วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 143 เย่ฉ่าวเฉิน ฉันต้องการไปจากคุณ

มู่เวยเวยทำเหมือนมองไม่เห็นเขา เดินตรงไปเรื่อยๆ ปากก็พูด”พี่ล่ะ?พี่อยู่ที่ไหน?พี่—— พี่——”

เย่ฉ่าวเฉินมองการกระทำของเธอ เธออยู่ในห้องกว้างเหมือนกำลังตามหาบางอย่าง

“เธอ เธอเป็นอะไร?”เย่ฉ่าวเฉินแย่แล้ว เขาไม่เคยเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้

พ่อบ้านหวังพูดตัดบท “คาดว่าคุณหนูละเมอครับ”

“ละเมอ?”ถ้าอย่างนั้น…..อาการแบบนี้ควรทำอย่างไร?

“ผม….ก็ไม่รู้ครับ แต่เคยได้ยินคนแก่พูดว่า ถ้าพบเจอคนที่ละเมอไม่ควรเรียกให้พวกเขาตื่น อาจจะทำให้พวกเขาตกใจ”

เย่ฉ่าวเฉินแปลกใจ “ห้ะ?”

“พี่ ——พี่ ——”มู่เวยเวยเดินไปหาที่ห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ห้องเสื้อผ้า หาคนที่เธออยากเจอไม่พบ เดินวนกลับมาอยู่ด้านหน้าเย่ฉ่าวเฉิน ชะงักงันมองมาที่เขา”พี่ฉันล่ะ?”

เย่ฉ่าวเฉินถูกเฉียวซินโยวมองจนรู้สึกหนังศีรษะชา “เขา…………….เขาไปที่ที่แสนไกล ยังไม่กลับมา”

“ไม่ใช่!” มู่เวยเวยร้องออกมาอย่างประหลาดใจ คล้ายกับคนเสียสติ “ไม่ใช่ เขาตายแล้ว เขาตายแล้ว ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด ฉันมองเห็น เขาตายแล้ว”

“มู่เวยเวย เธอใจเย็นก่อน” เย่ฉ่าวเฉินต้องการจับที่ผมของเธอเพื่อให้หยุด แต่เธอก็ผลักเขาออก

“พี่ตายแล้ว ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด เขาตายแล้ว ……”มู่เวยเวยพูดซ้ำๆ เธอขดงอตัวบริเวณมุมประตู คล้ายกับแมวเวลาตกใจ

สุดท้ายเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่รู้ควรจะทำอย่างไรจริงๆ ใช้มือของเขาทำเหมือนกับมีมีดเล่มหนึ่ง ลงไปที่บริเวณต้นคอของมู่เวยเวยล้มลงไป

มู่เวยเวยหมดสติ ในใจคิดว่าครั้งหน้าจะไม่แสดงละครอย่างนี้แล้ว เหนื่อยมากเกินไป

เย่ฉ่าวเฉินมองร่างที่หมดสติ ถามพ่อบ้านหวัง “เรื่องคืนนี้ยังมีใครรู้อีก?”

“คาดว่าไม่มีครับ ตอนที่ผมออกตรวจก็ไม่เจอใคร แม้แต่เสียงก็ไม่ได้ยิน”

เย่ฉ่าวเฉินก้มเอวลงไปอุ้มมู่เวยเวยที่หมดสติขึ้นมา “อย่างนั้นก็ดี ฉันไม่อยากให้คนในคฤหาสน์พูดถึงเรื่องนี้”

พ่อบ้านหวังโค้งตัวลงพูด “คุณชาย ผมทราบแล้วครับ”

“ไปพักผ่อนเถอะ”

พ่อบ้านหวังกลัวว่าแผลที่ไหล่ของเขาจะฉีก ถามด้วยความกังวลใจ”คุณชาย ต้องการให้ผมช่วยไหมครับ? แผลของคุณยังไม่หาย”

“ไม่ต้อง” เย่ฉ่าวเฉินอุ้มมู่เวยเวยเข้าห้องนอน “ช่วยปิดประตูให้ผมด้วย”

……

นอกหน้าต่างแสงจันทร์สว่างไสว เย่ฉ่าวเฉินมองหน้าตาน่ารักของเธอ เริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่

เมื่อไหร่ไม่รู้ เขาทำใจไม่ได้ที่เธอบาดเจ็บ ทำใจไม่ได้ที่จะใช้กำลังกับเธอ?

มู่เวยเวย ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนไปอย่างไร ฉันจะไม่มีทางปล่อยเธอไป ถึงเธอจะเกลียดฉันเข้ากระดูก

เขาโอบกอดเธอไว้ ก้มลงดมกลิ่นมะนาวที่ผมของเธอ ความรู้สึกยากที่จะอธิบายให้เข้าใจ

ช่วงเช้า มู่เวยเวยถูกแสงอาทิตย์สาดส่องมาทำให้เธอตื่น เพียงแค่ขยับศีรษะ เธอรู้สึกเจ็บบริเวณต้นคอมาก

เธอนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เย่ฉ่าวเฉินเป็นคนทำให้เธอหมดสติ เบิกตากว้าง ที่แท้เธออยู่ที่ห้องของเย่ฉ่าวเฉิน แต่ว่าเหมือนเขาจะไม่ได้ทำอะไรกับร่างกายเธอ ก็ใช่เขาบาดเจ็บอยู่อยากจะทำก็คงไม่มีอารมณ์ เสียงฝีเท้าดังมาจากห้องเสื้อผ้า มู่เวยเวยมองไปด้านนั้นนิ่ง เย่ฉ่าวเฉินใส่เสื้อเชิ้ตเดินออกมา ติดกระดุมยังไม่เสร็จ

“ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่ห้องของคุณ?” มู่เวยเวยแกล้งทำเป็นถามระหว่างที่เย่ฉ่าวเฉินติดกระดุมเสื้อเชิ้ตอยู่ ได้ตอบเธอ “เมื่อคืนเธอละเมอเดินมา”

“เป็นไปไม่ได้!” มู่เวยเวยปฏิเสธ “ฉันจะละเมอได้อย่างไร?”

