโดนทวงค่ารักษาทุกวันจนใจไม่ดี ตอนแรกเขาจะขอยืมเงินเพื่อนร่วมงานที่สนิท แต่เขาก็หลบหน้ากันหมด เขาไปหามู่จางรุ่ยอย่างจนปัญญา ก็ถูกปฏิเสธตั้งแต่นอกประตู
สุดท้ายมีเพื่อนบ้านช่วย ทำให้สามารถชำระหนี้ไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังมีอีกส่วนใหญ่ที่ยังต้องจ่าย โรงพยาบาลยื่นคำขาดมาว่าถ้าเขาไม่จ่ายเงินอีก เรื่องทั้งหมดจะไปขึ้นศาล
ด้วยไร้ทางออก ทำให้เขาต้องขายบ้านทิ้ง และใช้หนี้คืนทั้งหมด ส่วนที่เหลือเขาก็อาศัยอยู่ในโรงแรม แต่เพราะตอนนี้ค่าใช้จ่ายสูงมาก ถ้าเขาไม่รีบหางาน ต้องอดตายแน่
มู่จางรุ่ยให้คนมาส่งจดหมายไล่ออกให้เขา ทำให้เขาไปที่บริษัทมู่ซื่อไม่ได้อีก เมื่อได้เห็นตระกูลมู่ปฏิเสธเขาอย่างนี้ เขาก็ยิ่งโกรธแค้นมากขึ้น
เขาคิดอย่างแค้นๆ อย่าให้ถึงวันของเขา เขาจะไม่ให้ใครได้อยู่อย่างเป็นสุขเลย
เขามาถึงร้านถิงอวี่เซวียนต้นเหตุของเรื่องอย่างไม่รู้ตัว ตอนแรกเขาก็คิดจะเดินไปให้พ้น แต่ดันเห็นประกาศรับสมัครงานอยู่ ร้านนี้เปิดรับสมัครหัวหน้าร้าน ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะไม่น้อย แต่ก็ยังไม่เข้าตาลู่จื่อหาง
ตอนอยู่บริษัทมู่ซื่อเขาได้เป็นถึงผู้จัดการฝ่ายขาย เงินเดือนสูงกว่าที่นี่ห้าเท่า แต่ตอนนี้….
ตอนแรกเขาตั้งใจจะเดินผ่าน แต่สมองก็เกิดแผนบางอย่างขึ้นมา เขาจึงเปลี่ยนใจเดินเข้าไปในร้าน
“สวัสดีค่ะ ต้องการอะไรคะ”
ลู่จื่อหางชี้ไปที่ใบประกาศรับสมัครงาน และพูด “ผมมาสมัครตำแหน่งหัวหน้าร้าน”
หลังจากที่ดูเรซูเม่ และสัมภาษณ์ลู่จื่อหางคร่าวๆแล้ว ทางร้านก็ตกลงรับเขาเข้าทำงานในตำแหน่งหัวหน้าร้าน ลู่จื่อหางมองชุดยูนิฟอร์มที่ได้มาด้วยตาเป็นประกาย และยิ้มอย่างมีเลศนัย
เฉียวซินโยวคุณรอผมก่อนเถอะ อีกไม่นานผมจะไปเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของคุณ
……
คฤหาสน์ตระกูลเย่
วันนี้อากาศดี มู่เวยเวยมองแสงแดดข้างนอกแล้วตัดสินใจจะไปเดินเล่น ขอเธอดีขึ้นมากแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานก็สามารถทิ้งไม้เท้าได้
บนท้องฟ้ามีนกบินไปทางสวนดอกไม้อย่างมีชีวิตชีวา จึงดึงดูดให้มู่เวยเวยหนีบไม้เท้าเดินไปตาม
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียง ‘จ๋อม’ ดังขึ้นข้างหู ตอนแรกมู่เวยเวยคิดว่ามีอะไรตกลงไปในน้ำ เพราะเธอเพิ่งเดินผ่านสระว่ายน้ำมา เมื่อหันไปมอง เธอก็เห็นร่างที่คุ้นเคยกำลังว่ายอยู่ในน้ำ
เย่ฉ่าวเหยียนรู้สึกว่ากำลังโดนจ้องมอง เขาจึงหันมามอง เมื่อเห็นมู่เวยเวยยืนอยู่ข้างสระ เขาจึงส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนและยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้ “พี่สะใภ้ นานๆกว่าจะออกมาที”
เมื่อโดนทักทาย มู่เวยเวยจะทำเป็นไม่เห็นก็ไม่ได้ เธอจึงตอบ “สวัสดีค่ะ….”
