เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว แล้วตะโกนถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ ” ฉันเคยพูดออกไปตอนไหน เธอคือผู้หญิงที่ฉันรังเกียจที่สุด ถ้าหากว่าเคยพูดคำไหนออกไปแล้วล่ะก็ ให้ถือซะว่าฉันยกเลิกคำพูดคำนั้นไป”
มองดูสีหน้าท่าท่างที่เหน็บแนม น้ำเสียงที่ดูถูกเหยียดหยามของเขา ทำเอามู่เวยเวยถึงกับส่ายหัวทนไม่ได้
“คำพูดที่พูดออกมาก็เหมือนน้ำที่สาดทิ้ง อยากจะยกเลิกคำพูดก็ยกเลิก ถ้าสมมุติว่าฉันตบหน้าคุณ แล้วขอให้คุณให้อภัยฉันทันที คุณจะให้อภัยไหม?”
เขาไม่เข้าใจว่าเธอจะสื่ออะไร เขาเป็นคนทำลายชีวิตของเธอกับมือ ทำให้เธอเหมือนตกนรกทั้งเป็น ตอนนี้เธอมีสิทธิอะไรมาพูดจะให้เขาให้อภัย เธอลืมความอับอายขายหน้าของเมื่อก่อนได้แล้วเหรอ?
เย่ฉ่าวเฉินมีสีหน้าที่ตกใจ นึกไม่ถึงว่าเธอจะเกลียดชังเขาขนาดนี้ “เธอจะเอายังไง?”
“ฉันไม่เอายังไงทั้งนั้น”
มู่เวยเวยรู้ตัวว่าน้ำใสๆกำลังไหลออกมาจากตา จึงหันหน้าไปมองทางหน้าต่างทันทีแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ” ต่อจากนี้พวกเราต่างคนต่างอยู่เถอะ เรื่องราวของเมื่อก่อนฉันไม่อยากเก็บมาคิดแล้ว ถ้าคุณยังมีหัวใจอยู่บ้าง หลังจากนี้พวกเราอย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย”
“เป็นไปไม่ได้”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองหน้าของเธอ เมื่อสังเกตหางตาของเธอก็ปรากฎน้ำตาที่กำลงเอ่อล้น ทำเอาคนที่หัวใจโหดเหี้ยมอย่างเขาถึงกับทนดูไม่ไหว จึงเอื้อมมือไปดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด สบตาแล้วใช้มือจับที่คางของเธอเบาๆ พูดถึงคำสัญญา
“นับตั้งแต่วันนั้นที่พวกเราแต่งงานกัน คุณก็ห้ามคิดที่จะจากผมไป!”
มู่เวยเวยคิดไม่ตกว่าทำยังไงถึงจะหลุดพ้นจากเขา เธอไม่เข้าใจว่าเขาจะยืนหยัดทำแบบนี้ต่อไปทำไม ตอนนี้มาเอาเอาใจเพื่ออะไร
เธอไม่คิดว่าคนอย่างประธานเย่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้
“ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไป? คุณรู้ไหมว่าฉันเหนื่อยมาก? ไม่มีสักเสี้ยววินาทีที่ฉันไม่อยากไปจากที่นี่ สำหรับฉันแล้วที่นี่มันก็คือฝันร้าย!”
มองดูมู่เวยเวยที่ท่าทางสติแตก เย่ฉ่าวเฉินในใจถึงกับอึ้ง เขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่าง
เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด ราวกับว่ามีบางสิ่งจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป……
สักพักมีเสียงเคาะประตูจากด้านนอก เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งขรึม “เข้ามาได้”
ประตูถูกเปิดออก เลขาหลิวเดินเข้ามาในห้อง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงความเคารพ
” ประธานเย่คะ อาหารกลางวันที่ท่านสั่งมาส่งแล้วค่ะ ต้องการจัดเสิร์ฟตอนนี้เลยไหมคะ?”
เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งเย็นชา” จัดเสิร์ฟได้เลย”
พอเลขาหลิวเปิดประตูห้องทำงาน พนักงานค่อยๆทะยอยจัดเสิร์ฟอาหารไว้บนโต๊ะรับแขกกันอย่างระมัดระวัง
พอทุกคนออกไป ภายในห้องจึงเหลือเพียงมู่เวยเวยกับเย่ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวยมองดูอาหารบนโต๊ะก็ต้องแปลกใจ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี อาหารที่สั่งมาวันนี้ล้วนเป็นอาหารโปรดที่เมื่อก่อนเธอชอบกิน
สังเกตสายตาของมู่เวยเวย เย่ฉ่าวเฉินจึงดึงตัวเธอไปบนโซฟา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ผมไปถามคุณลุงของคุณ เขาเป็นคนบอกผมเองว่าคุณชอบกินอะไร ”
เมื่อได้ยินคำที่เขาพูด มู่เวยเวยถึงตะลึงงัน เธอนึกไม่ถึงว่าเขาจะไปถามคุณลุงของเธอเกี่ยวกับอาหารที่เธอชอบ เป็นสิ่งที่เธอคาดการณ์ไม่ถึง
เธอยังจำตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ เธออยากพาเขากลับไปเยี่ยมบ้านของเธอ เขาไม่ลังเลที่จะปฏิเสธ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอยากได้ข่าวสารของพี่ชาย ดูท่าการกลับปีนั้นแทบจะคว้าน้ำเหลว!
