วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 124 ความลับของเฉียวซินโยวถูกเปิดเผย

หลังจากฟังมู่เวยเวยพูดจบ สีหน้าของเขาทั้งสองคนเหมือนหนักใจ ชายวัยกลางคนเริ่มพูดขึ้นมาว่า “บ้านของพวกเราจน ไม่มีร้านถ่ายรูป ตั้งแต่เด็กจนโตก็ไม่มีรูปถ่าย”

พอพูดถึงตรงนี้ หน้าของฝ่ายชายก็เต็มไปด้วยความรู้สึกละอาย ด้านฝ่ายผู้หญิงเงยหน้าขึ้น แล้วพูดอีกว่า ลูกสาวของฉันนามสกุลเฉียว เรียกว่าซินโยว ส่วนอื่นฉันก็ไม่มีอะไรมาเป็นหลักฐานเลย

เฉียวซินโยว?!

พอได้ยินชื่อนี้ มู่เวยเวยก็ไม่กล้าที่จะเชื่อทั้งหมด แต่ดูออกว่าคนแก่สองคนนี้เป็นคนเรียบง่าย และอีกอย่างดูจากรูปร่างหน้าตาสองคนนี้ก็มีส่วนคล้าย เพียงแต่ว่าคงเพราะทำงานหนัก ไม่พิจารณาอย่างละเอียดก็จะดูไม่ออก

ฉันรับรู้ได้ถึงความกดดันของทั้งสองคนนี้ มู่เวยเวยจึงพูดปลอบใจว่า”พวกคุณไม่ต้องรีบร้อน หน่วยงานของเรามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งชื่อเฉียวซินโยว ปีนี้อายุ 24ปี ไม่รู้ว่าอายุเท่ากันกับลูกสาวของคุณทั้งสองคนไหม?”

ได้ฟังจากการเล่าของมู่เวยเวย ทั้งสองก็พยักหน้าเป็นพัลวัน พูดด้วยความตื่นเต้น”ไม่ผิดหรอก ลูกสาวของฉันปีนี้อายุ 24ปีแล้ว สาวน้อยเธอพอจะมีวิธีที่ทำให้เราสามารถพบกับเธอได้ไหม?”

ถึงแม้ว่ามู่เวยเวยจะยังรู้สึกคลางแคลงใจ แต่ก็ไม่อยากให้กระทบจิตใจสองสามีภรรยา ก็ได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรติดต่อหาเฉียวซินโยว และพูดว่า “ เธอรีบมาที่หน้าประตูบริษัทตอนนี้เลย ฉันมีธุระจะคุยกับเธอ”

“นี่พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกแล้วเหรอ ไม่คิดเลยว่าเธอจะมีธุระกับฉัน มีเรื่องอะไรขึ้นมาคุยด้านบนไม่ได้เหรอ?และอีกอย่างทำไมฉันต้องฟังเธอด้วย?!”

มู่เวยเวยได้ยินคำพูดประชดของเธอ อดทนอดกลั้นที่จะไม่กดตัดสายเธอ และพูดออกไปว่า “ธุระเรื่องอะไรลงมาก็รู้เอง ฉันจะรอเธอ”

พูดจบก็รีบกดวางสาย เห็นสีหน้าที่เฝ้ารอคอยของสองสามีภรรยา เขารู้สึกว่าแปลกประหลาดใจ ยังไม่กล้าที่จะปักใจเชื่่อ เฉียวซินโยวผู้มีความสามารถมุ่งมั่นและเก่ง จะมีเรื่องราวชีวิตแบบนี้!

ไม่ใช่ว่าเธอดูถูกสองสามีภรรยาเพียงแค่รู้สึกว่ามันตรงกันข้าม ถ้าหากว่าเฉียวซินโยวเป็นลูกของพวกเขาจริงๆ มู่เวยเวยไม่อยากจะคิดแทนสองสามีภรรยาเลย เพราะว่าดูจากนิสัยเจ้าแผนการของเฉียวซินโยวคิดจะจบเรื่องนี้แน่นอนว่าจบไม่ดีแน่

แน่นอน นี่เป็นเพียงการคาดการณ์ของเธอ ทั้งหมดคือต้องรอเฉียวซินโยวมาถึง

พอถึงเวลานี้ ก็เห็นพวกเขามองไปที่ประตูแบบใจจดใจจ่อ ยิ่งมองยิ่งตื่นเต้นเดินไปด้านหน้า ปากก็ไม่หยูดพูด” ลูกสาวของฉัน”ในที่สุดพ่อกับแม่ก็หาลูกเจอแล้ว!

ไม่คิดเลยว่าถ้าเฉียวซินโยวเป็นลูกของสองสามีภรรยานี้จริงๆ พอนึกถึงฉากนี้ มู่เวยเวยก็เข้าใจเธอขึ้นมาทันที เมื่อก่อนเขามักจะตำหนิเธอคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง จน

กระทั่งไม่เสียใจที่ทำเรื่องผิดคุณธรรม ตอนนี้เขาเพิ่งจะมาเข้าใจเธอจริงๆ

เฉียวซินโยวเดิมทีอยากจะรู้ มู่เวยเวยจริงๆแล้วมีธุระอะไร แต่ทว่าก็ไม่อยากถูกคู่สามีภรรยาก่อกวน แต่พอนึกถึงใบหน้าทั้งสองอย่างละเอียดคิ้วหนาๆก็ขมวดขึ้น พูดจาไม่ดีออกไป “พวกคุณมาได้ยังไง?แล้วใครเป็นคนบอกว่าหนูอยู่ที่นี่!

เฉียวซินโยวพูดเชิงตำหนิ ชั่วพริบตาเดียวจากการตื่นเต้นคล้ายกับเอาน้ำเย็นหนึ่งถังมาราดลงกลางใจของคู่สามีภรรยา ด้านพ่อของเธอสีหน้าก็สลดลง แต่ทว่ายังคงอดกลั้นไว้ และถามออกไปว่า “ซินโยว ช่วงปีที่ผ่านมาทำไมไม่กลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่เลย พวกเรา คิดถึงลูกมาก ถึงได้ขอร้องให้เพื่อนของลูกพาพวกเรามาที่นี่”

ด้านแม่ของเธอก็มีสีหน้าปลามปลื้ม มือที่ดำและหยาบกระด้าง ใบหน้าที่ดูอบอุ่นและพูดว่า “แม่และพ่อของลูกเอาไข่เค็มมาฝากด้วยนะ ตอนเด็กลูกชอบกินมากที่สุด

ไม่รอให้ทั้งสองคนพูดจบ ก็ถูกเฉียวซินโยวพูดตัดบท “พอได้แล้ว!พวกคุณมาที่นี่โดยพลการเอาตัวเองเป็นหลักได้อย่างไร?!พวกคุณไม่อยากให้หนูมีชีวิตดีๆใช่หรือเปล่า?หนูมีวันนี้ได้เพราะตัวของหนูเอง พวกคุณต้องการให้มันพังลงไปใช่ไหม!”

เรื่องเกิดขึ้นกะทันหันเกินความคาดหมายของทั้งสอง พวกเขาไม่คิดว่าลูกสาวที่แข่งแกร่งของเขาตลอดมา หลังจากเข้ามาที่เมืองใหญ่ตั้งแต่นั้นมา ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้วนี่ทำให้พวกเขาต้องยอมรับผล!

“พวกเราจะทำลายชีวิตลูกได้อย่างไร ฉันและพ่อแค่อยากจะมาเยี่ยม เจอแล้วก็จะรีบไป…..”แม่ของเธอเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนไปของลูก รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก หยดน้ำตาไหลรินลงมา

เฉียวซินโยวสีหน้าเรียบเฉย แสยะยิ้มที่มุมปากพูดด้วยความหยิ่งผยอง “ตอนนี้ก็ได้เจอแล้ว ก็รีบกลับไปซะ!ต่อไปก็อย่ามาให้หนูเห็นหน้าอีก ถ้าหากคนอื่นรู้ หนูมีชีวิตที่ลำบากทรหด สิ่งที่หนูพยายามมาทั้งหมดก็เท่ากับศูนย์!”

มู่เวยเวยสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ เธอไม่อยากเข้าไปยุ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องภายในครอบครัว แต่ว่าเห็นเฉียวซินโยวทำพฤติกรรมไม่ดีกับพ่อแม่ของตัวเอง ตอนนี้เธอทำไม่ได้ที่จะดูอยู่ห่างๆ

“เฉียวซินโยว นี่พ่อแม่ของตัวเธอเองยังปฏิบัติกับท่านแบบนี้ เธอยังมีความเป็นคนอยู่ไหมล่ะ!”

มู่เวยเวยพูดเพื่อช่วย เฉียวซินโยวมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม พูดออกมาเสียงเย็นชา “มู่เวยเวย เธอเรียกฉันมาเพราะเรื่องนี้เหรอ?! เธอไม่มีเรื่องอื่นให้ทำแล้วเหรอ!”

“ซินโยว เธอทำไมถึงได้——”เธอตำหนิเฉียวซินโยว แม่ของเฉียวซินโยวอยากจะห้าม ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็ขอความช่วยเหลือจากเธอ ให้เรียกเฉียวซินโยวลงมา

“เธอหุบปาก!”เฉียวซินโยวพูดออกมาด้วยความโมโหเดือดดาล “เธอมีสิทธิอะไรมาตำหนิฉัน?”ดูสิ่งที่พวกคุณมอบให้ในวันที่จนสิปีหนึ่งยังไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่เลย !ฉันตายไปยังไม่อยากใช้ชีวิตที่เหมือนตายทั้งเป็นเลย…”

ลูกสาวของพวกเขาตำหนิ ทั้งสองทำได้เพียงแค่ก้มหน้า

“เฉียวซินโยว อย่าลืมว่าพวกเขาให้ชีวิตเธอ !เธอไม่เพียงแค่ไม่ดีใจ เธอยังตำหนิพ่อแม่ของตัวเธอเอง ถึงพวกเขาจะไม่มีความสามารถ แต่พวกเขาก็เลี้ยงเธอมาจนโตไม่ใช่เหรอ?”มู่เวยเวยทนดูต่อไปไม่ไหว เฉียวซินโยวผู้หญิงเห็นแก่เงินคนนี้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะสงสารคนแก่สองคนนี้ เธอก็ไม่อยากที่จะเสียเวลามาพูดกับเฉียวซินโยว!

“มู่เวยเวยเธอคิดว่าเธอเป็นใคร! เธอมีสิทธิอะไรมาสั่งสอนฉัน ?!เธอเป็นถึงคุณหนู ตั้งแต่เล็กจนโตก็อยู่สุขสบาย เธอจะมาเข้าใจอะไรฉัน !แต่ฉันก็ไม่ได้อยากให้เธอรู้สึกอะไรหรอก ฉันว่าเธอควรจะเก็บความหวังดีของเธอไว้นะ!”

สั่งสอนมู่เวยเวยเสร็จ เฉียวซินโยวหันกลับมาหาพ่อกับแม่แวบหนึ่ง ก่อนจะล้วงกระเป๋านับเงินร้อยหยวนจำนวนหนึ่ง ยัดใส่ในมือที่ดำและหยาบกร้านนั้น พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เงินจำนวนนี้พ่อแม่ใช้ชาตินี้ก็ไม่หมด ต่อไปนี้ไม่ต้องมาหาหนูอีก ถือว่าจบกันตรงนี้!”พูดจบไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง

พ่อของเฉียวซินโยวมองลูกที่ไร้ความรู้สึกตัดขาดจากพวกเขา เลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเขา เขามองลูกด้วยความเศร้าสลด มือทาบที่หน้าอกทรุดลงกับพื้น

แม่ของเฉียวซินโยวตกใจ วิ่งมาคุกเข่าลงข้างพ่อของเฉียวซินโยว ร้องไห้พร้อมตะโกน “ตาแก่!คุณเป็นอะไรไป? ฮือๆ….ช่วยด้วยค่ะ!”

มู่เวยเวยที่เห็นเหตุการณ์ คิ้วขมวดขึ้น เธอรีบตรวจดูอาการพ่อของเฉียวซินโยว พบว่ายังหายใจอยู่ รีบโทรหา119สักพักรถฉุกเฉินมาถึง นำพ่อของเฉียวซินโยวขึ้นรถ มู่เวยเวยไม่วางใจขึ้นรถไปด้วย

เมื่อถึงโรงพยาบาล พ่อของเฉียวซินโยวโรคหัวใจกำเริบ ถูกนำตัวส่งเข้าห้องผ่าตัดทันที เป็นครั้งแรกที่แม่ของเฉียวซินโยวเคยมาโรงพยาบาลขนาดใหญ่ นอกจากร้องไห้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ เป็นธุระเรืองเข้ารับการรักษาคือมู่เวยเวยจัดการทุกอย่าง รวมไปถึงค่าผ่าตัดด้วย เป็นเธอที่ช่วยดูแล

การช่วยเหลือผ่านพ้นไป พ่อของเฉียวซินโยวพ้นขีดอันตรายแล้ว ย้ายไปที่ห้องพักธรรมดา แต่หมอก็ยังต้องคอยเฝ้าดูอาการ 24ชั่วโมง พอเจอเหตุการณ์นี้ เธอก็อยู่คอยปลอบใจแม่ของเฉียวซินโยว

เมื่อรู้ว่าพ่อของเฉียวซินโยวไม่อะไรมากแล้ว ผู้เป็นภรรยาก็คลายความกังวลลง เขาพูดด้วยความซาบซึ้งใจกับมู่เวยเวยว่า “เวยเวย เมื่อกี้ขอบคุณมากนะ ถ้าไม่ใช่หนู ฉันกับตาแก่อาจจะ——”

ไม่รอเขาพูดจบ มู่เวยเวยพูดปลอบใจว่า “คุณป้า อย่าคิดแบบนั้นสิคะ คุณลุงมีเทวดาคุ้มครอง หนูเชื่อว่าคุณลุงต้องไม่เป็นอะไรค่ะ”

แม่ของเฉียวซินโยวพยักหน้าตอบรับ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า ในกระเป๋ามีเงินของเฉียวซินโยวให้มาจำนวนหนึ่ง ยัดเข้าที่มือของมู่เวยเวย พร้อมพูดว่า “ฉันก็ไม่รู้ว่าพอหรือไม่ เงินนี้หนูรับไปก่อน ถ้าหากไม่พอพวกเราจะหาวิธีเอามาคืนให้”

มองที่เงินหนึ่งหมื่นหยวน มู่เวยเวยรู้สึกใจหวิว เธอยัดเงินกลับใส่มือแม่ของเฉียวซินโยว พูดว่า “เงินนี้คุณป้าเก็บไว้เถอะนะคะ ที่พวกเราได้เจอกันเป็นพรหมลิขิต คุณป้าไม่ต้องเกรงใจหนู”

“จะทำแบบนั้นได้อย่างไร?! ฉันได้ยินหมอพูดว่าค่าผ่าตัดหนึ่งหมื่นกว่าหยวนนะ ฉันไม่เคยติดเงินใคร ไม่ว่าจะพอหรือไม่พอหนูต้องรับไว้”

มู่เวยเวยพยักหน้า พูดอย่างจริงจัง”คุณป้า ถึงแม้ว่าตอนนี้คุณลุงพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ว่ายังเป็นโรคหัวใจอยู่ เงินนี้คุณป้าเก็บไว้นะคะ เผื่อวันหน้าจำเป็นต้องใช้”

แม่ของเฉียวซินโยวซาบซึ้งน้ำตาคลอ พูดด้วยเสียงสะอื้น”เวยเวยหนูเป็นเด็กดี พวกเราสองคนชีวิตรันทด ขนาดลูกแท้ๆยังไม่อยากรู้จักพวกเรา”

มู่เวยเวยถอนหายใจออกมา ไม่หยุดที่จะปลอบประโลมแม่ของเฉียวซินโยว ในใจรู้สึกอ่อนแรงกับการกระทำมู่เฉียวซิน ตอนนี้สิ่งที่เธอทำได้คืออยู่เป็นเพื่อนพวกเขา แม้เธอจะไม่ใช่เฉียวซินโยว ทำกับเธอเหมือนโกรธเกลียด สุดท้ายแล้วจะทำอย่างไรได้……

……….

คฤหาสน์ตระกูลเย่

อาหารหรูหราเต็มโต๊ะ เย่ฉ่าวเฉินมองอย่างไม่ตั้งใจไปที่เก้าอี้ตรงข้ามที่ว่าง คิ้วขมวดขึ้น พูดออกมาด้วยความกระวนกระวายใจ “มู่เวยเวยตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเหรอ?ถึงเวลารับประทานอาหารแล้วยังจะให้ทุกคนมานั่งรอ?”

เฉียวซินโยวที่ไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไร ในใจมีความคิดแอบแฝง เธอหวังว่าให้มู่เวยเวยเกิดเรื่อง แบบนั้นก็ตามแผนการของเธอ!

เย่ฉ่าวเหยียนเช็ดที่มุมปาก ใบหน้าที่เรียบเฉย พูดขึ้นว่า”ถ้าพี่ไม่พูดผมก็ลืมเลย เวยเวยโทรหาผมแล้ว บอกว่าคืนนี้ไม่กลับมานอนที่บ้าน พวกเราไม่ต้องเป็นห่วง”

ฟังเย่ฉ่าวเหยียนพูดจบ เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอวางแผนคืนนี้จะไม่กลับบ้าน?ในเมื่อไม่กลับมาแล้วโทรบอกเย่ฉ่าวเหยียน สุดท้ายแล้วเธอเห็นเขาอยู่ในสายตาไหม!

ผู้หญิงสมควรตายคนนี้!

เย่ฉ่าวเหยียนมองหน้าพี่ชายแวบหนึ่ง ในใจครุ่นคิด สิ่งที่คิดยิ่งเริ่มชัดเจนขึ้น หลายสิ่งทำให้เขาประหลาดใจ

บรรยากาศการรับประทานเงียบสนิท หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเย่ฉ่าวเฉินไปห้องหนังสือ บอกว่ามีงานต้องสะสาง เพียงแค่เย่ฉ่าวเหยียนบังเอิญเห็นจางเห่อรีบขับรถออกไป เย่ฉ่าวเหยียนเพียงคาดการณ์ไว้

ดึกแล้วจางเห่อขับรถออกไปทำอะไร ไม่น่าเชื่อและทำให้อยากรู้……

วันถัดมา เย่ฉ่าวเฉินให้เฉียวซินโยวไปที่บริษัทเอง เขาบอกว่ามีธุระ เฉียวซินโยวไม่ค่อยพอใจ แต่ต้องแกล้งทำเป็นเข้าใจ และขึ้นรถอีกคันไปบริษัท

เย่ฉ่าวเหยียนกำลังดูทีวีอยู่ที่บ้าน ได้ยินเสียงข้อความจากโทรศัพท์ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มองเห็นด้านบนเขียนว่า คุณชายถึงโรงพยาบาลใจกลางเมืองแล้ว

พอเห็นข้อความนี้ เย่ฉ่าวเหยียนหัวเราะในลำคอ จัดการเก็บโทรศัพท์ไว้และดูทีวีต่อ เมื่อคืนเขาคุยกับเวยเวย เธอบอกว่าอยู่ที่โรงพยาบาลใจกลางเมือง และบังเอิญไหมที่พี่ชายเขาไปที่นั่น เขาจำได้ว่าพี่ชายพูดว่า จะไปจัดการทำธุระ…..

เพื่อสะดวกในการดูแลพ่อของเฉียวซินโยว เมื่อคืนมู่เวยเวยพักที่โรงแรมตรงข้ามโรงพยาบาล เธอกับแม่ของเฉียวซินโยวพักคนละห้อง ทั้งสองคนผลัดกันเฝ้าไข้ รู้เมื่อเช้าว่าพ่อของเฉียวซินโยวอาการไม่น่าเป็นห่วงแล้วมู่เวยเวยถึงสบายใจขึ้นมา

เพราะว่าเธอคุ้นเคยกับสถานที่แถวนี้ เรื่องอาหารก็เป็นเธอที่จัดการ รอจนทั้งสองคนรับประทานอาหารเสร็จ เธอถึงไปที่ห้องทำน้ำร้อนเพื่อกดน้ำ แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากกดน้ำเสร็จจะบังเอิญเจอเย่ฉ่าวเฉินเข้า

“คุณมาทำอะไรที่นี่คะ?”มู่เวยเวยขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอไม่อยากจะคิดว่าเขาใจดีที่จะมาหาเธอ เธอดูแลคนไข้ก็เหนื่อยพอแล้ว

เย่ฉ่าวเฉินมาถึงห้องพักผู้ป่วย จางเห่อตรวจสอบชัดเจนแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเธอ เธอไม่เพียงแค่จ่ายค่ารักษาพยาบาล ทั้งยังมานอนเฝ้า เขาแปลกใจว่าเธอทำเพราะอะไร

“พวกเขาเป็นใคร?”

ได้ยินเย่ฉ่าวเฉินถาม มู่เวยเวยเลือกที่จะไม่สนใจ ถือน้ำร้อนเข้าไปในห้อง กระตือรือร้นพูด”คุณลุง ถึงเวลากินยาแล้วค่ะ”

ถึงแม้มูเวยเวยไม่สนใจเขา แต่คนแก่สองคนในห้องเขาเห็นแล้ว พ่อของเฉียวซินโยว

ที่นอนบนเตียงพูด”ที่รัก ยืนงงอะไรอยู่ ยังไม่รีบเชิญคุณเขาเข้ามาอีกล่ะ!”

แม่ของเฉียวซินโยวที่ยืนมองเย่ฉ่าวเฉินอยู่ รู้สึกว่าเขาหน้าตาดี พูดด้วยความเขินอาย “รีบเข้ามาเถอะจ้ะ….”

เย่ฉ่าวเฉินเข้ามาในห้องมองสองสามีภรรยาอย่างละเอียดถี่ถ้วน และหลังจากนั้นมองไปที่มู่เวยเวยด้วยสายตาแพรวพราวอย่างมีนัยยะ

รู้สึกได้ว่าสองสามีภรรยาเก้อเขิน มู่เวยเวยเริ่มแนะนำ “ท่านนี้คือเจ้านายหนูค่ะ ได้ยินว่าหนูเข้าโรงพยาบาลเลยตั้งใจแวะมาเยี่ยม”ได้ยินมู่เวยเวยอธิบาย ทั้งสองคนก็ไม่ได้ติดใจสงสัย พอรู้ว่าเขาเป็นเจ้านาย พ่อของเฉียวซินโยวก็พูด “สวัสดีครับ พวกรับไม่มีอะไรมาต้อนรับเลย คุณกรุณาอย่าตำหนินะครับ”

น้อยมากที่พ่อของเฉียวซินโยวจะพูดคุย มู่เวยเวยยังรู้สึกแปลกใจ

“ไม่เป็นไรครับ ผมแค่แวะมาเยี่ยม”เย่ฉ่าวเฉินมองมู่เวยเวยนิ่ง เหมือนกำลังบอกความคิดที่อยากจะพูด

พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น พ่อของเฉียวซินโยวก็ไม่เขินอาย เหมือนได้พูดออกมาแล้วบ้าง

เมื่อพูดถึงเรื่องมาหาลูกที่บริษัท ไม่ระวังตัวเองจนโรคหัวใจกำเริบ สุดท้ายมู่เวยเวยก็ได้ช่วยชีวิตไว้ พูดชื่นชมมู่เวยเวยต่อหน้าเย่ฉ่าวเฉิน พูดไม่หยุดว่าเธอช่วยชีวิตเขาไว้

จากที่ปิดปังบางเรื่องกับทั้งสองสามีภรรยาไว้ มู่เวยเวยแสดงถึงความเข้าใจ ถึงแม้ว่าเฉียวซินโยวจะเกลียดชัง แต่ว่ายังไงก็คือพ่อแม่ของตัวเอง จะทิ้งพวกเขาลงได้อย่างไร?

พวกเขาไม่ได้เพียงแค่อยากชื่นชมมู่เวยเวยต่อหน้าเจ้านาย ถึงแม้ว่ารู้สึกว่ามีเรื่องอื่น แต่มู่เวยเวยก็ทำให้พวกเขาซาบซึ้งหลงรักในน้ำใจ ภายในใจรับรู้ได้ถึงการกระทำพวกเขา

เย่ฉ่าวเฉินฟังอยู่เงียบๆ รับรู้ถึงบรรยากาศภายในห้อง ในใจสับสนความรู้สึกที่มีต่อมู่เวยเวย เขามองมู่เวยเวยเปลี่ยนไปจากเดิม ห้องหัวใจมีบางอย่างที่แปลเปลี่ยน….

พูดคุยมาได้สักพักหนึ่ง รู้สึกถึงความเงียบ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขาถามโดยไม่ได้คิดมากอะไร ” พวกคุณบอกว่ามาหาลูกสาว คุณสามารถบอกผมได้ ผมบอกเลขาหาข้อมูลให้เพื่อช่วยพวกคุณตามหาเขาให้พบ”

ความจริงเย่ฉ่าวเฉินไม่ค่อยอยากจะเชื่อ ในตอนนั้นรับสมัครพนักงาน เขาเป็นคนอ่านเอกสารด้วยตัวเอง ไม่มีคนที่ทะเบียนบ้านมาจากชนบท เขาถามประวัติของทั้งสองสามีภรรยา ยังคงมีความสงสัยอยู่

ทั้งสองสามีภรรยาหลังจากได้ยินเขาพูด คิดว่าเย่ฉ่าวเฉินเพียงแค่อยากช่วยตามหา พร้อมพูดว่า ” พวกเราหาลูกสาวเจอแล้วครับ ได้พบหน้ากันแล้วด้วย ”

ฟังเขาพูดจบ เย่ฉ่าวเฉินยิ่งสงสัยเพิ่มมากขึ้น ในที่สุดก็หาลูกเจอแล้ว ทำไมลูกสาวไม่มาดูแลพ่อที่ล้มป่วย และนอกจากนั้นยังเป็นมู่เวยเวยมาดูแล?!

“อ๋อ? ลูกสาวคุณยังไม่รู้ว่าพวกคุณอยู่ที่นี่ คุณบอกข้อมูลผม ผมจะไปบอกลูกสาวคุณให้”

ได้ยินเย่ฉ่าวเฉินพูดแบบนั้น พ่อของเฉียวซินโยวถอนหายใจแรง ในใจไม่คาดหวังกับคำพูดนี้แล้ว แต่ไม่อยากขัดในน้ำใจที่ดีของเย่ฉ่าวเฉิน พร้อมพูดขึ้น “ลูกสาวของผมชื่อเฉียวซินโยว เธอไม่มาเพราะ… ผมไม่อยากให้ลูกกังวลใจ ก็ไม่รบกวนคุณแล้วล่ะ…..”

หลังจากนั้นพ่อของเฉียวซินโยวก็พูดไปเรื่อยๆ แต่เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ใส่ใจฟังเลย เขาเพียงแค่ได้ยินชื่อนั้น—— เฉียวซินโยว?

เย่ฉ่าวเฉินนึกว่าฟังผิดแล้ว มองไปที่มู่เวยเวย และถามใหม่อีกครั้ง ” คุณบอกว่าลูกของคุณชื่อเฉียวซินโยว?”

พ่อของเฉียวซินโยวไม่เข้าใจความหมายของเขา บอกอย่างมั่นใจว่า “ไม่ผิดหรอก”

เย่ฉ่าวเฉินกลับมาคิดใหม่อีกรอบ ความทรงจำที่น่าทึ่ง ยืนยันว่าบริษัทมีเฉียวซินโยวแค่คนเดียว เขาจำได้ว่าเธอเคยบอกว่าพ่อเป็นอาจาร์ยมหาวิทยาลัย ความสัมพันธ์ไม่ค่อยจะดี เธอถูกพ่อไล่ออกจากบ้านตัดขาดความสัมพันธ์…

มู่เวยเวยไม่อยากพูดอะไรมาก แกล้งทำไม่สนใจปฏิกิริยาของเย่ฉ่าวเฉิน

หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว เธอเพิ่งจะเริ่มพูด” หนูจะลงไปซื้อของใช้ด้านล่าง มีเรื่องอะไรเรียกหมอเลยนะคะ เข้าใจไหมคะ?”

“เข้าใจแล้วจ๊ะ”

มู่เวยเวยผ่านมาด้านหน้าของเย่ฉ่าวเฉิน รู้สึกว่าออกไปแบบนี้หลุดพ้นแล้ว แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้านายคะ ฉันสบายดี คุณไม่ต้องกังวล คุณรีบกลับบริษัทเถอะค่ะ ทำให้คุณเสียเวลางาน ฉันก็รู้สึกเสียใจค่ะ”

คำพูดที่ออกมามู่เวยเวยกัดฟันพูด จริงๆแล้วอยากบอกเขาว่า รีบไสหัวไปเถอะ เธอไม่มีเวลามาไร้สาระกับเขา

เย่ฉ่าวเฉินเข้าใจความหมายของเธอ มองมาที่เธอเหมือนไม่รู้ พร้อมพูดขึ้นว่า “ได้”

มู่เวยเวยรู้สึกโล่งอก เธอรีบออกจากตึกผู้ป่วยใน เธอจะลงไปรับประทานอาหารก่อน หลังจากนั้นค่อยไปร้านสะดวกซื้อเพื่อซื้อของใช้

…..

“เวยเวย เจ้านายของหนูมาอีกแล้ว” พ่อของเฉียวซินโยวนอนอยู่บนเตียง ใบหน้ามีรอยยิ้มที่อ่อนโยน เพื่อบอกมู่เวยเวยที่กำลังออกแบบอยู่ด้านข้าง

มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้น มองเย่ฉ่าวเฉินที่เดินเข้ามาในห้อง ใบหน้ามีความแปลกใจอยู่เล็กน้อย และหลังจากนั้นได้ถามว่า “ประธานเย่ คุณมาหาฉันมีธุระอะไรไหมคะ?”

“วันนี้พอดีมีธุระที่โรงพยาบาล เลยแวะมาเยี่ยม”

มู่เวยเวยฟังจบ คิดว่าคงจะผ่านมาจริง เห็นจางเห่อวางอาหารบำรุงไว้ที่หัวเตียง

มู่เวยเวยไม่รู้จะพูดอะไรดี ประจวบเหมาะกับใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวัน มู่เวยเวยอยากจะลงไปซื้ออาหาร ทันใดนั้นประตูห้องได้เปิดออก มองเห็นสองคนใส่เสื้อพ่อครัวทำอาหาร เข็นรถอาหารเข้ามาอย่างนุ่มนวล

มองเห็นอาหารที่หรูหรา สองสามีภรรยาอยู่ในอาการตกใจ มู่เวยเวยไม่ได้ทำตัวเสแสร้ง พูดกับทั้งสองคนว่า “นี่คือน้ำใจของประธานเย่ พวกคุณไม่ต้องเกรงใจ เจ้านายของพวกเราเป็นคนเรียบง่าย”

ฟังมู่เวยเวยพูดจบ สองสามีภรรยายิ่งไม่กล้าปฏิเสธ

มู่เวยเวยปลอบใจทั้งคู่ รีบลงไปที่ร้านอาหารจานด่วนด้านล่าง ซื้อสปาเกตตี้หนึ่งจาน นมร้อน รับประทานกลิ่นหอมที่ชวนให้น้ำลายไหล และเธอคาดไม่ถึงว่าเย่ฉ่าวเฉินจะมานั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม

“ไม่กี่วันมานี้เธอรับประทานอาหารแบบนี้เหรอ?”

เย่ฉ่าวเฉินมองดูเธอที่รับประทานอาหาร เป็นอาหารที่ไม่มีประโยชน์ คิ้วไม่เพียงแค่ขมวดขึ้นสูง ยังถามเสียงต่ำว่า “ทำไมไม่รับประทานอาหารที่ฉันเตรียมมาให้?”

อาหารพวกนั้นฉันตั้งใจสั่งมาจากร้านอาหารฝรั่งเลยนะ เขาคิดไม่ถึง เธอเห็นอาหารราคาถูกดีกว่า ไม่รับประทานที่เขาเตรียมมาให้ ในใจของเขารู้สึกหงุด ไม่รู้ว่าหงุดหงิดอะไร และไม่รู้ทำไมถึงมาที่นี่

มู่เวยเวยไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขาพูด ตอนนี้เธอได้รับภูมิคุ้มกันจากเย่ฉ่าวเฉินแล้ว ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร เธอจะพยายามทำตัวให้เป็นปกติ หลีกเลี่ยงการทำให้ตัวเองได้รับผลกระทบเหมือนก่อนหน้านี้

“ฉันแค่รู้สึกว่าอาหารพวกนี้ไม่มีประโยชน์ ไม่เหมาะกับเธอ” มู่เวยเวยไม่ได้ใส่ใจอะไร เธอวางช้อนลง หยิบนมขึ้นมาดื่ม

เธอไม่พูดไม่จา ทำให้สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินเคร่งเครียดไตร่ตรองอยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็พูดออกมาแล้ว “ลูกสาวของสองคนนั้น คือเฉียวซินโยวจริงเหรอ?”

ฟังเขาพูดถึงเฉียวซินโยว มู่เวยเวยหมดอารมณ์รับประทานอาหารต่อ วางช้อนลง จ้องมองไปที่เย่ฉ่าวเฉิน พูดเยาะหยัน “ใช่หรือไม่ใช่ ประธานเย่ไม่สามารถตรวจสอบเองเหรอคะ?” ทำไมมาตั้งไกลเพื่อจะมาถามฉัน?

เธอก็พูด เย่ฉ่าวเฉินตั้งใจที่จะมาส่งอาหาร ที่แท้ก็เพื่อที่จะอยากรู้เรื่องนี้ สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้รับปประทานฟรี เพียงแค่เธอแปลกใจ อาการของเขาหลังจากถามเรื่องนี้แล้ว

ตกใจ ?หรือว่าหรือเห็นอกเห็นใจ?

ได้ยินคำพูดของมู่เวยเวย เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วมากขึ้น พูดออกมาอย่างไร้ความอ่อนโยน “มู่เวยเวย เธอต้องการที่จะคุยกับฉันแบบนี้ใช่มั้ย?”

ได้ยินคำพูดเชิงตำหนิของเขา มู่เวยเวยก็แสยะยิ้มเหยียดออกมา ถามเขาไปตรงๆ”หรือว่าที่บริษัทมีคนชื่อเฉียวซินโยวสองคนคะ?เรื่องจริงเป็นอย่างไร ฉันว่าประธานเย่แค่ตรวจสอบก็รู้แล้ว?”

มู่เวยเวยพูดในเชิงยอมรับแล้ว ถ้าหากว่าเป็นเรื่องจริง สองมือของเย่ฉ่าวเฉินไม่มีทางที่จะยุ่งเกี่ยวกับเฉียวซินโยวอีก งั้นก็ชัดเจนแล้วว่าเฉียวซินโยวมีความร้ายกาจมาก เมื่อก่อนเขาเชื่อใจเฉียวซินโยวมากเกินไป พอนึกถึงปฏิกิริยาเธอช่วงนี้ ปากของเย่ฉ่าวเฉินเม้มเข้าให้กันแน่น

เขาตรวจสอบแน่ชัดแล้ว สองสามีภรรยาคู่นี้มาจากพื้นที่ห่างไกลชนบท ครอบครัวมีลูกสาวหนึ่งคน ชื่อเฉียวซินโยว แต่ลักษณะอาการยังไม่เหมือนกัน เขาถึงได้มาถามมู่เวยเวย ไม่ใช่ว่าไม่อยากยอมรับ เขาคาดไม่ถึงสิ่งที่คิดไว้จะเป็นเรื่องจริง!

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset