หลังจากห้องข้างๆเงียบลงแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็มาปรากฏตัวที่ห้องผู้ป่วยของเย่ฉ่าวเหยียนอีกครั้ง
“พี่กลับไปเถอะ ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก พรุ่งนี้ก็น่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินยังไม่สบายใจ “เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน”
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มอย่างขมขื่น “พี่ผมไม่ใช่เด็กแล้ว ไม่ต้องให้คนมาอยู่เป็นเพื่อน พี่กลับไปเถอะ”
เย่ฉ่าวเฉินเงียบไปฟักใหญ่ แล้วพูด “งั้นก็ได้ พี่จะให้จางเห่ออยู่ที่นี่ ถ้ามีอะไรก็เรียกใช้เขาได้”
“ครับ รู้แล้ว”
…..
ท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิท เย่ฉ่าวเหยียนนวดขมับลงจากเตียงไปดันประตูห้องข้างๆเปิดออก
“คุณไม่สบายตรงไหน ทำไมสีหน้าไม่ดีเลย” เสียงของเย่ฉ่าวเหยียนดังขึ้น
มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้น แล้วเห็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของเธอ
“ฉ่าวเหยียน ขอบคุณที่ช่วยฉัน” มู่เวยเวยรู้ว่าถ้าไม่ได้เขาช่วยไว้ ครั้งนี้เธอต้องไปหาพระเจ้าแล้วแน่
เน่ฉ่าวเหยียนนั่งเก้าอี้ข้างหน้าต่าง ยิ้มเบาๆและพูด “ไม่เป็นไร รอบที่แล้วคุณก็ช่วยผมไม่ใช่หรอ ขอคุณเป็นอะไร”
มู่เวยเวยนวดข้อเท้าที่เริ่มบวมของเธอ แล้วตอบอย่างสลด “เมื่อกี้โดนเฉียวซินโยวผลัก ข้อเท้าแพลงเลย”
เย่ฉ่าวเหยียนหันไปบอกบอดี้การ์ดข้างๆ “ไปเรียกหมอมาดู”
เมื่อบอดี้การ์ดออกไป มู่เวยเวยก็นึกถึงประโยคที่เขาพูดกับเย่ฉ่าวเฉินได้จึงขมวดคิ้วถาม “ฉ่าวเหยียน ตอนนั้นคุณเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วหรอ”
เย่ฉ่าวเหยียนพยักหน้า “เห็นแล้ว”
ตอนนั้นเขายืนอยู่ไม่ไกล เฉียวซินโยวผลักเธอยังไง รถมาจากไหน เขาเห็นได้อย่างชัดเจน
มู่เวยเวยอึ้ง และสงสัยมากขึ้น “ในเมื่อเห็นแล้วทำไมคุณไม่บอกเย่ฉ่าวเฉิน แต่กลับช่วยเฉียวซินโยวปิดบังแทน”
เย่ฉ่าวเหยียนยกมือสองข้างขึ้นนวดขมับของเธอให้คลายอารมณ์ลง แล้วมองไปที่จางเห่อที่ยืนอยู่หน้าประตู ก่อนจะกระซิบตอบ “คุณโง่ไง คุณคิดว่าเรื่องนี้จะสามารถเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของเฉียวซินโยวได้รึไง”
“ห๊ะ คุณไม่ได้เป็นฝั่งเฉียวซินโยวหรอ”
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้ม “ผมจะไปเกลือกลั้วกับคนแบบนั้นได้ยังไง คุณดูถูกผมเกินไปแล้ว”
มู่เวยเวยตื่นเต้นขึ้นมาทันที เธอเขยิบก้นไปข้างเตียง แล้วถาม “เมื่อกี้คุณหมายความว่าไง คุณก็ไม่ชอบเฉียวซินโยวเหมือนกันหรอ”
“ใช่น่ะสิ แต่เวยเวยตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา วางใจเถอะ เธอจะชูคอได้อีกไม่นาน ถึงเวลาผมจะทำให้เธอรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำไปเลย”
มู่เวยเวยรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ จนตาแดงรื้นน้ำตาขึ้นมา เธอไม่ได้รับความรู้สึกเป็นห่วงจากเพื่อนแบบนี้มานานแล้ว
เย่ฉ่าวเหยียนเห็นน้ำตารื้นขอบตาเธออยู่ก็ถามอย่างขำๆ “ร้องไห้ทำไม”
มู่เวยเวยเช็ดน้ำตาออก แล้วตอบตาใส “ไม่มีอะไร ฉันแค่รู้สึกซาบซึ้ง ขอบคุณมากนะฉ่าวเหยียน”
“เธอไม่ต้องเกรงใจฉันขนาดนั้น”
มู่เวยเวยถอนหายใจ แล้วตอบ “ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ฉันไม่เหมือนคนเดิมแล้ว”
เย่ฉ่าวเหยียนถามอย่างแปลกใจ “มีอะไรไม่เหมือนกัน”
มู่เวยเวยตอบอย่างหมดหนทาง “เมื่อก่อนฉันไม่ต้องกังวลอะไร มีพ่อแม่รักและใส่ใจ มีพี่ชายคอยสนับสนุน ฉันอ่านหนังสือที่ได้ เข้าเรียนกับคนที่ชอบ ชีวิตช่างเรียบง่ายและสวยงาม แต่ว่าตอนนี้พ่อแม่ได้จากโลกไปแล้ว พี่ชายก็หายสาบสูญ แฟนก็นอกใจ แม้แต่เพื่อนรักของฉันก็ต้องการเอาชีวิตฉัน และตัวฉันก็ค่อยๆเปลี่ยนไปไม่เป็นตัวเอง ฉันกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ โหดร้ายทารุณ….”
เย่ฉ่าวเหยียนขัดจังหวะคำพูดเธอ “โหดร้ายทารุณหรอ เวยเวยเธออย่าเอาสิ่งที่เฉียวซินโยวเป็นมาใส่ตัวเอง ที่เธอเปลี่ยนเป็นแบบนี้เพราะโดนบีบ หรือเธอยังอยากเป็นคนใส่ซื่อให้คนอื่นเหยียบย่ำเหมือนเมือก่อนอีก ทุกคนย่อมเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งตามสภาพแวดล้อม แต่ฉันเชื่อว่าไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนเป็นยังไง จิตใจของเธอก็เป็นคนดี”
เมื่อเย่ฉ่าวเหยียนได้ฟังเธอบรรยาย เขาก็รู้สึกกระตุกใจขึ้นมา ตัวเขาเองก็เป็นแบบนี้เช่นกัน จากคุณชายที่มีแต่ความสดใส คิดบวก เปลี่ยนเป็นคนเจ้าวางแผนใส่ผู้ชายของคนอื่น
มู่เวยเวยได้ยินคำปลอบของเขาก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้น
ทันใดนั้น หมอก็เข้ามาตรวจขาของเธอ เธอเจ็บจนต้องกัดริมฝีปากแน่น น้ำตาเช็ดแล้วก็ไหลออกมาไม่หยุด
“ข้อเท้าพลิกครับ ผมสั่งยากระตุ้นการไหลเวียนเลือดแล้ว อีกไม่กี่วันก็เดินได้” หมอบอก
ยากระตุ้นการไหลเวียนเลือดหรอ มู่เวยเวยตกใจคิดถึงเด็กที่อยู่ในท้องทันที จึงรีบพูด “หมอคะเปลี่ยนยาได้มั้ย ฉันท้องอยู่ ถ้าใช้ยานั้นฉันกลัวแท้ง”
หมอตกใจ มองรูปร่างของเธออย่างละเอียด “คุณมู่ท้องจริงๆหรอครับ”
มู่เวยเวยพยักหน้า “ค่ะ ตรวจครั้งที่แล้วบอกว่าท้องสองเดือนแล้วค่ะ”
หมอขมวดคิ้วถาม “คุณปวดท้องมั้ย”
มู่เวยเวยลองจับตรงท้องดู “ไม่ปวดค่ะ”
“นี่อันตรายแล้วนะครับ คุณเพิ่งออกกำลังอย่างหนักมา แต่กลับไม่รู้สึกอะไร ตอนท้องสามเดือนแรกแท้งได้ง่ายมากนะ และสภาพคุณตอนนี้ก็ไม่ได้เหมือนคนท้องเลย” หมอเหลือบมองอีกครั้ง และแนะนำตามที่คิด “คุณมู่ เพื่อความสบายใจ ผมแนะนำให้คุณอัลตราซาวน์อีกครั้ง”
สายตาของมู่เวยเวยเปล่งประกายขึ้นมา “หมอหมายความว่าฉันอาจจะไม่ท้องใช่มั้ยคะ”
“นี่เป็นแค่การคาดเดาของผม อัลตราซาวน์ดูก่อนค่อยว่ากันอีกที”
มู่เวยเวยลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างตื่นเต้น “ได้ค่ะ ฉันจะไปตรวจเดี๋ยวนี้”
เธอดีใจแทบบ้า เธอไม่ต้องการเด็กคนนี้จริงๆ ตอนที่เธอรู้ว่าพ่อของเด็กคนนี้คือหนานกงเฮ่า เธอก็ไม่คิดจะเก็บเด็กคนนี้ไว้ นี่เป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด และคำโกหก
เย่ฉ่าวเหยียนจับแขนเธอให้นั่งลงบนเตียงผู้ป่วยก่อน “สภาพอย่างนี้เธอจะไปตรวจได้ยังไง นอนลงดีๆเถอะ” จากนั้นเขาก็บอกหมอว่า “ไปเอาเครื่องอัลตราซาวน์ของพวกคุณมาตรวจที่นี่”
หมอรู้ว่าผู้ชายคนนี้คือใคร และก็รู้ว่ามู่เวยเวยคือใคร ดังนั้นคำส่งนี้เขาจึงต้องทำตาม
เย่ฉ่าวเหยียนส่งขวดน้ำขวดใหญ่ให้เธอและพูด “ดื่มน้ำหน่อย”
มู่เวยเวยดื่มน้ำ “อึกๆ” ไม่พูดไม่จาจนหมด จากนั้นก็เทน้ำอีกแก้วใหญ่มาดื่มอีกอย่างกลัวจะดื่มน้ำไม่เพียงพอ
เย่ฉ่าวเหยียนนับถือเธอจริงๆ “เธอไม่อยากได้เด็กคนนี้ขนาดนี้เลยหรอ”
มู่เวยเวยวางแก้วลงบนโต๊ะ ใบหน้าแสดงความเจ็บปวดออกมา และพูดอย่างขมขื่น “ฉ่าวเหยียน ฉันมีเขาไม่ได้ ฉันยังดูแลตัวเองไม่ได้ ฉันให้ชีวิตที่มั่นคงกับเขาไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่ควรทำให้เขามาลืมตาดูโลก”
“เธอก็ให้พ่อของเด็กรับผิดชอบสิ” เย่ฉ่าวเหยียนพูดอย่างมีเหตุผล
แต่มู่เวยเวยก็ส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ “ไม่ ชาตินี้ทั้งชาติฉันจะไม่มีวันไปหาเขา นี่เป็นลูกของฉัน ฉันมีสิทธิ์ตัดสินว่าเขาจะอยู่หรือไป”
เมื่อเย่แ่าวเหยียนเห็นสีหน้ามุ่งมั่นของเธอก็ได้แต่พูดในใจว่า โอเค
หลังจากนั้นสองนาที มู่เวยเวยก็พูดกับหมอวัยกลางคนว่า “เสร็จแล้วค่ะ มาเลย”
ของเหลวเย็นๆไหลบนท้องน้อยของเธอ ขณะที่มู่เวยเวยก็จ้องจอด้วยความตึงเครียด แม้เธอจะดูไม่เข้าใจเลยก็ตาม
ประมาณหนึ่งนาที หมอวัยกลางคนก็พูดว่า “คุณไม่ได้ท้อง”
“จริงหรอคะ ฉันไม่ได้ท้องจริงๆหรอ” มู่เวยเวยลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างตื่นเต้นดีใจ นี่เป็นเรื่องที่ดีที่สุดท่ามกลางช่วงอันมืดมิดของเธอ
หมอมองเธอหลังจากเก็บเครื่องอัลตราซาวน์เสร็จแล้วก็ตอบว่า “ผมเป็นหมอมายี่สิบกว่าปี ท้องหรือไม่ท้องผมดูออก”
มู่เวยเวยยิ้มตอบอย่างอายๆ “ขอบคุณค่ะ”
จางเห่อที่ยืนหน้าประตูห้องผู้ป่วยได้ยินจึงโทรรายงานให้เย่ฉ่าวเฉินรู้
หลายนาทีก่อน เย่ฉ่าวเฉินนั่งตรวจเอกสารที่ห้องหนังสือชั้นสาม
“ฉ่าวเฉินพักผ่อนได้แล้วค่ะ” เฉียวซินโยวเปิดประตูห้องหนังสือเข้าไป เธอสวมชุดนอนผ้าซีทรูสายเดี่ยวสีดำ อวดหุ่นสวยๆของเธอ
เธอเดินนวยนาดไปตรงหน้าเย่ฉ่าวเฉิน และเขี่ยไหล่ของเขาอย่างเย้ายวน
เย่ฉ่าวเฉินดึงมือเธอออก “ซินโยวอย่าเพิ่งกวน งานผมยังไม่เสร็จ”
เฉียวซฺนโยวเข้าไปออดอ้อนในอ้อมแขนของเขา “งานทำยังไงก็ไม่เสร็จหรอกค่ะ ถือว่าเป็นของขวัยวันเกิดให้ฉันได้มั้ยคะ”
ในขณะที่เะอกำลังบรรลุตามเป้าหมาย เสียงโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขึ้น
เฉียวซินโยวหยิบโทรศัพท์กำลังจะวางสาย แต่เย่ฉ่าวเฉินก็ยื่นมือมาแย่งไป
เธอกัดใบหูเขาเบาๆ “ไม่ต้องรับได้มั้ยคะ”
“ไม่ได้ สายของจางเห่อ ไม่แน่อาจเกิดอะไรขึ้นกับฉ่าวเหยียนก็ได้ อย่าดื้อ” เย่ฉ่าวเฉินตบก้นเธอเบาๆ “ลงไป”
เฉียวซินโยวไม่กล้าปฏิเสธ แต่สิ่งที่ทำให้เธอโมโหก็คือ แม้ว่าเธอจะเล้าโลมเขาขนาดไหน เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย
“จางเห่อมีอะไร” เย่ฉ่าวเฉินเอามือขึ้นมาแตะปิดริมฝีปากเฉียวซินโยวไว้
“คุณชายเมื่อกี้นายหญิงตรวจอัลตราซาวน์มา ผลปรากฏว่านายหญิงไม่ได้ท้อง”
มือของเย่ฉ่าวเฉินชะงักไป เขาคิดว่าตัวเองหูฝาด “อะไรนะ”
“คุณชายนายหญิงไม่ได้ท้อง รอบที่แล้วที่บอกว่าท้องสองเดือนไม่ใช่เรื่องจริง”
เฉียวซินโยวยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินคำว่า ‘ไม่ได้ท้อง’ แว่วมา ใจเธอก็กระตุกทันที หรือว่าเรื่องมู่เวยเวยไม่ท้องจะถูกตรวจออกมาแล้ว
“ฉันรู้แล้ว” เย่ฉ่าวเฉินวางสายด้วยความอึ้งไปชั่วขณะ
ไม่ได้ท้องหรอ
รอบที่แล้วบอกว่าท้องสองเดือนกว่าแล้วไม่ใช่หรอ เพราะอย่างนี้เขาถึงได้ลงโทษเธออย่างรุนแรง จนเกือบทำให้เธอจมน้ำสระว่ายน้ำตาย….
แต่ตอนนี้กลับบอกเขาว่าไม่ได้ท้อง
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกจุกในใจและรู้สึกผิด ทำไมเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ถึงได้เกินการควบคุมของเขา และทุกอย่างก็มักจะมีผลออกมากลับตาลปัตรกับที่เขาตัดสินใจเสมอ
“ฉ่าวเฉิน….” เฉียวซินโยวกลัวว่าเขาจะคิดมากเกินไป จึงขัดจังหวะความคิดของเขา
ความปรารถนาในตัวของเย่ฉ่าวเฉินหายไปจนหมดสิ้น “ซินโยวคุณออกไปเถอะ”
เฉียวซินโยวแอบวิตกใจ เธอพูดเสียงออดอ้อน “ฉ่าวเฉิน…”
“ออกไป!” เย่ฉ่าวเฉินพูดเสียงต่ำ
เขาต้องคิดดีๆว่ามีปัญหาตรงไหนกันแน่
เฉียวซินโยวไม่กล้าอยู่ต่อ รีบก้าวช้าๆออกไปจากห้องทันที
“เดี๋ยว” เสียงของเย่ฉ่าวเฉินดังมาจากข้างหลัง เฉียวซินโยวรีบหันกลับไปทันทีอย่างตื่นเต้น แต่กลับได้ยินเสียงเย็นชาของเขาว่า “คราวหน้าถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากผม ห้ามเข้ามาในห้องนี้อีก”
“ค่ะ ฉันรู้แล้ว” เฉียวซินโยวพยายามทำตัวเป็นผู้หญิงที่จิตใจดี ทั้งๆที่ในใจโกรธอย่างถึงที่สุด นับวันเย่ฉ่าวเฉินก็ยิ่งระแวงในตัวเธอมากขึ้น ดังนั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องคิดเผื่อเขามากขนาดนั้นแล้ว
เธอคิดถึงวิธีที่หนานกงเฮ่าบอกเธอคราวก่อน ตอนนั้นเธอกลัวว่าจะกระทบต่อชื่อเสียงของเย่ฉ่าวเฉิน และก็กลัวว่าตัวเองจะถูกหาว่าเป็นมือที่สาม แต่ตอนนี้เธอคิดดูดีๆ แล้วมันจะเกี่ยวอะไรกัน ขอแค่ให้เธอได้เป็นคุณนายตระกูลเย่ เสียงก่นด่าพวกนั้นก็จะถูกลืมไปเองตามกาลเวลา
ในห้องหนังสือ เย่ฉ่าวเฉินจุดบุหรี่ขึ้นมาดูด ปกติแล้วเขาจะไม่สูบบุหรี่ และไม่ได้ติด มีแค่ตอนโกรธจัดหรือหดหู่มากเท่านั้นที่จะสูบเพื่อให้ตัวเองสงบลง
มู่เวยเวยไม่ได้ท้อง แต่ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับเขาเธอเคยมีอะไรกับแฟนเก่าของเธอแล้วแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นแม้เธอจะไม่ได้ท้อง แต่ก็ร่านอย่างไม่มีข้อกังขา
แต่ถึงแม้เย่ฉ่าวเฉินจะปลอบตัวเองอย่างนั้น เขาก็ยังไม่รู้สึกสบายใจ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
เช้าตรู่ เย่ฉ่าวเฉินตื่นนอน อาบน้ำเตรียมจะไปรับมู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเหยียนที่โรงพยาบาล แต่เพิ่งจะเดินไปถึงหน้าประตู รถของเย่ฉ่าวเหยียนก็ขับเข้ามา
“พี่บอกว่าจะไปรับไง ทำไมกลับมาเอง” เย่ฉ่าวเฉินพูดกับน้องชาย
เย่ฉ่าวเหยียนเปิดประตูหลัง พยุงมู่เวยเวยออกมา พร้อมตอบไปด้วยว่า “พี่ผมไม่เป็นไร……เดินช้าๆ……”
มู่เวยเวยลงมาจากรถ ขาข้างหนึ่งเขย่งไว้ และไม่ได้ใส่รองเท้า “ขอบใจ”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วมองเท้าของเธอ แล้วถามเสียงเย็นชา “ขาเป็นอะไร”
มู่เวยเวยยืนขาเดียวพิงน้ำหนักทั้งหมดไว้กับแขนของเย่ฉ่าวเหยียน สายตาเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย “ขาแพลงค่ะ แต่เบากว่ากระดูกหักรอบก่อนมาก”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกไม่สบายใจมาก เมื่อได้ยินคำตอบของเธอ “มู่เวยเวยพูดปกติไม่ได้หรอ”
“ฉันพูดความจริงนะคะ”
เฉียวซินโยวมองทั้งคู่อย่างเย็นชา เมื่อวานเธอพอใจทั้งคืน คิดว่าเย่ฉ่าวเหยียนจะอยู่ข้างเธอ คิดไม่ถึงว่าพอเช้ามา จะเห็นเขาและมู่เวยเวยมาพร้อมกัน มันทำให้เธอรู้สึกไม่ยุติธรรมเป็นอย่างมาก ทำไมผู้ชายพวกนี้เอาแต่ล้อมหน้าล้อมหลังมู่เวยเวย
“ความสัมพันธ์ของฉ่าวเหยียนกับเวยเวยดีจริงๆ เดี๋ยวพูดเดี๋ยวหัวเราะ คนที่รู้จักก็ว่าเป็นพี่สะใภ้กับน้องชาย คนที่ไม่รู้ก็คิดว่าเป็น…..” เมื่อเห็นท่าทางของเย่ฉ่าวเฉินเย็นชาขึ้น เฉียวซินโยวก็แกล้งทำเป็นว่าพูดผิด และรีบพูดว่า “ขอโทษ ฉันล้อเล่น”
คิดว่าอะไร คิดว่าคู่รักหรอ
มู่เวยเวยจ้องเฉียวซินโยวเขม็ง ผู้หญิงคนนี้หาเรื่องให้เธอได้ทุกที่ทุกเวลาจริงๆ
เย่แ่าวเหยียนไม่ได้พูดดีขนาดนั้น เขามองเธออย่างเย็นชาและพูด “ครั้งที่แล้วพี่สะใภ้ช่วยผม ครั้งนี้ผมช่วยพี่สะใภ้ ความสัมพันธ์ของเราจะดีก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก หรือว่าคุณซินโยวอยากให้ผมกับพี่สะใภ้ทะเลาะกัน ให้พี่ชายผมปวดหัวทุกวันหรอ”
เฉียวซินโยวสะอึกอย่างตกใจ เธอรีบพูดแก้ “ฉ่าวเหยียนฉันแค่พูดเล่นเอง อย่าจริงจังสิ”
เย่ฉ่าวเหยียบตวัดตาสีดำไปมองเย่ฉ่าวเฉิน แล้วพูดอย่างโกรธ “ถ้าคนพูดไม่ได้ตั้งใจ แต่คนฟังเค้าคิด เรื่องนี้คุณซินโยวระวังหน่อย”
เย่ฉ่าวเฉินหันหน้าไปดุเฉียวซินโยว “คราวหน้าผมไม่อยากได้ยินอะไรแบบนี้อีก”
เฉียวซินโยวกัดปาก “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ คราวหน้าจะไม่พูดอีกแล้ว”
เมื่อเห็นเฉียวซินโยวหงอลง มู่เวยเวยก็พอใจมาก โอ้ กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นถึงตัวจริงๆ
แต่เธอก็ไม่อยากมีปัญหาเพิ่ม ใครจะไปรู้คนไบโพล่าอย่างเอาอาจเอาคำพูดเฉียวซินโยวมาใส่ใจก็ได้ เดี๋ยวเขาก็มาหาเรื่องเธออีก เธอจึงตะโกนเข้าไปในบ้านว่า “ฉินหม่า เอาไม้เท้าที่ฉันใช้ครั้งที่แล้วมาหน่อย”
เสียงของฉินหม่าดังมาจากไกลๆ “ค่ะ คุณหนูรอสักครู่นะคะ”
“กินข้าวกันเถอะ” เสียงเย็นชาของเย่ฉ่าวเฉินดังขึ้น
เย่ฉ่าวเหยียนพูดกับเขาที่กำลังจะไป “พี่ไม่มาพยุงพี่สะใภ้หรอ”
เย่ฉ่าวเฉินชะงักกึก พยุงเธอหรอ ในใจลึกๆของเขารู้สึก….
มู่เวยเวยตกใจกับคำพูดของเย่ฉ่าวเหยียนมาก รีบพูดปฏิเสธว่า “ไม่ต้องพยุง ฉันเดินไปเองได้”
น่าขำ ถ้าเขาประสาทกลับผลักเธอล้มจะทำยังไง
หมาบ้าเป็นแบบนี้แหละ
เย่ฉ่าวเฉินได้ยินคำพูดของเธอสายตาของเขาก็เย็นชาขึ้นมาก ความรู้สึกที่มีในใจหายไปในทันที พลางก้าวเท้าเดินไปทางห้องกินข้าว
มู่เวยเวยถอนหายใจ มองไปทางเย่ฉ่าวเหยียนแล้วพูดเสียงต่ำ “คุณจะฆ่ากันรึไง”
เย่ฉ่าวเหยียนหัวเราะและตอบชิลๆ “เปล่า ฉันเป็นห่วงเธอ”
“เป็นห่วงฉันก็อย่าพูดถึงฉันต่อหน้าเขา นี่เป็นความเป็นห่วงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด”
เย่ฉ่าวเหยียนยกมือขึ้นยอมๆ “โอเคๆ เธอก็กลัวเขาเกินไปแล้ว”
สีหน้าของมู่เวยเวยดำดิ่งลง เธอมองตามร่างของเขาแล้วตอบช้าๆ “คุณไม่เข้าใจว่าเขาอำมหิตขนาดไหน”
ความอำมหิตนั้นสามารถทำให้คนคนนึงหมดความภาคภูมิใจในตัวเอง สูญเสียความคาดหวังทั้งหมดในชีวิต เพียงแค่คำพูดคำเดียว มู่เวยเวยก็เป็นอยู่เช่นกัน
เย่ฉ่าวเหยียนค่อยๆหุบยิ้ม เขาแอบคิดในใจว่า เขาเป็นพี่ชายของฉัน ฉันต้องรู้ถึงความอำมหิตของเขาอยู่แล้ว
ฉินหม่าเอาไม้เท้ามาให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยุงเธอไปห้องอาหาร
ขาเธอเจ็บจึงไม่สามารถไปบริษัทได้ มู่เวยเวยคิดถึงเอกสารที่เธอให้เย่ฉ่าวเฉินเมื่อวานขึ้นมา เหอเหม่ยหลิงบอกว่าวันนี้ต้องใช้ เดี๋ยวเธอต้องโทรหาเหอเหม่ยหลิงให้คนอื่นไปเอาแทน และแบบนิตยสารแฟชั่น เธอก็ต้องรีบทำให้เสร็ในไม่กี่วันด้วย
…..
ระหว่างกินข้าว เสียงโทรศัพท์ของเฉัยวซินโยวดังขึ้น เมื่อเธอหยิบขึ้นมาดู ก็รีบลบทันทีด้วยมือสั่นๆ
เมื่อถึงร้านกาแฟที่นัด เฉียวซินโยวก็ถอดแว่นกันแดดสีดำออก และพูดอย่างไม่พอใจ “คุณไม่ต้องโทรหาฉันตอนเช้าได้มั้ย มันอันตรายเกินไป”
หนานกงเฮ่าบีบแขนเธออย่างแรงด้วยความโกรธ และจ้องเธอเขม็งพูด “ทำร้ายมู่เวยเวยทำไม ฉันบอกเธอแล้วว่าอย่าทำอะไรเธอ อย่าทำอะไรเธอ แต่เธอกลับจะเอารถชนมู่เวยเวย”
ตอนที่รู้ข่าวเมื่อเช้าเขาโกรธจนจานแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาไม่สนใจว่าเรื่องจะแตกมั้ย เขาต้องการถามผู้หญิงคนนี้ให้เคลียร์ๆเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะต้องร่วมงานกับเธอต่อ ป่านนี้เข้าบีบคอเธอให้ตายไปแล้ว
เฉียวซินโยวสลัดมือเขาออก พร้อมพูดอย่างโกรธๆ “มันเป็นแค่อุบัติเหตุ แถมเธอก็ไม่ได้ตายไม่ใช่หรอ คุณถึงกับต้องเรียกฉันมาแต่เช้าเลยรึไง”
“เฉียวซินโยวฉันหวังว่าเธอจะไม่ลืมว่าจุดประสงค์ที่เราทำงานด้วยกันคืออะไร เธอเอาเย่ฉ่าวเฉิน ส่วนฉันได้มู่เวยเวย ถ้าฉันรู้ว่าเธอฆ่ามู่เวยเวยอีก ฉันจะไม่ปล่อยเธอไปแน่”
เฉียวซินโยวเบะปากพูด “หนานกงเฮ่าคุณให้ฉันทำอยู่คนเดียว แล้วคุณล่ะทำอะไรบ้าง”
หนานกงเฮ่าหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าเสื้อ บนนามบัตรมีแค่เบอร์โทรศัพท์ไว้ “ฉันว่าจากวิธีกับรูปลักษณ์ของคุณแล้ว คงยากที่จะได้เย่ฉ่าวเฉินมา เธอไปหาคนคนนี้ เธอจะให้ในสิ่งที่เธอต้องการ ครั้งนี้ฉันว่าเธอทำตามแผนรอบที่แล้วดีสุด”
เฉียวซินโยวรับนามบัตรนั้นมาเมมเบอร์ไว้ในโทรศัพท์ จากนั้นก็ฉีกกระดาษทิ้งลงถังขยะ เธอพูดด้วยสีหน้ามุ่งร้าย “ครั้งนี้ฉันต้องแย่งเย่ฉ่าวเฉินมาให้ได้”
……….
บริษัทเย่ฮวางอินเตอร์แนชั่นแนล
เย่ฉ่าวเฉินวุ่นวายใจทั้งวัน สมองคิดถึงคำพูดที่เฉียวซินโยวพูดเมื่อเช้าอยู่ตลอด แม้จะพูดอย่างไม่ตั้งใจ แต่มันก็จุดประกายในใจของเขา
เขาไม่ได้กังวลว่าเย่ฉ่าวเหยียนจะทำอะไร แต่เขาไม่ไว้ใจมู่เวยเวย เธออ่อยผู้ชายไปทั่ว ฉ่าวเหยียนยังไม่เคยมีแฟนมาก่อน ถ้าเกิด….
เมื่อคิดถึงตรงนี้เย่ฉ่าวเฉินก็โทรไปที่บ้านอีกครั้ง
“อาหวังมู่เวยเวยทำอะไรอยู่”
อาหวังรู้สึกแปลกใจ ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งที่สี่แล้วที่เย่ฉ่าวเฉินโทรมาถามว่ามู่เวยเวยทำอะไรอยู่ ครั้งแรกเขาคิดว่าคุณชายจะเป็นห่วงมู่เวยเวย แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าคุณชายกำลังจัดตามองคุณหนูอยู่
“คุณชาย คุณหนูวาดรูปอยู่ในสวนดอกไม้ครับ”
ตอบเหมือนกับครั้งที่แล้ว เย่ฉ่าวเฉินถามอีกว่า “ฉ่าวเหยียนล่ะ ยังอยู่ในห้องรึเปล่า”
“คุณชายรองเพิ่งเรียกรถมา บอกว่าจะไปซื้อของที่ซุปเปอร์ครับ”
เฉียวซินโยวนั่งเปิดนิตยสารแฟชั่นไปมาอย่างเบื่อหน่าย เมื่อถึงเวลาก็เก็บของขึ้นไปห้องผู้บริหาร โดยคิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอกับประตูที่ปิดสนิท
เธอเคาะประตูกี่ครั้งก็ไม่ได้รับเสียงตอบรับ
หรือเขาจะกลับก่อนแล้ว ไม่มีทางหรอก เย่ฉ่าวเฉินเป็นคนบ้างาน เขาทำงานล่วงเวลาตลอด น้อยครั้งมากที่จะกลับบ้านก่อนเวลา แถมเขาก็ไม่ได้โทรหาเธอด้วย
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง เธอก็เคาะประตูต่อไป
“คุณเฉียวเธอมาหาท่านประธานมีธุระอะไรรึเปล่า” เลขาหลิวถามเสียงเย็น
เฉียวซินโยวกรอกตา แล้วปั้นยิ้มออกมา “ใช่ ไม่ทราบว่าท่านประธานอยู่มั้ยคะ”
เลขาหลิวยังสีหน้าเย็นชาไม่เปลี่ยน “ท่านประธานมีธุระเลยกลับไปก่อนแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันบอกให้”
เฉียวซินโยวรีบโบกมือ “ไม่ต้อง พรุ่งนี้ฉันมาหาเขาเอง”
เมื่อมาถึงชั้นล่าง เฉียวซินโยวก็โทรหาเขาด้วยความโกรธ แต่ก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “ฉ่าวเฉินคุณอยู่ไหนคะ ฉันรอกลับบ้านกับคุณ”
เย่ฉ่าวเฉินเพิ่งขับรถถึงบ้าน “ไม่ต้องรอ ผมอยู่บ้านแล้ว คุณนั่งรถกลับมาเองแล้วกัน”
พูดตามจริง เขาลืมไปว่าข้างล่างยังมีเฉียวซินโยว
“โอเคค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ….”
เมื่อเข้ามาในบ้าน เย่ฉ่าวเฉินก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาเป็นพักๆจากชั้นสอง ทำให้สีหน้าเขาเข้มขึ้นทันที
อาหวังเห็นสีหน้าของเขาก็บอกเสียงเบา “คุณชายรองเพิ่งกลับมา…”
เย่ฉ่าวเฉินก้าวขึ้นไปชั้นสอง โดยที่อาหวังได้แต่ส่ายหน้าตาม จบแล้วๆ คุณหนูโดนลงโทษอีกแน่
ภายในห้อง มู่เวยเวยถือถ้วยโยเกิร์ตยิ้มๆ เย่ฉ่าวเหยียนนั่งอยู่บนโซฟาก้มหน้ามองงานออกแบบ “รูปนี้ไม่เลวเลย ภายใต้ความทันสมัยยังมีกลิ่นอายความคลาสสิกอยู่ ทำให้คนที่เห็นตื่นตาตื่นใจ”
“สายตาของนายดีมาก รูปนั้นเป็นรูปที่ฉันชอบที่สุดในวันนี้” มู่เวยเวยพูดอย่างพอใจ
เย่ฉ่าวเฉินมองภาพอันมีความสุขนี้ด้วยสายตาเย็นชาราวกับโดนอะไรแทงตา
เย่ฉ่าวเหยียนรู้สึกว่าโดนจ้องอยู่จึงเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะยกยิ้มบางๆ “พี่ใหญ่กลับมาแล้วหรอ”
มู่เวยเวยหุบยิ้มทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ทำไมวันนี้เขากลับมาเร็ว
เย่ฉ่าวเฉินสอดมือไว้ในกางเกงค่อยๆเดินเข้ามาแล้วมองรูปในมือของน้องชาย ก่อนจะพูดด้วยความเย็นชา “คุณอะไรกันถึงได้มีความสุขขนาดนี้”
เย่ฉ่าวเหยียนยกรูปวาดในมือขึ้นและพูดว่า “อ๋อ ผมไปซื้อของที่ซุปเปอร์ เลยเอาของมาให้พี่สะใภ้ และก็แวะดูงานออกแบบน่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินนั่งลงข้างๆเขา “ฉ่าวเหยียน พี่มีอะไรจะพูดกับเวยเวยหน่อย”
เย่ฉ่าวเหยียนรู้ตัวทันที เขาวางรูปไว้บนโต๊ะและพูด “คุณกันเลย ผมจะไปดูว่าทำอาหารเสรฺ็จรึยัง ผมหิวแล้ว”
ภายในห้องเงียบสงบ ได้ยินแต่เสียงพลิกดูภาพออกแบบของเย่ฉ่าวเฉิน
“แควก”
มู่เวยเวยเห็นการกระทำของเขาก็ลุกขึ้นมาทันที
“เย่ฉ่าวเฉินคุณวางงานออกแบบของฉันเดี๋ยวนี้”
เธอยืนด้วยขาข้างเดียว และยังไม่ทันยืนได้มั่นคงก็ถูกเย่ฉ่าวเฉินผลักให้ล้มลงบนพื้น
“แควก แควก” ภาพออกแบบห้าชิ้นในมือของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ จากนั้นก้โรยลงมาบนตัวของเธอราวกับหิมะ”
“เย่ฉ่าวเฉินวันนี้คุณไม่ได้กินยาหรอ นี่เป็นงานที่ฉันทำมาทั้งวัน” มู่เวยเวยลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วมองเขาอย่างโกรธเคือง
เย่ฉ่าวเฉินกอดอกมองเธอด้วยสายตาเย็นยะเยือก และพูดอย่างเย็นชา “ตอนเย่ฉ่าวเหยียนกลับมาวันแรกผมก็บอกคุณแล้วว่าอย่าไปอ่อยเขา ทำไมคุณไม่ฟัง”
ยิ่งมู่เวยเวยได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าวันนี้เขาไม่ได้กินยา แต่กินยาขี้ระแวงที่ฉินซินโยวป้อนให้เขา
“เย่ฉ่าวเฉินฉันไม่ได้อ่อยเย่ฉ่าวเหยียน พวกเราคุยกันปกติ ถ้าคุณไม่เชื่อจะไปถามเขาก็ได้”
“ตอนนี้ปกติ แล้วหลังจากนี้ล่ะ” เย่ฉ่าวเฉินเหยียบกระดาษบนพื้น ค่อยๆต้อนเธอจนเธอล้มลงบนเตียง
ชั้นล่าง เฉียวซินโยวเข้าบ้านมา และเตรียมจะขึ้นชั้นบน แต่ก็ถูกเย่ฉ่าวเหยียนรั้งไว้ก่อน
“ไฮ คุณเฉียวกลับมาแล้วหรอ”
เฉียวซินโยวคิดไม่ถึงว่าเย่ฉ่าวเหยียนจะทักทายเธอ จึงเดินเข้าไปด้วยความแปลกใจ “ฉ่าวเหยียน คุณก็อยู่บ้านหรอ”
เย่ฉ่าวเหยียนพลิกนิตยสารในมือ และพูดโดยไม่เงยหน้า “นี่เป็นบ้านของผมก็ต้องอยู่สิ”
เฉียวซินโยวไม่สนใจคำพูดเหน็บแนมในคำพูดของเขา เธอพูดตรงๆว่า “ฉันขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวจะมาคุยด้วย”
“ผมแนะนำว่าให้คุณนั่งรอตรงนี้ก่อน” สีหน้าของเย่ฉ่าวเหยียนเรียบเฉยมาก
“ทำไม”
เย่ฉ่าวเหยียนชี้ไปชั้นบน และส่งยิ้มแปลกๆออกมา “ฟังสิ”
เฉียวซินโยวนั่งฟังอย่างตั้งใจ ก่อนที่สีหน้าของเธอจะเปลี่ยนจากสงสัยเป็นตกใจ และเข้าใจในที่สุด และสุดท้ายเธอก็กัดฟันอย่างโกรธๆ….