อย่างไรก็ตามหลังจากเรื่องเธอเขาก็ไม่ได้ทุกข์ทนกับสิ่งที่เขาเก็บไว้น้อยลงเลย ตอนนี้เขากลับริเริ่มที่จะไปถามเรื่องแบบนี้ อะไรที่เกี่ยวกับเย่ฉ่าวเฉิน คิดไปในทางที่ดีไม่ได้เลย
ในขณะที่กำลังรับประทานอาหาร มู่เวยเวยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “คุณต้องทุ่มเททำด้วยความเหนื่อยยากเช่นนี้ ก็ไม่ใช่เพราะว่าหวังอยากรู้เบาะแสของพี่ชายฉันเหรอ แต่ดูเหมือนคุณจะต้องผิดหวังแล้วล่ะ”
“ หยุดปากไม่ได้แม้กระทั่งตอนกินข้าว? เย่ฉ่าวเฉินพูดขัดจังหวะเพราะทนความสงสัยของเธอที่มีต่อเขาไม่ได้
มู่เวยเวยไม่กล้าพูดอะไรต่อ ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารต่อไป
มู่เวยเวยค่อนข้างที่จะชอบอาหารรสจัด จึงทำให้อาหารมื้อนี้ไม่ค่อยถูกปากเย่ฉ่าวเฉินเท่าไหร่ เขาเงยหน้านั่งมองเธอกินข้าว เมื่อถูกจ้องมองด้วยดวงตาที่แข็งกร้าวมู่เวยเวยก็รีบวางตะเกียบลงทันที เธอกังวลว่าอาหารจะไม่ย่อย จึงคิดจะหาข้ออ้างรีบไปจากที่นี่ ไม่อยากให้เย่ฉ่าวเฉินเอ่ยปากพูดก่อน
“กินอิ่มแล้วเเหรอ!”
มู่เวยเวยพยักหน้าพร้อมกับพูดขอบคุณ “ขอบคุณนะคะสำหรับอาหารมื้อนี้”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย “พูดขอบคุณอย่างเดียวมันคงไม่พอมั้ง คิดหาวิธีที่จะตอบแทนผมได้หรือยัง”
“ห๊ะ! อะไรนะ”
มู่เวยเวยขมวดคิ้วพร้อมกับน้ำเสียงที่งงงัน
ในขณะที่มู่เวยเวยไม่ทันระวัง เย่ฉ่าวเฉินได้เดินมาอุ้มเธอเข้าไปในห้องพักผ่อน
” นี่คุณกำลังจะทำอะไรฉัน?”
“ทำอะไรงั้นเหรอ ตอนนี้คุณกินอิ่ม ก็ควรทำให้ผมอิ่มด้วยสิ……”
“อย่าเข้ามานะ! ปล่อยฉัน! คุณมันคนระยำ!
” ไม่ปล่อย! ต่อให้ดิ้นรนขัดขืนก็เปล่าประโยชน์ สู้ทำตัวดีๆไม่ดีกว่าเหรอ สักวันไม่ช้าก็เร็วคุณก็ต้องเป็นของผม !”
ด้านนอกห้องทำงาน
เสียงดังแครก มองไปในถังขยะมีถุงสองสามใบวางอยู่ แล้วทันใดร่างบางก็วิ่งออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
ภายในลิฟต์ตัวหนึ่ง เฉียวซินโยวได้นั่งกอดเข่า ร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้มเลอะเครื่องสำอาง
นิ้วมือที่ขาวบางหยิกลงบนขาของตัวเขาเอง ราวกับว่ามันคือเนื้อของมู่เวยเวย บนขาที่หยิกเต็มลอยเลือดกลับไม่รู้สึกเจ็บหรือมีความรู้สึกใดๆ ในหัวคิดแต่เรื่องที่เพิ่งจะยินไปมะกี้
ทำไมสิ่งที่เธอพยายามอยากได้มาอย่างสุดชีวิต กลับไม่เคยแม้แต่ที่จะได้ครอบครองเป็นของตัวเอง?
เธอทำอะไรผิด?
เธอแค่ต้องการไขว่คว้าหาความสุขก็แค่นั้น แต่ทำไมทุกครั้งสิ่งที่ได้รับกลับเป็นความทรยศ
มู่เวยเวย ฉันเกลียดแก ฉันเกลียดแก !!
ถ้าหากว่าแกคือตัวขัดขวางความสุขของล่ะก็ เป็นเมื่อก่อนฉันแค่คิดอยากจะเข้าไปตบตี
แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันอยากอยากทำลายแกให้สิ้นซาก!
ฉันเฉียวซินโยวคนนี้จะไม่ปล่อยแกไปเด็ดขาด!
