เหอเหม่ยหลิงทำงานด้านการจัดการห้างสรรพสินค้าเป็นเวลาหลายปีและแน่นอนว่าเธอต้องเข้าใจเหตุผลเหล่านี้ดี
ในตอนนี้มู่เวยเวยไม่ได้เป็นลูกน้องในมือของเธอ แต่เป็นภรรยาของประธานเย่ แน่นอนว่าจำเป็นต้องไว้หน้าเขา
“โอเค เวยเวย ครั้งนี้ฉันอยากจะขอบคุณคุณ หากไม่มีคุณทีมของเรามีโอกาสที่จะชนะในครั้งนี้น้อยมาก”
มู่เวยเวยยิ้มอย่างมีความสุข“ประธานเห่อ คุณอย่าชมฉันเลย ถ้าขืนยังชมฉันอีกเดี๋ยวฉันไปไม่ถูก ถ้าอย่างนั้นหมดแก้วแล้วกัน”
จากนั้นก็เงยหน้าดื่มไวน์แดงไปครึ่งแก้ว เสียง “อึก อึก” ดังขึ้นพร้อมกับไวท์ที่ลงท้องเธอไป เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้ามองคอขาวบางของเธอ
ค่อยๆเผาไหม้ …
ต่อมา ตราบใดที่มีคนมาชนแก้วกับเย่ฉ่าวเฉิน ไวท์ทั้งหมดก็จะลงไปในท้องของมู่เวยเวย เธอได้กินอาหารอร่อยๆเพียงไม่กี่คำตลอดทั้งคืนและเอาแต่ดื่มแทนคนอื่น
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินเห็นเธอเมาได้ที่และกำลังเขย่าหัวไปมาแถมยังเกือบชนโต๊ะอาหารหลายครั้ง ในใจก็คิดขึ้นมาว่าควรถึงเวลาแล้ว
“มู่เวยเวยเรากลับกันเถอะ” เย่ฉ่าวเฉินกระซิบข้างหูของเธอ
หลังจากนั้นมู่เวยเวยก็ผลักเขาออกไปและพูดว่า “ฉันไม่กลับ ฉันจะดื่มไวน์ ไวน์นี้อร่อยจัง”
เย่ฉ่าวเฉินรีบจับมือเธอเพื่อคว้าแก้วไวน์และจับเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา “เรากลับไปดื่มกัน ไวน์ที่บ้านอร่อยกว่าเยอะ”
“คุณโกหก ฉันไม่กลับหรอก” มู่เวยเวยชกหน้าอกของเขาด้วยกำปั้นเล็กๆผ่านเสื้อเชิ้ตตัวบางแล้วหยอกล้อกับความปรารถนาที่รอคอยมานานของเขา
“เป็นเด็กดีนะ ผมอุ้มคุณกลับบ้าน” เสียงของเย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างนุ่มนวล เพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆต่างมองและพากันอิจฉา
“ประธานเห่อ ประธานหลี่ คุณกับเพื่อนร่วมงานตามสบายเลย ผมขอตัวส่งเวยเวยกลับก่อน”
“ได้เลย ประธานเย่เดินทางปลอดภัย” หลีจื่อเจี๋ยพูดอย่างรวดเร็ว
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้าให้ทุกคน สายตาของเขากวาดไปที่เฉียวซินโยวที่กำลังเมาเหมือนกัน ท่าทางการแสดงออกของเขาไม่เปลี่ยนไปเลย เขาก้มตัวลงคลุมชุดสูทของตัวเองให้กับมู่เวยเวย จากนั้นก็อุ้มเธอแล้วเดินออกไป
“โอ้ … ประธานเย่ช่างสมบูรณ์แบบจริงๆ … ฉันอิจฉามู่เวยเวยจัง” เพื่อนร่วมงานหญิงคนหนึ่งพูดออกมาภายใต้เสียงที่อยู่ในใจของผู้หญิงหลายๆคน
“ใช่ เวลาหาสามีต้องหาแบบประธานเย่ ทั้งมีอำนาจทั้งอ่อนโยน เธอเห็นแววตาของเย่ฉ่าวเฉินตอนที่เธอมองไปที่เวยเวยไหม?หวานจนแทบจะฆ่ากันเลย … ”
“อ่า ไม่ได้ ไม่ได้การแล้ว ฉันก็อยากมีความรัก … ”
เฉียวซินโยวเมามากแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด ทันใดนั้นเขาก็กระแทกแก้วในมือของเขา “ฉันจะบอกพวกเธอให้ ไม่ช้าก็เร็วฉันจะแย่งเขามา!”
จู่ๆบรรยากาศที่คึกคักรอบโต๊ะอาหารที่มีชีวิตชีวาก็เงียบหายไป ทุกคนมองเธอด้วยท่าทางแปลก ๆ ฉากต่างๆดูเข้าที่มาก
เหอเหม่ยหลิงกลัวว่าเธอจะพูดอะไรออกมาอีก จึงรีบบอกเพื่อนร่วมงานผู้หญิงทั้งสองคนในแผนกทันที“เฉียวซินโยวเมาแล้ว เสี่ยวจาง คุณกับลีน่าพาเธอออกไปก่อนและถามว่าเธอพักที่ไหน”
“โอเค ได้”
“อย่าแตะต้องตัวฉัน ฉันจะดื่มต่อ … ฉันสาบาน ฉันต้อง … ” เสี่ยวจางปิดปากของเธออย่างรวดเร็วและพูดว่า “เฉียวซินโยว คุณเมาแล้ว เราจะพาคุณไปตั้งสติ”
หลังจากฉุดกระชากลากถู ในที่สุดเฉียวซินโยวก็ถูกทั้งสองนำตัวออกมาได้
พวกเขาต่างนั่งอยู่ในห้องรับแขกของร้านอาหาร เฉียวซินโยวนอนลง เสี่ยวจางลูบแขนที่เมื่อยของเธอแล้วบ่นว่า “เธอว่าเขาบ้าไปแล้วเหรอ เรื่องนั้นเพิ่งผ่านไป ประธานเห่อก็แสดงท่าทีออกมาแล้ว เขายังไม่สนใจแถมยังดื้อดึงอีก เขาจะทำอะไรกันแน่ ”
ลีน่าเช็ดเหงื่อด้วยทิชชู่ มองไปที่เฉียวซินโยวแล้วพูดว่า “เขาพูดว่าอะไรนะ? อยากแย่งประธานเย่มา เขาไม่ดูตัวเองเลย ทำอย่างกับว่าตัวเองสวยกว่ามู่เวยเวย แต่เอาเข้าจริงๆนิสัยใจคอเขาก็แย่กว่าเยอะ อีกทั้งยังไม่มีความสามารถเท่ามู่เวยเวย แบบนี้ยังอยากแย่งประธานเย่เหรอ? เห้อ ”
“พระเจ้า… โชคดีที่ประธานเย่จากไปแล้ว ถ้าเขายังอยู่ที่นั่นหนังเรื่องนี้ก็คงจะสนุกน่าดู” เสี่ยวจางพูดอย่างซุบซิบ
“พอแล้ว หยุดพูดได้แล้ว คิดก่อนว่าจะทำยังไงกับเธอดี”
ทำเอาพวกเขาสองคนปวดหัวทีเดียว เหอเหม่ยหลิงเดินไป
“ประธานเห่อ ควรทำยังไงกับเฉียวซินโยวดี” เสี่ยวจางถาม พวกเขาต่างรู้ว่าเฉียวซินโยวอาศัยอยู่ในบ้านของเย่ฉ่าวเฉิน แต่ถ้าโทรหาเย่ฉ่าวเฉินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
เหอเหม่ยหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วขมวดคิ้วและพูดว่า “ตึกข้างๆเป็นโรงแรม เปิดห้องให้เธอพักสักคืนไหม”
“ก็คงต้องเป็นแบบนั้น”
…
เมื่อมู่เหว่ยเหว่ยเมาจะมีนิสัยประหลาด นั่นคือเธอชอบร้องเพลง อาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่ไม่สมบูรณ์แบบของเธอเลยไม่เคยกล้าร้องต่อหน้าคนแปลกหน้า ดังนั้นเธอจึงปล่อยตัวเองเฉพาะตอนที่เมาเท่านั้น
ในรถเย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ใครบางคนด้วยความปวดหัวเพราะเขากำลังร้องโหยหวนอย่างน่ากลัว ในที่สุดก็เข้าใจสิ่งที่เธอพูดประโยคนั้นก่อนจะเมา ทำให้ตอนนี้เขาอยากจะทิ้งเธอไว้ข้างถนนจริงๆ
“กะหล่ำปลีน้อย … สีเหลืองทั้งพื้น … สองหรือสามขวบ … แม่ที่ตาย … ” มู่เวยเวยร้องเพลงผ่านหน้าต่าง เย่ฉ่าวเฉินสาบานว่าเขาไม่เคยได้ยินเสียงใครที่ร้องเพลงได้แย่ขนาดนี้มาก่อน
“มู่เวยเวยหยุดร้องสักพักได้ไหม?” เย่ฉ่าวเฉินตะโกนใส่เธอ
แรงกระตุ้นและความปรารถนาเล็กๆก่อนที่จะอุ้มขึ้นรถถูกเธอกวาดหายไปหมด แล้วทำไมเขาถึงไม่รู้ว่าเวลาเธอเมาแล้วจะกลายเป็นสภาพนี้
มู่เวยเวยจ้องกลับมาที่เขาหลังจากร้องเพลงจบ “คุณ … คุณมีสิทธิ์อะไรไม่ให้ฉันร้อง”
“เสียงแย่มาก”
“แย่เหรอ? ฉันว่าเสียงดีออก” มู่เวยเวยส่ายหัวและอ้าปากอีกครั้ง “กะหล่ำปลีน้อย … ”
เย่ฉ่าวเฉินไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาจึงดึงเธอเข้ามาแล้วเอามือปิดปากเธอไว้ “เลิกร้องได้แล้ว”
เพราะมู่เวยเวยดื่มไวน์จนเมา เธอจึงไม่ค่อยมีสตินัก ปากที่ค้างอยู่ของเธอจึงกัดนิ้วของเขาทันที
“อ๊าก มู่เวยเวย เธอเป็นหมาหรือไง?”เย่ฉ่าวเฉินหายใจเข้าลึกๆจากนั้นให้เธออ้าปากแล้วเอานิ้วออกมา นิ้วของเขาเห็นถึงรอยฟันอย่างชัดเจน
“ใครสั่งให้คุณไม่ให้ฉันร้องเพลง” หลังจากที่มู่เวยเวยพูดประโยคนี้จบ เธอก็เกาะเข้ากับกระจกรถแล้วร้องเพลง”กะหล่ำปลีน้อย” ของเธอต่อ
เย่ฉ่าวเฉินยอมแพ้โดยสิ้นเชิง เมื่อเธอร้องเพลงวนมาถึงรอบที่สาม เขาก็พูดเชิงแนะนำว่า “มู่เวยเวย คุณเปลี่ยนเพลงได้ไหม”
มู่เวยเวยดูเหมือนจะกำลังนึกเพลงในหัวอย่างจริงจัง นึกแล้วนึกอีก จากนั้นหัวของเธอก็ซบลงบนไหล่ของเขาและหลับไป
เย่ฉ่าวเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้ารู้ว่าวิธีนี้ใช้ได้ผล หูของเขาคงไม่ต้องทนฟังนานขนาดนี้
เมื่อมาถึงบ้าน เย่ฉ่าวเฉินก็อุ้มเธอขึ้นไปชั้นบนและโยนเธอลงบนเตียงทันที จากนั้นก็หันหลังจากไป
ตอนนี้เขาในหัวเขามีแต่ “กะหล่ำปลีน้อยๆ ” วนไปวนมาและไม่มีความปรารถนาที่จะทำอะไรอีกเลย
ในตอนเช้า มู่เวยเวยตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัว เมื่อก้มมองไปที่ตัวเองที่ยังสวมเสื้อผ้าเมื่อคืนเลยก้มศีรษะลงพร้อมดมกลิ่น พระเจ้านี้มันกลิ่นอะไรทำไมเหม็นแบบนี้
ยังไม่ทันได้คิดอะไร มู่เวยเวยก็พลิกตัวและวิ่งไปที่ห้องน้ำทันที
…
ในห้องอาหารเมื่อเย่ฉ่าวเฉินเห็นเธอเดินมา เขาก็นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมื่อคืนอย่างอัตโนมัติและล้อเธอว่า ” กะหล่ำปลีน้อย ตื่นแล้วหรอ?”
มู่เวยเวยแข็งทื้อไปชั่วขณะ“ กะหล่ำปลีน้อยอะไร?”
“เฮ้ ผมก็ไม่รู้ว่าใคร ดื่มจนไม่มีสติแถมยังเกาะหน้าต่างแล้วร้องเพลงกะหล่ำปลีน้อย” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มด้วยดวงตาที่สดใสและดูดี
เย่ฉ่าวเหยียนเดินเข้ามาพร้อมกับถามอย่างสงสัย “จริงเหรอ?พี่สะใภ้ชอบร้องเพลงตอนเมาหรอ?ร้องเพราะไหม?”
มู่เวยเวยรีบพูดว่า “แย่มาก มันแย่มากจริงๆ”
“ฮึ ยังรู้ตัวนิ” เย่ฉ่าวเฉินหันหน้ามายิ้มและพูดกับน้องชายว่า “เธอเป็นคนที่ร้องเพลงได้แย่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมา ถ้านายคิดว่าหูนายทนได้ ก็ขอเธอร้องให้ฟังสักท่อนสองท่อน”
“เฮ้! เย่ฉ่าวเฉิน ฉันไม่ใช่นักร้องตามข้างทางสักหน่อย คุณหมายความว่ายังไงกับท่อนสองท่อน” มู่เวยเวยไม่พอใจและยัดซาลาเปาเข้าปากของเขาพร้อมกับตำหนิเขา ขายหน้า ขายหน้าจริงๆ!
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่มู่เวยเวยที่กำลังโวยวาย แต่ในใจเขาก็มีความคาดหวังบางอย่าง ถ้าเขามีโอกาสเขาจะต้องสอนเธอร้องเพลงอย่างแน่นอน
“เอ๊ะ? เฉียวซินโยวล่ะ?ยังไม่ลงมาอีกเหรอ?” มู่เวยเวยถาม ปกติเธอมักจะตื่นเช้าที่สุด
แม่บ้านฉินพูดอยู่ข้างๆว่า “เมื่อคืนคุณเฉียวไม่ได้กลับมา”
“อ้อ ~” มู่เว่ยเว่ยแหล่สายตาไปยังเย่ฉ่าวเฉินเมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนไปของเขาเลยกลืนสิ่งที่จะพูดลงไป
…
ในโรงแรมเฉียวซินโยวก็ตื่นนอนแล้วและยังนอนอยู่บนเตียงสักพักก่อนที่จะค่อยๆนึกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่เธอกลับลืมสิ่งที่พูดไปจนหมด
ใครพาเธอมาที่โรงแรม?
เฉียวซินโยวเปิดผ้าห่มออก เสื้อผ้าทั้งหมดบนร่างกายของเธอยังอยู่ครบและมีกระดาษโน้ตแปะอยู่บนหัวเตียง เขาหยิบมันขึ้นมาอ่าน: เฉียวซินโยว คุณดื่มจนเมา เราเลยส่งคุณมาที่โรงแรม จ่ายเงินไปแล้ว ตอนเที่ยงอย่าลืมเช็คเอาท์ ลายเซ็นคือเห่อเหม่ยหลิง
อืม คำสั้นๆกระชับและรัดกุมตามสไตล์ของเธอ โดยไม่มีคำพูดไร้สาระแม้แต่คำเดียว
แต่เธอไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน เย่ฉ่าวเฉินตามหาเธอไหมนะ?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เฉียวซินโยวก็ลุกจากเตียงและดึงโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า ไม่มีสายที่ไม่ได้รับ รวมทั้งข้อความแม้แต่ข้อความเดียวก็ไม่มี …
น้ำตาร่วงลงมาอย่างอธิบายไม่ถูก เธอไม่ได้กลับบ้านทั้งคืนและไม่มีใครติดต่อหาเธอเลย ถ้าเธอเกิดอุบติเหตุอยู่ข้างนอกจนเสียชีวิต ก็จะไม่มีใครรู้ใช่ไหม?
เสียงร้องไห้ดังขึ้นเรื่อยๆ จากสะอื้นจนร้องไห้และวนกลับมาร้องไห้อย่างเงียบๆอีกครั้ง เฉียวซินโยวดูเหมือนจะร้องไห้ด้วยความคับข้องใจของทั้งหมดในช่วงนี้ออกมา
เมื่อช่วงเวลาบ่ายโมงก็มาถึงบริษัท เฉียวซินโยวสังเกตเห็นดวงตาของเพื่อนร่วมงานมองเธอแปลกๆ รอยคล้ำใต้ตาไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้นหรือเปล่า
ในห้องรับรองมีเพื่อนร่วมงานหญิงหลายคนกำลังดื่มกาแฟ เฉียวซินโยวแอบยืนฟังอยู่ในที่ที่พวกเขามองไม่เห็น
“เห็นตาของเฉียวซินโยวไหม มันแดงไปหมดเลยฉันเดาว่าต้องเป็นเพราะเมื่อคืนร้องไห้แน่ๆ”
“หึ เธอทำตัวเองไม่ใช่เหรอ? จู่ๆเมื่อคืนก็พูดแบบนั้นออกมา พวกเธอลองทายว่าเธอจะจำได้ไหม?”
เฉียวซินโยวขมวดคิ้ว เมื่อคืนเธอพูดอะไรออกไป?
“ฉันว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เธอต้องลืมเรื่องนี้ไปแล้วแน่ๆ ไม่งั้นเธอก็หน้าหนาเกินไปแล้ว”
“เฮ้ – แต่พูดตามตรง ฉันชื่นชมเธอจริงๆที่กล้าพูดว่าจะแย่งประธานเย่มา ปกติฉันแค่แอบคิดแค่ในหัวเท่านั้นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า… ”
ตาของเฉียวซินโยวกระตุกสองสามครั้ง แท้จริงแล้วเมื่อวานหลังจากที่เธอเมา เธอพูดความในใจออกไป?
ถึงว่าพวกเขาถึงมองเธอแปลก ๆ
ช่างเถอะ พวกเขาจะรู้ก็ปล่อยให้รู้ไป ยังไงซะเรื่องนี้ก็จะเป็นจริงในไม่ช้า
สองวันต่อมาในวันหยุดสุดสัปดาห์ท้องฟ้าช่างปลอดโปร่ง
มู่เวยเวยตื่นเช้ามาก เมื่อคืนเธอฝันถึงพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปแล้ว พวกเขายืนอยู่ห่างๆและยิ้มให้เธอด้วยความรัก พวกเขาพูดกับเธอว่า “เวยเวยสุขสันต์วันเกิด ลูกต้องใช้ชีวิตให้ดีๆกลับมาอยู่พร้อมหน้ากับพี่ชายนะ”
น้ำตาเธอไหลและวิ่งเข้าไปเพื่ออยากจะกอดพวกเขาไว้ แต่ดูเหมือนเท้าของเธอจะผูกติดกับก้อนหิน ยิ่งเธอวิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งช้าลงเรื่อยๆ ร่างของพวกเขาก็ยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายพวกเขาก็หายไป
พ่อกับแม่รู้ว่าวันเกิดเธอถึงแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมาอวยพรเธอเป็นพิเศษอย่างนั้นหรอ?
เธอไม่ได้ฝันถึงพี่ชาย ซึ่งหมายความว่าพี่ชายของเธอยังมีชีวิตอยู่
“คุณหนูวันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณไม่ไปทำงานนิ ทำไมยังตื่นเช้าแบบนี้ล่ะ?” แม่บ้านฉินเดินเข้าไปในครัว ยืนมองเธอที่ดูโทรศัพท์มือถือและกำลังมองหาวัสดุบางอย่างพร้อมกัน
มู่เวยเวยดูเหมือนจะเห็นผู้ช่วยชีวิตแล้วรีบเดินขึ้นไปและพูดว่า “แม่บ้านฉิน คุณสอนฉันทำบะหมี่อายุยืนหน่อย”
พ่อกับแม่บอกว่าต้องใช้ชีวิตให้ดี ถ้าอย่างนั้นเธอก็จะอยู่ดีกินดีแน่นอน
แม่บ้านฉินตกตะลึงและถามเธอว่า “วันเกิดใคร คุณหรอ?”
มู่เวยเวยทำเสียง “ชู่ว์” สักพัก แล้วมองไปข้างนอกและกระซิบว่า “แม่บ้านฉิน วันนี้เป็นวันเกิดฉัน แต่ฉันแค่อยากทำอาหารที่ง่ายๆอย่างบะหมี่อายุยืนสักหนึ่งชามให้ตัวเองและอย่าบอกใครทั้งนั้น ฉันไม่อยากให้พวกเขารู้”
แม่บ้านฉินเข้าใจความยากลำบากของเธอและถอนหายใจในใจแล้วพูดว่า “โอเค ฉันรู้แล้วคุณหนู แต่ตอนนี้ฉันจะต้องทำอาหารเช้าให้เหล่าคุณชายก่อน ช่วงสายๆไม่มีอะไรให้ทำฉันจะสอนคุณทำบะหมี่อายุยืนแล้วกันนะ”
มู่เวยเวยยิ้มด้วยความสุขแล้วเอื้อมมือไปกอดเธอแล้วพูดว่า “ขอบคุณค่ะแม่บ้านฉิน ถ้างั้นฉันออกไปก่อนนะ”
“คุณหนู” แม่บ้านฉินเรียกเธอแล้วยิ้มอย่างใจดี “สุขสันต์วันเกิด”
ดวงตาของเธอชุ่มชื้นขึ้นในทันที เธอกลั้นน้ำตาและพยักหน้าให้เธอจากนั้นก็จากไป
หลังจากเธอลืมตานี่เป็นคนแรกที่กล่าวอวยพรวันเกิดให้เธอ เธอดีใจมากที่มีคนอวยพรให้เธอในวันดังกล่าวอย่างจริงใจ
เมื่อขึ้นไปถึงชั้นบน ก็มองหากระโปรงตัวใหม่ที่ยังไม่เคยใส่และแต่งหน้าเบาๆ แม้ว่าจะไม่มีใครรู้ แต่ในวันนี้เธอก็ต้องทำให้ตัวเองมีความสุขและอยากให้พ่อแม่ที่อยู่บนสวรรค์วางใจเช่นกัน
หลังเวลาสิบโมงกว่า มู่เวยเวยกับแม่บ้านฉินกำลังทำบะหมี่อายุยืนในครัว พ่อบ้านหวังก็เดินเข้ามาพร้อมกับพัสดุห่อใหญ่ในมือ “คุณหนูนี่เป็นพัสดุของคุณ”
มู่เวยเวยรู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งและถามซ้ำเพราะไม่เชื่อ “พัสดุของฉัน?”
“ใช่ครับ ด้านบนมีชื่อของคุณ มู่เวยเวย” คุณอาหวังยืนยันอีกครั้ง
มู่เวยเวยเช็ดมือของเธอแล้วรับพัสดุมา เมื่อลองกะน้ำหนักก็ไม่หนักมาก
แต่ว่า ทำไมถึงมีคนส่งของให้เธอละ? มันดูแปลกเกินไป
“ขอบคุณค่ะ คุณอาหวัง” มู่เวยเวยขอบคุณเสร็จเลยหันมาพูดกับแม่บ้านฉิน “ฉันขึ้นไปดูก่อนว่ามันคืออะไร รอสักแป๊บค่อยมาเรียนต่อนะ”
“ อืม ไปเถอะ”
…
ในห้องนอน มู่เวยเวยหยิบกรรไกรและเปิดกล่องอย่างระมัดระวัง ด้านในมีกล่องกระดาษห่ออยู่ จากนั้นก็เปิดกล่องกระดาษออกอีกครั้ง เมื่อเปิดออกเธอถึงกับตะลึง
เพราะมีหมีพูห์แสนน่ารักนอนอยู่ข้างใน
เธอชอบหมีพูห์มาตั้งแต่เด็กและในห้องนั้นเต็มไปด้วยของที่เป็นหมีพูห์มากมาย
วันนี้มีคนให้ของขวัญเธอแถมยังเป็นหมีพูอีกด้วย มู่เวยเวยทราบซึ้งจนน้ำตาไหลและหยิบหมีพูห์ออกมาจูบอย่างหนักหน่วง และพึ่งสังเกตเห็นการ์ดที่อยู่ด้านในกล่อง
เมื่อก้มลงหยิบการ์ดขึ้นมา ด้านบนเขียนด้วยตัวอักษรไม่กี่บรรทัด: สุขสันต์วันเกิดให้กับเวยเวยที่น่ารักที่สุด มีแต่ความสงบสุขตลอดไป
ไม่มีลายเซ็น แต่มู่เวยเวยรู้สึกว่าตัวหนังสือนี้คุ้นเคยมาก ราวกับว่าเคยเห็นมันที่ไหนมาก่อน ตกลงเคยเห็นจากที่ไหน …
ในสมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ทันที ใช่นี่คือตัวหนังสือของพี่ชาย ทำให้รู้สึกถึงแรงผลักดันที่เข้ามาครอบงำ
เธอและพี่ชายได้รับการอบรมสั่งสอนจากพ่อตั้งแต่ยังเด็ก ตัวหนังสือที่พี่ชายลอกคือแบบของ หลิวทีส่วนเธอเขียนแบบของซิงไค
เธอยังจำได้ว่าทุกครั้งที่เธอมีการบ้านมากเกินไปจะขอให้พี่ชายช่วยเขียน ครูต่างสังเกตเห็นได้ว่าตัวหนังสือต่างกันเกินไป ภายหลังแม้ว่าพี่ชายจะไม่ค่อยเขียนด้วยมือ แต่ตัวหนังสือของเขาก็ยังฝังไว้ในหัวของเธอ
พี่ชายฉันส่งมาให้จริงเหรอ? เขารู้ว่าฉันอยู่ที่นี่?
มู่เวยเวยตื่นเต้นมากจนไม่รู้ว่าจะแสดงอารมณ์ออกมาอย่างไร เธออยากตะโกนออกมาแต่ก็ไม่กล้า เธอจึงทำได้เพียงลูบหน้าหมีพูห์ไปมา
พระเจ้า ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย เป็นไปได้ไหมที่พี่ชายเห็นข่าวในช่วงนี้เกี่ยวกับเธอและเย่ฉ่าวเฉินผ่านทางอินเทอร์เน็ต?
เธอรู้ว่ามันมีประโยชน์!
โอ้โห้ มีความสุข มีความสุขจัง
แน่นอนว่านี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่เธอเคยได้รับมา
หลังจากม้วนไปมาบนเตียงหลายครั้ง ทันใดนั้นฉันก็นึกอะไรบางอย่างออก เลยหยุดแล้วมองไปที่การ์ดอีกครั้ง
นี่เป็นลายมือพี่ชายฉันจริง แต่ทำไมถึงรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความจริง
นอกจากนี้ยังเขียนเกี่ยวกับ “มีแต่ความสงบสุข” สิ่งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่สไตล์ของพี่ชายฉัน โดยปกติแล้วเขาจะพูดว่าสวยขึ้นเรื่อยๆประเภทที่เป็นคำพูดธรรมดาทั่วไป แต่ประโยคนี้ดูสง่า…
ไม่ใช่ว่ามีใครตั้งใจแอบอ้างหรือเปล่า? เมื่อมู่เวยเวยนึกถึงความเป็นไปได้นี้ก็ลุกขึ้นจากเตียงทันที รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ค่อยๆหายไป
ถ้าฉันเป็นพี่ชาย จะให้ของขวัญน้องสาวในวันนี้ไหม? นี่มันอดไม่ได้ที่จะบอกว่าอื้ออึงเกิดไปแล้ว ยังให้ผ่านมือของพ่อบ้านหวังอีก ราวกับจะให้ทุกคนที่นี่รู้ว่าฉันได้รับของขวัญในวันนี้
หรือเพราะมีคนต้องการใช้พี่ชายเพื่อให้ฉันติดกับหรือเปล่า?
เฉียวซินโยวกับหนานกงเฮ่า?
ตามนิสัยของสองคนนี้ ถ้ายังไม่บรรลุเป้าหมายพวกเขาจะยอมแพ้ได้อย่างไร?
กลับกันช่วงนี้เงียบมาก ซึ่งดูไม่สอดคล้องกับนิสัยของพวกเขาเลย
ถ้านี่เป็นแผนของพวกเขาจริงๆ …
เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เฉียวซินโยวยืนดูอยู่ที่มุมตึกเฝ้าดูคุณอาหวังเอาพัสดุมาให้มู่เวยเวย มองเธอถือพัสดุแล้วเข้าไปในห้องนอนด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว จากนั้นก็สางผมแล้วเดินขึ้นชั้นบนแล้วตรงไปที่ห้องหนังสือ เธอกำลังจะเชิญใครสักคนมาดูการแสดงแล้ว
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก ”
“เข้ามา” เย่ฉ่าวเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงต่ำ
เฉียวซินโยวบิดลูกบิดประตูแล้วเปิดประตูออก เธอยืนอยู่ตรงประตูไม่ได้เข้าไป เธอจำได้ชัดเจนว่าเย่ฉ่าวเฉินเคยบอกว่าถ้าเขายังไม่อนุญาตให้เข้าไปในห้องหนังสือก็ห้ามก้าวเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
เมื่อเย่ฉ่าวเฉินเห็นว่าเป็นเธอ สีหน้าของเขายังคงนิ่งแล้วถามอย่างเย็นชาว่า “มีเรื่องอะไร?”
“ฉ่าวเฉิน วันนี้เป็นวันเกิดของเวยเวย ฉันเลยอยากให้ของขวัญเธอ แต่กลัวว่าเธอจะไม่รับไว้ คุณช่วยฉัน … ” เฉียวซินโยวหยุดพูดกลางคัน สีหน้าเปลี่ยนไปด้วยความคาดหวัง
เย่ฉ่าวเฉินตกตะลึง วันเกิดของมู่เวยเวย?
ถึงว่าทำไมเช้านี้เธออารมณ์ดีแถมยังแต่งหน้าเบาๆ คิดว่าเธอจะออกไปข้างนอกซะอีก แท้จริงแล้วเป็นวันเกิดของเธอนี้เอง แต่ทำไมไม่มีใครพูดถึงเลย?
“ไปกันเถอะ ผมพาคุณไป” เย่ฉ่าวเฉินเดินออกจากโต๊ะทำงานและถามเธอ “คุณให้ของขวัญอะไรเธอ?”
เฉียวซินโยวหยิบผ้าพันคอไหมพรมออกมาจากกระเป๋าถือของเธอและให้เขาดู “อากาศเริ่มหนาวแล้ว ฉันเลยเลือกผ้าพันคอไหมพรมให้เธอ ไม่รู้ว่ามู่เวยเวยจะชอบไหม”
“สีนี้ไม่เลว ดูเหมาะกับเธอดี” ท่าทางของเย่ฉ่าวเฉินดูสงบมาก
ทั้งสองคนเดินผ่านทางเดินลงจากชั้นสามไปยังชั้นสอง และยังคงเดินต่อไปที่ห้องนอนของมู่เวยเวย
ในห้องนอน มู่เวยเวยคิดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ดูแปลกๆและสำหรับการ์ดใบนี้ก็ไม่สามารถเก็บไว้ได้
ฉันเจอกล่องไม้ขีดไฟที่เย่ฉ่าวเฉินทิ้งไว้บนโต๊ะเครื่องสำอาง ตอนที่เย่ฉ่าวเฉินมานอนที่นี่เขามักจะสูบบุหรี่เป็นครั้งคราว ดังนั้นห้องนี้จึงมีเศษไม้อยู่เป็นจำนวนมากและกล่องไม้ขีดนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ซิ” เปลวไฟพุ่งขึ้นที่ปลายนิ้วของเธอและมู่เวยเวยเหลือบมองการ์ดเป็นครั้งสุดท้ายจากนั้นก็วางมันลงบนเปลวไฟ
ในขณะนั้น ประตูก็ถูกผลักและเปิดออกจากด้านนอก มู่เวยเวยมองย้อนกลับไป เย่ฉ่าวเฉินกระโดดข้ามไปแล้วคว้าการ์ดในมือของเธอแล้วบีบเปลวไฟจนดับ
“คุณนี้มันโง่จริงๆ คุณกำลังทำอะไร?” เย่ฉ่าวเฉินตะโกนใส่เธอด้วยความโกรธ “จะเผาบ้านหลังนี้หรือไง?”
มู่เวยเวยตกตะลึงไปชั่วขณะ เธออยากแย่งการ์ดในมือแต่ก็ถูกเขาคัดขืนไว้
“ฉันไม่ใช่คนโง่สักหน่อย ถ้าฉันอยากจะเผาบ้านหลังนี้ ฉันก็ต้องเป็นคนแรกที่หนีไป คืนของของฉันมา”
เย่ฉ่าวเฉินสงบลงอย่างรวดเร็ว เขากระวนกระวายเมื่อเห็นพฤติกรรมของเธอ คิดว่าเธออยากจะจุดไฟเผามันจริงๆ หลังจากที่เธอพูดอย่างนั้น การ์ดที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายก็เกิดสนใจขึ้นมา
การ์ดไหม้เพียงมุมเล็กๆ ตัวหนังสือบนการ์ดก็ยังคงอยู่
“สุขสันต์วันเกิดให้กับเวยเวยที่น่ารักที่สุด มีแต่ความสงบสุขตลอดไป” เย่ฉ่าวเฉินอ่านออกอย่างนุ่มนวล แต่ใบหน้าของเขากลับหม่นหมองมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าบนเตียงยังคงมีหมีพูห์นอนอยู่ เขาจึงคว้ามันและถามอย่างน่ากลัว “มีตุ๊กตาอีกตัว?ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับสิ่งที่คุณชอบ” หลังจากพูดจบเขาก็โยนหมีพูห์ลงบนพื้นแล้วเหยียบมัน
“ ไหนพูด ของขวัญวันเกิดชิ้นนี้ใครให้คุณ?” ทันใดนั้นหัวใจของเย่ฉ่าวเฉินก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
มู่เวยเวยตกใจเพราะเขาและถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว“ ก็แค่เพื่อนทั่วไป”
“เพื่อนทั่วไป? ถ้าเป็นเพื่อนทั่วไปทำไมไม่เขียนลายเซ็นล่ะ? ถ้าเป็นเพื่อนทั่วไปทำไมถึงเผาการ์ดใบนี้?” เย่ฉ่าวเฉินคิดในใจอย่างว่องไวและเปิดเผยคำโกหกของเธออย่างรวดเร็ว
มู่เวยเวยรู้สึกผิดขึ้นมาจริงๆ แต่เธอไม่สามารถบอกความจริงกับเขาได้ ถ้าเกิดพี่ชายของเธอให้จริงๆล่ะ?
“เย่ฉ่าวเฉิน เป็นแค่เพื่อนทั่วไปจริงๆ ฉันเผาการ์ดใบนี้เพราะกลัวว่าถ้าคุณเห็นคุณจะโกรธ”
เฉียวซินโยวเดินเข้ามา พร้อมกับรอยยิ้มที่น่าสงสัยบนใบหน้าของเธอ “เวยเวย โดยทั่วไปฉันรู้จักเพื่อนของเธออยู่บ้าง ถ้ายังนั้นเธอลองพูดชื่อของเขาออกมาจากนั้นฉันจะลองโทรถามเขา คุณก็บริสุทธิ์แล้วนิ?”
มู่เวยเวยจ้องมองเธออย่างดุร้าย หากสงสัยว่าเธอเป็นคนแอบอ้างเรื่อง”พี่ชาย”ไปแล้วสี่สิบเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ก็เพิ่มขึ้นเป็นหกสิบเปอร์เซ็นต์ ไม่เช่นนั้นทำไมเฉียวซินโยวจึงพาเย่ฉ่าวเฉินเข้ามาในตอนที่เธอกำลังจะเผาการ์ด?
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ
เย่ฉ่าวเฉินเห็นด้วยกับคำพูดของเฉียวซินโยวและพูดว่า “เฉียวซินโยวพูดถูก เพื่อนทั่วไปคนไหนเพียงแค่คุณพูดออกมา ถ้าพิสูจน์แล้วว่าเป็นเพื่อนทั่วไปจริงๆฉันจะเชื่อคุณในเรื่องนี้”
มู่เวยเวยแสยะยิ้ม“เย่ฉ่าวเฉิน คุณไม่เชื่อฉันมาตั้งแต่แรกแล้ว อย่าแกล้งพูดอะไรทำนองว่าตอนนี้เชื่อฉัน?ฉันบอกว่าเพื่อนทั่วไปก็คือเพื่อนทั่วไป คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทีของเธอและผลักเธอล้มลงกับพื้น “มู่เวยเวย ผมจะถามคุณอีกครั้ง ใครให้คุณมา?ลู่จื่อหาง?หรือเป็นชู้คนไหนของคุณ?”
มู่เวยเวยนอนอยู่บนพื้นหันศีรษะและจ้องมองเขา “เย่ฉ่าวเฉิน จะพูดอะไรระวังปากหน่อย อะไรชู้คนไหน?”
“ไม่ใช่ชู้แล้วจะมีใครในโลกนี้ที่จำวันเกิดของคุณได้” เมื่อเย่ฉ่าวเฉินพูดถึงประโยคนี้ก็มีร่างที่แวบขึ้นมาในความคิดของเขา มู่เทียนเย่!
ใช่ ถ้าในโลกนี้ยังมีใครที่ใส่ใจเธอ ก็มีเพียงมู่เทียนเย่เท่านั้น!
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่การ์ดอย่างระมัดระวังอีกครั้ง ตัวหนังสือนี้เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ถูก เป็นตัวหนังสือของมู่เทียนเย่
ในปีที่ผ่านมาเพื่อตามหามู่เทียนเย่ เขารวบรวมข้อมูลตั้งแต่มู่เทียนเย่ยังอยู่ในวัยเด็ก ตัวหนังสือนี้เคยวางไว้บนหมอนของเขาเป็นเวลานับครั้งไม่ถ้วนและเขาเกือบจะลืมมันไปแล้ว
“ พูด ใช่มู่เทียนเย่หรือเปล่า?” ทันทีที่เขาเอ่ยถึงคนๆนี้ ความเป็นศัตรูของเย่ฉ่าวเฉินก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างสมบูรณ์ เขาก้มตัวลงและจับผมที่ยาวของเธอ จ้องมองไปที่ดวงตาของเธอด้วยสายตาเจตนาฆ่าอย่างกระหายเลือด
หนังหัวของมู่เวยเวยชาไปหมดและใบหน้าของเธอซีดจาง “ฉันจะรู้ได้ไง ด้านบนไม่เห็นมีลายเซ็นอยู่”
“ต้องเป็นเขาแน่ๆ เลยเป็นเหตุผลที่คุณจะเผาการ์ดเพียงเพราะกลัวผมรู้แล้วไปหาเขา” เย่ฉ่าวเฉินยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเป็นไปได้ เมื่อเขาเหลือบมองเห็นกรรไกรที่อยู่ข้างโต๊ะ เขาหยิบมันขึ้นมาแล้วทำท่าจะปาดลงคอที่ขาวบางของเธอแล้วขู่ว่า “พูด มู่เทียนเย่อยู่ไหน”
“ฉันไม่รู้!” ความตายของมู่เวยเวยอยู่ในมือของเขาแต่เธอกลับไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย นอกจากนี้เธอก็ไม่รู้จริงๆว่าพี่ชายของเธออยู่ที่ไหน
ในช่วงเวลานี้ เธอเคยคิดว่านิสัยของเย่ฉ่าวเฉินดีขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เธอไม่คาดคิดว่าตัวเองจะโง่ที่คิดแบบนั้น เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย เพียงแค่เก็บความโหดร้ายและความเผด็จการไว้เท่านั้น สิ่งเหล่านี้ต่างไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือดของเขา
เฉียวซินโยวมองไปที่พวกเขาอย่างใกล้ชิด ในใจรู้สึกมีความสุขอย่างมากและดูเหมือนว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ มู่เทียนเย่ก็ยังคงเป็นปมในใจของเย่ฉ่าวเฉิน
มันจะดีมากถ้าตอนนี้กรรไกรของเย่ฉ่าวเฉินเจาะเข้าไปในลำคอของเธอและเธอจะได้ไม่ต้องหนักใจเพื่อเตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์ต่อไป
“มู่เวยเวยอย่าบังคับให้ผมต้องฆ่าคุณ!” เย่ฉ่าวฉินขยับมือของเขา ใบมีดที่แหลมคมได้กรีดผ่านผิวหนังที่บอบบางของเธอ เลือดไหลลงมาย้อมกับเสื้อผ้าของเธอจนกลายเป็นสีแดง
“เย่ฉ่าวเฉิน ฉันบอกแล้ว ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แม้ว่าคุณจะฆ่าฉันฉันก็ยังไม่รู้” มู่เวยเวยพูดอย่างเย็นชาโดยไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่คอของเธอเลย
มีเสียงเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็วดังจากด้านนอกห้อง เย่ฉ่าวเหยียนรีบวิ่งเข้ามา เมื่อเห็นฉากตรงหน้าเขาก็สั่นอยู่สักพัก และตะโกนใส่เย่ฉ่าวเฉิน “พี่ใหญ่ ปล่อยมือออก พี่จะฆ่าเธอจริงๆหรือ?”
คำพูดนั้นไม่มีผลต่อเย่ฉ่าวเฉิน“ ฉันเก็บเธอไว้เพื่อตามหามู่เทียนเย่ ถ้าเกิดเธอไม่พูดจะเก็บเธอไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ส่งเธอไปอยู่กับพ่อแม่เธอไม่ดีกว่าหรอ?”
“มู่เทียนเย่? เขาปรากฏตัวแล้ว?” เย่ฉ่าวเหยียนประหลาดใจ
เฉียวซินโยวอธิบายอยู่ข้างๆเขา “ฉ่าวเหยียน วันนี้เป็นวันเกิดมู่เวยเวยและมู่เทียนเย่ก็ส่งของขวัญพร้อมกับการ์ดให้เธอ”
หลังจากเย่ฉ่าวเหยียนฟังจบ เขาก็เห็นการ์ดบนพื้นแล้วหยิบมันขึ้นมาและพูดอย่างปฏิเสธไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่ใช้การ์ดใบนี้เพื่อคาดคะเนว่าเป็นมู่เทียนเย่ นี้มันตัดสินโดยพลการเกินไปแล้ว”
“นี่เป็นลายมือของเขา ไม่ผิดหรอก” กรรไกรในมือของเย่ฉ่าวเฉิน ขยับไปข้างหน้าหนึ่งนิ้วและเลือดก็ไหลนองออกมา “จะพูดไม่พูด ถ้าคุณยังไม่พูดผมจะให้คุณกระอักเลือดแล้วปล่อยให้เลือดไหลจนตาย”
ใบหน้าของมู่เวยเวยซีดไปหมดและลมหายใจของเธอค่อยๆอ่อนลง“เย่ฉ่าวเฉิน ถ้าฉันรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ฉันคงออกจากบ้านนรกนี้ไปหาเขาแล้ว ยังต้องรอถึงวันนี้หรือไง? คุณมีอำนาจทำไมไม่ไปหาเขาด้วยตัวเองล่ะ? ”
เย่ฉ่าวเหยียนมองไปที่ริมฝีปากซีดของเธอแล้วรู้สึกกังวลขึ้นมา แต่ไม่กล้าไปแตะต้องเย่ฉ่าวเฉิน“ พี่ใหญ่ ถ้าพี่ยังไม่ปล่อยเธอจะตายจริงๆ พี่ต้องการใช้เธอเพื่อล่อมู่เทียนเย่ไม่ใช่หรอ? ถ้าเธอตายแล้วมู่เทียนเย่จะปรากฏตัวได้ยังไง?”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวาของเธอ ในใจของเขาก็รู้สึกแน่นขึ้นมาและเอากรรไกรออก “ครั้งนี้ผมจะปล่อยคุณไป รอวันที่ผมเจอมู่เทียนเย่ วันนั้นจะเป็นวันตายของคุณ”
“โอเค ฉันอยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆจริงๆ … ” หลังจากพูดจบ อาจเป็นเพราะเลือดไหลมากเกินไป มู่เวยเวยก็เป็นลมไป
เย่ฉ่าวเฉินก็ตื่นตระหนกขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าทำไม จึงรีบกดแผลของเธอและหันไปพูดกับเย่ฉ่าวเหยียน “รีบโทรเรียกคุณหมอหาน” จากนั้นเขาก็ตะโกนออกไปนอกห้อง “คุณอาหวัง เอากล่องยามา”
พ่อบ้านหวังได้ยินการเคลื่อนไหวของที่นี่ก็มารออยู่ที่ประตูนานแล้ว เขากลัวว่าเย่ฉ่าวเฉินจะสั่งอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ
“ครับคุณชาย จะมาทันที”
เย่ฉ่าวเหยียนรู้สึกรำคาญพี่ชายของเขามากจนแทบรอไม่ไหวที่อยากจะเอาชนะเขา แต่เดิมเขาคิดว่ามู่เวยเวยพูดเกินจริง แต่วันนี้เขาได้เห็นมันกับตา
ทำไมเขาไม่สามารถปฏิบัติต่อมู่เวยเวยให้ต่างจากมู่เทียนเย่ล่ะ?
เอาความผิดของมู่เทียนเย่มาลงที่มู่เวยเวย นี่มันไม่ยุติธรรมกับเธอเลย และเธอยังเป็นภรรยาของเขา เขาทำลงคอได้อย่างไร?
จริงไหมที่ช่วงนี้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขล้วนเป็นความรู้สึกจอมปลอม
พ่อบ้านหวังรีบส่งกล่องยาและเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าของมู่เวยเวยเปื้อนเลือดจนเสื้อเลอะเป็นสีแดง มือของเขาก็สั่น กล่องยาแทบจะตกลงพื้นโชคดีที่เย่ฉ่าวเฉินจับไว้ทัน
เย่ฉ่าวเฉินเปิดกล่องยาออก แต่ไม่รู้ว่าควรจะทำความสะอาดแผลก่อนหรือพันผ้าพันแผลเลย เมื่อเห็นเลือดของเธอไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ หัวใจของเขาก็ยิ่งสับสนวุ่นวายมากขึ้น
“พี่ใหญ่ พี่วางเธอราบกับเตียง ผมจัดการแผลเอง” เย่ฉ่าวเหยียนกล่าวและถ้ายังล่าช้า เขากลัวว่ามู่เวยเวยจะอันตรายถึงชีวิตจริงๆ
เย่ฉ่าวเฉินผงะและทำตามคำพูดของน้องชาย เขาเลยอุ้มมู่เว่ยเว่ยขึ้นมาแล้ววางราบกับเตียง
เย่ฉ่าวเหยียนก้าวไปข้างหน้าและทำความสะอาดแผลด้วยแอลกอฮอล์อย่างรวดเร็ว บาดแผลนั้นแคบและยาวมาก แต่ไม่ลึกเท่าไหร่และแผลยังไม่ถึงหลอดเลือดแดง เลือดที่ไหลออกมาเป็นเลือดทั้งหมดในเส้นเลือดฝอยด้านนอก แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับวัยกลางคนการไหลเวียนของเลือดค่อนข้างมาก
เมื่อเห็นขวดสเปรย์ยูนนานไป่เหยาในกล่องยา เขาจึงหยิบมันออกมาและฉีดลงบนแผลหลายครั้ง มู่เว่ยเว่ยดูเหมือนจะถูกกระตุ้นเข้าเลยพึมพำด้วยความเจ็บปวด
ยังมีปฏิกิริยาแสดงว่ายังไม่สาหัสขนาดนั้น
ในที่สุดเย่ฉ่าวเหยียนก็เอาผ้าก๊อซออกมาพันที่คอของเธอ ในตอนแรกเลือดไหลออกมาไม่หยุด แต่พอพันไปหลายชั้นเลือดก็ค่อยๆหยุด
เย่ฉ่าวเฉินยืนอยู่หน้าเตียง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นและเมื่อเห็นเย่ฉ่าวเหยียนทำทุกอย่างเสร็จจึงถาม”ฉ่าวเหยียน ทำไมนายถึงทำเป็น”
เย่ฉ่าวเหยียนตอบอย่างเฉยเมย “พี่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเหรอ?ความเจ็บป่วยระยะยาวทำให้กลายเป็นหมอไปแล้ว หลังจากอยู่ข้างนอกมานาน ถ้าผมไม่เข้าใจความรู้ในการปฐมพยาบาลเหล่านี้และผมก็ไม่รู้ว่าจะตายไปกี่ครั้งแล้ว”
เย่ฉ่าวเฉินนึกถึงความยากลำบากของน้องชายและพูดด้วยความโกรธว่า “มู่เทียนเย่ไม่ได้เป็นฝ่ายเจ็บเหรอ?ถ้าจับเขาได้ฉันจะล้างแค้นให้นายเอง!”
เย่ฉ่าวเหยียนลุกขึ้นจากเตียงโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ เขาเอาความรับผิดทั้งหมดไปลงที่มู่เทียนเย่? แล้วเขาล่ะ? ในเรื่องนี้เขาไม่ต้องรับผิดชอบเลยหรอ?
“ พี่ใหญ่ พี่เพิ่งพูด ปีนั้นที่เกิดเรื่องขึ้นมู่เทียนเย่ได้รับบาดเจ็บ แต่ทำไมพี่ถึงแสดงความเกลียดชังต่อมู่เวยเวย?ถามใจพี่ดูพี่ทำแบบนี้มันยุติธรรมกับเธอหรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินไม่คิดว่าเย่ฉ่าวเหยียนจะพูดแบบนี้กับเขาและความยุ่งเหยิงในใจของเขาก็วุ่นวายมากขึ้น
เฉียวซินโยวเห็นใบหน้าของเย่ฉ่าวเฉินเปลี่ยนไป เธอกลัวว่าเขาจะคิดเหมือนเย่ฉ่าวเหยียน, มู่เทียนเย่คือมู่เทียนเย่,มู่เวยเวยคือมู่เวยเวย ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ถ้าเธอจะทำอะไรก็คงลำบากและยากมากขึ้น?
“ฉ่าวเหยียนสิ่งที่คุณพูดนั้นไม่ถูก มู่เทียนเย่เจ้าเล่ห์และร้ายกาจ ถ้าฉ่าวเฉินไม่ใช้มู่เวยเวย เขาจะหามู่เทียนเย่เจอได้อย่างไร?พูดอีกอย่างก่อนที่มู่เวยเวยจะแต่งงานกับฉ่าวเฉิน ชีวิตของเขาก็ … ”
“หุบปาก!” เย่ฉ่าวเหยียนโกรธขึ้นมาและชี้ไปที่จมูกของเฉียวซินโยวพร้อมกับด่าว่า “ผมคุยกับพี่ชาย มาขัดจังหวะทำไม?”
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอยังมีประโยชน์อยู่บ้าง คงถูกไล่ออกจากตระกูลเย่นานแล้ว