“คิดว่าฉันจะพาเธอมาเหรอ? เชอะ” เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างเยือกเย็น

มู่เวยเวยคว้าหมอนหนึ่งใบขว้างใส่เขา เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้หลบ กระทุ้งหมอนไว้บนเท้าของ

ตัวเองและหล่นลงไป

“เย่ฉ่าวเฉิน ฝากไว้ก่อนเถอะ!” มู่เวยเวยลุกลงจากเตียง พูดด้วยความเกลียดชังเดิน

ออกจากห้องไป

“ได้สิ มู่เวยเวย ฉันจะรอนะ”

เย่ฉ่าวเฉินกระตุกที่มุมปากขึ้น

หมอหานรู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินกำลังจะไปทำงานพูดด้วยความโกรธ เพิ่งบาดเจ็บมาสามวัน หรือว่าไม่ควรที่จะพักผ่อนอยู่บ้านเหรอ?

“อย่างไรผมก็ไม่เห็นด้วย ถ้าหากคุณยังจะไป เกิดอะไรขึ้นมาผมไม่รับผิดชอบนะ” หมอหานพูดด้วยความโมโห

เย่ฉ่าวเฉินกดแล้วกดอีกที่จุดไท่หยาง บาดแผลของเขาหายเร็ว แต่กลัวว่าจะทำให้หมอหานตกใจ เพราะฉะนั้นไม่ได้ให้เขาดูเพียงแค่ให้เขาเอายาไว้ให้

“คุณชาย อย่างไรหมอหานก็บอกแล้วว่าให้พักผ่อน คุณก็ไม่ต้องไปที่บริษัทแล้ว” พ่อบ้านหวังเดินมาพูด

เย่ฉ่าวเหยียนยกแก้วน้ำพูด “บริษัทขาดพี่ไปคนหนึ่ง หรือว่าจะทำอะไรไม่ได้เลย?”

เอาเถอะ เย่ฉ่าวเฉินแบมือทั้งสองข้างออก “ตกลง พักผ่อนอีกสองวัน ก็เหมือนว่าลาพัก”

ในที่สุดหมอหานก็ยิ้มออกมา “อย่างนี้ก็ถูกต้องแล้วไหม คุณพักผ่อนเยอะๆ ผมจะไปดูคนไข้อีกคน”

ช่วงที่เขาพักผ่อนมาไม่กี่วันนี้ก็ไม่ได้สงบ มู่เวยเวยตั้งใจกลั่นแกล้งเขา เช่น ผลักเขาจากระเบียงลงไป วางยาในอาหาร แต่บังเอิญหริอไม่บังเอิญล่ะที่มีคนเห็น และล้มเหลวทุกที

เดิมทีเธอไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขาจริงๆ เพียงแค่ทำอย่างนี้แล้ว จังหวะอย่างนี้กำลังดี

มู่เวยเวยทำอย่างนี้กับเขายิ่งทำให้เขายิ่งอดทนอดกลั้นมากขึ้น เพียงแค่ทำหน้านิ่ง เพราะว่าเขาพบว่ามู่เวยเวยสติไม่ค่อยดี

เวลาที่รับประทานอาหารเธอมีอาการเหม่อลอย กลางคืนละเมอหนักมากขึ้นเรื่อยๆ

ในไม่ช้าก็เกิดข่าวโคมลอยขึ้นในคฤหาสน์

“เมื่อคืนคุณเห็นไหม?” คุณหนูถือมีดวิ่งมา บอกว่าจะไปหาพี่ชาย

“เห็นแล้วๆ สุดท้ายแล้วคุณชายก็เป็นคนเอามีดออกจากมือ ไอหยา น่ากลัวมาก”

“คุณว่า……”สาวใช้มองบริเวณรอบๆไม่มีคน พูดอย่างต่อเนื่องว่า “คุณหนูเป็นบ้าไหม?”

“ชู่วว์——อย่าเสียงดัง” สาวใช้อีกหนึ่งคนพูดอย่างกังวลว่า “ได้ยินมาว่าคุณชายฆ่าพี่ชายของคุณหนู คุณหนูเลยเป็นอย่างนี้ เฮ้….คุณหนูก็น่าสงสารมากเลย”

“เธอว่าถ้าคุณหนูเป็นบ้า คุณชายจะไล่ออกจากที่นี่?”

“ไม่รู้…อย่าพูดๆ พ่อบ้านหวางมาโน่นแล้ว….”

เฉียวซินโยวได้ยินข่าวลือนี้ จ้องมองแล้วมองอีกที่มู่เวยเวย อีกนิดหนึ่งน้ำร้อนก็จะโดนตัวของเย่ฉ่าวเฉินแล้ว

โทรติดต่อหาหนานกงเฮ่า

“จัดการศพเสร็จแล้ว?” เธอไม่อยากให้เวลานี้ถูกเย่ฉ่าวเฉินหาหลักฐานมาได้

“วางใจได้ เป็นขี้เถ้าไปนานแล้ว อยู่ที่นั้นคุณเป็นอย่างไรบ้าง?” หนานกงเฮ่าถาม

เฉียวซินโยวยืนที่ระเบียงชั้นสอง หัวเราะเสียงต่ำ “สบายมาก ฉันคิดว่าอีกไม่นาน พวกเราสองคนจะสมหวังในทุกเรื่อง”

แน่นอน เธอไม่ได้บอกหนานกงเฮ่าเรื่องที่มู่เวยเวยมีอาการสติไม่ดีจากเรื่องนี้

“อย่างนั้นก็ดี”

หลังจากวางโทรศัพท์ เฉียวซินโยวรู้สึกสบายใจมาก

วันนี้ เป็นวันสุดท้ายที่หมอหานจะมาเปลี่ยนยาให้เขา เย่ฉ่าวเฉินอดไม่ได้ที่จะถาม”หมอหาน คุณสามารถตรวจโรคเรื่องเกี่ยวกับสภาพจิตใจและสติไหม”

หมอหานเก็บยาใส่กระเป๋าชะงักมือ ถามด้วยความแปลกใจ”ใครป่วย?”

