มู่เวยเวยเอนตัวลงบนโต๊ะทำงาน มือวางบนโต๊ะ และหัวเราะเยาะ เย่ฉ่าวเฉิน แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้ แต่เฉียวซินโยวก็มีส่วนรู้เห็น ถ้าเธอไม่เหยียบย่ำฉันแรงๆ ฉันจะผลักเธอได้เหรอ ?
เย่ฉ่าวเฉินตกใจ เมื่อนึกถึงแผนการของเฉียวซินโยว มีบางอย่างแวบเข้ามาในดวงตา เขาชะงักไปครู่หนึ่ง
เจ็บตรงไหนล่ะ ? ผมดูหน่อย !เย่ฉ่าวเฉินพูด พลางก้มหัวลงไปมองเท้าของมู่เวยเวย
มู่เวยเวยตกตะลึง ทันใดนั้นเงยหน้าขึ้นมองเขา เอ๊ะ ? วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับคนคนนี้ ?
เขายังเป็นห่วงเธอ ?
มู่เวยเวยชี้ไปที่เท้าขวาของเธอ หน้าเท้าเริ่มบวมขึ้นมาแล้ว
เย่ฉ่าวเฉินก้มลงไปอุ้มเธอขึ้นมาและเดินออกไป “ผมจะส่งคุณไปโรงพยาบาล”
“คุณ…….คุณ……..”มู่เวยเวยพูดตะกุกตะกัก ถ้าหากว่าไม่ใช่ดวงตาสีฟ้านี้ เธอคงคิดว่าเป็นเสี่ยวจื่อ
คุณอะไรคุณ ไม่อยากพูดก็หุบปากไป สีหน้าของเย่ฉ่าวเฉินดูหงุดหงิดเล็กน้อย ในห้องมีเอกสารสำคัญต้องจัดการ แต่เมื่อเขาได้รับโทรศัพท์จากเหอเหม่ยหลิง เขาก็รีบหนีไป
หลังจากทั้งสองคนไป ทิ้งให้เฉียวซินโยวอยู่ในห้องทำงานเพียงลำพัง นอกจากความหึงหวนยังมีน้ำตาที่เอ่อล้นออกมา……
เป็นเวลาเลิกงานพอดี เย่ฉ่าวเฉินอุ้มมู่เวยเวยเดินมาที่หน้าประตูบริษัท ทำให้ดึงดูดความสนใจของผู้คนเป็นจำนวนมาก
“ใครบอกว่าประธานเย่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับภรรยา ? ดูออกจะดีนี่ใช่ไหม ?”
“ใช่สิใช่สิ ประธานเย่ดีกับภรรยามาก ดูหล่อจริงๆ”
“เป็นแฟนที่สุดยอดมาก”
มู่เวยเวยได้ยินเสียงกระซิบพวกนี้ ใบหน้าก็ผุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ในสายตาของคนภายนอกเธอดูมีเสน่ห์เหลือล้น แต่มีเพียงคนในตระกูลเย่เท่านั้นที่รู้ว่าเธอมีชีวิตที่เลวร้ายราวกับอยู่ในนรก
เมื่อถึงโรงพยาบาล หมอที่มีอายุก็รู้สึกประหลาดใจกับการปรากฎตัวของมู่เวยเวย “เมื่อเช้าคุณมาตรวจเช็คแล้วไม่ใช่เหรอ ? มีปัญหาอะไรรึเปล่า ?”
มู่เวยเวยนั่งลงบนเก้าอี้ ถอดรองเท้า และเท้าขวาก็บวมสูงขึ้นมา ยังไม่ทันได้พูด หมอก็โมโหแล้ว “ฉันบอกให้คุณพักฟื้นให้ดีไม่ใช่เหรอ ? คุณนี่เป็นผู้หญิงยังไง ? ยังต้องการเท้าข้างนี้อยู่ไหม ?”
“หมอหลิน คุณอย่างเพิ่งด่าฉันเลย รีบช่วยฉันเถอะ เจ็บจนไม่รู้สึกแล้ว” มู่เวยเวยไม่ได้พูดถึงเฉียวซินโยว นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีอะไร
หมอหลินบีบเท้าเธอสองสามครั้ง
“โอ้ย——เจ็บเจ็บเจ็บ ——”
เย่ฉ่าวเฉินที่อยู่ข้างๆขมวดคิ้วมองไปและพูดว่า “คุณเบามือหน่อย”
หมอหลินเงยหน้าขึ้นมองเขา “นี่ภรรยาคุณเหรอ ?”
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า
“ตอนนี้รู้จักเบามือแล้ว ? ตอนเช้าไปทำอะไรมา ? ฉันคิดว่ากระดูกหักไปประมาณ 80% แล้ว ” หมอหลินพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม
“กระดูกหัก ? เชื่อมต่อกันได้ไหม ? จะพิการรึเปล่า” มู่เวยเวยถามซ้ำๆ
“ไปเอ็กซ์เรยให้ฉันดูก่อน” หมอหลินยื่นใบรายการให้เย่ฉ่าวเฉิน “พาภรรยานายไปเอ็กซ์เรย”
ระหว่าง ชำระเงินและเอ็กซ์เรย ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรกันเลย
“ดูตรงนี้ ข้างในขามีกระดูกหักท่อนหนึ่ง ใส่เฝือกไว้จะได้หายเร็วขึ้น” หมอหลินพูดจบ ก็เหลือบมองไปที่เย่ฉ่าวเฉิน และพูดว่า “สามีคุณก็เกินไป ดูแลคนป่วยยังไง ? ถึงจะยุ่งยังไงก็ควรดูแลภรรยา ตอนเช้าก็ปล่อยให้เธอมาตรวจคนเดียว……”
คนเมื่อแก่ตัวลงก็เหมือนจะพูดอะไรง่าย มู่เวยเวยยึดตามคำวิจารณ์ของหมอหลิน แต่ก็แปลกที่เย่ฉ่าวเฉินกลับไม่ขัดอะไร
หลังจากใส่เฝือกแล้ว หมอหลินถามว่า “คุณจะพักฟื้นที่โรงพยาบาลหรือไปพักฟื้นที่บ้าน ?”
“โรงพยาบาล !”
“กลับบ้าน ”
หน้าด้านเป็นเสียงของมู่เวยเวย ด้านหลังเป็นเสียงของเย่ฉ่าวเฉิน
มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นมองเขายักไหล่และอย่างไม่แยแส “OK คุณจ่ายเงินงั้นตามที่คุณพูดละกัน”
ที่จริงเธออยากจะอยู่โรงพยาบาล อย่างน้อยที่นี่ก็ยังมีหมอกับพยาบาลที่ใจดีกับเธอ
เย่ฉ่าวเฉินได้ยินเสียงหวือหวาของเธอ แต่ก็ระงับความโกรธเอาไว้
ระหว่างทางกลับคฤหาสน์ เย่ฉ่าวเฉินไม่พูดอะไร ในตอนนี้ผลเอ็กซ์เรยออกมานั้น เขาแน่ใจในคำตัดสินของตัวเอง เฉียวซินโยวเริ่มน่าสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ คิดกลับไปเมื่อก่อน เธอพูดโกหกไปกี่ครั้งแล้ว ? เขาเคยเห็นธาตุแท้ของผู้หญิงคนนี้ไหมนะ ?
เมื่อมาถึงประตูคฤหาสน์ เฉียวซินโยวเห็นรถกลับมาแล้วก็รีบลงมาต้อนรับ
ฉ่าวเฉิน คุณกับมู่เวยเวยกลับมาแล้ว เท้าเธอเป็นอย่างไรบ้าง? เฉียวซินโยวแสดงใบหน้าที่เป็นห่วง เย่ฉ่าวเฉินไม่สนใจเธอ และตรงเข้าคฤหาสน์ไป
เฉียวซินโยวแตะจมูกของเธอ และรีบวิ่งไปที่รถเพื่อช่วยมู่เวยเวย “เวยเวย ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ ฉันไม่คิดว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้”
มู่เวยเวยสลัดมือเธอออก และโบกมือเรียกฉินหม่าที่เดินออกมา “ฉินหม่า คุณมาช่วยฉันหน่อย”
ฉินหม่ามองเห็นผ้าที่พันขาขวาของเธอไว้เหมือนบ๊ะจ่าง และพูดอย่างประหลาดใจว่า “เมื่อเช้าออกไปยังดีๆอยู่เลย ทำไมกลับมาสภาพนี้ล่ะ”
”ถามคุณเฉียวดูเถอะ“ มู่เวยเวยเอาแขนวางไปบนไหล่ของฉินหม่ากระโดดออกมาจากรถ “เธอผลักฉันโดยไม่ทันระวัง กระดูกหักไปท่อนหนึ่ง ฉินหม่า คุณว่าเธอเก่งไหมล่ะ”
ฉินหม่ายิ้มแห้งๆ และไม่กล้าพูดอะไรมาก
เฉียวซินโยวกัดฟันข้างในเงียบๆ หายใจเข้าลึกๆและเดินหาเย่ฉ่าวเฉินที่นั่งอยู่ห้องนั่งเล่น และพูดอย่างยินดีว่า “ฉ่าวเฉิน คุณเหนื่อยไหม ? ฉันนวดไหล่ให้คุณ”
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างเย็นชา “คุณไม่คิดจะอธิบายเรื่องนี้เหรอ ?”
เฉียวซินโยวตกตะลึง พูดทั้งน้ำตา “ฉ่าวเฉิน คุณไม่เชื่อฉันเหรอ ? ฉันไม่ทันระวังจริงๆ ฉันกับมู่เวยเวยเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมานาน และเป็นเพื่อนสนิทกัน จะทำร้ายเธอได้อย่างไร ?”
“พอแล้ว !”เย่ฉ่าวเฉินตะโกนอย่างเย็นชา “เฉียวซินโยว เธอเป็นภรรยาของผมเย่ฉ่าวเฉิน แม้ว่าจะทำผิดอะไรก็ตาม มีเพียงแต่ผมเท่านั้นที่ลงโทษเธอได้ ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้องเธอ ผมหวังว่าคุณจะจำเรื่องนี้ไว้ เข้าใจไหม ?”
เฉียวซินโยวกัดฟันพูด “ค่ะ ฉันรู้แล้ว”
ไม่ได้ !จะเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว !
ทัศนคติของเย่ฉ่าวเฉินที่มีต่อมู่เวยเวยนั้นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ในตอนที่เขายังคิดถึงเรื่องนั้น ต้องรีบกำจัดมู่เวยเวยออกไป
ตอนกลางคืน เดินวนในห้องนอนเป็นเวลานาน เฉียวซินโยวก็กดโทรศัพท์โทรหาคนคนนั้น
“ขออภัย หมายเลขที่คุณเรียกไม่สามารถติดต่อได้…….”
จะเป็นไปได้อย่างไร ? เฉียวซินโยวไม่ยอมแพ้ หลังจากนั้นสิบนาทีจึงโทรไปอีกครั้ง แต่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นแบบเดิม
หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ?
ดูเหมือนว่าพรุ่งนี้ฉันต้องไปที่นั่นด้วยตัวเอง
วันรุ่งขึ้น เย่ฉ่าวเฉินไปบริษัทแต่เช้า เมื่อวานตอนบ่ายเขารีบออกมา ยังมีเอกสารที่ยังไม่ได้จัดการ
ฉินหม่ายกอาหารเช้าเข้ามาให้มู่เวยเวยในห้อง “คุณหนู คุณชายให้ฉันมาบอกคุณว่า สองสามวันนี้คุณพักฟื้นอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องไปบริษัท ถ้าต้องการอะไรก็บอกฉัน และสองสามวันนี้ฉันจะทำซุปกระดูกให้มากขึ้น กินอะไรก็รักษาตรงนั้น คุณจะได้หายเร็วๆ”
หลังจากมู่เวยเวยล้างหน้าเสร็จ ก็กล่าวว่า “ขอบคุณค่ะ ฉินหม่า”
“คุณหนู คุณเกรงใจเกินไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ฉันควรทำ”
มู่เวยเวยพยุงตัวออกมา ฉินหม่า ตั้งแต่ที่เฉียวซินโยวอาหารเป็นพิษครั้งที่แล้ว คนในตระกูลเย่ก็มองฉันเปลี่ยนไป มีเพียงคุณเท่านั้นที่ยังดีกับฉันมาก
ฉินหม่าหัวเราะเบาๆ “ฉันรู้ว่า คุณหนูเป็นคนจิตใจดี ไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นหรอก อาหารเริ่มเย็นแล้ว คุณรีบทานเถอะ”
“อืม ตกลง”
……
ห้างสรรพสินค้า
เฉียวซินโยวซื้อชุดคนชรามา วิกผมสีเทาและแว่นตาขอบตาดำ จากนั้นเดินเข้าไปในห้องน้ำที่ห้างสรรพสินค้า ผ่านไปสิบนาทีหญิงชราก็เดินออกมา
เธอคิดว่าเธอทำอย่างไร้ที่ติ แต่ไม่คิดเลยว่าทั้งหมดนี้จะตกอยู่ในสายตาคู่หนึ่งจากระยะไกล
“คุณชาย เธอเหมือนจะไปที่แห่งหนึ่ง พวกเราจะตาม?…….ตกลง คุณวางใจ ไม่หายหรอก……”
รถแท็กซี่ขับอย่างรวดเร็วไปยังชานเมืองด้านตะวันออกของเมือง A รถหยุดที่ศูนย์รวมบ้านเช่าขนาดใหญ่ของเมือง A ดูอุดมสมบูรณ์และครึกครื้น
เฉียวซินโยวไปตามที่อยู่ขึ้นไปที่ห้องหนึ่งบนชั้นสาม
“ก๊อกก๊อกก๊อก——”
เสียงของชายคนหนึ่งดังออกมาจากข้างใน “ใคร ใคร มาแล้ว”
เมื่อประตูเปิด ชาย IT ก็สวมกางเกงยาวถึงเข่ายืนอยู่ข้างใน ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “หญิงชรา คุณมาหาใคร ?”
เฉียวซินโยวไม่พูดอะไร ผลักร่างของเขาเดินเข้าไปข้างใน และปิดประตูอย่างรวดเร็ว
“เห้ หญิงชรา คุณมาหาใครกันแน่ เข้ามาในบ้านผมทำไม ?”
เฉียวซินโยวถอดแว่นตาดำ และพูดด้วยความโกรธว่า “รูปภาพล่ะ ? รูปที่ฉันต้องการอยู่ไหน ?”
“คุณเป็นใคร ? เข้ามาก็จะเอารูปภาพ สมองมีปัญหารึเปล่า ?”
“ฉันคือเฉียวซินโยว ของที่ฉันต้องการล่ะ ? แล้วทำไมตั้งนานไม่ติดต่อฉันมา ?”
ชาย IT อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วหัวเราะออกมา “คุณหลอกใครกัน เมื่อวานผมเพิ่งเจอคุณเฉียว และก็เอาของให้เธอไปแล้วด้วย”
เฉียวซินโยวตกตะลึง คุณพูดบ้าอะไร ฉันนี่สิเฉียวซินโยว !พูดจบ เฉียวซินโยวก็ยื่นบัตรประชาชนให้ชายคนนั้นดู
ชายคนนั้นตรวจบัตรประชาชนดู และชื่อบนนั้นก็คือเฉียวซินโยวจริงๆ
ซวยแล้ว หรือว่าจะโดนหลอกแล้ว ?
“ตอนนี้เชื่อรึยัง ? ”เฉียวซินโยวหยิบบัตรประชาชน และถามด้วยความโกรธ “พูดมา เมื่อวานคุณเอารูปภาพให้กับใคร ?”
ชายคนนั้นรู้สึกสับสนเล็กน้อย “ก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง”
มีลักษณะอย่างไร ? เฉียวซินโยวถามจี้
ชายคนนนั้นครุ่นคิด “เธอสวมแว่นกันแดด ผมปิดหน้าครึ่งหนึ่ง มองเห็นไม่ชัด แต่รู้สึกได้ว่าสวยมาก”
เฉียวซินโยวอยากตบเขาสองสามฉาก ทันใดนั้นก็นึกถึงใครบางคน และเปิดรูปถ่ายในโทรศัพท์และถามเขาว่า “ใช่เธอรึเล่า ?”
ชายคนนั้นโน้มตัวมองใกล้ๆ และส่ายหัวว่า “ไม่เหมือนหรอก ผู้หญิงในภาพดูเป็นเด็ก แต่ผู้หญิงคนเมื่อวานดูน่าทึ่งมาก”
น่าทึ่งบ้าไรคุณ ? คุณมองไม่เห็นหน้าเธอยังพูดว่าน่าทึ่ง ? เฉียวซินโยวด่าด้วยความโกรธ ถ้างั้นก็ไม่น่าจะใช่มู่เวยเวย เมื่อวานตอนเช้าเธอไปโรงพยาบาล ตอนบ่ายอยู่บริษัท ไม่มีเวลาแน่ แต่ถ้าไม่ใช่เธอจะเป็นใครกันล่ะ ?
เมื่อคิดได้ไม่เท่าไหร่ เฉียวซินโยวก็พูดกับชายคนนั้นว่า “ตอนนี้คุณ รีบทำสำเนาใหม่ให้ฉันอีกฉบับ”
ชาย IT สะดุ้ง ,“มีสิทธิอะไร คุณคิดว่าทำง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ? ผมใช้เวลาตั้งหลายคืนกว่าจะทำเสร็จ”
“มีสิทธิอะไร ? คุณเอาของให้ผิดคน ถ้าหากมันคุกคามฉันขึ้นมาคุณจะคิดว่าใครกัน ? เฉียวซินโยวขู่อย่างเย็นชา “คุณอย่าลืมสิ ว่าฉันมาที่นี่เพราะคุณชายหนานกงแนะนำมา ถ้าหากว่าคุณไม่ทำ…….”
ชายคนนั้นรู้วิธีการของหนานกงเฮ่าดี และรีบรับทันที ตกลง ผมจะทำให้ใหม่ เพียงแต่ว่าเร็วสุดต้องใช้เวลาประมาณห้าวัน
“ไม่ได้ !ภายในสามวันต้องเอามาให้ฉัน ”
ห้าวันนานไปแล้ว ใครจะรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ?
สามวันคุณจะเอาชีวิตผมเหรอ ? ชายคนนั้นท้วง
เฉียวซินโยวขมวดคิ้ว และเพิ่มข้อเสนอ “ถ้าทำเสร็จในสามวัน ฉันให้คุณเพิ่มอีกห้าพัน เป็นยังไง ?”
ตาของชายคนนั้นเป็นประกาย “ตกลง คำไหนคำนั้น เมื่อถึงเวลาจะให้ผมไปหาคุณที่ไหน ?”
เฉียวซินโยวสวมแว่นตา “คุณไม่ต้องมาหาฉัน ฉันจะมาเอารูปภาพจากคุณเอง”
นี่ที่ เย่ฉ่าวเหยียนได้รับโทรศัพท์จากลูกน้อง เขาครุ่นคิดสักครู่และพูดว่า ไปหาข้อมูลมาว่าชายคนนี้ทำอะไร เอารายละเอียดมา ในเวลาเพียงครึ่งวัน เย่ฉ่าวเหยียนก็ได้รับข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับชาย IT ทั้งหมด
ชาย IT ชื่อหานฉ่าวเผิง อายุ 28 โสด จบมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงภายในประเทศ ทำงานในบริษัทได้ไม่กี่ปีก็ออกมาทำเอง ตอนนี้เขาเป็นแฮ็กเกอร์ไซเบอร์ โดยรับงานด้านอาชญากร โดยส่วนใหญ่ก็บุกรุกเครือข่ายของโรงแรม และบริษัทขนาดใหญ่ และขโมยข้อมูลที่ต้องการมา
เฉียวซินโยวไปหาคนแบบนี้ทำอะไร ?
ทันใดนั้นเย่ฉ่าวเหยียนก็สนใจ และรู้สึกว่าต้องมีความลับใหญ่ซ่อนอยู่ภายใน
……
ในตอนเย็น หานฉ่าวเผิงต้มมาม่ากึ่งสำเร็จรูปหนึ่งคัฟและนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ภายในห้องค่อนข้างมืด ไม่ได้เปิดไฟ
“ก๊อกก๊อกก๊อก——”ด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังอีกครั้ง
หลังเฉียวซินโยวโผล่มาในตอนเช้า ครั้งนี้หานฉ่าวเผิงเริ่มรู้จึงเปิดประตูอย่างระมัดระวังเป็นช่องเล็กๆ และถามผู้ชายที่อยู่ข้างนอกว่า “มาหาใคร ?”
“ใช่หานฉ่าวเผิงไหม ?”
“ใช่ คุณเป็นใคร ”
คนเคาะประตูยกพัสดุในมือขึ้นและพูดว่า “นี่เป็นพัสดุที่ผู้หญิงแซ่เฉียวคนหนึ่งสั่งให้คุณ กรุณาเซ็นรับด้วย”
หานฉ่าวเพิงขมวดคิ้ว ผู้หญิงแซ่เฉียว เฉียวซินโยว ?
เพื่อให้เธอได้รูปพวกนี้โดยเร็วที่สุดจึงทำให้ฉันพอใจขนาดนี้? ในใจของหานฉ่าวเผิงรู้สึกดีใจและภูมิใจเล็กน้อย เปิดประตูออก และพูดว่า “เซ็นตรงไหน ?”
ใครจะรู้ ทันใดนั้นชายที่แข็งแกร่งสองสามคนก็วิ่งออกมาจากข้างหลังของชายคนนั้น และอุ้มเขาเข้าไปเหมือนลูกไก่ตัวน้อย ชายคนที่เคาะประตูใช้เท้าหลังปิดประตู “ปัง” และหันมาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เซ็นบนหน้าผากของคุณ !”
หานฉ่าวเผิงถูกคนสองสามคนผลักลงบนโซฟา แต่ก็ยังกล้าๆหน่อย พวกคุณเป็นใคร ต้องการอะไร ? ระวังผมจะแจ้งความ
ชายคนนั้นเคลียร์โต๊ะกาแฟที่เต็มไปด้วยนิตยสารและนิตยสารความงาม นั่งตรงข้ามเขาและพูดว่า “แจ้งความ ? ดี คุณแจ้งเลย ตำรวจกำลังตามหาคุณสำหรับเรื่องที่ทำมาหลายปีนี้”
ใบหน้าของหานฉ่าวเผิงดูเปลี่ยนไป ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะตรวจสอบเรื่องของเขามาอย่างละเอียด “ถ้างั้นพวกคุณต้องการอะไร ?”
“ง่ายมาก ทำไมเฉียวซินโยวถึงมาหาคุณ บอกฉันมา ฉันจะทำเป็นไม่เคยเจอคุณ”
หานฉ่าวเผิงแสยะคอและพูดว่า “นี่เป็นความลับของลูกค้า ผมบอกคุณไม่ได้ ”
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่สามารถพูดออกไปได้ ถ้าพูดแล้วหนานกงเฮ่าสับเขาเละแน่
ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็ตบหน้าเขาด้วยกริชที่ดึงออกมาจากเอวและพูดว่า “โอ้ รู้เรื่องเหมือนกันนะ ถ้าหากว่าฉันต้องการรู้ให้ได้ล่ะ ?”
“ตีให้ตายผมก็ไม่พูด”
ชายคนนั้นหยิบตาให้ชายแข็งแกร่งข้างกายสองสามคน ทันใดนั้นหมัดและรองเท้าก็ลงไปทักทายบนตัวเขา เมื่อโดนเขาก็ร้องลั่นออกมา
เกือบหนึ่งนาทีต่อมา การต่อสู้รอบแรกก็หยุดลง ใบหน้าและตาของหานฉ่าวเผิงบวมแดง
“พูดมา จะได้ทุกข์น้อยลง”
ไม่พูด ก็คือไม่พูด เมื่อเทียบกับคำขู่ฆ่าของหนานกงเฮ่า แค่นี้จะเป็นไรไป ?
ดังนั้นจากการต่อสู้ทั้งสามรอบ จมูกและปากของหานฉ่าวเผิงก็มีเลือดไหลออกมา แต่เขาก็ยังปากแข็งไม่พูด
ชายคนนั้นเห็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปวางอยู่บนมุมโต๊ะ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “บะหมี่ของคุณนี่ดูจืดชืดไปรึเปล่า แม้แต่เนื้อก็ไม่มี มาพี่ชายจะเพิ่มเนื้อให้คุณเอง”
หานฉ่าวเผิงไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร มีชายฉกรรจ์สองสามคน เห็นคนสองคนจับมือขวาของเขาวางไว้บนโต๊ะ ชายคนนั้นทำท่าถือมีดออกมาและพูดว่า “พวกคุณเล่นคอมพิวเตอร์ นิ้วที่ใช้มาที่สุดคือนิ้วชี้ ถ้างั้นก็ตัดนิ้วชี้ ละกัน น่าจะเคี้ยวสนุก”
“พวกคุณจะทำอะไร ? อย่าแตะต้องตัวผม…….”หานฉ่าวเผิงตะโกนและต้องการพยายามหนีจากมือที่แข็งแกร่ง แต่เขาเป็นฝ่ายตรงข้าม และเมื่อเห็นว่ากริชกำลังจะตัดออก เขาตกใจจนเหงื่อออกเย็นไปทั้งตัวและตะโกนว่า “อย่าอย่า อย่าตัด ผมพูดผมพูดแล้ว”
ชายคนนั้นเลิกคิ้ว กริชยังคาอยู่ที่นิ้วของเขา “พูดจริงเหรอ ? ฉันไม่ฟังคำโกหกหรอกนะ”
“บอกแล้ว ผมบอกความจริงแน่ พี่ชาย คุณก็ปล่อยผมไปเถอะนะ ”
ชายคนนั้นวางกริชลง “พูดมาตั้งแต่แรกไม่ดีเหรอ ? ทำให้ทุกคนเสียเวลาจริงๆ พูดมา”
หานฉ่าวเย่ถูนิ้วที่ดึงออกมา และพูดอย่างอายๆว่า “คุณเฉียวมาหาผม อยากให้ผมทำรูปให้สองสามรูป”
“รูปอะไร บอกเหตุผลมาให้ฉันอย่างชัดเจน !”ชายคนนั้นไม่พอใจกับคำตอบของเขา
หานฉ่าวเผิงมองเขาอย่างระมัดระวัง และเริ่มพูดตั้งแต่ต้น
ปรากฎว่าเมื่อสิบกว่าวันก่อน หนานกงเฮ่ามาหาเขา ขอให้เขาแฮ็กระบบกล้องวงจรปิดของโรงแรมนานาชาติ CK และยังให้เรียกคืนภาพจากกล้องวงจรปิดเมื่อสองเดือนก่อน ในตอนนั้นภาพเสียหายหนักมาก แต่หานฉ่าวเผิงกำลังทำงานชิ้นนี้อยู่ ใช้เวลาหลายวันถึงจะกู้คืนรูปเดิมได้ จากนั้นหนานกงเฮ่าก็บอกเขาว่า เมื่อถึงเวลาจะมีผู้หญิงติดต่อเขามา ผู้หญิงคนนั้นก็คือเฉียวซินโยว
เฉียวซินโยวขอให้หานฉ่าวเผิงใช้ภาพจากกล้องวงจรปิดทำรูปออกมาสักสองสามรูป เขาทำงานเพื่อนเงินจึงไม่ถามอะไรมาก เมื่อรูปเสร็จเมื่อวานก็ส่งให้ผู้หญิงคนหนึ่งไป แต่ไม่คิดเลยว่าจะส่งผิด วันนี้เฉียวซินโยวมาหา บอกให้เขาทำให้ใหม่อีกฉบับ
ภายในรถ ชายคนนั้นส่งแฟรชไดร์ฟให้เย่ฉ่าวเหยียน และพูดด้วยความเคารพว่า “เรื่องก็เป็นแบบนี้ ผมเตือนหานฉ่าวเผิงไปว่าให้เขาทำสิ่งที่ควรทำ แล้วก็ทำเป็นว่าวันนี้ไม่เคยเจอผม”
เย่ฉ่าวเหยียนพยักหน้า อืม ทำได้ดีมาก และรับแฟรชไดร์ฟไป
ระบบคอมพิวเตอร์ในรถยนต์ ภายในปรากฎภาพฉากหนึ่งขึ้นมา
ตอนค่ำประมาณสองทุ่ม มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าไปในโรงแรมนานาชาติ CK ห้อง 1026 แสงทางเดินมืดเกินไปที่จะมองเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น แต่เมื่อมองไปที่รูปร่างและท่าทางการเดินของเธอ เย่ฉ่าวเหยียนก็รู้สึกคุ้นเคยมาก
หนานกงเฮ่ากับเฉียวซินโยวจะใช้วิดิโอนี้ทำอะไร ?
คุณชาย เรื่องนี้พวกเราต้องสนใจไหม ? ชายคนนั้นถาจากที่นั่งด้านหน้า
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มอย่างแผ่วเบา “หมายของเฉียวซินโยวตอนนี้ไม่ใช่เย่ฉ่าวเฉินก็คือมู่เวยเวย มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน จะสนใจมากไปทำไม ?”
“ครับ ผมทราบแล้ว”
เย่ฉ่าวเหยียนดึงแฟรชไดร์ฟออกมา และพูดกับเขาว่า “เฝ้าดูเปลี่ยนแปลงไว้ จับตาดูเฉียวซินโยว ถ้าหากว่าเธอทำอะไรมู่เวยเวยเหมือนครั้งที่แล้ว ถ้าหากฉันไม่อยู่ที่นั่น คุณต้องหยุดมันเอาไว้”
“ครับ”
เย่ฉ่าวเฉินบอกไม่ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับมู่เวยเวย บางทีอาจจะเป็นเพราะป่วยเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงรู้สึกอยากใกล้ชิดกับเธอ
ถึงแม้ว่าพี่ชายเธอจะคือมู่เทียนเย่ แต่เขาแยกแยะได้ว่าใครถูกใครผิด เขาจะไม่มีวันเกี่ยวข้องกับผู้บริสุทธิ์
……
พูดถึงมู่เวยเวย
กลางวันวาดรูปออกแบบภาพอยู่ในห้องทั้งวัน จู่ก็นึกถึงรูปภาพเมื่อวานได้ ในห้องของเฉียวซินโยวจะมีเบาะแสอะไรไหมนะ ?
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา ก็ไม่สามารถสลัดออกไปได้ ไม่กี่นาทีต่อมา มู่เวยเวยก็โยนดินสอในมือทิ้ง และเดินออกจากห้องนอนพร้อมไม้ค้ำ ตอนนี้หลังห้าโมงเย็น จากบริษัทมาคฤหาสน์ อย่างน้อยต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เฉียวซินโยวกับเย่ฉ่าวเฉินคงยังอยู่ระหว่างทาง
ชั้นล่าง ฉินหม่ากำลังทำอาหาร คุณอาหวังกำลังสั่งให้คนรับใช้ตักหญ้า คฤหาสน์ทั้งหลังว่างปล่าไม่มีใคร มู่เวยเวยสงบลงและเดินไปที่ห้องพักรับแขกชั้นสองมุมสุด…….
ค่อยๆบิดล็อค ประตูเปิดออก เธอไม่ได้ล็อคไว้ ?
มู่เวยเวยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และรีบเข้าห้องและปิดประตูไป
ห้องของเฉียวซินโยวนั้นดูเรียบง่ายมาก ของก็เป็นของคฤหาสน์แต่เดิมอยู่แล้ว มู่เวยเวยพลิกหมอน และลิ้นชัก แต่ก็ไม่พบของที่น่าสงสัย
จะอยู่ในตู้เสื้อผ้าไหมนะ ?
เดินไปทีละก้าว เปิดตู้เสื้อผ้าออก ข้างในเต็มไปด้วยเสื้อผ้าของเฉียวซินโยว…….
“คุณกำลังหาอะไร ?”
“อ๊ะ——”มู่เวยเวยสะดุ้งจากเสียงที่อยู่ข้างหลังเธอ เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นเสี่ยวจื่อที่ไม่ได้เห็นมานานยืนอยู่ที่หน้าต่างมองเธอด้วยรอยยิ้ม
“แม่ฉันสิ เสี่ยวจื่อ คุณเกือบทำให้ฉันตกใจตายแล้ว มู่เวยเวยตบหน้าอกและหอบ “ครั้งหน้าถ้าคุณปรากฎตัวขึ้นมาช่วยทักทายฉันก่อนได้ไหม ? ไม่งั้น ไม่ช้าก็เร็วฉันได้ตกใจคุณจนหัวใจวายตายแน่ ”
เสี่ยวจื่อลอยไปหาเธอด้วยรอยยิ้ม และมองเธออย่างสงสัย “คุณมาทำอะไรที่นี่ ?”
“หาของ”มู่เวยเวยจับไปที่กระเป๋าเสื้อผ้า และพูดเบาๆว่า คุณอย่าส่งเสียง ถ้าหากว่ามีคนมาจะแย่เอา
“คุณหาอะไร ฉันจะช่วยคุณหา”
มู่เวยเวยยิ้มอย่างขมขื่น “ที่จริงฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองหาอะไร คุณช่วยไม่ได้หรอก ”พูดไปพลางค้นตู้เสื้อผ้าไป และเธอก็สะดุดตาเข้ากับกระเป๋าแพงๆสองสามใบ
ยังไม่ทันลงมือ กระเป๋าหลายใบก็เปิดออกเองและมาอยู่ที่หน้ามู่เวยเวย
“เสี่ยวจื่อ คุณเยี่ยมมาก !ทักษะของคุณก้าวหน้าขึ้นแล้ว ?”
“คุณรีบหน่อย ผมเพิ่งเรียนรู้ ทนได้อีกไม่นาน” เสี่ยวจื่อเร่งรีบ
มู่เวยเวยไม่พูดไร้สาระ และรีบดูในกระเป๋า ใบแรกไม่มี ใบที่สองไม่มี เมื่อถึงใบที่สาม ก็พบการ์ดเล็กๆหนึ่งใบ ด้านบนเขียนที่อยู่ไว้
ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงของฉินหม่าดังมาจากข้างล่าง “คุณเฉียว คุณกลับมาแล้วเหรอ ? คุณชายล่ะ ?”
“ไม่รู้” เฉียวซินโยวเดินขึ้นบันไดมา
ใจของมู่เวยเวยดัง ‘ตุบตุบตุบ’ ขึ้นมา ทำไมเธอถึงกลับมาเร็วขนาดนี้นะ ?
จบแล้วจบแล้ว ตัวเองยังอยู่กับไม้ค้ำ ไม่มีทางวิ่งออกไปได้
เดี๋ยวก่อน ยังมีเสี่ยวจื่ออยู่นี่ ?
“เสี่ยวจื่อ รีบมาช่วยฉันหน่อย” มู่เวยเวยดึงแขนและขอร้องเขา
“ช่วยยังไง ?”
“รีบพาฉันออกไปจากที่นี่”
“ขอร้องฉันสิ” เสี่ยวจื่อยิ้มหัวเราะ
มู่เวยเวยประสานมือทั้งสองข้าง “ท่านเซียนเสี่ยวจื่อ ขอร้องคุณล่ะ”
เสี่ยวจื่อพยักหน้าด้วยความพอใจ จับแขนของเธอและพูดว่า “หลับตา”
มู่เวยเวยหลับตา พลางปิดตู้เสื้อผ้าและพูดว่า “อย่าลืมไม้ค้ำของฉัน”
ทันทีที่พูดจบ ประตูก็ถูกผลักออกจากข้างนอก เฉียวซินโยวเขวี้ยงกระเป่าไปด้วยความโกรธที่ไม่สามารถระบายได้
วันนี้เป็นวันที่มีแต่อุปสรรค์จริงๆ อย่างแรกไม่ได้รูปถ่าย เมื่อถึงบริษัท เพื่อนร่วมงานก็ทำราวกับเธอเป็นหายนะ ทุกคนเดินไปรอบๆเธอ แน่นอนว่าทัศนคติของพวกเขาเธอไม่ได้ใส่ใจ คนสำคัญคือเย่ฉ่าวเฉิน
เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน เธอก็นำอาหารที่ซื้อมาขึ้นไปส่งให้เขา แต่ก็เห็นกล่องอาหารวางอยู่บนโต๊ะแล้ว เย่ฉ่าวเฉินยังบอกเธออีกว่า ต่อไปถ้าหากไม่มีเรื่องงาน ห้ามเข้ามาในห้องประธาน พนักงานจะซุบซิบนินทาได้
อารมณ์ของเฉียวซินโยวในตอนนั้นเรียกว่าหดหู่ ซุบซิบนินทา ? เมื่อก่อนทำไมเขาถึงไม่พูดแบบนี้ ? ยังอยู่ในห้องทำงานกับเธอกับฉันไม่ใช่เหรอ ?
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เธอก็จะมาหาเขาและกลับบ้านพร้อมกัน และจะกินอาหารที่ห้องแบบปิดอีกครั้ง เลขาหลิวก็บอกว่าประธานเย่ออกไปก่อนแล้ว
เย่ฉ่าวเฉินเริ่มเย็นชากับเธอมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว สิ่งที่เกลียดคือ รูปภาพไม่รู้ว่าถูกใครเอาไปแล้ว ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ในตอนนี้จะพลิกผัน
……
สายลมเย็นๆพัดเข้าหูของเธอ จากนั้นไม่กี่วินาที เสี่ยวจื่อกระซิบว่า “ถึงแล้ว”
มู่เวยเวยลืมตาขึ้นมามองเห็นห้องของตัวเอง รีบเดินไปทรุดที่เตียง ตับยังคงสั่นไหว ฉันไม่ใช่คนไม่ดีจริงๆ ท้าทายความรู้สึกของคนเกินไปแล้ว
เสี่ยวจื่อเดินวนอยู่ในอากาศ “สรุปแล้วคุณหาอะไรกันแน่ ?”
มู่เวยเวยมองไปที่เพดานห้องและพูดพลางถอนหายใจว่า เสี่ยวจื่อ ฉันไม่อยากเล่าปัญหาเหล่านี้ให้คุณฟัง ว่าแต่คุณ ช่วงนี้คุณยุ่งอะไร ?
เสี่ยวจื่อลงมา และนอนบนเตียงเลียนแบบเธอ “แน่นอนว่าฉันเรียนคาถาอยู่ และยังเป็นคาถาชั้นสูงด้วย”
มู่เวยเวยมองไปที่หน้าของเขาและถามด้วยความสงสัยว่า “ขั้นสูงแค่ไหน ?”
“อันนี้ไม่สามารถบอกคุณได้ รอผมประสบความสำเร็จ ผมจะแสดงให้คุณดู”
“ตกลง——”
……
สามวันต่อมา เฉียวซินโยวก็ปรากฎตัวที่หน้าประตูของหานฉ่าวเผิงอีกครั้ง เมื่อได้รูปภาพที่รอมานาน ก็หยิบออกมาดู และเห็นว่าเป็นสิ่งที่เธอต้องการ จึงให้เงินเขาอย่างคนใจกว้าง เธอเดินและถามไปด้วยว่า “ตาของคุณเป็นอะไรไป ?”
หานฉ่าวเผิงหันหน้ามา และพูดอย่างไม่เป็นธรรมชาติว่า “โดนชน”
แน่นอน เฉียวซินโยวไม่สนใจหรอกว่าเขาชนจริงหรือชนปลอม ในตอนนี้ในใจเธอมีแต่ความตื่นเต้นที่จะเผยแพร่ภาพพวกนี้
ตามที่วางแผนไว้ล่วงหน้า เฉียวซินโยวได้คัดลอกรูปภาพเหล่านี้เยอะมาก แบ่งส่งไปยังสถานีโทรทัศน์ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ยังมีอินเตอร์เน็ตใหญ่อีหลายแห่งในเมือง A รวมถึงสาเหตุและผลกระทบทั้งหมดด้วย หลังจากนั้นก็โทรไปหาหนานกงเฮ่า
“ผมทำในสิ่งที่ควรทำเสร็จแล้ว ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว”
คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องผม
……
บ่ายวันนั้น แทบจะในเวลาเดียวกัน พาดหัวข่าวของสื่อทั้งหมดในเมือง A ล้วนเป็นเรื่องของข่าวฉาวแฟนสาวของเย่ฉ่าวเฉินที่มีข่าวลือ
ขณะเดียวกันมู่เวยเวยกำลังนั่งออกแบบวาดภาพอยู่ในสวนดอกไม้ เย่ฉ่าวเฉินก็หยิบแท็บเล็ตเดินมาส่งให้เธอ ด้วยสีหน้าแปลกๆและพูดว่า “รีบดูเร็ว ข่าวฉาวแฟนสาวของพี่ชายผม”
มู่เวยเวยสะดุ้ง “ข่าวฉาวแฟนสาว ? ใครกัน ?”
“คุณดูเองเถอะ”
มู่เวยเวยหยิบแท็บเล็ตขึ้นมา ข้างบนเขียนได้น่าอ่าน:ประธานบริษัทเย่ฮวางเย่ฉ่าวเฉินเปิดห้องกับผู้หญิงคนหนึ่ง
“ตามแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เมื่อสองเดือนก่อน เย่ฉ่าวเฉินนัดสาวงามแซ่เฉียวไปเปิดห้องที่โรงแรมสุดหรูในเมือง A หลังจากแต่งงานแล้ว แต่ก็ยังลืมรักเก่าไม่ได้ และไฟเขียวให้สาวงามแซ่เฉียวเข้าบริษัท เข้าออกคู่กัน มีหนักงานของเย่ฮวางโพสต์อีกว่า ความสัมพันธ์ของเย่ฉ่าวเฉินกับภรรยาเขามู่เวยเวยขัดแย้งกันมานาน พวกเขาสองคนแต่งงานทางธุรกิจ จุดประสงค์คือการได้รับเงินทุนจำนวนมากสำหรับบริษัทมู่……สรุปข้อมูลในแง่มุมต่างๆ บรรณาธิการเชื่อว่า เย่ฉ่าวเฉินกับสาวงามแซ่เฉียวรู้จักกันมาก่อน และทั้งสองตกหลุมรักกัน อย่างไรก็ตามก็ถูกมู่เวยเวยมาคั่นกลางไว้ ซึ่งมันเป็นพฤติกรรมของเมียน้อย…..”
หลังจากมู่เวยเวยอ่านเบาๆ ก็หัวเราะออกมา และชี้ไปที่ตัวเอง “ฉัน…..ฉันเป็นเมียน้อย นักข่าวคนนี้น้ำท่วมสมองรึเปล่า ?”
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ผู้คนตอนนี้ล้วนสนใจแต่เรื่องสนุก จะมีใครมาสนใจเรื่องจริงกัน”
“รอเดี๋ยว……..”มู่เวยเวยขยายรูปหน้าจอ และมองเห็นภาพสองสามภาพที่ดูคุ้นตา นี่คือภาพที่เธอนึกอยู่ภายในใจ “รูปนี้……”
สายตาของเย่ฉ่าวเหยียนเป็นประกาย “รูปภาพทำไมเหรอ ?”
มู่เวยเวยรีบส่ายหัว ไม่มีอะไร “แค่รู้สึกว่ามันดูปลอมมาก ระยะไกลขนาดนี้และแสงก็มืดมาก ใครจะเห็นว่าคนในรูปถ่ายเป็นใคร ? นักข่าวพวกนี้มีความรู้และเงินที่มากเกินล่ะสิ”
เธอไม่อยากบอกเย่ฉ่าวเหยียนเกี่ยวกับรูปภาพพวกนี้ ในเมื่อตอนนี้ก็ออกมาแล้ว พูดไปก็ไร้ประโยชน์
เย่ฉ่าวเฉินเอ๊ะขึ้นมา และพูดต่อว่า “ถ้างั้นคุณจะทำยังไงต่อไป ?”
มู่เวยเวยแปลกใจ “ฉันต้องทำอะไรเหรอ ?”
“ไม่เพียงแต่เว็บไซต์นี้เท่านั้น ตอนนี้รายงานทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ใช้ต้นฉบับนี้ เห็นได้ชัดว่ามีคนซื้อสื่อเพื่อโฆษณาเรื่องนี้ และต้องการหาผลกำไรจากมัน และคนพวกนี้เอาคุณมาตอกย้ำความอับอายว่าเป็นเมียน้อย คุณไม่ต้องการลบล้างมันเหรอ ? ”
มู่เวยเวยขมวดคิ้วครุ่นคิดสักครู่ และพูดอย่างจริงจังว่า “ฉ่าวเหยียน ฉันจะบอกความจริงกับคุณ แต่คุณห้ามไปบอกคนอื่น”
“คุณพูดมา ผมสาบานว่าจะไม่บอกใคร” เย่ฉ่าวยกสามนิ้วขึ้นมา
มู่เวยเวยมองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นใครจึงพูดทั้งอารมณ์ว่า “คุณก็เห็นชีวิตของฉันที่นี่แล้ว เย่ฉ่าวเฉินแต่งงานกับฉันเหตุผลหลักคือใช้ฉันล่อพี่ชายฉันออกมา ฉันไม่รักเขา เขาก็ไม่ได้รักฉัน และแม้ว่าจะไม่รัก เขาก็อย่าทำร้ายฉัน แต่ความเป็นจริงล่ะ ? ในตอนที่คุณยังไม่กลับมา ฉันมีชีวิตที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายอีก หลายครั้งที่เกือบเอาชีวิตไม่รอด ฉันใช้ชีวิตอยู่บนปลายมีดแทบทุกวัน กลัวว่าเขาจะไม่ระวังทำมีดหล่นลงมา ฉันไม่กลัวตาย ฉันแค่ไม่อยากตายแบบนี้ มันไม่คุมกันเลย”
เย่ฉ่าวมองไปที่ใบหน้าสงบสุขของเธอโดยหันศีรษะไปข้างๆ และเขาก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กภายในใจ
“คุณกลัวเขามากเหรอ ?”
ดวงตาของมู่เวยเวยมีความรู้สึกแปรปรวน “ถ้าไม่เพราะมีพี่ชายสนับสนุนฉันอยู่ ฉันก็คงเจอยมทูตหลายครั้งแล้ว คุณไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ เพื่อที่จะหนีเขา ฉันเคยโดดตึก ไม่กินข้าว ชนกำแพง แต่ก็ไร้ประโยชน์ เขาเป็นพี่ชายคุณ คุณอาจจะคิดว่าฉันพูดเกินไป แต่นี่คือเย่ฉ่าวเฉิน ฉันถูกเขากดจมในสระน้ำ และถูกเขาทำให้ขาหัก และโดนลูกน้องเขาทั้งสี่คนดูถูก…..ปีศาจเช่นนี้ คุณคิดว่าฉันจะกลัวไหม ?”
เปลือกตาของเย่ฉ่าวเหยียนกระตุกขึ้น พี่ชายคนโตของเขา…..ปฎิบัติต่อเธออย่างโหดร้าย………
ในตอนแรก เขาทรมานฉันคนเดียว ต่อมาก็มีเฉียวซินโยวเพิ่มเข้ามา เธอร้ายกาจมาก เพื่อที่จะใส่ร้ายฉัน ไม่กลัวที่จะกระโดดลงไปชั้นล่าง วางยาพิษตัวเอง……ฉันพูดอะไรก็ผิดไปหมด เพราะว่าเดิมทีในจิตใจของเย่ฉ่าวเฉินฉันมันมีความผิดอยู่ในนั้น
“ตอนนี้เปิดโปงเรื่องนี้ออกมา คุณถามฉันว่าไม่ต้องการลบล้างเหรอ ? ทำไมฉันต้องลบล้าง ฉันมีความสุขมากแล้ว”
“นี่ช่างเป็นโอกาสที่ดีสำหรับฉัน ฉันไม่สนว่าใครจะสมคบคิด ใครจะทำอะไร ? ตราบใดที่สามารถบังคับให้เย่ฉ่าวเฉินหย่ากับฉันได้ ถึงแม้จะถูกผู้คนตราหน้าว่าเป็นเมียน้อย มันจะเป็นไรไปล่ะ ? ฉันเองก็มีมโนธรรมที่ชัดเจน”
“สังคมในปัจจุบัน ผู้คนล้วนใฝ่หาวัฒนธรรมอาหารเร่งด่วน ผ่านไปสองวันเมื่อมีข่าวใหม่ออกมา ฉันคิดว่าผู้คนก็คงลืมไปหมด ฉันก็สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ ฉันขอเรื่องแบบนี้ไม่ได้ !งั้นก็ให้เขาสองคนอยู่ด้วยกันเถอะ นี่เป็นจุดจบที่ดีที่สุดที่ฉันต้องการ”
เมื่อมู่เวยเวยพูดจบ ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก เธอไม่ได้พูดเรื่องแบบนี้กับเพื่อนมานานเท่าไหร่แล้ว
ฉ่าวเหยียน ขอบคุณมากที่คุณฟังฉันเยอะขนาดนี้
เย่ฉ่าวเฉินเป็นคนที่ยากที่จะจริงจัง เขาอยากเดินไปตบไหล่มู่เวยเวย เพื่อปลอบเธอ แต่ก็รู้สึกผิด ถึงยังไงในตอนนี้เธอก็เป็นพี่สะใภ้ของเขาแล้ว