หัวใจของเธอถูกความอิจฉาและความเกลียดชังเข้ากลืนกิน เธอคิดว่าที่เย่ฉ่าวเฉินกลับมาเพราะมีธุระบางอย่าง แต่แล้วที่เขากลับมาเร็วเพราะต้องการไปหามู่เวยเวยที่ห้อง
เย่ฉ่าวเหยียนเงยหน้าขึ้นมองเธอ เขายิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “คุณเฉียว คุณดูโกรธมากเลยนะครับ”
เฉียวซินโยวระงับความโกรธไว้ข้างใน ฝืนใจพูดขึ้น “ไม่หรอกค่ะ ฉันจะโกรธเรื่องอะไรคะ?”
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้ม เขาโยนนิตยสารลงบนโต๊ะ “ผมควรโกรธนะ สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมไปทำงานทำการเลย หยาบคายเกินไปแล้ว ในบ้านนี้ยังมีคนโสดนะ แบบนี้ไม่ทรมานคนโสดไปหน่อยเหรอ?” พูดจบเขาก็ไม่ได้หันไปมองเธอ แต่เดินตรงไปที่ห้องครัวและตะโกนว่า “ฉันหม่า อาหารพร้อมหรือยัง?”
ฉินหม่าโผล่หน้าออกมาจากห้องครัว เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “เรียบร้อยแล้วค่ะ แต่ต้องรอคุณชายใหญ่ก่อนนะคะ”
เย่ฉ่าวเหยียนนั่งลงบนเก้าอี้ พูดขึ้นอย่างเกียจคร้าน “ไม่ต้องรอ ยังไม่รู้ว่าจะยุ่งจนถึงเมื่อไหร่ ฉันหิวแล้ว”
“ได้ค่ะ ฉันจะจัดอาหารให้คุณชายรองนะคะ”
ไม่นานอาหารทั้งหมดก็ถูกจัดลงบนโต๊ะ เย่ฉ่าวเหยียนหันกลับไปมองใครบางคนที่ยังยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม “คุณเฉียว มาทานข้าวกันเถอะครับ”
สติของเฉียวซินโยวยังติดอยู่กับคำว่า ‘สามีภรรยา’ เธอเกลียดคำนี้ และอีกไม่นานเธอต้องให้เย่ฉ่าวเฉินเขียนชื่อเธอลงไปข้างๆ ว่า ‘เฉียวซินโยว’ สามคำนี้
เธอระงับความโกรธในใจไว้ เฉียวซินโยวนึกถึงเรื่องที่เย่ฉ่าวเหยียนช่วยเธอไว้เมื่อวาน เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ “ฉ่าวเหยียน เรื่องเมื่อวานนี้ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยพูดแทนฉัน”
ตะเกียบของเย่ฉ่าวเหยียนหยุดกลางคัน รอยยิ้มตื้นตันปรากฎขึ้นบนใบหน้าเขา “ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ แต่ถ้าในอนาคตผมมีเรื่องที่ต้องให้คุณเฉียวช่วย คุณก็อย่าปฏิเสธแล้วกัน”
เฉียวซินโยวประหลาดใจ “แน่นอนค่ะ ตราบใดที่คุณต้องการฉัน ฉันจะทำให้เต็มที่”
“โอเค งั้นก็ตามที่พูด”
เฉียวซินโยวเคยสงสัยว่าทำไมเย่ฉ่าวเหยียนถึงช่วยตัวเอง แท้จริงแล้วเพราะเขาก็มีเรื่องที่ต้องการจะขอ สิ่งนี้ทำให้เธอมีความสุขเมื่อมีคนให้จับมือด้วย สำหรับเย่ฉ่าวเหยียนที่เหมือนเป็นเกราะป้องกันให้เธอได้ไม่น้อย
……
สงครามบนชั้นสองยังไม่จบลงจนกระทั่งเวลาประมาณสี่ทุ่ม ก่อนหน้านี่ ที่ไม่มีใครไปรบกวน
ภายในห้องครัว ฉินหม่ายังคงเก็บโจ๊กเอาไว้ อาหารไม่กี่อย่างก็ถูกจัดเตรียมไว้ให้
ทั้งสองคนนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร ภายใต้แสงจันทร์นอกหน้าต่าง สำหรับเย่ฉ่าวเฉินนี่เป็นการรับประทานอาหารผู้ป่วยร้อนๆ เย็นๆ เป็นครั้งแรกของเขา
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เย่ฉ่าวเฉินก็อุ้มเธอขึ้นไปชั้นบน ใช้เท้าถีบประตูออก โยนเธอลงบนเตียง แล้วตัวเองก็ลงไปนอนด้วย
มู่เวยเวยตกใจ “นายจะนอนที่นี่เหรอ?”
“ที่นี่คือบ้านตระกูลเย่ ฉันเคยพูดไปแล้ว!”
มู่เวยเวยยกมือขึ้นยอมจำนน โอเคๆ นายเคยพูดไปแล้ว
วันต่อมา
เพื่อไม่ให้ตัวเองเดือดร้อน และเพื่อไม่ให้เย่ฉ่าวเฉินสงสัยเย่ฉ่าวเหยียน มู่เวยเวยจึงตัดสินใจที่จะไปทำงาน
เมื่อได้ฟังการตัดสินใจนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็เหลือบมองที่เท้าของเธอ เขาไม่ได้พูดอะไร แต่บอกใบ้ให้ฉินหม่าช่วยประคองเธอเข้าไปในรถ
ระหว่างที่ไปบริษัท แม้คนขับรถก็รับรู้ได้ถึงความโกรธของเฉียวซินโยว
เพราะเมื่อต้องไปบริษัทด้วยกันสามคน ตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับต้องเป็นของมู่เวยเวยอยู่แล้ว ส่วนเธอจะนั่งอยู่กับเย่ฉ่าวเฉินด้านหลังกันสองคนอย่างมีความสุข แต่วันนี้เธอกลับเป็นคนที่ต้องมานั่งข้างคนขับ
ไม่ได้ เธอต้องได้รับสิ่งเหล่านั้นโดยเร็วที่สุด เธอทนไม่ได้อีกต่อไป!
มู่เวยเวยคิด สถานการณ์นี้คงจะเกี่ยวกับเธอแน่ อันที่จริงเธอก็ไม่อยากเปลี่ยนที่นั่ง ตอนนั้นเธออยากปฏิเสธ แต่ฉินหม่ากลับผลักเข้ามา แล้วปิดประตูลงอย่างรวดเร็วเพราะกลัวว่าเธอจะกระโดดออกไปเหมือนทุกครั้ง
เมื่อถึงประตูบริษัท เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้มีความตั้งใจที่จะช่วยเธออยู่แล้ว พอลงจากรถเขาก็เดินเข้าบริษัท และแน่นอนว่าเฉียวซินโยวก็ไม่สนใจเธอ แล้วเดินตามเย่ฉ่าวเฉินเข้าไป
มู่เวยเวยรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ฉินหม่าเธอผลักฉันเข้ามา แต่ทำไมลืมไม้เท้าของฉันล่ะ?
ช่างเถอะ เสียหน้าก็เสียหน้า จะให้นั่งอยู่บนรถแบบนี้ก็ไม่ได้
แต่เธอยังโชคดี พอลงมาจากรถก็เจอเข้ากับเหอเหม่ยหลิง
“เจ็บยังไม่หายดีเลยยังจะมาอีก?” เธอเข้ามาช่วยพยุงมู่เวยเวยไว้
มู่เวยเวยกล่าวขอบคุณ “อยู่แต่บ้านมันน่าเบื่อน่ะค่ะ และฉันก็อยากออกแบบงานแฟชั่นให้เสร็จเร็วๆ”
อันที่จริง เธอไม่อยากบอกสาเหตุที่ไม่อยากอยู่บ้าน และอีกอย่าง เธอกลัวว่าเย่ฉ่าวเฉินจะฉีกแบบของเธออีก เธอเอาคืนเขาไม่ได้ ก็เลยต้องซ่อนตัว
“ช้าๆ”
……
ตลอดทั้งช้า มู่เวยเวยเอาแต่แก้แบบจากเมื่อวานทั้งวัน สำหรับการเยาะเย้ยถากถางของเฉียวซินโยวก็จัดการด้วยความเย็นชา ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรมู่เวยเวยก็ไม่สนใจ
เมื่อเห็นมู่เวยเวยไม่สนใจเธอ เฉียวซินโยวลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องชงชาด้วยความโมโห มู่เวยเวยหันมองตามหลังของเธอไป เป็นเวลาเดียวกันที่เสียงโทรศัพท์มือถือของเฉียวซินโยวดังขึ้น…
จิตใต้สำนึกบอกให้มู่เวยเวยเอื้อมมือออกไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะขึ้นมาดู เห็นเป็นเบอร์แปลกๆ โทรเข้ามา
เมื่อมองไปยังเงาที่อยู่ในห้องพักผ่อน มู่เวยเวยก็กดรับสาย
“ฮัลโหล คุณเฉียวใช่ไหม?”
มู่เวยเวยลดเสียงลงแล้วตอบกลับไป “ใช่ค่ะ”
“ผมเตรียมของที่คุณต้องการครั้งล่าสุดเรียบร้อยแล้ว เราจะพบกันได้เมื่อไหร่?”
มู่เวยเวยใจเต้นแรง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอทำอะไรแบบนี้ก็ย่อมประหม่าเป็นธรรมดา สัญชาตญาณของกับเธอบอกว่าสิ่งของที่ชายคนนี้พูดถึงต้องเกี่ยวข้องกับตัวเองแน่
“พรุ่งนี้สิบโมงเช้า ที่ร้านกาแฟอีเหริน” มู่เวยเวยแสร้งพูดขึ้นด้วยท่าทีสงบ
“โอเค อย่าลืมนำเงินสดที่ผมต้องการมาด้วยล่ะ เงินมาของไป”
“โอเค ไม่เจอไม่กลับ”
เมื่อวางสาย มู่เวยเวยก็จดเบอร์โทรศัพท์ของอีกฝ่ายลงบนกระดาษ จากนั้นก็ลบบันทึกการโทรทันที กดกลับไปที่หน้าจอหลักแล้ววางไว้บนโต๊ะทำงานของเฉียวซินโยวดังเดิม
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เฉียวซินโยวก็เดินออกมาจากห้องชงชา มู่เวยเวยที่ยังคงใจเต้น ‘ตึกตักตึกตัก’
“เวยเวย——”
“ห่ะ?” น้ำเสียงของมู่เวยเวยเปลี่ยนไปเล็กน้อย “มีอะไรเหรอ?”
“ฉันบอกว่าจะเรียกไว่ไม่ ช่วยฉันสั่งสักชุดสิ” เพื่อนร่วมงานพูดขึ้น
มู่เวยเวยถอนหายใจ “อ่อ โอเคๆ”
ตกใจหมด มู่เวยเวยตบหน้าอกตัวเองเบาๆ คิดว่าจะถูกจับได้ซะแล้ว
เฉียวซินโยวเดินมาแล้วมองไปที่เธอ มู่เวยเวยปิดเบอร์โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างใจเย็น และวาดรูปต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สมองกลับวิ่งเตลิดหายไปแล้ว
พรุ่งนี้ตัวเองต้องแกล้งเป็นเฉียวซินโยวแล้วไปตามนัด ถ้าชายคนนั้นเคยเห็นเฉียวซินโยวมาก่อนเธอจะทำอย่างไร?
เป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ งั้นก็ต้องจัดการไปทีละปัญหา
และเรื่องอื่นอีก ผู้ชายคนนั้นบอกว่าเขาต้องการเงิน แล้วเท่าไหร่ล่ะ?
ต้องดูก่อนว่าตัวเองมีเงินในบัตรเท่าไหร่
ก่อนที่มู่เย่เทียนจะหายตัวไป เขาจะให้ค่าครองชีพแก่เธอในทุกๆ เดือน โชคดีที่เธอไม่ค่อยฟุ่มเฟือยเท่าไหร่ จึงประคองชีวิตมาได้นานกว่าครึ่งปี
เธอเปิดแอพพลิเคชั่นธนาคารออนไลน์ ป้อนรหัสผ่าน คลิ๊กยอดเงิน สิบ หนึ่งร้อย หนึ่งพัน หนึ่งหมื่น…
พระเจ้า เธอเหลือเงินในบัญชีเพียงแค่หนึ่งหมื่นสามพันหยวน
ไม่รู้ว่าจะพอจ่ายหรือไม่ น่าจะถามตอนนั้นว่าต้องการเงินเท่าไหร่
ช่างเถอะ ถอนออกมาให้หมดเลยละกัน
เมื่อใกล้ถึงเวลาเลิกงาน มู่เวยเวยเดินเข้าไปที่ห้องทำงานของผู้จัดการ “ท่านประธานเหอ พรุ่งนี้ฉันต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล พรุ่งนี้ขอลาครึ่งวันได้ไหมคะ?
“ได้” เหอเหม่ยหลิงก้มหน้าทำงาน พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ขอบคุณค่ะท่าน”
เช้าวันรุ่งขึ้น มู่เวยเวยรอให้เย่ฉ่าวเฉินและเฉียวซินโยวเข้าไปที่บริษัทก่อน แล้วเธอค่อยหมุนตัวเดินไปริมถนนช้าๆ โบกแท็กซี่ แล้วตรงไปที่ร้านกาแฟอีเหริน
ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงครึ่ง ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึงเวลานัด มู่เวยเวยต้องไปถอนเงินที่ธนาคารก่อน เธอจึงเดินไปที่ห้างสรรพสินค่าใกล้ๆ ร้านกาแฟอีเหริน ภายในห้องน้ำ ผมยาวที่มัดรวบไว้ถูกปล่อยลงมาปกปิดใบหน้า ใบหน้าถูกแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางอย่างหนัก เธอสวมแวนกันแว่นกันแดดอันใหญ่และสวมหมวกที่เตรียมไว้
อยู่กับเฉียวซินโยวมาสามสี่ปี สำหรับเธอรูปร่างหน้าตาและน้ำเสียงของเฉียวซินโยวเป็นอะไรที่คุ้นเคยมาก หลังจากที่มู่เวยเวยลงมือแปลงร่าง ก็เหลือเพียงแค่จมูกและปากเท่านั้น ตั้งแต่ตาขึ้นไปดูเหมือนเฉียวซินโยวแล้ว
เวลาเหลืออีกไม่มาก มู่เวยเวยต้องไปที่ร้านกาแฟอีเหรินก่อนที่คนนั้นจะมา
“ฉันนามสกุลเฉียว นัดผู้ชายคนหนึ่งไว้ ถ้าเขามาแล้วรบกวนคุณพาเขามาพบฉันหน่อยนะคะ”
พนักงานตอบ “ได้ค่ะ คุณผู้หญิง”
มู่เวยเวยค่อยๆ เดินไปอย่างช้าๆ มองเห็นมุมๆ หนึ่งค่อยข้างอับสายตา มีแสงสว่างสลัวๆ แต่ก็เป็นประโยชน์สำหรับเธอ
ใกล้จะสิบโมงแล้ว หัวใจของมู่เวยเวยเต้นรัวขึ้น อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ เวลาที่คนทำความผิดต้องใจแข็งแค่ไหน ไม่งั้นคงต้องหลอนตัวเองตายไปก่อนแน่
ดื่มกาแฟไปด้วยความกดดัน เธอเป็นลูกค้าคนเดียวในร้านของเช้าวันนี้ เสียงเพลงผ่อนคลายดังก้องไปในอากาศ เงียบเป็นพิเศษ
สิบโมงผ่านไป มู่เวยเวยเห็นพนักงานพาชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ชายคนนั้นรูปร่างสูงผอมสวมหมวกและแว่นตาดำ ผมเผ้ารุงรังราวกับคนไม่ได้นอน สวมเสื้อยืดสีฟ้าขาว กางเกงยีนส์สีขาว รองเท้าแตะผู้ชายแบบหัวเปิด ในมือถือแฟ้มเอกสารฉบับหนึ่ง
เหมือนพวกฝ่ายไอที
หัวใจที่เต้นรัวเริ่มทรงตัวลง เพราะเธอสังเกตได้ว่า ชายคนนี้ไม่รู้จักเฉียวซินโยว
“คุณเฉียว? คิดไม่ถึงเลยนะครับว่าจะสวยขนาดนี้” ชายหนุ่มก้มมองเธอ แล้วเอ่ยขึ้น
เมื่อนั่งลง ก็พูดกับพนักงานว่า “มอคค่าที่หนึ่ง”
“ของที่ฉันต้องการล่ะ?” มู่เวยเวยหรี่เสียงลง เอ่ยถามอย่างใจเย็น
ชายหนุ่มตบกระเป๋าใส่เอกสารที่อยู่ในมืออย่างภาคภูมิใจ “วางใจได้ทั้งหมดอยู่ในนี้ แล้วเงินของผมล่ะ?”
มู่เวยเวยชี้ไปยังกระเป่าที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นอย่างตั้งใจ “แล้วราคาที่นายต้องการ…”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ชายหนุ่มก็แสดงท่าทีไม่พอใจ มองเธอขึ้นลงแล้วเอ่ยว่า “คุณเฉียว ผมเห็นว่าคุณไม่ใช่คนที่ขัดสนเรื่องเงินอะไร ราคาแค่ห้าพันหยวนก็ต่ำมากแล้ว ถ้าคุณกลับคำพูด ผมจะเดินออกไปทันที”
“ไม่ใช่ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เมื่อมู่เวยเวยได้ยินว่าห้าพันหยวน ในใจก็มีความสุขขึ้นทันที เธอคิดว่าจะแพงกว่านี้ซะอีก “ฉันเห็นว่านายเหมือนยังไม่ได้นอน ช่วงนี้คงต้องเหนื่อยแย่ ยังคิดว่าจะเพิ่มราคาให้สักหน่อย ในเมื่อนายพูดมาแบบนี้ งั้นฉัน ฮ่าฮ่า…”
ท่าทางชายหนุ่มดูหงุดหงิด ถ้ารู้ความหมายของเธอเร็วกว่านี้ ตัวเองจะได้ไม่พูดไปแบบนั้น เขาส่งแฟ้มจากบนโต๊ะให้เธอ “ของที่คุณต้องการ”
มู่เวยเวยเอื้อมมือไปหยิบมันและชำเลืองมองอย่างรวดเร็ว ข้างในเป็นถุงกระดาษ ดูเหมือนว่าสิ่งที่ถูกห่ออยู่ด้านในจะเป็นรูปภาพ
ดูตอนนี้คงไม่เหมาะสม มู่เวยเวยรับแฟ้มนั้นมา จากนั้นหยิบเงินจากกระเป๋าตัวเองออกมาห้าพันหยวน “นายต้องการเงินสด นับสิ”
ชายหนุ่มรับเงินไปอย่างมีความสุข พูดขึ้นอย่างร่าเริง “ไม่ต้องนับหรอก คุณคงไม่โกงผม”
พนักงานนำกาแฟเข้ามาเสิร์ฟ ชายหนุ่มรีบหยิบเงินเข้ากระเป๋าทันที
มู่เวยเวยก้มหน้ายิ้ม คนกาแฟในถ้วย รอให้พนักงานออกไป แล้วพูดขึ้น “ฉันหวังว่านายจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”
ชายหนุ่มตบหน้าอกแล้วพูดว่า “คุณเฉียววางใจได้ สิ่งที่เราต้องยึดมั่นในธุระกิจของเราคือความน่าเชื่อถือ เรื่องนี้นอกจากคุณ ผม คุณชายหนานกง จะไม่มีบุคคลที่สี่ได้รับรู้”
นิ้วมือของมู่เวยเวยจับช้อนไปมา คุณชายหนานกง หนานกงเฮ่า?
เธอไม่ควรแปลกใจ หนานกงเฮ่าและเฉียวซินโยวร่วมมือกันมานานแล้ว
“อืม แบบนี้ก็ดี” มู่เวยเวยตอบกลับ แล้วยิ้มเบาๆ
ชายคนนั้นมองมาที่รอยยิ้มของเธอเพียงไม่กี่วินาที จากนั้นก็ก้มหน้าจิบกาแฟ
“คุณเฉียว ผมต้องขอตัวไปก่อน” ชายหนุ่มลุกขึ้นแล้วกล่าวลา
ทันใดนั้นมู่เวยเวยก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เดี๋ยวก่อน”
“ยังมีธุระอะไรอีกครับ?”
มู่เวยเวยยิ้มอ่อนโยน “เพื่อป้องกันผลประโยชน์ของฉัน รบกวนนายช่วยลบเบอร์โทรศัพท์ของฉันออกด้วย”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “คุณเฉียว คุณหมายความว่ายังไง?”
“ฉันต้องการเพิ่มความปลอดภัยขึ้นอีกชั้น นายวางใจได้ ถ้าในอนาคตต้องร่วมมือกันอีก ฉันจะติดต่อนายไปเอง แต่ฉันไม่อยาก…” มู่เวยเวยยังพูดไม่จบ แต่เธอคิดว่าผู้ชายคนนั้นน่าจะรู้ว่าเธอหมายถึงอะไร
เพื่อป้องกันไม่ให้เขาโทรหาเฉียวซินโยว เธอจำเป็นต้องให้เขาลบเบอร์โทรศัพท์ ไม่อย่างนั้นก็จะถูกเปิดโปง
“พวกคนมีเงินนี่ขี้อายจริงๆ” ชายหนุ่มบ่นอย่างดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมาค้นหาเบอร์ของเฉียวซินโยว เขาเดินเข้าไปหามู่เวยเวยแล้วพูดขึ้น “คุณดูนะ ผมลบแล้ว!”
มู่เวยเวยเฝ้าดูเขาลบเบอร์โทรศัพท์ที่คุ้นเคย แล้วยื่นมือออกไป “ร่วมมือกับอย่างสันติ”
ชายหนุ่มชะงักไป แล้วยื่นมือมาจับมือเล็กๆ ของเธอ พร้อมรอยยิ้มอัปลักษณ์ “ร่วมมือกันอย่่างสันติ คุณเฉียวจากนี้ถ้าต้องการอะไร อย่าลืมเรียกหาผมอีกนะครับ”
“ได้ ฉันไม่ลืมอยู่แล้ว นายไปเถอะ ฉันจะนั่งต่ออีกสักพัก” มู่เวยเวยดึงมือตัวเองกลับมา เธอไม่อย่างให้ชายคนนั้นมองว่าเธออ่อยเขา
“โอเค ลาก่อนครับคุณเฉียว”
เมื่อเห็นชายคนนั้นออกไปจากร้าน มู่เวยเวยก็รีบลุกออกไปอย่างรวดเร็ว รีบนั่งรถไปที่โรงพยาบาลใจกลางเมือง
การแสดงทั้งหมดสมบูณ์แบบไม่มีข้อบกพร่อง
แม้แต่เย่ฉ่าวเฉินหรือเฉียวซินโยวก็จับไม่ได้
เมื่อขึ้นรถ มู่เวยเวยรีบถอดแว่นกันแดดและหมวกออก เช็ดลิปสติกบนปากให้สะอาด เผยให้เห็นหน้าสดที่ปราศจากเครื่องสำอาง
หลังจากตรวจร่างกายเรียบร้อย มู่เวยเวยนั่งอยู่ในห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาล เธอหยิบของราคาห้าพันหยวนออกมา
มีรูปถ่ายมากกว่าสิบรูปอยู่ในซอง มู่เวยเวยเอาออกมาดูอย่างรู้สึกคุ้นเคย
รูปแรกเป็นรูปของเฉียวซินโยวกำลังเดินออกมาจากโรงแรมนานาชาติCK รูปที่สองคือบ้านเลขที่1026 กับเวลาที่พิมพ์อยู่ด้านบน มู่เวยเวยตกตะลึงเมื่อเห็นวันที่บนนั้น วันนี้เป็นวันที่เธอจำได้ขึ้นใจ และคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอมาว่าอย่าไว้ใจลู่จื่อหางอีก เพราะวันนี้เป็นวันที่เธอถูกขายโดยผู้ชายกากเดนคนนี้
เฉียวซินโยวจะถ่ายรูปพวกนี้ไปเพื่ออะไร? ในใจของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยความสงสัย
รูปที่สามคือรูปด้านหลังของผู้ชายคนหนึ่ง แต่มู่เวยเวยก็มองออกได้อย่างรวดเร็ว นี่คือเย่ฉ่าวเฉิน เขากำลังก้าวเข้ามาในโรงแรมแห่งนี้
ภาพที่เหลือจำนวนไม่น้อยเป็นภาพถ่ายจากระยะไกลๆ ที่ชายหญิงดูสนิทสนมกัน แต่รูปร่างค่อนข้างเบลอ
เฉียวซินโยวต้องการทำอะไรกับภาพเหล่านี้?
มู่เวยเวยรู้สึกว่าสมองตัวเองยังใช้งานได้ไม่มากพอ จากสิ่งที่เฉียวซินโยวเคยทำมา เธอต้องใช้ภาพเหล่านี้ปั้นเรื่องใส่ร้ายตัวเอง มู่เวยเวยคิดว่าวิธีที่เป็นไปได้มากที่สุด นั้นก็คือ เฉียวซินโยวจะประชาสัมพันธ์ให้คนภายนอกได้รับรู้ ว่าเธอกับหนานกงเฮ่ากำลังคบชู้กัน แล้วสวมเขาให้เย่ฉ่าวเฉิน แต่รูปถ่ายเหล่านี้ไม่มีตัวเธออยู่เลย ผู้หญิงคนนี้ต้องการทำอะไรกันแน่?
ยากจริงๆ!
ไม่ได้ เธอต้องรู้ให้ได้ว่าเฉียวซินโยวกำลังมีแผนการอะไร เพราะกลัวว่าจะตกหลุมพรางเธออีกครั้ง
เมื่อกลับมาที่บริษัทในช่วงบ่าย มู่เวยเวยก็กลับเข้าสู่สภาวะปกติ
เฉียวซินโยวหันไปถามเธออย่างไม่อ้อมค้อม “เมื่อเช้าเธอไปไหนมา?”
มู่เวยเวยไม่แม้แต่จะหันมอง “เกี่ยวอะไรกับเธอ ทำไมฉันต้องรายงานแผนการเดินทางให้เธอรู้ด้วย?”
“มู่เวยเวยเธออยากตายใช่ไหม?” เฉียวซินโยวก่นด่าเสียงต่ำ
มู่เวยเวยอมยิ้ม “เฉียวซินโยวเธอยังจะทำอะไรได้อีก กูหน่ายนายอย่างฉันก็อยู่รอดมาได้ตลอด”
เฉียวซินโยวกัดฟันด้วยความเกลียดชัง แต่ก็ไม่อาจทำให้เธอหายไปได้ “มู่เวยเวยเธอรอฉันก่อนเถอะ ฉันยังจะเห็นเธอหัวเราะได้อีกนานแค่ไหนกัน”
“ได้ ฉันจะรอนะ”
พูดจบมู่เวยเวยก็ก้มหน้าทำงานต่อ เป้าหมายของเธอตอนนี้คือได้ขึ้นปกนิตยสารแฟชั่น ไม่มีเวลาว่างจะมาทะเลาะกับเธอ
เมื่อเฉียวซินโยวเห็นเธอเพิกเฉยต่อตัวเอง ก็หันไปพลิกโทรศัพท์ขึ้นลงด้วยความหงุดหงิด เหมือนว่าเธอกำลังรอสายจากใครสักคน
เธอยังรอสายจากชายไอทีคนนั้น มู่เวยเวยคิดในใจ โชคดีจริงๆ ที่ตัวเองไปชิงมาได้ก่อน
สิบหกนาฬิกา เหอเหม่ยหลิงแจ้งประชุมแผนก
“ครั้งที่แล้วฉันพูดถึงการร่วมงานกับนิตยสารแฟชั่นไปแล้ว ตอนนี้มาพูดคุยเกี่ยวกับความคืบหน้าของพวกคุณ” เหอเหม่ยหลิงเงยหน้ามองไปที่มู่เวยเวย “เวยเวย คุณกับเฉียวซินโยวเป็นคนใหม่ เริ่มที่พวกคุณก่อน”
มู่เวยเวยทำงานอย่างหนักมาตลอดหลายวันนี้ หลายสิ่งอย่างในหัวเธอตีกันไปหมด เธอเรียบเรียงก่อนที่จะพูดออกไป “ครั้งนี้ฉันต้องการออกแบบผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมของเราเป็นหลัก เช่นชิงฮวา ศิลปะการปักเส้นไหม กระดุมแบบถาด แล้วก็อื่นๆอีกค่ะ”
เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพูดขัดจังหวะความคิดเธอขึ้นมา “แต่นิตยสารแฟชั่น เป็นแฟชั่นระดับนานาชาติ มันจะไม่ดูเรียบง่ายไปหน่อยเหรอ ถ้าเป็นแบบดั้งเดิมเกินไป?”
มู่เวยเวยก็คำนึงถึงปัญหานี้เช่นกัน เธอตอบอย่างใจเย็น “ฉันก็คิดเรื่องนี้เช่นกันค่ะ แต่ในเมื่อประเทศเราเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ ถ้าวัฒนธรรมดั้งเดิมของเราได้รับการยอมรับจากต่างชาติมากขึ้น ชาติก็คือโลก ฉันต้องการถ่ายทอดมากกว่าแค่ไอเดียผ่านการออกแบบ แต่ฉันต้องการนำสิ่งสวยงามในประเทศของเราออกไปให้ทุกคนได้รับรู้ด้วย”
เพื่อนร่วมงานบางคนก็แสดงความชื่นชมกับความคิดนี้ บางคนก็ตั้งคำถาม “แต่อย่างไรก็ตามคุณคงไม่อาจดึงดูดสายตาของแฟชั่นได้ เพียงใช้แค่วัฒนธรรมดั้งเดิมเพียงอย่างเดียว แฟชั่นเป็นนิตยสารระดับนานาชาติ”
“อืม ที่คุณพูดก็ถูก ดังนั้นแบบที่ฉันคิดไว้ ก็จะเน้นความนิยมในปัจจุบันเป็นหลัก ส่วนศิลปะประจำชาติเราจะใช้ตกแต่งในจุดสำคัญ เพื่อเพิ่มลูกเล่นให้ผลงานออกมาโดดเด่น”
ใบหน้าเฉยเมยของเหอเหม่ยหลิงมีรอยยิ้มปรากฎขึ้น “อืม เป็นความคิดที่ดี แล้วตอนนี้แบบเป็นยังไงบ้าง?”
“ดีไซน์ยังไม่ดีพอค่ะ ยังต้องวาดอีก บางส่วนก็ยังต้องปรับปรุงเพิ่มเติม” มู่เวยเวยกล่าวอย่างถ่อมตัว ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเย่ฉ่าวเฉินฉีกแบบของเธอ ตอนนี้เธอคงแก้เสร็จไปแล้ว
เฉียวซินโยวยิ้มเจ้าเล่ห์ “งั้นก็ยังไม่มีผลงาน ฉันนึกว่าคุณทำเสร็จแล้วซะอีก”
บรรยากาศค่อนข้างอึดอัด ทุกคนรู้ดีว่ามู่เวยเวยเป็นภรรยาของคุณชายเย่ แม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะไม่ดีนัก แต่ในสถานะที่เป็นอยู่นั้นทุกคนจึงให้เกียรติมู่เวยเวย และยิ่งไปกว่านั้นไอเดียที่เธอเสนอขึ้นมาก็ดีทีเดียว
แต่ตอนนี้เฉียวซินโยวกำลังโจมตีมู่เวยเวย ทำให้ทุกคนค่อนข้างแปลกใจ
มู่เวยเวยไม่ได้แปลกใจกับการแสดงออกของเธอ ยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ของฉันยังไม่เสร็จ งั้นเชิญคุณเฉียวช่วยบอกไอเดียของคุณหน่อย ฉันจะได้เรียนรู้”
เฉียวซินโยวไม่คิดว่ามู่เวยเวยจะย้อนกลับมาเล่นงานเธอ ที่สำคัญก็คือเฉียวซินโยวไม่ได้สนใจนิตยสารแฟชั้นเล่มนี้เลย และก็ไม่อยากมีส่วนร่วมด้วย ดังนั้นไม่กี่วันมานี่เธอจึงไม่ได้คิดอะไรเลย แล้วจะให้เธอพูด เธอจะพูดอะไร?
“ฉัน… ฉันยังไม่มีไอเดีย…”
เสียงของเฉียวซินโยวเบาลง เพื่อนร่วมงานบางคนกลั้นหัวเราะแทบไม่ไหว จากนั้นจึงก้มหน้ายิ้มอย่างเอือมระอา
นึกว่าจะมีทีเด็ดอะไรซ้อนอยู่ สุดท้ายก็ไม่มี ทำให้ผู้รอชมผิดหวังซะแล้ว
ไม่ว่าเฉียวซินโยวจะหน้าหนาแค่ไหนก็เริ่มร้อนขึ้นมาบ้าง อย่างไรก็ตามสถานะเธอก็ยังเป็นนักศึกษาฝึกงาน ยังหยิ่งเกินไปไม่ได้ รอวันที่เธอได้เป็นคุณนายใหญ่ตระกูลเย่เมื่อไหร่ เธอจะทำให้คนพวกนี้ได้เห็นดีกัน
“ปังปังปัง——” เสียงเหอเหม่ยหลิงเคาะโต๊ะ “ต่อไปใครพูด”
ทุกคนค่อยๆ แสดงความคิดของตัวเองออกมา พวกเขาทำงานที่เย่ฮวางมานานหลายปี ทั้งหมดเป็นนักเรียนชั้นนำที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง มีความหลักแหลมทางการตลาด มุมมองก็กว้าง หลังจากที่ได้ฟังไอเดียของทุกคน มู่เวยเวยได้รับประโยชน์อย่างมาก ตอนทำงานไม่เหมือนกับตอนเรียน อยู่ฟังที่นี่แค่หนึ่งชั่วโมง ดีกว่าตอนที่เรียนอยู่เป็นอาทิตย์
”
“ดูเหมือนพวกคุณกำลังเตรียมตัวกันอย่างแข็งขัน อย่างที่ฉันได้พูดไปแล้ว โอกาศแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ ถ้าถูกจับตามอง ไม่เพียงแต่สร้างเกียรติให้กับทีมงานก็เรา แต่ยังสร้างจุดเด่นในสายอาชีพของตัวเองอีกด้วย เอาล่ะ เลิกประชุมได้” เหอเหม่ยหลิงพูดสรุปเพียงสองสามประโยค สายตาชำเลืองมองไปที่เฉียวซินโยว “มู่เวยเวย เฉียวซินโยวพวกเธออยู่ก่อน”
ห้องประชุมสะอาดเกลี้ยงในชั่วพริบตา
เหอเหม่ยหลิงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “ตอนนี้พวกเธอสองอยู่ภายใต้การดูแลของฉัน ฉันรู้ว่าใครทำงานเป็นยังไง ฉันไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเธอ แต่ฉันไม่อนุญาตให้พวกเธอใช้อารมณ์ส่วนตัวในเวลาทำงาน อย่าลืม พวกเธอมาในฐานะเด็กฝึกงาน เหลือเวลาฝึกอีกเดือนกว่าๆ จะอยู่หรือไปก็ขึ้นอยู่กับคำพูดฉัน”
เฉียวซินโยวสีหน้าไม่สบอารมณ์ เธอรู้ว่าเหอเหม่ยหลิงกำลังพูดถึงตัวเอง
“ท่านประธานเหอ ฉันจะพยายามให้เต็มที่ค่ะ” มู่เวยเวยเอ่ยด้วยความจริงใจ เธอยังต้องรอขึ้นปกนิตยสารแฟชั่น เพื่อให้พี่ชายได้เห็นเธอ
เหอเหม่ยหลิงพยักหน้า “โอเค ออกไปได้”
หลังจากที่เฉียวซินโยวและมู่เวยเวยออกมาจากห้องประชุม บุคคลตรงหน้าก็ถามขึ้นมาด้วยความโกรธ “เมื่อกี้เธอตั้งใจทำ”
มู่เวยเวยเบิกตากว้าง ตอบอย่างไร้เดียงสา “เมื่อกี้? เรื่องอะไร?”
“เธอรู้ว่าฉันไม่ได้เตรียมตัวมา แต่ตั้งใจให้ฉันออกความคิดเห็นต่อหน้าทุกคน เธอจงใจ”
มู่เวยเวยยักไหล่ แล้วยิ้ม “ใช่ ฉันจงใจทำ แล้วเธอจะทำไม?”
“มู่เวยเวย! คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะวางแผนขนาดนี้”
“โอ้โห ถ้าให้พูดถึงความเจ้าเล่ห์ เฉียวซินโยวเธออยู่บนจุดสูงสุดแน่นอน ฉันไม่กล้าแย่งเธอหรอก” มู่เวยเวยพูดเยาะเย้ย
ทั้งสองเพิ่งจะออกมาจากห้องประชุม เฉียวซินโยวก็มีแผนการทันที อย่างไรซะมู่เวยเวยก็เท้าเจ็บอยู่แล้วหนิ สู้ปล่อยให้มันหักไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ เธอจะได้ไม่พยายามอวดดีต่อหน้าเพื่อนร่วมงานอีก ฉันจะทำให้เธอกลับไปเรียนไม่ได้ด้วยซ้ำ
เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉียวซินโยวมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นใครสักคน เมื่ออยู่ในมุมเหมาะๆ เธอก็ยกรองเท้าส้นสูงขึ้นแล้วเหยียบมันลงอย่างแรง
“อ่ะ!” ความเจ็บปวดที่ถูกส่งออกมาจากฝ่าเท้า มู่เวยเวยผลักแฟ้มเอกสารกลับไปหาเฉียวซินโยวอย่างแรง รองเท้าส้นสูงที่กว่าจะยืนขึ้นได้ก็ล้มลงไปกองกับพื้นดัง “โครม!”
“เฉียวซินโยว เธอไม่มีตาหรือไง?” มู่เวยเวยตะคอกใส่เฉียวซินโยว เธอคิดไม่ถึงจริงๆว่าผู้หญิงคนนี้จะกล้าได้กล้าเสียขนาดนี้ ขนาดอยู่ในที่ทำงานยังกล้าลงมือ ไม่สิ ลงเท้ากับเธอ
เพื่อนร่วมงานสองสามคนวิ่งเข้ามา เฉียวซินโยวแสร้งทำทีน่าสงสาร ล้มลงไปกองบนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “มู่เวยเวย ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเหยียบเท้าคุณนะ”
“ไม่ได้ตั้งใจ” มู่เวยเวยอยากจะทุ่มแฟ้มเอกสารในมือใส่หน้าเธอจริงๆ “ไม่ได้ตั้งใจแต่ใช้แรงมากขนาดนั้น? เธออยากให้ฉันพิการหรือไง?
นี่คือจุดแตกหักของทั้งคู่ในบริษัท มู่เวยเวยยังอยากรักษาหน้าตัวเอง แต่มู่เวยเวยทำเกินไปแล้ว
เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งช่วยประคองเฉียวซินโยวลุกขึ้น เธอมีแผลขนาดใหญ่ที่ข้อศอกของเธอ และมีเลือดไหลออกมาด้วย
“เวยเวยฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆนะ คุณ…” เฉียวซินโยวก้มหน้าลงพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจ “ฉันรังแกภรรยาของท่านประธานเย่ไม่ได้หรอก ฉันก็แค่เด็กฝึกงานคนหนึ่ง”
ภรรยาท่านประธานเย่?
เธอไม่ละลายใจบ้างเหรอที่พูดคำนี้?
ไม่เคยเห็นใครเสแสร้งได้ขนาดนี้ หญิงแพศยาก็สู้เธอไม่ได้
ผู้คนมักเห็นอกเห็นใจคนอ่อนแอเสมอ มู่เวยเวยเห็นเพื่อนร่วมงานหลายคนมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ จึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นเจ็บปวดทันที ก้มลงจับเท้าที่อยู่ตรงหน้า “โอ้ยเจ็บ เจ็บจัง เท้าของฉัน…”
เหอเหม่ยหลิงได้ยินเสียงจึงเดินเข้ามาดู เห็นทั้งสองคนอยู่ในสถานการณ์ เอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกิดอะไรขึ้น?”
ในบทเรียนแรกของมู่เวยเวย คนย่อมเชื่อเป็นสิ่งที่ได้ยินได้เห็นก่อนเสมอ จึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านประธานเหอ พอฉันกับเฉียวซินโยวออกมาจากห้องประชุม เธอโทษว่าฉันทำให้เธอขายหน้า จึงกระทืบเท้าฉันอย่างแรง ฉันคิดว่า กระดูกฉันคงจะหักไปแล้ว…”
เฉียวซินโยวร้องไห้จนใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “เวยเวยทำไมคุณใส่ความฉันแบบนี้? เมื่อกี้ฉันไม่ได้ตั้งใจเหยียบเท้าคุณจริงๆ คุณเป็นถึงคุณนายตระกูลเย่ ให้อีกสักร้อยความกล้าฉันก็ไม่กล้า ท่านประธานดูสิค่ะ เธอผลักฉันจนแขนฉันเป็นแผลเลือดออก”
เหอเหม่ยหลิงทำงานอยู่ที่นี่มานานหลายปี คุ้นชินกับมารยาร้อยเล่มเกวียนของผู้หญิงมามาก มองแค่ตาเดียวก็ดูออกว่าใครพูดความจริง แต่สองคนนี้เกี่ยวข้องกับเย่ฉ่าวเฉิน เธอไม่อยากทำให้เจ้านายไม่พอใจ
สายตาเหลือบไปมองนาฬิกาที่อยู่บนผนัง แล้วพูดกับคนอื่นๆ ว่า “เลิกงานแล้ว ไปๆ กลับบ้านได้”
แม้ว่าทุกคนจะอยากอยู่ดูความน่าตื่นเต้นนี้ แต่เพราะคำสั่งของเหอเหม่ยหลิง พวกเขาจึงทยอยออกไปอย่างรวดเร็ว
เหอเหม่ยหลิงนวดคลึงขมับตัวเอง แล้วโทรไปที่ห้องทำงานของเย่ฉ่าวเฉิน
“สวัสดีค่ะท่านประธานเย่ ฉันเหอเหม่ยหลิงนะคะ… คืออย่างนี้ค่ะ เท้าของคุณมู่เวยเวยได้รับบาดเจ็บ บางทีคุณอาจจะต้องมา… ได้ค่ะ สวัสดีค่ะ”
หลังจากวางสาย เหอเหม่ยหลิงก็มองมายังพวกเธอทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา “ฉันไม่สนว่าใครจะถูกหรือผิด แต่ฉันจะหักเงินเดือนเดือนนี้ของพวกเธอ”
มู่เวยเวยสงบลง รู้สึกละลายใจต่อเหอเหม่ยหลิง เธอกล่าวขอโทษเบาๆ “ท่านประธานเหอ ฉันขอโทษนะคะที่ฉันใจร้อนเกินไป”
เหอเหม่ยหลิงเอ่ยน้ำเสียงเย็นชา “มู่เวยเวย เธอทำฉันผิดหวังมาก” แม้เธอจะรู้ว่าเฉียวซินโยวเป็นคนผิด แต่เธอก็คาดหวังกับมู่เวยเวยไว้สูงกว่านี้ นั้นคือเหตุผลที่ต้องสั่งสอนเธอ
มู่เวยเวยได้ยินแบบนั้นน้ำตาก็ร่วงลงมา เหอเหม่ยหลิงไม่ใช่แค่เจ้านาย แต่ยังเป็นญาติผู้ใหญ่ที่เธอยอมรับ
“ท่านประธานเหอ ฉันขอโทษ ฉัน…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็เดินเข้ามา ครั้นเห็นมู่เวยเวยร้องไห้ ก็รู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก
“เกิดอะไรขึ้น? เท้าเป็นอะไร?”
เฉียวซินโยวที่ยืนอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่าเขาไม่สนใจตัวเอง ในใจก็เต็มไปด้วยเกลียดชังขึ้นทันที
“ท่านประธานเย่ มู่เวยเวยบอกว่าเฉียวซินโยวตั้งใจเหยียบเท้าเธอ เฉียวซินโยวบอกว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ ฉันก็เลยเรียกคุณมาที่นี่ค่ะ ฉันต้องขอตัวไปก่อน” เหอเหม่ยหลิงไม่อยากยุ่งกับเรื่องส่วนตัวของเจ้านาย
พอได้ยินเสียง ‘อืม’ จากเย่ฉ่าวเฉิน เหอเหม่ยหลิงก็หันหลังเดินออกไปทันที
ในที่เกิดเหตุตอนนี้มีเพียงสามคน เปิดช่องว่างให้เฉียวซินโยวได้เล่นงาน เธอยืดแขนที่บาดเจ็ดให้เย่ฉ่าวเฉินดู พูดขึ้นทั้งน้ำตา “ฉ่าวเฉินคุณดูสิ ฉันไม่ได้เหยียบเท้าเวยเวย แต่เธอกลับผลักอย่างแรงจนแขนฉันเป็นแผล”
เย่ฉ่าวเฉินมองดูเลือดสีแดงสดที่ปลายข้อศอก ผิวหนังแตกออกมีเลือดไหลออกมา มันดูแย่มากเมื่อมองดูในแวบแรก แต่นั้นไม่สำคัญ
มู่เวยเวยไม่อยากทำตัวน่าสงสารต่อหน้าเขา เธอกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ ไม่พูดและไม่มองพวกเขาทั้งสอง
เย่ฉ่าวเฉินหยิบกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งจากที่โต๊ะทำงานของใครก็ไม่รู้ยื่นให้เฉียวซินโยว “เช็ดก่อนสิ”
เฉียวซินโยวรับมันมา พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความสำเร็จที่สะท้อนออกมาจากแววตาเธอ
“ฉ่าวเฉินคุณพาฉันไปโรงพยาบาลหน่อยสิค่ะ ฉันกลัวว่ามันจะเป็นแผลเป็น แบบนั้นเวลาใส่กระโปรงก็จะดูน่าเกลียด” เฉียวซินโยวดึงชายเสื้อเขาทำตัวราวกับเด็กน้อย
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองมู่เวยเวย เขาเห็นว่าเธอกำลังอดทนกับความเจ็บปวด แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นนิสัยหรือคำสั่งสอนที่ให้ผู้ชายเป็นใหญ่ ทำให้เธอกลายเป็นฝ่ายผิดโดยไม่รู้ตัว
“มู่เวยเวยเธอไม่อยากอยู่บริษัทนี้ต่องั้นเหรอ?” เย่ฉ่าวเฉินตำหนิ “เธอไม่ได้อ่านข้อตกลงก่อนเข้าทำงานหรือไง? หนึ่งในนั้นคือ ห้ามไม่ให้พนักงานทะเลาะวิวาทกันในเวลางานเด็ดขาด ที่นี่คือที่ทำงาน ไม่ใช่ที่ที่เธอจะมาระบายอารมณ์ส่วนตัว”