เย่ฉ่าวเฉินอึดอัดและถอนหายใจออกมา “ผมพาคุณไปดู”

ในห้องนอน มู่เวยเวยได้ยินเสียงเปิดประตู รีบหยิบดินสอบนโต๊ะมาวาดรูปในกระดาษขีดเขียนอย่างไม่รู้ว่าวาดอะไร

หมอหานเรียกมู่เวยเวย ใจเต้นแรงมาก เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าต้องมีสักวันที่เย่ฉ่าวเฉินทำให้มู่เวยเวยสติแตก ไม่คิดว่าจะมีวันนี้เกิดขึ้นจริงๆ

“หมอหาน?” มู่เวยเวยหันศีรษะกลับมามอง คิ้วขมวดอย่างสงสัย”คุณมาทำอะไร?ฉันไม่ได้ป่วย ไม่ต้องการให้มาตรวจ”

หมอหานพูดและยิ้มอย่างอ่อนโยน “ผมมาเยี่ยมคุณ ไม่ได้เจอกันนานมาก ช่วงนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ฉันสบายดี” มู่เวยเวยตอบเสียงเรียบ หลังจากที่มองเห็นเย่ฉ่าวเฉิน อารมณ์โมโห

รุนแรงขึ้นมา โยนดินสอลงที่พื้นและพูดกับเย่ฉ่าวเฉินว่า “คุณออกไป ที่นี่ไม่ต้อนรับคุณ ไสหัวไป”

หมอหานรีบปลอบปรับอารมณ์เธอ “โอเคๆ พวกเราจะออกไป คุณอย่าตื่นตระหนก”

รอประตูปิดลง มู่เวยเวยถอนหายใจออกมายาว รีบวิ่งไปแอบฟังพวกเขาคุยกันหลังบานประตู

“คุณหนูมีอาการอย่างนี้นานแค่ไหนแล้ว?” หมอหานขมวดคิ้วถาม

“เกือบจะอาทิตย์หนึ่งแล้ว”

“นอกจากอาการตื่นตระหนกยังมีอาการอื่นร่วมด้วยไหม?”

เย่ฉ่าวเฉินพยายามคิด “มีอาการเหม่อลอย ละเมอหนักมาก สติไม่ดีใจลอยนานวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น และหลายครั้งที่อยากจะฆ่าเขา”

หมอหานพูดเสียงเย็นอย่างไม่กลัวตาย “คุณทำไม่ดีกับเธอหลายครั้ง เธออยากฆ่าคุณก็เป็นปกติอยู่แล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินจ้องเขาอย่างเคร่งขรึม

หมอหานไม่ได้สนใจเขา พูดอย่างตั้งใจ “ฟังจากอาการที่คุณเล่ามา ผมแนะนำว่าให้คุณพาเธอไปโรงพยาบาลแผนกเฉพาะทางตรวจอย่างละเอียด อาการเกี่ยวกับจิตใจโรคนี้ ถ้าปล่อยไว้นานยิ่งน่ากลัว”

“แต่ว่า…ผมไม่อยากพาเธอไปสถานที่อย่างนั้น” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยความกังวล เขาจะพาเธอไปสถานที่อย่างนั้นได้อย่างไร ? ไม่แน่เธออาจจะเกิดอะไรที่ไม่ดี….

“เพียงแค่ตรวจ ถ้าหากว่าหมอรู้สึกว่าอาการไม่หนัก คุณก็พาเธอกลับมา” หมอหานพูดถึงประโยคนี้ มองเขาแวบหนึ่งพูดว่า “เวลานี้คนที่เธอไม่อยากเจอที่สุดคือคุณ เธอพบเจอคุณทุกวัน อาการของเธอจะยิ่งหนักขึ้น”

ประตูด้านใน มู่เวยเวยหัวเราะออกมาอีกนิดหนึ่งก็มีเสียง รีบเอามือปิดปากไว้เป็นพัลวัน

“ผมรู้แล้วครับ ผมจะพิจารณาดูที่คุณแนะนำ”

“และอีกอย่างหนึ่งอาการของคุณหนูปล่อยไว้นานกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว เมื้อกี้ผมเห็นอาการสารจิงของสติไม่เพียงพอ จำเป็นต้องรีบเข้ารับการรักษา”

“เข้าใจแล้วครับ”

มู่เวยเวยแอบฟังเสร็จ รีบวิ่งไปทางหน้าต่าง ดูเหมือนว่าต้องแสดงให้เรื่องหนักมากกว่านี้ เย่ฉ่าวเฉินถึงจะตัดสินใจพาเธอออกไป จะใช้วิธีไหนให้เรื่องหนักขึ้น ? ต้องคิดให้ดีและรอบคอบมากๆ

……

ตอนกลางคืน เฉียวซินโยวแต่งหน้าใส่ชุดนอนแพรไหมพริ้วที่ซื้อมาใหม่มาที่ห้องของเย่ฉ่าวเฉิน

เย่ฉ่าวเฉินนั่งดื่มเหล้าที่โซฟาบริเวณระเบียง ลมพัดมาเบาๆ ชายกระโปรงผู้หญิงถลกขึ้น

“ฉ่าวเฉิน หมอบอกว่า ตอนนี้คุณยังดื่มเหล้าไม่ได้ ” เฉียวซินโยวคลอเคลียข้างกายเขา มือจับที่มือของเขาที่กำลังถือแก้วอยู่ “อย่าดื่มเลย ตกลงไหม?”

เย่ฉ่าวเฉินก้มศีรษะลงมองที่ดวงตาคู่นั้นที่สว่างสดใส ริมฝีปากอวบอิ่มและชวนน่าหลงไหล

“คุณมาทำอะไร? ” เย่ฉ่าวเฉินถามเสียงเย็นชา ลมหายใจร้อนกระทบหน้าเธอ เต็มไปด้วยรสชาติของไวน์และความสมบูรณ์ของชายหนุ่ม

เฉียวซินโยวแค่มองก็เกิดอารมณ์ ทั้งสองมือโอบรอบต้นคอเขา หน้าอกเสียดสีที่เขาบางเวลา “ฉันเห็นว่าช่วงไม่กี่วันมานี้คุณขมวดคิ้วเครียด ในใจคงเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ฉันก็เลยมาอยู่เป็นเพื่อนคุณค่ะ”

เย่ฉ่าวเฉินทำไมจะไม่รู้จุดมุ่งหมายของเธอ แต่วันนี้เขาไม่อยากที่จะผละออก

“ว่าอย่างไรนะ?”