“อย่าเกรงใจขนาดนั้นสิ….ยังไงพวกเราก็มีสัมพันธ์เป็นพี่สะใภ้กัน….อ้อ ขาคุณเป็นไงบ้าง” เย่ฉ่าวเหยียนส่งยิ้มใจดีถาม
มู่เวยเวยรู้สึกตกใจมาก เธอคิดไม่ถึงว่าเย่ฉ่าวเหยียนจะเป็นคนใจดีขนาดนี้ ต่างกับเย่ฉ่าวเฉินอย่างฟ้ากับเหว ทำให้เธอสบายใจขึ้นมา
แต่เธอก็เดาได้ว่า เขาอาจจะยังไม่รู้ว่าพี่ชายของเธอคือมู่เทียนเย่ ถ้าเขารู้เข้าก็คงไม่ปฏิบัติต่อเธอดีขนาดนี้ เมื่อคิดได้ถึงจุดนี้ เธอก็รู้สึกหดหู่มาก
ถ้าให้พูดจากใจจริงๆ เธอไม่อยากเป็นศัตรูของเย่ฉ่าวเหยียนเลย
เย่ฉ่าวเหยียนไม่ได้รู้ถึงความคิดของเธอเลย เขาดำลงไปว่ายน้ำอีกครั้ง ท่าทางแข็งแกร่ง เต็มไปด้วยพละกำลัง ทำให้มู่เวยเวยลังเลว่าควรจะเดินออกไปดีไหม
ขณะที่เธอหันหลังกำลังจะเดินไปนั้น เธอก็ได้ยินเสียงน้ำหยุดไป เธอจึงหันไปมอง ก่อนจะเห็นร่างของเย่ฉ่าวเหยียนจมลงไปต่อหน้าต่อตา และไม่ขึ้นมาอีกเลย มีแค่ฟองอากาศลอยขึ้นมา
มู่เวยเวยตกใจมาก ด้วยสถานการณ์คับขัน ทำให้เธอลืมไปว่าตัวเองขาเจ็บ เธอรีบทิ้งไม้เท้า และกระโดดลงไปในน้ำ เฝือกที่ขาเมื่อโดนน้ำทำให้เธอหนักขึ้นเป็นอย่างมาก
โชคดีที่เย่ฉ่าวเหยียนจมอยู่ไม่ไกล เธอจึงรีบกัดฟันว่ายมาใกล้ๆเขา จากนัั้นก็สูดหายใจเฮือกใหญ่และดำลงไปในน้ำทั้งตัว
มือของเธอแตะที่เอวเขาอย่างรวดเร็ว เธอใช้แรงและใช้แรงดันของน้ำช่วยพยุงตัวเขาขึ้นจนหัวของเขาโผผล่พ้นจากน้ำ….
มู่เวยเวยมองเขาที่หลับตาสนิท เขาไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ร่างทั้งร่างของเขาทิ้งน้ำหนักมาที่เธอ ทำให้เธอเคลื่อนไหวแต่ละทีกินพลังงานมาก
เธอพยายามดึงร่างเขาไว้ และตะโกนจนสุดเสียง “ช่วยด้วย มาเร็ว มาเร็วทุกคน”
เพราะสระว่ายน้ำอยู่ไม่ไกลจากตัวบ้านมาก จึงทำให้คนมาทันทีอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขาเห็นเหตุการณ์ในสระก็รีบลงไปช่วย เพราะการช่วยเหลือจากทุกคนทำให้มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเหยียนขึ้นสระได้ในเวลาอันสั้น
คุณอาหวังวิ่งมาอย่างตื่นตระหนก เมื่อเห็นเย่ฉ่าวเหยียนสลบไปแล้ว ก็สั่งให้คนรีบไปตามหมอหานมา และก็ยังสั่งให้แม่บ้านพามู่เวยเวยไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเขาก็รีบโทรหาเย่ฉ่าวเฉิน จากที่เย่ฉ่าวเฉินกำลังประชุมอยู่ เมื่อได้ยินข่าวของเย่ฉ่าวเหยียน เขาก็สั่งปิดประชุมเลื่อนไปเป็นวันอื่นแทน จากนั้นเขาจึงทิ้งทุกคนและขับรถกลับบ้านมาอย่างรวดเร็ว
ตอนที่เย่ฉ่าวเฉินมาถึงบ้าน เย่ฉ่าวเหยียนก็ได้รับการรักษาจากหมอหานจนฟื้นแล้ว เมื่อเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเย่ฉ่าวเฉิน เขาก็พูดอย่างสบายๆ “ผมไม่เป็นไรแล้ว….ไม่ต้องกังวล”
เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจทันที และอดถามไม่ได้ว่า “ทำไมถึงจมน้ำได้ อาหวังบอกว่าตอนเกิดเรื่องนายอยู่กับมู่เวยเวย ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เย่ฉ่าวเหยียนฟังเขาพูดจบ และตอบ “ผมว่ายน้ำอยู่แล้วก็รู้สึกขาเป็นตะคริวขึ้นมา ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมจมไปในน้ำแล้ว แต่โชคดีที่พี่สะใภ้มาช่วยผมขึ้น…..”
เย่ฉ่าวเฉินตกตะลึงทันทีหลังจากได้ฟังเย่ฉ่าวเหยียนเล่าจบ ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เวยเวยผลักเย่ฉ่าวเหยียนตกน้ำซะอีก…..
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อได้ยินอย่างนี้เย่ฉ่าวเฉินก็ถอนหายใจออกมา และหันไปถามหมอ “ร่างกายน้องชายผมไม่ได้เป็นอะไรมากใช่มั้ย”
คุณหมอหานตรวจเผื่อเย่ฉ่าวเฉินแแล้ว จึงรีบส่ายหน้า “คุณชายเหยียนไม่ได้มีปัยหาอะไร แค่ต้องการพักผ่อนเท่านั้น ฉันตรวจร่างกายเขาแล้วเขามีร่างกายที่อ่อนแอ ไม่ควรใช้พลังสูงอย่างการว่ายน้ำ”
เมื่อได้ยินคำเตือนของหมอหาน เย่แ่าวเฉินก็พยักหน้าลง ทั้งยังแอบกลัวอยู่ในใจ ถ้าไม่ใช่เพราะมู่เวยเวย ตอนนี้น้องของเขาคง…
เย่ฉ่าวเฉินมาส่งหมอหานที่หน้าประตู ทันทีที่ทั้งคู่เพิ่งแยกจากกัน ฉินหม่าก็วิ่งมารายงานอย่างรีบร้อน “คุณชายคะ แย่แล้วค่ะ ตั้งแต่คุณหนูขึ้นมาจากน้ำก็สลบไม่ตื่นเลย”
เย่ฉ่าวเฉินตกใจ รีบหันไปเรียกหมอหาน “หานปิงอย่าเพิ่งกลับ มู่เวยเวยเป็นลมไป คุณช่วยไปดูหน่อย”
หมอหานพยักหน้าอย่างจริงจัง และขึ้นไปบนห้องมู่เวยเวยอีกครั้ง หลังตรวจอาการเสร็จเขาก็บอกอย่างเคร่งขรึม “อาการของเธอไม่ค่อยดี ขาส่วนที่ได้รับบาดเจ็บของเธอโดนน้ำ ทำให้ติดเชื้อ”
ขาติดเชื้อหรอ
ได้ยินอย่างนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็ตึงเครียดขึ้น เขารีบพูดต่อ “ไเธอช่วยเหยียนจนเป็นแบบนี้ รีบรักษาเถอะ”
ไม่ว่าเมื่อก่อนจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้เขาติดหนี้บุญคุณเธอแล้ว
นานๆที่จะได้เห็นเย่ฉ่าวเฉินเป็นห่วงมู่เวยเวย หมอหานก็รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ได้แต่แอบว่าในใจว่าสุดท้ายก็รักษามาดไม่อยู่ เขาก็เปิดกล่องยาออกและพูด “ไม่ต้องห่วง มีผมอยู่ภรรยาของคุณไม่เป็นอะไรแน่ ผมจะฉีดยาแก้อักเสบให้ก่อน”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ภรรยาของคุณ’ ออกมาจากปากหมอ ในใจของเย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกแปลกๆ แต่ที่เขาต้องยอมรับก็คือ เขาไม่ได้ไม่ชอบคำนี้ และยังรู้สึกถึงอะไรบางอย่างต่อคำนี้ด้วย
“ครับ”
หมอหานฉีดยาให้มู่เวยเวยเสร็จ ก็ตัดเฝือกเปียกๆออกให้ ทำให้เห็นรอยเย็บตะเข็บใหญ่ตัดกับขาขาวๆของเธออย่างชัดเจน
“แผลของภรรยาของคุณอาการหนักมาก ในสถานการณ์อย่างนี้ เธอยังกล้าลงไปช่วยคนอื่น ที่จริงความกล้าเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม….แต่น่าเสียดายขาสวยๆของเธอที่ต้องหักจนมีสภาพเป็นแบบนี้….”
หมอหานพูดอย่างสงสาร เย่ฉ่าวเฉินฟังแล้วรู้สึกเป็นพิเศษ รอยนี้เขาเป็นคนทำ ถ้าวันนี้ไม่ตัดเฝือก เขาก็ไม่รู้ว่าอาการเธอหนักขนาดนี้
เป็นครั้งแรกที่เขาเริ่มสงสัยว่า เขาลงมือกับเธอหนักเกินไปรึเปล่า….
เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้ตัวเลยว่าคิดถึงแต่มู่เวยเวย เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่า เขาจะมีความรู้สึกที่เปลี่ยนไปต่อมู่เวยเวย
เพราะการรักษาอย่างทันท่วงที ทำให้มู่เวยเวยฟื้นขึ้นมาในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อเธอลืมตาขึ้น และเห็นเย่ฉ่าวเหยียนอยู่ในห้อง เธอก็แสดงสีหน้าตกใจทันที
เย่ฉ่าวเหยียนมองเธอ เมื่อเห็นว่าเธอฟื้นแล้วก็พูดอย่างใจดี “ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว”
เมื่อได้รับความห่วงใยจากเขา มู่เวยเวยก็ใจกระตุกขึ้นมา สมองของเธอคอยย้อนกลับไปคิดแต่เรื่องเก่าๆ เธอเปิดปากพูดด้วยเสียงแหบๆ “ฉันเป็นอะไรไป”
เธอจำได้ว่าเธอกระโดดลงไปในน้ำ จากนั้นก็หาตัวเย่ฉ่าวเหยียนขึ้นมาได้ จึงตะโกนร้องของความช่วยเหลือเสียงดัง จากนั้นก็มีคนมาช่วยพวกเขาขึ้นมาตรงขอบสระ แล้วเรื่องหลังจากนั้นก็จำไม่ค่อยชัดแล้ว
“เพราะคุณช่วยผม แผลของคุณเลยได้รับการกระทบกระเทือน โชคดีที่หมอหานฉีดยาแก้อักเสบให้แล้ว ตอนนี้เธอแค่พักผ่อนก็พอ”