……
มู่เวยเวยดันตัวลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยความเมื่อยล้า สังเกตตรงคอพบว่ามีรอยจูบประทับไว้ ทันใดนั้นหน้าของเธอก็แดงขึ้นมาอย่างผิดปกติ ในใจได้แต่ด่าคนเลวทรามอย่างเย่ฉ่าวเฉิน
มองดูนาฬิกาก็ได้พบว่าเกินเวลาทำงานมากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว มู่เวยเวยขมวดคิ้วทำหน้าเซ็ง แล้วรีบใส่เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว
มู่เวยเวยออกมาจากห้องพักผ่อนก็พบว่าภายในออฟฟิศไม่มีคนอยู่สักคน เธอเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราว ณ เวลานั้นเธอเหนื่อยเลยไม่ทันสังเกต เย่ฉ่าวเฉินดูเหมือนจะได้รับโทรศัพท์ขอให้เขาไปประชุม
เธอรีบลงมาที่ชั้นล่างแล้วตรงไปยังแผนกของตัวเอง เธอเข้าไปหาผู้จัดการเหอเพื่อทักทาย แต่เขาแจ้งให้เธอทราบว่าเย่ฉ่าวเฉินลางานให้เธอเรียบร้อยแล้ว มู่เวยเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อเธอกลับมานั่งที่ของตัวเอง ก็ได้รู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งที่กำลังแผ่รังสีอำมหิตมาที่เธอ
มู่เวยเวยหันไปดู ก็เจอเฉียวซินโยวที่มีสีหน้าเยาะหยันยืนอยู่ แต่เธอก็ไม่สนใจ
เฉียวซินโยวมีความโกรธแค้นในใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมาเห็นมู่เวยเวยมีท่าทีไม่สนใจ เธอยิ่งโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น พลันคิดหาวิธีมาแก้แค้นให้เร็ว
เฉียวซินโยวถือแก้วในมือเดินไปชงกาแฟ เสร็จแล้วตั้งใจเดินผ่านมู่เวยเวย แกล้งทำเป็นสะดุดล้ม ทำให้น้ำกาแฟกระเด็นไปโดนบริเวณหน้าอกของมู่เวยเวย
” โอ้ยย”
กาแฟที่เพิ่งชงยังมีความร้อนอยู่มาก มู่เวยเวยที่สวมใส่แค่ชุดพนักงานตัวบางน้ำกาแฟสาดลงมาโดน ทำให้เธอคร่ำครวญด้วยความเจ็บแสบเจ็บร้อนเป็นอย่างมาก ซึ่งดึงดูดพนักงานทุกคนหันมามองดู
” เวยเวย ฉันขอโทษเธอจริงๆนะ พอดีมะกี้เท้าฉันสะดุด รีบปลดกระดุมออกเร็ว ๆ ไม่งั้นจะเป็นแผลพุพองนะ !”
เป็นเพราะมีเพื่อนร่วมงานคนอื่นยืนดูเหตุการณ์อยู่ เฉียวซินโยวจึงแสร้งทำท่าทางเป็นกังวล แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยการยั่วยุเหน็บแนมราวกับจะบอกมู่เวยเวยว่าเจตนาตั้งใจกลั่นแกล้ง
ทุกกำลังมองดูอยู่ มู่เวยเวยทำได้แค่กลืนน้ำลาย ซึ่งเธอเองก็อยากจะปลดกระดุมเสื้อของเธอ แต่พอนึกถึงรอยจูบที่คอ ถ้าเพื่อนร่วมงานเห็นเข้าคงน่าอับอายไม่น้อย
ถึงในใจมู่เวยเวยจะโกรธโมโหให้ตายแค่ไหนก็ทำได้เพียงไม่แสดงสีหน้าโกรธออกมา “ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ”
เฉียวซินโยวอาศัยจังหวะที่มู่เวยเวยกำลังโกรธ และไม่อยากให้เดินไปเข้าห้องน้ำ เฉียวซินโยวแสดงออกว่าเป็นห่วงเป็นใย ยืนมือไปปลดกระดุมสองเม็ดของมู่เวยเวย
“เวยเวย รีบปลดกระดุมเสื้อระบายความร้อนเถอะ เดียวแบบนี้ผิวจะเป็นแผลพุผองเอานะ”
เฉียวซินโยวรู้สึกสะใจ แต่แกล้งแสดงสีหน้าเป็นกังวลและเป็นห่วง
มู่เวยเวยรู้ทันเล่ห์อุบายของเฉียวซินโยว จึงรีบเอามือกำคอเสื้อไว้แล้วกลั้นใจพูด “ไม่เป็นไร”
พูดจบก็เดินไปเข้าห้องน้ำทันที มองดูสภาพของตัวเองที่ตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
ในใจทั้งโกรธทั้งเกลียด เธอไม่สามารถทนกับอะไรแบบนี้ได้ต่อไป เฉียวซินโยวตอนนี้กำลังคลั่ง เธอต้องเรียนรู้หาวิธีที่จะเอาคืน
เฉียวซินโยวจึงใจทำให้เธอขายขี้หน้า ตั้งใจสาดกาแฟทั้งแก้วลงบนตัวเธอ เธอไม่ได้
พกเสื้อมาเปลี่ยน จึงทำได้เพียงรบกวนเพื่อนร่วมงานหาเสื้อมาให้เปลี่ยนสักชุด แต่สภาพเนื้อตัวแบบนี้จะกล้าออกไปพบใครได้ล่ะ
เย่ฉ่าวเฉินนายสมควรตาย นายทำแบบนี้เกือบจะฆ่าฉันแล้วไหมล่ะ!
นั่งคิดไปคิดมาอยู่สักพัก มู่เวยเวยหยิบโทรศัพท์กดเบอร์โทรไปหาใครบางคนพูดด้วยน้ำเสียงกระสับกระส่าย “เย่ฉ่าวเฉินคุณอยู่ไหน มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับฉัน คุณรีบมาหาฉันหน่อย……”
“ตอนนี้คุณอยู่ไหน?”
เมื่อได้ยินที่เขาพูด มู่เวยเวยรู้สึกยากที่จะเอ่ยปากบอกเขา แต่สภาพแบบนี้ทำอะไรมากไม่ได้จึงทำได้เพียงกัดฟันพูดตอบเขาไป “ตอนนี้ฉันอยู่ในห้องน้ำแผนกของเรา เสื้อของฉันสกปรก คุณรีบหาเสื้อสักชุดมาให้ฉันเปลี่ยนได้ไหม”
ณ เวลานี้อีกฝั่งฝากหนึ่งของการประชุมระดับสูงที่น่าเกรงขาม เย่ฉ่าวเฉินในขณะที่กำลังประชุมอยู่ได้ยินคำขอความช่วยเหลือจากมู่เวยเวย ทำให้เขาครุ่นคิดแล้วพูดแจ้งกับเหล่ากรรมการบริษัท “พักการประชุมสัก 10นาที พวกคุณลองพูดคุยหารือเกี่ยวกับแผนการของบริษัทหงอวี่อินเตอร์เนชั่นแนลกันสักพัก พอผมกลับมาให้มาบรรยายให้ผมฟัง”
จากนั้นเหล่ากรรมการบริษัทต่างพากันคาดเดาไปต่างๆนาๆว่าใครเป็นคนที่โทรมา
เดิมทีไม่มีอะไร แต่หลังจากที่เย่ฉ่าวเฉินเข้ารับตำแหน่งก็มีกฎเหล็กสำหรับการประชุมนั่นคือห้ามมิให้ผู้ใดรับสายหรือโทรออกระหว่างการประชุม!
ประธานเย่ของพวกเขาเคร่งครัดปฏิบัติต่อกฎระเบียบนี้มาโดยตลอด แต่ใครกันนะที่ทำให้เขาถึงกับละเมิดกฎระเบียบที่ปฏิบัติมาหลายปี แต่ดูจากสีหน้าเป็นกังวลของประธานเย่ก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเกี่ยวกับปัญหาของอสังหาริมทรัพย์โครงการใหม่
พวกเขาแทบไม่มีใครคาดเดาถูก ถ้าพวกเขารู้ว่าคนเทพๆในสายตาของพวกเขาอย่างประธานเย่ เพียงแค่เอาเสื้อไปส่งให้ผู้หญิงคนหนึ่งเปลี่ยน พวกเขาต้องช็อกอย่างกระอักเลือด
“นี่ไปโดนอะไรมาเหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินถามน้ำเสียงที่เรียบขรึม แล้วมองดูเธอที่สภาพดูไม่ได้
“คุณเฉียวเป็นคนทำ คุณจะรับผิดชอบสิ่งนี้แทนฉันยังไง ” มู่เวยเวยพูดออกไปโดยไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น แต่ว่าก็ไม่ได้จะให้เขารับผิดชอบแทนจริงๆ
ฟังเธอพูดจบเย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วแล้วหันหลังเดินจากไป
มองดูเขาเดินจากไป มู่เวยเวยยิ้มมุมปากอย่างประชด ดูเหมือนว่าเธอยังไม่รู้จัก ตัวเองดีพอ
มู่เวยเวยนี่เธอกำลังหวังอะไรลมๆแล้งๆ คิดเหรอว่าคนอย่างเย่ฉ่าวเฉินจะไปจัดการกับเฉียวซินโยวให้เธอ
ไม่รู้หรือไงว่าในใจของเขาไม่ว่าใครก็ฐานะสูงกว่าเธอทุกคน
เป็นเพียงความอัปยศอดสู!
เปลี่ยนใส่เสื้อผ้าที่เขาเอามาให้ แล้วเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง สังเกตว่าเฉียวซินโยวไม่อยู่ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกเข้าดังกริ่งขึ้นในหูของเธอ มู่เวยเวยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและพบว่าไม่ใช่ของเธอ เธอหันไปหันมาเห็นโทรศัพท์กะพริบอยู่บนโต๊ะทำงานของเฉียวซินโยว เธอกำลังคิดจะไปปิดเสียงโทรศัพท์นั้น แต่เห็นเฉียวซินโยวกำลังเดินออกมาจากในลิฟต์พอดี พอเฉียวซินโยวเห็นหมายเลขผู้โทรเข้าก็มีสีหน้าตื่นตระหนกรีบลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำทันที
มู่เวยเวยที่แอบมองดูเฉียวซินโยวอยู่ก็รู้สึกงงงวยมาก แค่รับโทรศัพท์จำเป็นต้องไปเข้าห้องน้ำด้วยเหรอ และท่าทางที่ดูลุกลี้ลุกลนทำให้คนอื่นสัมผัสได้ถึงความอึดอัด
มู่เวยเวยรู้สึกว่าเฉียวมีอะไรบางอย่างปกปิดซ่อนอยู่
มู่เวยเวย อดสงสัยไม่ได้จึงลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปที่ห้องน้ำ แล้วเธอได้ยินเฉียวซินโยวพูดกับใครไม่รู้ “โอเค ฉันจะไปทันที ไม่ต้องกังวล ไม่มีใครรู้ได้หรอก”
พอเฉียวซินโยววางสายโทรศัพท์ มู่เวยเวยก็รีบเข้าไปหลบอยู่อีกมุมหนึง เมื่อเห็นว่าเฉียวซินโยวเดินพ้นไปแล้ว จึงเดินออกมาแล้วตรงไปที่ห้องทานของว่าง แต่แล้วก็แอบเห็นเฉียวซินโยวสะพายกระเป๋าเดินลงตึกไป มู่เวยเวยรู้สึกแปลกๆ จึงลางานกับผู้จัดการเหอแล้วสะกดรอยตามเฉียวซินโยวไป
เมื่อเห็นเฉียวซินโยวเรียกแท็กซี่เธอก็เรียกตาม แต่เธอกังวลว่าเฉียวซินโยวจะรู้ตัว จึงบอกคนขับให้รักษาระยะห่าง คนขับก็ทำตามอย่างเต็มที่
ประมาณ40นาทีต่อมา เฉียวซินโยวก็ลงจากรถที่ช้อปปิ้งมอลล์แห่งหนึ่งอย่างระมัดระวังพร้อมกับมองไปทุกรอบด้าน จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้านกาแฟชื่อ ‘Shangri La cafe’
รอจนแน่ใจว่าเฉียวซินโยวเข้าไปแล้ว มู่เวยเวยถึงจ่ายเงินค่าแท็กซี่แล้วลงจากรถ เธอเลือกนั่งที่อยู่ใกล้ที่เฉียวซินโยวนั่งอยู่ เฉียวซินโยวเลือกนั่งติดหน้าต่าง แต่มู่เวยเวยไม่กังวลว่าจะถูกจับได้เพราะมีกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่ช่วยปังอยู่
“มาแล้วเหรอคะ หนานกง”
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวซินโยว มู่เวยเวยถึงกับหยุดชะงักแทบไม่อยากจะเชื่อ จึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นดูก็พบกับใบหน้าอันหล่อเหลาของหนานกงเฮ่าพอดี ในหัวของมู่เวยเวยมีแต่เครื่องหมายคำถามอยากจะรู้ว่าเฉียวซินโยวรู้จักกับหนานกงเฮ่าได้อย่างไร?
คนสองคนแอบมาพบกันอย่างลับๆ ความสัมพันธ์ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ สรุปเรื่องนี้มันยังไงกันแน่?
“หนานกง เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ? ทำไมคุณถึงเรียกฉันออกมาพบอย่างรีบร้อน”
เฉียวซินโยวถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลและน้ำเสียงที่ไม่สบายใจเล็กน้อย
หนานกงเฮ่ารู้สึกถึงสีหน้าที่แปลกๆของเธอจึงถามทันทีว่า “คุณมีอะไรที่ไม่สบายใจหรือเปล่าครับ?”
เฉียวซินโยวถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงกลุ้มใจ ” คือว่าเย่ฉ่าวเฉินอยู่ๆก็ทำตัวเย็นชาใส่ฉัน เจตนาหลีกเลี่ยงไม่คุยกับฉัน ”
เมื่อเห็นอย่างนี้ หนานกงเฮ่าจึงถามเธอว่า “เขาไปรู้อะไรบางอย่างมาหรือเปล่า”
เฉียวซินโยวพยักแล้วพูดว่า “เขาจับได้ว่าฉับฟังลั่วอวี่เซวียนกับลู่จื่อหางคุยกันเรื่องการแสดง รู้ว่าฉันเป็นคนบงการลู่จื่อหาง ฉันจะทำยังไงดี ถ้าเย่ฉ่าวเฉินรู้ความจริงมากกว่านี้ จุดมุ่งหมายของพวกเราทั้งคู่ที่ต้องแตกดับแน่ๆ”
เมื่อฟังที่เฉียวซินโยวพูด หนานกงเฮ่าจึงถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง “แล้วทำไมเขาถึงจับได้ล่ะ”
เฉียวซินโยวตอบด้วยสีหน้าที่เครียดแค้น “เป็นเพราะลู่จื่อหางไอ้บ้านั้นแหละ ที่เอาเรื่องนั้นมาข่มขู่ฉันเพื่อเอาเงิน พอฉันไม่ให้ มันก็เปิดเผยเรื่องนั้นออกมา”
ทันใดนั้นเธอนึกขึ้นได้ว่าเหตุการณ์วันนั้เย่ฉ่าวเฉินพูดว่าไม่เชื่อ ทั้งหมดนั้นเป็นแค่แผนการรับมือชั่วคราว จริงๆแล้วเขาเอาใจใส่กับคำพูดของลู่จื่อหาง มีเพียงเธอเท่านั้นที่คิดได้อย่างน่าขำขันว่าเขาอยากจะเชื่อเธอจริงๆ!
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกตระหนักด้วยความหวาดกลัวว่าเย่ฉ่าวเฉิน ไม่ได้มีความรักต่อเธอมากขนาดนั้นแม้ว่าเธอจะไม่อยากเชื่อ แต่เธอก็หาเหตุผลมาหักล้างความจริงได้
ต่อให้เย่ฉ่าวเฉินแสดงออกว่ารังเกียจมู่เวยเวยเพียงใดไม่ว่าเขาจะทำร้ายเธอหรือดูหมิ่นเธออย่างไรเขาก็ไม่เคยเพิกเฉยต่อเธอ เฉียวซินโยวเคยคิดว่าตัวเองพิเศษสำหรับเย่ฉ่าวเฉินแต่มาคิดดูตอนนี้มันช่างน่าขำขันซะจริงๆ
หนานกงเฮ่ามองดูสีหน้าที่เจ็บปวดของเธอ เขาเคยเตือนเธอแล้วแต่เธอไม่ฟัง คิดเสมอว่าจะได้หัวใจของเย่ฉ่าวเฉินมาครอบครอง เป็นไงล่ะตอนนี้กลับได้รับการตอบแทนที่ไร้ปรานี
หนานกงเฮ่าพูดกับเธอด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม” คุณไม่ต้องกังวลมากเกินไป ต่อไปนี้ก็ระวังให้มากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเย่ฉ่าวเฉินจะไม่เชื่อคุณอีกต่อไปอย่างแน่นอน”
เฉียวซินโยวพูดด้วยสีหน้าที่ดูเลื่อนลอย “แล้วฉันต้องทำยัง”
หนานกงเฮ่าถอนหายใจ มองไปที่ใบหน้าของเธอแล้วพูดต่อ “ไม่เป็นไร แต่คุณอย่าตื่นตระหนกเด็ดขาด ไม้ตายที่คุณใช้กับเย่ฉ่าวเฉินเท่าไหร่ก็ต้องคำนึงถึงด้วย”
“ไม้ตายอะไร” เฉียวซินโยวถามด้วยความสงสัย
” คุณลืมไปแล้วเหรอว่าเย่ฉ่าวเฉินคือผู้ชายคนแรกของคุณ เพียงแค่คุณเป็นเจ้าของต้นฉบับการออกแบบ ยึดมั่นจุดนี้ให้แน่นแล้วทุกอย่างจะไม่มีปัญหาอะไร”
เมื่อฟังหนานกงเฮ่าพูดจบ เฉียวซินโยวจากที่ดูร้อนรนก็สงบลง ใช่แล้ว หนานกงเฮ่าเคยพูดว่าเย่ฉ่าวเฉินมีความรู้สึกพิเศษต่อผู้หญิงในคืนนั้นเสมอมา ตราบใดที่เธอเข้าใจจุดนี้อย่างแน่วแน่ เธอจะสามารถเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นชัยชนะได้อย่างแน่นอน!
เขาจ้องมองหน้าเธอแล้วพูดต่อ “แต่ยังคุณก็ต้องรีบลงมือ ผู้ชายแทบทุกคนไวต่อเรื่องเซ็กส์ ถ้าคุณเปิดก่อนคุณก็ได้แต้ม”
เธอเข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ จึงพยักหน้าตอบรับตั้งใจ
หลังจากนั้นคุยกันไม่นานหนานกงเฮ่าก็รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง แล้วสองคนก็แยกย้ายกัน พอหนานกงเฮ่าเดินออกไปเฉียวซินโยวก็ออกไปเรียกแท็กซี่กลับบริษัท
มู่เวยเวยจิบกาแฟเฮือกใหญ่เพื่อที่จะงับความตกตะลึงใจกับเรื่องมะกี้ ทุกอย่างที่เธอได้ยินดูเหมือนจะทำให้หัวใจที่เปราะบางของเธอแทบจะระเบิดออกมา!
เธอคาดไม่ถึงว่าหนานกงเฮ่าจะรับรู้เรื่องอับอายขี้หน้าของเฉียวซินโยว ไม่ใช่แค่รู้แต่ยังร่วมมือวางแผนชั่วร้ายด้วย
จากบทสนทนาของทั้งสอง หนานกงเฮ่าคือจอมวางแผนทุกอย่าง คือคนบงการลู่จื่อหางให้มาทำร้ายเธอ สอนเฉียวซินโยวทุกเรื่องชั่วร้ายน่ารังเกียจก็คือหนานกงเฮ่า”
เธอโง่แค่ไหนเธอถูกเฉียวซินโยวกลั่นแกล้ง และในที่สุดก็ถูกหลอกโดยผู้ชายที่บอกว่ารักเธอ! น้ำตาของเธอไหลอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างไม่หยุด
ตอนนี้เธอจะเชื่อใครได้อีก? เธอจะพึ่งพาใครได้อีก? !
หลังจากร้องไห้อย่างดุเดือด อารมณ์ของมู่เวยเวยก็ค่อยๆกลับมาสงบลง เพราะบทเรียนของเฉียวซินโยวที่ได้เรียนรู้ตอนนี้เธอไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว
ถึงแม้ตอนนี้เธอจะรู้สึกเจ็บปวดแค่ไหนแต่เธอจะยอมรับความจริงนี้ ให้ได้โดยเร็วที่สุด จากที่ทั้งสองเพิ่งจะพูดถึงต้นฉบับการออกแบบจะปลอมแปลงเป็นชื่อของคนอื่นแทนหรือไม่
พวกเขาพูดถึงสิ่งนี้มีผลกระทบต่อเย่ฉ่าวเฉินมากแค่ไหน สรุปแล้วมันมีผลกระทบอะไรบ้าง?
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้เธอก็ยิ่งอึ้งมากขึ้น ดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆจะดูซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เธอมักจะรู้สึกว่ามีแผนการชั่วร้ายที่เธอไม่รู้และเธอต้องตามสืบโดยเร็วที่สุด!
เมื่อรู้แผนการอันชั่วร้ายของเฉียวซินโยว และมีหนานกงเฮ่าบงการอยู่เบื้องหลัง เธอก็ยิ่งต้องรีบจัดการหากปล่อยไว้เกรงว่าสถานการณ์ของเธอจะไม่ดี ……
……
ระหว่างทางกลับไปที่บริษัท เฉียวซินโยวก็เริ่มใช้สมองคิดหากลยุทธ์ต่างๆ ทันใดนั้นเธอก็จำได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเธอบางทีเธออาจจะใช้โอกาสนี้เพื่อสานต่อความสัมพันธ์ของคนสองคน
หลังจากกลับมาถึงที่บริษัท เฉียวซินโยวก็พบว่ามู่เวยเวยดูเหมือนจะไม่อยู่ที่โต๊ะทำงานของเธอ หรือว่าเธอจะไปหาเย่ฉ่าวเฉิน? เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้เฉียวซินโยวก็รู้สึกอิจฉาริษยาเป็นอย่างมาก และต้องการที่จะขึ้นไปไปลากตัวเธอทันที! แต่มาคิดดู
อีกหน่อยเธอกับมู่เวยก็กำลังสลับสถานะกันแล้ว
เฉียวซินโยวหยิบมือถือขึ้นมา ครุ่นคิดสักพักแล้วกดส่งข้อความไปให้เย่ฉ่าวเฉิน
เย่ฉ่าวเฉินไม่ว่าคุณจะคิดยังไงกับฉัน วันนี้เป็นวันเกิดของฉัน คุณช่วยฉลองวันเกิดเป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหม แค่เพียงเราสองคน ฉันมีเรื่องจะพูดคุยกับคุณมากมาย
หลังจากกดปุ่มส่งไปเธอได้รับคำตอบไม่นานหลังจากนั้นไม่กี่คำ แต่เธอก็ตื่นเต้นมาก –
ได้สิ ไปที่ไหนล่ะ?
โรงแรมอินเตอร์เนชั่นแนลCK ห้องที่1026 เวลาประมาณสองทุ่ม ฉันจะรอคุณนะ
เมื่อมองดูข้อความที่เฉียวซินโยวส่งมา เย่ฉ่าวถึงกับรู้สึกช็อกในใจแล้วกัดฟันตอบกลับไปสั้นๆ
โอเค
ณ โรงแรมอินเตอร์เนชั่นแนลCK
เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปเย่ฉ่าวเฉินก็รู้สึกว่าเวลาหยุดเดิน เมื่อมองไปที่ของตกแต่งที่คุ้นเคยผลพวงของคืนนั้นฉายในใจของเขาอีกครั้งและเขาก็รู้สึกใจเต้นแรง
เฉียวซินโยวสวมใส่กระโปรงผ้าซีฟองสีแดงซึ่งทำให้รูปร่างที่สง่างามของเธอมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก เธอก้าวไปโอบเอวของเย่ฉ่าวเฉิน “คุณจำสถานที่นี้ไดhไหมคะ”น้ำเสียงของเธอเร่าร้อนและลึกล้ำ
เย่ฉ่าวเฉินมองใบหน้าที่สดใสของเธอและถามเบาๆ “คิดยังถึงได้มาที่นี่?”
“เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของฉัน … แน่นอนว่าฉันต้องการเลือกสถานที่ที่พิเศษ … ค่ำคืนที่สวยงามแบบนี้ ฉลองโดยไม่มีไวน์แดงมันไม่ได้จริงๆ! เดียวฉันจะออกไปซื้อไวน์สักขวดคุณต้องรอฉันนะ .. .”
เมื่อได้ยินข้อเสนอของเฉียวซินโยว เขาก็ไม่ไม่คัดค้านอะไร พยักหน้าตอบรับเบา ๆ
เฉียวซินโยวออกไปด้วยความสบายใจ เธอเดินไปที่แผนกต้อนรับและขอซื้อไวน์ 1 ขวดแต่แทนที่จะกลับห้องทันทีเธอกลับไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้ ๆ
เฉียวซินโยวตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีกล้องวงจรปิดอยู่รอบ ๆ เขาจึงเปิดจุกไวน์ด้วยที่เปิดไวน์ จากนั้นหยิบซองกระดาษเล็กๆที่ในนั้นมีผงสีขาวอยู่ออกมาจากกระเป๋าของชุดเดรสของเธอ แล้วเทผงสีขาวนั้นลงในขวดไวน์
หลังจากทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เฉียวซินโยวก็ไปที่บาร์เพื่อขอแชมเปญเพิ่มสักแก้วจากนั้นก็กลับไปที่ห้อง แล้วก็พบว่าภายในห้องนั้นมืดมาก ทำเอาหัวใจของเธอเต้นแรง เรียกถามหาเย่ฉ่าวเฉิน ” เย่ฉ่าวเฉิน คุณยังอยู่ไหม”
หลังจากเรียกถามหลายครั้ง แต่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เธอมองไปรอบ ๆ แต่ไม่พบร่างใดเธอรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก
สักพักไฟขนาดเล็กก็จุดขึ้นที่ระเบียงห้อง เธอรีบไปที่ระเบียงก็ตะลึงใจและความรู้สึกเต็มไปด้วยความสุข
โอ้พระเจ้า ที่แท้ก็คือเทียน!
เมื่อมองผ่านเงาของเทียนเล็ก ๆ 20แท่ง เธอก็พบเค้กวันเกิดสามชั้นด้านล่าง!
เธอเงยหน้าขึ้นและพบว่าเย่ฉ่าวเฉินยืนถือเค้กพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ซินโยว สุขสันต์วันเกิดนะครับ … ”
“นี่คุณเอาเวลาไหนไปเตรียม?”
ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเซอร์ไพรส์ และนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอฉลองวันเกิดกับผู้ชาย แถมอีกฝ่ายยังเป็นคนที่เธอแคร์ที่สุด มันช่างเป็นสิ่งธรรมดาที่แสนพิเศษ
“ชอบไหมครับ?”
” ชอบมากค่ะ”
แค่คุณเซอร์ไพรส์ก็ดีใจมากแล้วค่ะ สิ่งสำคัญไม่ใช่ของขวัญ แต่เป็นสิ่งที่คุณดีกับฉัน!
เย่ฉ่าวเฉินจริงๆแล้วก็ทำเรื่องแบบนี้ไม่ค่อยเป็นเท่าไหร่ เขาครุ่นคิดสักพักแล้วพูดว่า “อธิษฐานแล้วเป่าเทียนสิครับ”
เมื่อได้ยินที่เขาพูด เฉียวซินโยวก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เธอประสานสองมือเข้าด้วยกันแล้วอธิษฐานที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง จากนั้นก็ก้มไปเป่าเทียน …
ในขณะที่กำลังกินเค้กเฉียวซินโยวก็นึกถึงแผนการของคืนนี้ขึ้นมา เธอมั่นใจว่าผลลัพธ์ของคืนนี้จะออกมาดีอย่างแน่นอน
เธอหยิบขวดไวน์ออกมาแล้วเทเสิร์ฟให้เย่ฉ่าวเฉิน หลังจากนั้นก็เสิร์ฟแชมเปญให้กับตัวเธอเอง
เฉียวซินโยวกลัวเขาจะจับได้จึงพูดกันไว้ก่อน “สองสามวันมานี้ฉันไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ ไม่ค่อยอยากกินเหล้าเท่าไหร่ ฉันขอกินแชมเปญแทนได้ไหมคะ”
เย่ฉ่าวเฉินพูดตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ” ได้สิครับ ”
ทั้งสองคนชนแก้วกัน เย่ฉ่าวเฉินกำลังจะดื่ม แต่ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าของเขาก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้ววางแก้วลงยืนขึ้นและพูดว่า ” เดียวผมไปรับโทรศัพท์ก่อนนะครับ”
เฉียวซินโยวรู้สึกรำคาญคนที่โทรมาขัดจังหวะและบ่นเซ็งในใจ แต่ต้องเก็บอาการไว้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “โอเคค่ะ ฉันจะรอคุณ”
เย่ฉ่าวเฉินเดินตรงไปที่ระเบียงเพื่อรับโทรศัพท์ เขามองดูค่ำคืนที่มืดมนนอกหน้าต่างและพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งขรึม “เย่ฉ่าวเหยียน”
” พี่ทำไมยังไม่กลับมาล่ะ ตอนนี้ยังทำงานอยู่หรือเปล่า”
” อืมใช่ ฉันต้องแก้ไขเอกสารบางอย่าง กินข้าวเย็นก่อนได้เลย ไม่ต้องรอฉัน”
“งั้นก็โอเค”
“เดี๋ยวก่อน แล้วตอนนี้มู่เวยเวยพี่สะใภ้แกกลับบ้านหรือยัง”
“ฉันเพิ่งไปถามแม่บ้านฉินมา พี่สะใภ้กำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง”
เมื่อได้ฟังว่าเธออยู่ที่บ้านเขาก็โล่งใจแล้วพูดว่า ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวสักพักฉันจะรีบกลับบ้าน”
“โอเค”
เย่ฉ่าวเฉินวางสายโทรศัพท์แล้วกลับเข้าไปที่ห้อง เห็นเฉียวซินโยวนั่งดูทีวีด้วยท่าทางที่สบาย เมื่อเธอเห็นเขาเข้ามาก็ยื่นแก้วไวน์ให้ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “คุณบอกว่าอยู่กับฉันในวันเกิด แต่คุณยังรับโทรศัพท์ใครก็ไม่รู้ ไม่ได้ อย่างนี้คุณต้องโดนทำโทษกินก่อนสามแก้ว ”
เย่ฉ่าวเฉินฟังเธอพูดจบ เขาคิดว่ายังไงวันนี้ก็เป็นวันเกิดของเธอเขาดื่มก็ได้ เขาหยิบแก้วไวน์มาดื่มติดต่อกันรวดเดียวสามแก้ว
เมื่อเห็นแอลกอฮอล์ค่อยๆไหลลงปากของเขาไป เฉียวซินโยวก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก ไวน์ที่เธอใส่ยานอนหลับลงไป รอสักพักเดียวยาก็ออกฤทธิ์ ยังไงวันนี้เย่ฉ่าวเฉินก็มิอาจรอดพ้นจากเธอไปได้
เพียงแค่คนสองคนมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งต่อกัน ยังไงเธอก็มีแต้มเหนือกว่าเห็นๆ พอถึงเวลานั้นเธอไม่เชื่อว่าจะไม่มีวิธีไหนที่กำจัดสามารถกำจัดมู่เวยเวยได้อย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรเธอก็ผู้หญิงคนแรกของเย่ฉ่าวเฉิน เมื่อเทียบกับผู้หญิงมือสองอย่างมู่เวยเวย ถึงเวลานั้นเย่ฉ่าวเฉินก็ต้องเลือกเธออย่างแน่นอน!
เธอเคยตรวจสอบว่ายาจะออกฤทธิ์ประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อให้ไม่มีอะไรผิดพลาดตอนนี้เธอคิดหาวิธีต่างๆมาเอนเตอร์เทนเย่ฉ่าวเฉิน
” เย่ฉ่าวเฉิน พวกเรามาเต้นรำกันเถอะ ”
เฉียวซินโยวนึกขึ้นได้ว่ามีอุปกรณ์เครื่องเสียงครบชุดในห้อง หลังจากที่เธอก้าวไปเปิดเครื่องเสียง เสียงไวโอลินไพเราะก็ค่อยๆดังออกมา
เย่ฉ่าวเฉินมองดูนาฬิกาที่ข้อมือก็พบว่าเป็นเวลาประมาณสามทุ่ม เขาคิดว่าจะรีบกลับหลังสี่ทุ่ม ไม่รู้เป็นอะไรหลังจากที่คิดว่ามู่เวยเวยอยู่ที่บ้านแล้ว ก็ยิ่งอยากรีบกลับไป
” โอเค ”
เย่ฉ่าวเฉินยื่นมือไปโอบที่เอวของเฉียวซินโยว และทั้งสองก็เต้นรำไปตามทำนองเพลง แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาในห้องยิ่งช่วยเพิ่มบรรยากาศให้ดูเป็นใจมากยิ่งขึ้น
สาเหตุที่เธอไม่เปิดไฟเพราะเธอเคยได้ยินมาว่า ตอนที่เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกัน สภาพของห้องตอนนั้นก็เป็นเหมือนตอนนี้ เธอกลัวว่าเปิดไฟจะดึงดูดให้เขาสงสัย……