เฉียงซินโยวใช้มือล้วงเข้าไปในเสื้อเขา ร่างกายพริ้วไหวเหมือนน้ำ “อย่างไรก็ได้หมด แค่ทำให้คุณมีความสุข ฉ่าวเฉิน คุณรู้ ฉันอยากทำให้คุณมีความสุข”

“ผมรู้ คุณอยากให้ผมมีอะไรกับคุณมาตลอดใช่ไหม?” เย่ฉ่าวเฉินพูดข้างหูเธอเบาๆ

เฉียวซินโยวร่างกายแข็งทื่อ หลังจากนั้นหัวเราะคิกๆออกมา และเบียดตัวเข้าใกล้เขามากขึ้น พูดอย่างประจบอย่างน่ารัก “คุณพูดอะไรกัน ฉันชอบคุณถึงอยากจะได้มาครอบครอง”

“จริงเหรอ? ชอบผมมาก?” เย่ฉ่าวเฉินจับปลายคางเธอเงยขึ้น ดวงตาสีฟ้าเข้ม คาดเดาไม่ได้ว่าข้างในใจคิดอย่างไร

ปากอวบอิ่มแดงระเรื่อประกบไปที่ปากของเขา “จริงสิคะ ชอบมาก”

เย่ฉ่าวเฉินถูกครอบงำด้วยความน่าหลงไหล จูบที่ปากของเธอ เฉียวซินโยวรีบเกี่ยวกระหวัดลิ้นของเขา….

ด้านนอกห้อง มู่เวยเวยอยู่ในความมืดออกจากห้องเก็บของขโมยถังน้ำมันเล็กมาหนึ่งแกนลอน หลังจากนั้นก็มาที่ห้องของเย่ฉ่าวเหยียน

“มู่เวยเวย เธอคิดจะทำอะไร?” เย่ฉ่าวเหยียนลุกจากเตียงมองไปที่เธออย่างประหลาดใจ

มู่เวยเวยไม่รู้จะทำอย่างไรได้แต่ยิ้ม “ฉ่าวเหยียน ครั้งสุดท้ายแล้ว คุณช่วยฉันนะ”

ฉ่าวเหยียนมองถังน้ำมันในมือเธอ ไม่กล้าเชื่อใจพูดว่า”คุณ…….อยากจะเผาคฤหาสน์?”

มู่เวยเวยรีบอธิบายทันที”ไม่ๆๆ ฉันไม่ได้จะเผาคฤหาสน์ ฉันจะเผาห้องของเย่ฉ่าวเฉิน”

“คุณ….มู่เวยเวย คุณรับปากกับผม จะไม่ทำร้ายให้พี่ชายผมถึงแก่ชีวิต ” เย่ฉ่าวเหยียนพูดปะปนไปด้วยความโกรธ

“เพราะฉะนั้นฉันถึงมาให้คุณช่วย ไม่ใช่ว่าฉันจะเผาจริงจังๆ”

“ถ้าอย่างนั้นคุณคิด………”

มู่เวยเวยกวักมือเรียกเขา “มานี่ ฉันจะบอกคุณ………”

พูดกระซิบกันแล้ว เย่ฉ่าวเหยียนยังคงปฏิเสธ “วิธีนี้ก็ยังอันตรายอยู่ ถ้าหากกรณีนี้เป็นจริง ไม่เพียงแค่พี่ชายผม คุณก็จะได้รับอันตรายด้วย”

“ไม่หรอก ถึงเวลานั้นพวกเราก็กระโดดลงจากหน้าต่างไปที่ชั้นสอง ไม่สูงเลย และอีกอย่างข้างล่างเป็นสนามหญ้า ตกลงไปแล้วขาไม่ขาดหรอก ” มู่เวยเวยพยายามพูดเกลี้ยกล่อมเขา “ฉ่าวเหยียนไม่กี่วันมานี้ ฉันก็แสดงละครเยอะแล้ว ถ้าหากแสดงต่ออีกคาดว่าฉันจะเป็นเสียสติจริงๆ เพราะฉะนั้น คืนนี้ที่จะเผาเป็นครั้งสุดท้าย ผ่านคืนนี้แล้ว ถ้าหากยังไม่ได้อีก ฉันก็จะหยุด”

เย่ฉ่าวเหยียนคิดอยู่สักพัก ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนกับการสวมรองเท้าออกไปด้านนอก

“มู่เวยวย ถ้าครั้งนี้ฉันจะช่วยเธอ ฉันคิดว่าฉันเสียสติไปแล้ว ”

มู่เวยเวยหัวเราะอย่างเสียไม่ได้ “ฉันไปเผา คุณเป็นคนไปดับไฟ”

บนระเบียง ร่างสองร่างกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่ เหมือนกับกาวติดหนึบ เลยไม่รู้ว่ามีคนกำลังเปิดประตูเข้ามา

หลังจากนั้นเทน้ำมันราดลงที่พื้น….

เย่ฉ่าวเฉินจมูกรับรู้กลิ่นได้ไว น้ำมันราดลงที่พื้นก็ได้กลิ่นแล้ว

“กลิ่นอะไร?” เขาเงยหน้าขึ้นจากหน้าอกของเฉียวซินโยว

เฉียวซินโยวที่กำลังมีอารมณ์ ร่างกายกำลังเหมือนไฟร้อนแผดเผา พูดด้วยเสียงติดขัด “มีกลิ่นอะไรที่ไหนคะ…..”

พูดไม่ทันขาดคำ หน้าประตูมีประกายไฟอยู่ที่พื้น ไฟลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“อา——”เฉียวซินโยวตกใจหน้าซีดเผือด ผละออกจากเย่ฉ่าวเฉิน

ท่ามกลางกองไฟ มู่เวยเวยถือถังน้ำมันเดินมา พูดใส่เย่ฉ่าวเฉินอย่างบ้าคลั่ง “เย่ฉ่าวเฉิน ฉันฆ่าคุณไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ตายพร้อมกันเถอะ”

เย่ฉ่าวเฉินก้าวเท้ายาวๆเดินมา ต้องการที่จะยึดถังน้ำมันในมือเธอ มู่เวยเวยหลบอย่างรวดเร็ว ไฟกำลังไหม้อยู่

ด้านหลังเธอ เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างร้อนใจ “มู่เวยเวย เธอมานี่ เธอไม่ใช่อยากจะตายพร้อมฉันเหรอ?ฉันทำตามเธอ เธอมานี่”

“ฮ่าๆๆ——เย่ฉ่าวเฉิน คุณกลัวแล้ว? “มู่เวยเวยรู้สึกสะใจ นี่คือความรู้สึกการแก้แค้นไฟลุกท่วมอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ถึงห้องโถงของห้องนอน

“มู่เวยเวย เธอมาหาฉันเดี๋ยวนี้!” เย่ฉ่าวเฉินเดินไปข้างหน้าเพื่อจะช่วยเธอ แขนอีกข้างถูกเฉียวซินโยวดึงไว้

“ฉ่าวเฉิน คุณอย่าไปนะคะ คุณจะได้รับบาดเจ็บ”

เย่ฉ่าวเฉินมองเธอด้วยสายตาดุร้าย “คุณปล่อยผม”

“ไม่ อย่าไป…..อา——”เธอยังพูดไม่จบ ก็ถูกเย่ฉ่าวเฉินถีบกระเด็นไปอยู่ที่มุม

มู่เวยเวยผมยาวประไหล่ ข้างหลังไฟลุกท่วม เหมือนกับหงส์หนึ่งตัวท่ามกลางไฟ ใบหน้ามีรอยยิ้ม

ในเวลาเดียวกัน เย่ฉ่าวเหยียนนำถังดับเพลิงมาหน้าประตู ครึ่งนาทีหลังจากนั้น พ่อบ้านหวังกับพวกคนรับใช้ก็รีบวิ่งมา ในมือมีถังดับเพลิง ดับไฟในห้องเรียบร้อยไม่เหลือ

พ่อบ้านหวังยึดถังน้ำมันมาจากมือมู่เวยเวย

“เพี้ยะ——”

เสียงตบหน้าที่่รุนแรงนั้นอยู่บนใบหน้าของมู่เวยเวย มู่เวยเวยล้มลงไปที่พื้น ผมปิดบังใบหน้า มองไม่เห็นสายตาที่แสดงออก

“มู่เวยเวย มึงบ้าไปแล้ว?” เย่ฉ่าวเฉินโกรธจนจุดไท่หยางนูนขึ้นมา เมื่อกี้เขากังวลเธอจะถูกไฟคลอกตาย ตอนนี้เกลียดถึงขั้นอยากจะฆ่าเธอด้วยตัวของเขาเอง

พ่อบ้านหวังสะบัดมือ เพื่อให้ทุกคนออกไป

เย่ฉ่าวเหยียนยืนที่หัวเตียง มองมู่เวยเวยที่ล้มลงไป รู้สึกเจ็บปวดในใจ เป็นครั้งแรกที่ก้นบึ้งหัวใจของเขาอยากให้เธอหนีไปจากเย่ฉ่าวเฉิน เขาถึงแม้จะไม่ได้เห็นอกเห็นใจเธอ แต่ผู้ชายทำร้ายผู้หญิง เย่ฉ่าวเหยียนทนไม่ได้

มู่เวยเวยลูบคลำบริเวณปากที่มีเลือด ลุกขึ้นยืนสายตาไม่มีแล้วความบ้าคลั่งมีเพียงความเงียบ

เธอมองเย่ฉ่าวเฉินมองแล้วมองอีก และมองเฉียวซินโยวที่ลุกขึ้น เธอไม่พูดอะไรแสยะมุมปากขึ้น และเดินออกไป

เวลานั้นไม่มีแม้แต่เสียงใดๆ……

ในห้องมีเพียงเฉียวซินโยวกับเย่ฉ่าวเฉินสองคน เขากำมือข้างที่ตบมู่เวยเวยแน่น ภายในใจเสียใจอยู่ลึกๆ

“ฉ่าวเฉิน คุณเป็นอะไรไหม”เฉียวซินโยวขลาดกลัวเดินเข้ามา ถามด้วยความอ่อนโยน

“ไสหัวไป!” เย่ฉ่าวเฉินเสียงต่ำคำรามออกมา

เฉียวซินโยวออกไปเงียบๆ สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เดิมทีคืนนี้หวังว่าจะสมปรารถนากลับถูกมู่เวยเวยผู้หญิงบ้าคนนี้มาก่อความวุ่นวาย แต่ว่ามองดูเย่ฉ่าวเฉินเป็นอย่างนี้แล้ว มู่เวยเวยอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเย่ได้อีกไม่นานแล้ว คุณผู้หญิงของคฤหาสน์ช้าหรือเร็วก็ต้องเป็นเธอ

พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว วันใหม่เริ่มขึ้นแล้ว

เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ข่าวลือของมู่เวยเวยเผยแพร่กระจายในคฤหาสน์ไปอย่างรวดเร็ว หรือนี่จะเป็นสัมผัสที่หกของผู้หญิง มู่เวยเวยตื่นแต่เช้าตรู่จัดการกับตัวเองเรียบร้อย นั่งสงบนิ่งที่หน้าต่าง รอเย่ฉ่าวเฉินเข้ามา

ไม่ได้มีความสุขมากเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้ทุกข์ใจ เป็นความรู้สึกที่ได้สลัดพ้นแล้ว

เป็นจริงอย่างที่คิด ช่วงเวลาแปดโมงเช้า เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้าแล้ว

“มู่เวยเวย ฉันจะพาเธอไปหาหมอ” เย่ฉ่าวเฉินมองใบหน้าที่บวมแดง ภายในใจเหมือนถูกก้อนหินมาอุดไว้ หายใจไม่ออก

มู่เวยเวยลุกขึ้นยืน พูดอย่างเรียบเฉย “ได้”

ช่วงเวลาที่กำลังขึ้นรถเย่ฉ่าวเฉียนเดินมาพูดกับเย่ฉ่าวเฉินว่า “พี่ ผมจะไปกับพี่ด้วย มีเรื่องอะไรจะได้ช่วยดูแลกัน”

เย่ฉ่าวเฉินมองสีหน้าที่เรียบเฉยของมู่เวยเวยแล้วพยักหน้าตอบรับ

รถขับอย่างช้านุ่มนวลไปที่โรงพยาบาล มู่เวยเวยมองดูรถด้านนอก ในใจกำลังคิดพอถึงแล้วจะหลอกหมอว่าอย่างไร? ถ้ารู้ก่อนหน้านี้จะอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องจิตใจมาก่อนเย่ฉ่าวเฉินพามู่เวยเวยไปโรงพยาบาลเกี่ยวกับเฉพาะด้านจิตใจและดีที่สุดในเมืองA

หมอซักประวัติอาการของเธอกับเย่ฉ่าวเฉิน และพูดคุยตรวจรักษากับเธอเพียงลำพัง

“เวยเวย คุณดูที่รูปนี้ ด้านบนคุณเห็นอะไร?”

มู่เวยเวยเอียงศีรษะ สายตาเหลือบมอง ไม่พูดอะไร

ก็ไม่ใช่รูปต้นไม้ใหญ่เหรอ? มีอะไรน่ามอง

“เวยเวย เมื่อคืนนี้คุณทำอะไรยังจำได้ไหม?” หมอถามอย่างต่อเนื่อง

“ก็ไม่ใช่แค่วางเพลิงเหรอ?” มู่เวยเวยยิ้มเยือกเย็น “ไม่ได้เผาเขาตาย น่าเสียดายจริงๆ”

หมอไม่ได้มีความแปลกใจ ถามด้วยความอ่อนโยนว่า”เมื่อคืนคุณนอนไม่หลับ?”

“หลับสบายมาก”มู่เวยเวยตอบตรงไปตรงมา

หลังจากนั้น หมอก็นำเครื่องมือมาตรวจ วินิจฉัยออกหนึ่งอย่าง มู่เวยเวยมีอาการเสียสติและยังมีโรคซึมเศร้าร่วมด้วย

“อาการหนักไหมครับ?”เย่ฉ่าวเฉินถาม

หมอเหลือบมองเขา โรคซึมเศร้าถ้าอาการหนักก็ถึงแก่ชีวิต คุณว่าหนักหรือไม่หนัก? ขอแนะนำว่าให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล คนไข้กลัวการที่ต้องพบเจอคุณ เพราะฉะนั้นคุณพยายามอย่ามาให้เธอเห็นหน้า หลีกเลี่ยงการตื่นตระหนก” พอพูดถึงประโยคนี้ หมออดไม่ได้ที่จะถาม”คุณทำร้ายเธอ?”

“ผมไม่ได้ทำ” เย่ฉ่าวเฉินตอบปฏิเสธ

“ถ้าไม่ใช่แล้วรอยฝ่ามือบนใบหน้าของเธอใครทำ?”หมอถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “คุณเย่ ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุอะไร คุณไม่ควรทำร้ายเธอ โดยเฉพาะคนไข้กำลังเสียสติดังนั้นจะทำให้คนไข้อาการทรุด เธอพังทลายได้ทุกเวลา”

เย่ฉ่าวเฉินไม่มีคำพูดจะตอบโต้กลับ

เป็นความผิดของเขา ตอนนั้นเธอทำให้เขาหมดความอดทน

“โอเค ไปทำเรื่องลงทะเบียนเข้ารับการรักษาเถอะ ให้เธอพักที่นี่ก่อน วางใจ พวกเราจะ

รักษาเธอให้ดีที่สุด”

เย่ฉ่าวเฉินยังคิดที่อยากจะพามู่เวยเวยกลับคฤหาสน์ เหมือนว่าเขาทำให้อาการของเธอเพิ่มมากขึ้น

“ขอบคุณครับหมอ”

ลงทะเบียนเสร็จ มู่เวยเวยเดินเข้าไปในห้องพักพิเศษ มีห้องนั่งเล่น ห้องนอน ยังมีห้องอาหารด้วย เหมือนกับห้องนอนของครอบครัวเล็กๆ

“เธออยู่ที่นี่ให้ความร่วมมือกับหมอในการรักษา ฉันมีเวลาจะมาเยี่ยมเธอ ” เย่ฉ่าวเฉินพูดเรียบนิ่งทำใจไม่ได้

มู่เวยเวยมองเขา เงียบไม่พูดจา กัดฟันเพื่อไม่ให้หัวเราะออกมา

“มู่เวยเวย ฉันไปก่อนนะ”

เธอไร้การเคลื่อนไหว ได้ยินเสียงประตูปิดลง ถึงหันศีรษะกลับไปมอง ว้าว ไปจริงๆแล้ว!

คนคนหนึ่งที่เหมือนคนเสียสติอยู่ในห้องพักคนไข้ วิ่งไปมากระโดดโลดเต้น แสดงออกมาถึงความตื่นเต้นดีใจ

เพิ่งจะกระโดดขึ้นบนโซฟาห้องรับแขก ได้ยินเสียงประตูดัง แกรก เปิดออก มู่เวยเวยตกใจอีกนิดหนึ่งหล่นลงมา เงยศีรษะขึ้นมา เป็นเย่ฉ่าวเหยียน

“ไอ๋หยา อีกนิดหนึ่งก็ทำให้ฉันตกใจตาย ฉันคิดว่าเย่ฉ่าวเฉินเข้ามา” มู่เวยเวยตบที่หน้าอกเบาๆ กระโดดลงจากโซฟาเดินมาหาเย่ฉ่าวเหยียน “คุณมาได้อย่างไร?มีเรื่องต้องการกำชับ?”

“การแสดงละครของคุณนี่ ผมจนกลัวว่าคุณจะบ้าจริงๆ” เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะด้วยความสนใจเธอ

“ชีวิตช่วงนี้ดูมืดมน ฉันไม่กล้าที่จะคิดกลับไป” มู่เวยเวยพูดถึงเรื่องราวชีวิต ต่างจากมู่เวยเวยที่อยู่ต่อหน้าหมอเหมือนเป็นคนละคนกัน

เย่ฉ่าวเหยียนยื่นโทรศัพท์ให้เธอ รีบพูดขึ้นทันที “โรงพยาบาลนี้ไม่ใช่โรงพยาบาลทั่วไป คุณอยู่ที่นี่ต้องระมัดระวัง ถึงจะไม่มีโรค ยาที่หมอให้มาห้ามรับประทานเด็ดขาด คิดดีแล้วหรือยังว่าจะทำอย่างไรต่อไป?”

มู่เวยเวยแสดงออกมาอย่างมั่นใจ “คิดไว้แล้ว ฉันต้องการหย่ากับเย่ฉ่าวเฉิน ฉันจะบ้าแล้ว เขาคงจะไม่ให้คนสติไม่ดีเป็นภรรยาหรอก”

เย่ฉ่าวเหยียนขมวดคิ้ว ดูจากปฏิกิริยาของพี่ชายเขาในตอนนี้ ไม่ง่ายที่จะยอมหย่ากับมู่เวยเวย

“ตกลง ในเมื่อคุณตั้งใจไว้แล้ว ถึงเวลานั้นผมจะหาทนายมาช่วยคุณ ” เย่ฉ่าวเหยียนพูดอย่างเคารพการตัดสินใจของเธอ ทำอย่างนี้ก็เพื่อมู่เวยเวยและก็เพื่อตัวเขาเอง

“ขอบคุณนะ ฉ่าวเหยียน”

เย่ฉ่าวเหยียนอดไม่ได้ที่จะกอดเธอ และรีบผละออกอย่างรวดเร็ว “ผมกลับแล้ว มีอะไรโทรมาได้เลย”

มู่เวยเวยยังไม่ทันได้ตอบกลับ เขาก็หายไปแล้ว

เมื่อกี้เขากอดเธอ……หมายความว่าอย่างไร?

การปลอบใจเพื่อน?

อืม ถูกต้อง ต้องเป็นกอดจากเพื่อนแน่นอน ไม่มีอะไรแอบแฝง

ผ่านมาแล้วสองวัน มู่เวยเวยให้ความร่วมมือในการรักษาเป็นบางคราว หลักๆคือพูดความในใจ เธอทำเหมือนหมอพูดคุยเล่นด้วย

หมอจ่ายยาส่วนใหญ่เป็นยาระงับประสาทสงบจิตใจ ก็ถูกเธอนำไปทิ้งลงโถส้วมหมด

ใช้เวลาที่นี่เวลาผ่านไปสองวัน นับตั้งแต่มู่เวยเวยแต่งงานมาโดยประมาณวันนี้เป็นวันที่รู้สึกสบายอกสบายใจที่สุด หมอประจำตัวของเธอแปลกมาก คนคนนี้ไม่ใช่ว่ายังดีๆอยู่เหรอ?รับประทานอาหารอร่อย นอนหลับสบาย

เย่ฉ่าวเฉินตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่เจอเขา คาดว่ากลัวที่จะมากระตุ้นเธอ

พอถึงวันที่สาม หมอลองถามว่า “มู่เวยเวย ฉันคิดว่าอาการของคุณดีขึ้นแล้ว เอาอย่างนี้ฉันทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลให้?”

“ไม่! ฉันไม่อยากออก ฉันป่วย ฉันยังรักษาไม่หาย” มู่เวยเวยตื่นตระหนกพูดปฏิเสธ ยังไม่ได้หย่าเลย เธอจะหายได้อย่างไร?

หมอขมวดคิ้ว “ตกลง คุณอยากอยู่ก็อยู่ ถึงอย่างไรเย่ฉ่าวเฉินก็มีเงิน”

“อย่าพูดชื่อเขาให้ฉันได้ยิน ฉันเกลียดเขา”มู่เวยเวยนั่งกอดหัวเข่าอยู่บนเตียง เหมือนกำลังหวาดกลัวอย่างไรอย่างนั้น

หมอเริ่มเข้าใจ คาดว่าอาการของเธอน่าจะมาจากการถูกเย่ฉ่าวเฉินทำให้ตกใจ

วันนี้ตอนบ่าย มู่เวยเวยกำลังวาดรูป ห้องพักของเธอมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมา

“เวยเวย——”เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นด้านหลัง

มู่เวยเวยตัวแข็งทื่อ คนสารเลวมาได้อย่างไรกัน?

เสียงฝีเท้าดังเข้ามา มู่เวยเวยเปลี่ยนเป็นท่าทีมึนงงหันกลับไป ไม่ได้เจอกันนาน เขายังรูปหล่อไม่เปลียน บุคลิกคล่องแคล่วว่องไวคือหนานกงเฮ่า

หนานกงเฮ่าเห็นมู่เวยเวยเป็นเช่นนี้ ฝีเท้าหยุดชะงักไปพักหนึ่ง ใบหน้ายิ้มเลื่อนลอย

“เวยเวย คุณยังจำผมได้ไหม?”

มู่เวยเวยทำเหมือนกำลังคิดอยู่ไม่กี่นาทีถึงจะพูด “คุณคือหนานกงเฮ่า ฉันจำได้” พูดจบก้มศีรษะลงออกแบบต่อ

หนานกงเฮ่าเหมือนถูกตีด้วยขวดห้ารสชาติ เปรี้ยวหวานขมเผ็ดเค็มมีหมด

เขาชอบมู่เวยเวย อยากจะครอบครองเธอ เพื่อจุดมุ่งหมายเขาสามารถใช้ทุกวิถีทาง แต่พอเห็นเธอเป็นอย่างนี้ เขานึกย้อนกลับไปสิ่งที่เขาทำทั้งหมดถูกต้องแล้วใช่ไหม

“เวยเวย คุณกำลังวาดรูปอะไร?”

หนานกงเฮ่าอยากจะเดินเข้าไปดู ไม่รู้ว่ามู่เวยเวยจะตื่นตระหนกเลยถอยหลังกลับ ใน

สายตามีเจตนาร้าย

“คุณคิดจะทำอะไร?” มู่เวยเวยถามด้วยความโกรธ

หนานกงเฮ่าจับภาพวาดที่อยู่ในมือของเธอ พูดติดขัด “ผม……..ผมแค่อยากดูว่าคุณกำลังวาดอะไร?”

“ไม่ให้ดู” มู่เวยเวยกอดภาพวาดไว้แน่น และออกห่างจากเขา

หนานกงเฮ่าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรให้ได้ใกล้ชิดเธอ คิดกลับไปกลับมา พูดว่า”ถ้าอย่างนั้นคุณก็วาด ผมออกไปข้างนอกสักครู่”

ต้องการที่จะไปถามหมอ เหตุการณ์เช่นนี้ต้องทำอย่างไร?

มู่เวยเวยมองเขาที่ออกไป ถอนหายใจออกมา

ถ้าหากว่าเธอยังไม่รู้ว่าเขาทำอะไรไว้บ้าง เธออาจจะยังมีความรู้สึกที่ดีให้อยู่ แต่ตอนนี้มู่เวยเวยยังไม่อยากมองเขาแม้แต่ตาเดียว

ที่สำคัญคือเขามาทำอะไรที่นี่?

เธอควรจะแสดงออกอย่างไรกับเขา?

ในสมองรู้สึกสับสน มู่เวยเวยหยิบโทรศัพท์ส่งข้อความหาเย่ฉ่าวเหยียน หนานกงเฮ่ามาที่นี่

ข้อความตอบกลับมา เพียงแค่ เงียบมองการเปลี่ยนแปลง

ตกลง ตอนนี้ทำได้เท่านี้ ก็ดูว่าเขาจะทำอะไร

…….

เย่ฮวางกรุ๊ป

พนักงานทุกคนมีความรู้สึกว่าตั้งแต่ประธานเย่มาทำงาน อารมณ์แย่มาก พนักงานไม่ระวังเหยียบโดนหิมะ ถูกเขาตักเตือนหนักมาก

บทความใหม่ของนิตยสารแฟชั่นออกมาแล้ว ลักษณะของมู่เวยเวยในรูปนี้ทำให้แปลกใจ เพื่อนร่วมงานคาดไม่ถึงมู่เวยเวยปกติเรียบร้อยจะมีด้านนี้ด้วย

เย่ฉ่าวเฉินมองหน้าตาน่ารักในนิตยสาร ในสายตามีความอ่อนโยน แม้แต่เขาเองยังไม่เคยสังเกตเห็น

ที่แท้ สิ่งที่เขามองไม่เห็น ความสว่างไสวนี้เธอแสดงออกทางสายตามาโดยตลอด วันนี้ ความสว่างไสวนี้เป็นเพราะเขา เธอถึงกักเก็บมันไว้

มู่เวยเวยไม่อยู่ที่แผนกออกแบบ เฉียวซินโยวรู้สึกสบายใจ ยังไม่ถึงเวลารับประทานอาหารโรงแรมหรูไว้รอแล้ว เธอต้องการที่จะทำให้ใจเย่ฉ่าวเฉินกลับมาอีกครั้ง

เวลาเที่ยง เฉียวซินโยวเดินมาอย่างมีความสุขถือกล่องอาหารมาที่ห้องทำงานผู้บริหารยังไม่ทันได้เข้าไปก็ถูกเลขาหลิวรั้งไว้ก่อน

“เฉียวซินโยว เธอคงลืมแล้ว เย่ฉ่าวเฉินเคยมีกฎ ไม่ให้เธอใช้เรื่องส่วนตัวมารบกวนเขา”

เฉียวซินโยวเงยค้างขึ้นมา พูดอย่างหยิ่งยโส ” เลขาหลิว เคยคือเคย ตอนนี้ไม่แน่นอน ไม่อย่างนั้นคุณเข้าไปถามเขา ต้องการหรือไม่ต้องการรับประทานอาหารเที่ยง?”

“ประธานเย่ไม่อยู่ที่ห้องทำงาน” เลขาหลิวพูดสีหน้าเรียบเฉย

เฉียวซินโยวแปลกใจ ไม่เชื่อและพูดว่า “เป็นไม่ได้ คุณโกหกฉัน” พูดในขณะที่เลขาหลิวเผลอ ผลักประตูเข้าไปก็ไม่มีใครสักคนจริงๆ

เลขาหลิวกลับไปที่ประตู พูดสีหน้าเรียบเฉย “เฉียวซินโยว ถ้าหากเธอไม่เคารพกฎ ตอนนี้ฉันสามารถแจ้งประธานเห่อ ให้เธอฝึกงานเสร็จก่อนกำหนด”

เฉียวซินโยวกักเก็บความโกรธไว้ พูดขอโทษเสียงต่ำ “เลขาหลิว ฉันแค่เป็นห่วงประธานเย่ กลัวว่าเขาจะทำแต่งานไม่รับประทานอาหาร ครั้งต่อไปฉันจะไม่ทำแบบนี้”

“รีบออกไปจากที่นี่ ” เลขาหลิวทำท่าทางเชิญ

เฉียวซินโยวกัดที่ริมฝีปากมองเขา ถือกล่องอาหารกลับไป

เธอเดินลงบันไดมาอดไม่ได้ที่จะโทรหาเย่ฉ่าวเฉิน

เพิ่งจะรับสายเฉียวซินโยวก็ทำเสียงออดอ้อน “ฉ่าวเฉิน เที่ยงแล้วพวกเราไปรับประทานอาหารกันเถอะ”

“ผมมีธุระ”

“คุณ………อยู่ที่ไหนคะ?”

“ผมกำลังไปเยี่ยมมู่เวยเวย ตอนนี้ขับรถอยู่ วางละนะ”

เฉียวซินโยวได้ยินเสียงในโทรศัพท์รีบพูดตัดบทไป ก็โมโหขว้างกล่องอาหารลงในถังขยะข้างเท้าของเธอ

ภายในรถ หลังจากวางโทรศัพท์จากเฉียวซินโยว เย่ฉ่าวเฉินคิดแล้วคิดอีก นำรถจอดข้างถนนหน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง

“คุณ เชิญด้านในค่ะ” พนักงานต้อนรับใบหน้ายิ้มแย้ม

เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้เข้าไป อยู่แค่หน้าเคาน์เตอร์ “เอาอาหารที่ขึ้นชื่อของที่นี่สามอย่าง ไม่เอารสเผ็ด รีบหน่อยนะครับ ผมห่อกลับนะ”

“ได้ค่ะ รอสักครู่นะคะ”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset