หนานกงเฮ่าดูนาฬิกาแล้วพูด “เพิ่งจะเจ็ดโมงกว่า ผมอยู่เป็นเพื่อนคุณอีกแปบ”
เฮ้อ….
มู่เวยเวยยิ่งรู้สึกว่าเย็นนี้เขาไม่ปกติ ปกติแล้วน้อยครั้งมากที่เขากินข้าวเย็นเสร็จแล้วจะอยู่ต่อ แต่วันนี้เขากลับนั่งดูทีวี
“หนานกงฉันอยากพักผ่อนแล้ว” น้ำเสียงของมู่เวยเวยเย็นชาเล็กน้อย
สายตาของหนานกงเฮ่าหม่นลงเป็นอย่างมาก แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงยิ้มอย่างสดใส เขาเดินไปกอดเธอเบาๆ “คุณนี่นะ ผมอยากอยู่เป็นเพื่อนคุณอีกนิดก็ไม่ยอม โอเค ผมไปแล้วโอเคมั้ย”
มู่เวยเวยหลุบตาลงไม่พูดจา เธอเป็นโรคซึมเศร้า ดังนั้นอารมณ์ไม่คงที่จึงเป็นเรื่องปกติ
หนานกงเฮ่าก้มหน้าพูดยิ้มๆ “โกรธหรอ โอเค ผมไปแล้วๆ อย่าลืมกินน้ำ นอนหลับพักผ่อน พรุ่งนี้ผมจะมาเยี่ยมใหม่”
มู่เวยเวยตอบ “อืม” เบาๆ
หนานกงเฮ่าบีบแก้มเธออย่างเอ็นดู ก่อนจะมองเธออยากลึกซึ้ง และออกไป
พอเขาออกไปตรงทางเดินแล้ว มู่เวยเวยก็ล็อคประตู แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก และเทน้ำแก้วนั้นลงในอ่างล้างหน้า
คืนนี้มู่เวยเวยพลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ เธอรู้สึกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เธอเป็นอย่างนี้ไปจนถึงตีหนึ่งกส่า ก่อนเปลือกตาจะค่อยๆหลับลง
ในค่ำคืนอันมืดมิด มีลมกระทบกระจกอย่างแรง พร้อมเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง
ลูกบิดประตูด้านนอกขยับเล็กน้อย แล้วหยุดไปหลายวิ จากนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘ปัง’ แล้วประตูก็ถูกเปิดเข้ามา
เงาหนึ่งเดินตะคุ่มๆมาที่ข้างเตียงคนไข้ ก่อนจะค่อยๆยกมือขึ้นมาลูบหน้าผาก ใบหน้า จมูกและสุดท้ายก็หยุดไว้ตรงริมฝีปากสีแดงสด
มู่เวยเวยจากที่นอนหลับไม่สนิทอยู่แล้ว เมื่อรู้สึกว่ามีคนยืนอยู่ข้างๆ เธอก็ลืมตาขึ้นอย่างสะลืมสะลือ ก่อนจะตกใจทันทีที่เห็นคนเข้ามา เธอกำลังจะกรี๊ดแต่ก็ถูกปิดปากไว้ ก่อนที่จะเกิดความเจ็บขึ้นบนแขนที่เพิ่งถูกปักเข็มลงมา
“อื้อๆ” มู่เวยเวยพยายามกรี๊ดอย่างสุดเสียง พร้อมทั้งจับแขนของเขาไว้ แต่เขาก็กระซิบข้างหูเธอว่า “เวยเวยผมเอง อย่ากรี๊ดนะ ผมจะพาคุณออกไป”
มู่เวยเวยเบิดตากว้าง มองใบหน้าเขาผ่านแสงจันทร์ จากนั้นก็เห็นหนานกงเฮ่าที่กำลังยิ้มแปลกๆอยู่
“อื้อๆ” สายตาของมู่เวยเวยเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาจะพาเธอไปไหน
“อย่าดื้อ อย่าขยับๆ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
พอเขาพูดจบ มู่เวยเวยก็รู้สึกว่าเปลือกตาหนักขึ้น มือของเธอที่กำลังแกร่งไปมาก็ค่อยๆอ่อนแรงขึ้นเช่นกัน
“หนึ่ง สอง สาม หลับซะนะ”
หนานกงเฮ่าดึงเข็มออกมาทิ้งลงบนพื้น ตบแก้มมู่เวยเวยเบาๆ แต่เธอก็ไม่มีปฏิกิริยากลับมา
“ยาออกฤทธิ์เร็วขนาดนี้เลยหรอ แต่ก็ดี เวยเวยฝันดีนะ ตื่นขึ้นมาเราก็จะมีชีวิตใหม่แล้ว ไม่มีเย่ฉ่าวเฉิน ไม่มีเฉียวซินโยว มีแค่ผมกับคุณ”
พูดจบ เขาก็ประคองเธอขึ้นมาจูบปากเบาๆ ใส่เสื้อคลุมให้เธอ และอุ้มเธอออกมาจากห้องผู้ป่วย
บนทางเดินเงียบมาก เวลานี้ทุกคนหลับกันหมดแล้วจึงไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แต่เมื่อออกมาจากโรงพยาบาล หนานกงเฮ่าก็ถูกอาเจี๋ยที่เฝ้าดูอยู่นานเห็นเข้า เมื่อเขาเห็นว่ามันไม่ปกติจึงโทรไปบอกเย่ฉ่าวเหยียนด้วยความรีบร้อน
เพราะเป็นกลางดึก จึงต้องโทรไปหลายสายมาก กว่าเย่ฉ่าวเหยียนจะรับสาย
“บอสครับ หนานกงเฮ่าพาตัวมู่เวยเวยออกจากโรงพยาบาลไป มู่เวยเวยเหมือนว่าจะสลบอยู่”
เย่ฉ่าวเหยียนได้ข่าวก็ลุกจากเตียงทันทีด้วยความตกใจ “ตามเขาไป ดูว่าเขาจะไปที่ไหน แล้วรายงานผมมาเป็นพักๆ”
“ครับ บอสครับ เขาออกรถแล้ว ผมกำลังจะตามไป….”
ตอนนี้เย่ฉ่าวเหยียนนอนไม่มีอารมณ์นอนแล้ว เขากลัวจะเกิดอะไรขึ้น
เขาคิดว่าที่หนานกงเฮ่ากับเฉียวซินโยวมาเจอกัน เป็นเพราะเขาอยากบอกเธอให้หาทางจับเย่ฉ่าวเฉินเร็วๆ คิดไม่ถึงว่าหนานกงเฮ่าก็มึแผนเหมือนกัน
เย่ฉ่าวเหยียนเดินไปเดินมาในห้อง พยายามบังคับให้ตัวเองสงบลง พลางค่อยๆคิดว่าหนานกงเฮ่าจะพาเธอไปไหน
ในประเทศ หรือว่าต่างประเทศ
เขาคนเดียวไม่มีทางขับรถได้นานๆ และคงไม่ไปนั่งรถไฟ เพราะเมื่อมู่เวยเวยตื่นขึ้นมาระหว่างทาง เขาไม่มีทางควบคุมอารมณ์ได้แน่ งั้นก็มีแค่ทางเดียวคือเครื่องบิน”
ตอนนี้ข้างนอกฟ้าผ่าอย่างรุนแรง คิดว่าเดี๋ยวฝนคงจะตกห่าใหญ่ ถ้าเป็นอย่างนั้น สนามบินอาจจะต้องปิดชั่วคราว
ไม่ได้ จะฝากความหวังไว้กับพระเจ้าไม่ได้
……
ค่ำคืนอันเงียบสงัด บนถนนมีรถน้อยมากจนน่ากลัว
รถของหนานกงเฮ่าขับฝ่าความมืดมุ่งตรงไปทางสนามบินอย่างรวดเร็ว สิบนาทีหลังจากนั้นเขาก็เห็นจากกระจกมองหลังว่ามีรถคันหนึ่งขับตามรถของเขาไม่ใกล้ไม่ไกลมาตลอดทาง
บังเอิญหรือตั้งใจ
หนานกงเฮ่าแสยะยิ้มเย็น อยากสะกดรอยตามฉันหรอ
งั้นฉันจะให้พวกแกลองดูว่าฉันโหดขนาดไหน
รถเพิ่มความเร็วในทันที แม้แต่ไฟแดงก็ขับฝ่า ทำให้อาเจี๋ยที่อยู่ข้างหลังรู้ตัวได้ว่าตัวเองโดนจับได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงขับตามเขาไปตรงๆอย่างไม่ปิดบัง
สายฟ้าสว่างวาบลงมาบนถนน ในระหว่างที่รถสองคันขับตามกันอย่างดุเดือด
หนานกงเฮ่าเหยียบคันเร่งมิดไมล์ ก่อนที่เขาจะคิดถึงตอนที่เขาหนีจากการไล่ล่าของศัตรูได้ ตอนนั้นเขาหนีโดยการใช้ถนนเส้นเล็กๆข้างหน้า รถข้างหลังตามมาติดๆ ตอนนี้ต้องไปตามเส้นทางนั้นอีกครั้งเท่านั้น
รถที่ขับมาด้วยความเร็วหักโค้งอย่างรวดเร็ว หนานกงเฮ่าใช้โอกาสตอนที่รถคันข้างหลังยังตามมาไม่ถึงหักพวงมาลัยเลี้ยวไปในซอยเล็กๆที่ไม่มีแสงไฟ จากนั้นก็ปิดไฟในรถทุกอย่าง
จากกระจกมองหลัง เขาเห็นไฟรถที่ตามมาขับผ่านไป หนานกงเฮ่ายิ้มอย่างพอใจทันที
จะสู้กับฉัน ไม่ดูเลยว่าฉันโตมายังไง
หนานกงเฮ่ามองมู่เวยเวยที่ยังสลบอยู่ แล้วถามกับตัวเองว่า “เวยเวย คุณว่าคนที่ตามมาเป็นใคร เย่ฉ่าวเฉินหรือว่าผู้ชายคนอื่นที่ชอบคุณ”
เขาซ่อนอยู่ในความมืดอยู่สองนาทีก็กลับมาเคลื่อนรถอีกครั้ง
“ปัง” เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็มีฝนตกลงมาห่าใหญ่ใส่กระจกหน้ารถของเขา
ฝนห่าใหญ่ได้ตกลงมาแล้ว
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น รถของหนานกงเฮ่าก็ค่อยๆขับเข้ามาในสนามบิน เขาได้ยินเสียงประกาศดังมาจากไกลๆ
ผู้โดยสารทุกท่าน เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนทำให้ทุกสายการบินต้องยกเลิก เมื่อกลับมาทำการบินได้อีกครั้ง จะแจ้งอีกในภายหลังค่ะ
“เชี่ยเอ้ย” หนานกงเฮ่าตบพวงมาลัยอย่างโมโห พระเจ้าทำไมถึงได้หน้าด้านอย่างนี้
แต่หลังจากนั้นเขาก็เห็นเรื่องแปลกๆมากขึ้น
หน้าประตูสนามบินมีบอดี้การ์ดสิบกว่าคนกำลังตรวจรถทุกคันที่ขับเข้าไป และบอดี้การ์ดพวกนี้ก็ดูคุ้นตามาก
นี่ไม่ใช่….คนของพ่อหรอ
พ่อรู้ได้ยังไงว่าเขาจะมาสนามบิน
หรือว่ารถที่สะกดรอยตามเขาเมื่อกี้คือรถของพ่อ
ขับไปต่อไม่ได้ หนานกงเฮ่ารีบกลับรถ ขับไปทางเดิม
ตอนนี้ไปไหนดี
ในเมื่อพ่อรู้แล้ว บ้านก็กลับไปไม่ได้แล้ว บ้านพักในเมืองก็ไปไม่ได้ จะไปได้ก็แต่บ้านพักส่วนตัวกลางภูเขา
ที่ตรงนั้นเขาซื้อไว้นานแล้ว แต่ไม่เคยไปพักมาก่อน ปกติมีแค่คนดูแลบ้านเข้าไปทำความสะอาด พ่อแม่ก็ไม่รู้ กลับไปตั้งหลักตรงนั้นก่อน แล้วค่อยวางแผนใหม่ดีกว่า
ช่วงเช้ามืด หนานกงเฮ่าก็มาถึงบ้านกลางภูเขา
“ห้องนอนสะอาดมั้ย” หนานกงเฮ่าอุ้มมู่เวยเวยขึ้นไปข้างบน พลางถามพ่อบ้านไปด้วย
พ่อบ้านหลุดออกมาจากความตกตะลึง รีบตอบว่า “สะอาดครับสะอาด ผมทำความสะอาดทุกวัน”
เขาไม่ได้เห็นหนานกงเฮ่ามานานแล้ว ทำให้เขาตอบสนองช้าไปเล็กน้อย
หนานกงเฮ่าเดินไปตรงห้องนอนชั้นสอง ใช้เท้าดันประตูเปิด จากนั้นพ่อบ้านที่เดินตามมาข้างหลังก็มาเปิดไฟให้เขา
“ลงไปทำอาหารเช้าให้หน่อย ถ้าฉันไม่ได้เรียกไม่ต้องขึ้นมา” หนานกงเฮ่าหันหลังสั่งเขา
“ครับเจ้านาย” พ่อบ้านตอบรับ และแอบมองใบหน้าอันสวยหวานของมู่เวยเวย
เธอ…หน้าคุ้นๆ
เคยเห็นที่ไหนนะ
….
คฤหาสน์ตระกูลเย่
เย่เฉินได้รับสายจากอาเจี๋ยขณะที่กำลังกระวนกระวายในตอนที่พระอาทิตย์ค่อยๆโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้น
“เป็นไงบ้าง หาหนานกงเฮ่าเจอรึยัง”
ครึ่งชั่วโมงก่อนหน้า อาเจี๋ยบอกว่า เขาคลาดกับรถของหนานกงเฮ่า เย่ฉ่าวเหยียนจึงสั่งให้ทุกคนออกไปตาม
“ยังครับ จนถึงตอนนี้ยังไม่พบร่องรอยอะไรเลย”
“หาต่อไป!” น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเฉินเต็มไปด้วยความโกรธ
“ครับบอส”
เย่ฉ่าวเหยียนวางสาย นวดดวงตาที่พร่ามัวเบาๆ ตอนนี้โทรศัพท์ของมู่เวยเวยโทรไม่ติดแล้ว และโทรศัพท์ของหนานกงเฮ่าก็ปิดเครื่องแล้วเช่นกัน
จะหาพวกเขาเจอได้ยังไง ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงคนคนหนึ่ง
รอต่อไปไม่ได้แล้ว ยิ่งนานไป มู่เวยเวยก็ยิ่งอยู่ในอันตรายนานขึ้น
เย่ฉ่าวเหยียนวิ่งไปที่ห้องนอนของเฉียวซินโยวทั้งชุดนอน
“ปังๆๆ” เสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบทำให้คฤหาสน์ที่เงียบสงบเกิดเสียงดังแสบหู
“ปังๆๆๆๆ ปังๆๆๆ” เย่ฉ่าวเหยียนกำมือทุบประตู
ในที่สุดก็ได้ยินเสียงคร้านๆของเฉียวซินโยวดังลอดมา “ใครน่ะ มาแล้วๆ”
ทันทีที่เปิดประตู เฉียวซินโยวก็ตะลึงทันที “ฉ่าวเหยียน”
“หนานกงเฮ่าเอามู่เวยเวยไปซ่อนไว้ที่ไหน” ตอนนี้เย่ฉ่าวเหยียนก็ขี้เกียจอ้อมค้อมแล้ว จึงถามไปตรงๆ
เฉียวซินโยวตื่นจากอาการสะลืมสะลือทันที เธอแกล้งตอบหน้าตื่น “หนานกงเฮ่าอะไร ฉันไม่รู้”
เย่ฉ่าวเหยียนทุบขอบประตู ตะโกนใส่เธอโกรธๆ “ไม่ต้องมาแกล้งซื่อ เมื่อวานเธอไปเจอหนานกงเฮ่าที่ร้านกาแฟฉันเห็นทั้งหมด บอกมา หนานกงเฮ่าเอามู่เวยเวยไปไว้ที่ไหน”
เฉียวซินโยวใจเต้นอย่างรุนแรง เธอไปเจอหนานกงเฮ่า เย่ฉ่าวเหยียนรู้ด้วยหรอ
“ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดอะไร” เฉียวซินโยวพูดแล้วจะปิดประตู
เย่ฉ่าวเหยียนใช้เท้าเตะประตูออก พร้อมพูดด้วยสายตาแค้นเคือง “เฉียวซินโยว อย่าคิดว่าที่เธอกับหนานกงเฮ่าแอบทำอะไรลับหลังฉันจะไม่รู้ ทางที่ดีตอนนี้เธอบอกฉันมาซะว่าหนานกงเฮ่าไปไหน ไม่อย่างนั้นเรื่องที่เธอทำลับหลัง ฉันจะบอกพี่ใหญ่ทั้งหมด”
เฉียวซินโยวไม่เคยเห็นท่าทางดุดันอย่างนี้ของเย่ฉ่าวเหยียนมาก่อน แต่ตอนนี้เธอต้องยืนกรานให้ถึงที่สุด อีกอย่างเธอก็ไม่รู้จริงๆว่าหนานกงเฮ่าอยู่ไหน
“เย่ฉ่าวเหยียน ฉันไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไรอยู่ ฉันไม่รู้จักหนานกงเฮ่าอะไรนั่น แล้วจะรู้ได้ไงว่าเขาอยู่ไหน”
ขณะที่ความโกรธของเย่ฉ่าวเหยียนกำลังจะปะทุออกมา เสียงของเย่ฉ่าวเฉินก็ดังขึ้นข้างหลังเขา
“ทะเลาะอะไรกันแต่เช้า”
เย่ฉ่าวเหยียนรู้ว่าปิดบังต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เขาจึงหันไปตอบเสียงเข้ม “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้โดนหนานกงเฮ่าลักพาตัวไปเมื่อคืน ตอนนี้หาตัวไม่เจอแล้ว”
หลังจากเย่ฉ่าวเฉินตกใจแล้ว ก็มีความโกรธปะทุขึ้น จึงโทรหาหมอที่เป็นเจ้าของไข้ของมู่เวยเวยอย่างรวดเร็ว
“ผมคือเย่ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวยอยู่ห้องมั้ย”
น้ำเสียงของหมอตอบมาอย่างหน่ายๆ เพราะกำลังนอนหลับ “เธอก็อยู่ที่ห้องสิครับ”
เย่ฉ่าวเฉินปรอทแตกทันที “ไปดูให้ผมเดี๋ยวนี้! ตอนนี้ ด่วน”
หมอโดนเขาตวาดใส่ก็ไม่กล้าโอ้เอ้อีก เขาลุกขึ้นมาใส่รองเท้าและวิ่งไปที่ห้องของมู่เวยเวยทันที ก่อนจะเห็นผ้าห่มบนเตียงเปิดอยู่ แต่ไม่เห็นคน
“เธอ…เธอไม่อยู่…” หมอพูดตะกุกตะกัก พระเจ้า คนไข้หาย เป็นไปได้ยังไง
“บัดซบ!” เย่ฉ่าวเฉินวางสาย หันไปถามเย่ฉ่าวเหยียน “แกบอกว่ามู่เวยเวยโดนหนานกงเฮ่าลักพาตัวไปหรอ”
สีหน้าของเย่ฉ่าวเหยียนร้อนรนทันใด “ใช่ คนของผมถูกเขาสลัดออก พี่ใหญ่ พี่สนิทกับหนานกงเฮ่า พี่ว่าเขาน่าจะไปที่ไหน”
เย่ฉ่าวเหยียนตะโกนลงไปชั้นล่าง “จางเห้อ” หลังจากได้ยินเสียงขานรับแล้ว เขาก็สั่ง “สั่งทุกคนออกไปตามหาหนานกงเฮ่า ไปที่บ้านของเขาทุกที่ และก็โรงแรม ร้านเหล้าที่เขาเคยไป รวมถึงโมเทลด้วย ถึงต้องพลิกแผ่นดินหาทั้งเมืองAก็ต้องทำ”
“ครับคุณชาย”
เมื่อเห็นจางเห้อออกไปกับตาตัวเองแล้ว เย่ฉ่าวเฉินถึงได้หันหน้ากลับมามองเย่ฉ่าวเหยียนนิ่งๆ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ บอกมาให้ชัดๆ”
“ไปห้องนั่งเล่นเถอะ ผมจะบอกทุกเรื่อง” เย่ฉ่าวเหยียนเดินไปสองก้าว แล้วหันกลับมาจ้องเฉียวซินโยว และพูดอย่างเย็นชา “เธอเป็นคนแสดงละครในนี้ เธอพูดเองดีกว่ามั้ง”
เฉียวซินโยวถอยหลังจับขอบประตูไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงกลัวๆ “ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดอะไร มันไม่เกี่ยวกับฉัน”
“แน่ใจนะว่าไม่เกี่ยวกับเธอ”
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ทั้งสองคน จากนั้นก็หันไปจ้องที่เฉียวซินโยว แล้วพูดจริงจัง “ไปด้วยกันเถอะ”
…..
มู่เวยเวยตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงนกร้อง เธอลืมตาขึ้นมา พบกับเตียง และการจัดห้องที่ไม่คุ้นเคย เมื่อก้มลงมองตัวเองก็ยังเห็นว่าใส่ชุดเมื่อคืนอยู่
เมื่อลุกขึ้นมาเปิดหน้าต่าง ก็ได้รับอากาศบริสุทธิ์พัดเข้ามา พร้อมกับฝนที่ตกปรอยๆท่ามกลางภูเขาเขียว
ที่นี่ที่ไหน หนานกงเฮ่าล่ะ
“ตื่นแล้วหรอ”
มู่เวยเวยหันกลับไปด้วยความตกใจ หนานกงเฮ่ายืนอยู่หน้าประตู รอยยิ้มบางๆ รูปร่างสูงสง่าและหล่อเท่ห์ แต่กลับไม่มีแรงดึงดูดมู่เวยเวยเลย
“หนานกงเฮ่าที่นี่คือที่ไหน คุณพาฉันมาที่นี่คุณต้องการทำอะไร” มู่เวยเวยมองเขาอย่างเย็นชาและห่างเหิน
หนานกงเฮ่าเดินเข้ามาส่งยิ้มด้วยความอบอุ่น “หิวล่ะสิ ไปกินข้าวกัน”
มู่เวยเวยจ้องเขา พยายามควบคุมสติให้สงบลงเพื่อจะตามน้ำไปก่อน “คุณมีเสื้อผ้าผู้หญิงมั้ย เอามาให้ฉันหน่อย ฉันใส่ชุดนอนไปกินข้าวไม่ดีมั้ง”
“อ้อ นี่เป็นความผิดของผมเอง รอแปบนึง เดี๋ยวผมไปหาก่อน” พูดจบหนานกงเฮ่าก็หันหลังเดินออกไป มู่เวยเวยถึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
จากเรื่องเมื่อคืน มู่เวยเวยรู้สึกว่าตอนนี้หนานกงเฮ่ากำลังรนอยู่ เธอกลัวว่าถ้าทำให้เขาอารมณ์ไม่ดีเขาจะทำอะไรเธอ
ทำยังไงดี โทรศัพท์ต้องถูกทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลแน่ ในห้องนี้ก็ไม่มีโทรศัพท์
ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ก็คือต้องรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน และรู้ว่าหนานกงเฮ่ากำลังจะทำอะไร
หลายนาทีจากนั้นหนานกงเฮ่าก็มาปรากฏตัวที่หน้าประตู ในมือถือเสื้อเชิ้ตและกางเกงใหม่หลายตัว
“เวยเวยที่นี่ผมไม่เคยอยู่มาก่อน เลยไม่มีเสื้อผ้าผู้หญิง มีแต่เสื้อผ้าผม คุณใส่ไปก่อนนะ”
“โอเค ต้องทำอย่างนั้นแหละ” มู่เวยเวยรับเสื้อผ้ามา เมื่อเห็นว่าหนานกงเฮ่ายังยืนอยู่หน้าประตู เธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมา แต่ก็ยังพูดหน้านิ่งว่า “คุณรอแปบ ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
“โอเค ผมรอข้างล่างนะ”
ทันทีที่หนานกงเฮ่าไป มู่เวยเวยก็รีบปิดล็อคประตูทันที
มู่เวยเวยเป็นคนตัวสูง เมื่อใส่ชุดของหนานกงเฮ่าจึงไม่ได้ใหญ่มาก กางเกงก็ไม่ได้ยาวเกิน มู่เวยเวยเลือกตัวที่เล็กที่สุด
บ้านมีสามชั้นแบบไม่ต่างจากบ้านตระกูลเย่มาก ชั้นหนึ่งมีห้องนั่งเล่น ห้องอาหารต่างๆ ชั้นสองเป็นห้องนอน และชั้นสามเป็นห้องหนังสือ กับห้องดูหนัง
เพราะไม่มีคนอยู่มานาน ภายในบ้านจึงมีกลิ่นอับ
ทันทีที่มู่เวยเวยลงมาจากบันไดวน ก็เจอกับคนแปลกหน้าคนแรกในบ้าน เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบกว่า ใส่เสื้อแบบโบราณ กางเกงสีดำ สีหน้าใจดี
“สวัสดีครับ ผมเป็นคนดูแลที่นี่ ผมแซ่ถัง คุณเรียกผมว่าพ่อบ้านถังก็ได้”
มู่เวยเวยพยักหน้าให้เขา “สวัสดีค่ะ อาถัง”
พ่อบ้านถังตะลึง ไม่คิดว่าให้ความสนิทขนาดนี้
“เวยเวยมาตรงนี้” หนานกงเฮ่าเรียกเธอจากห้องกินข้าว เวยเวยเดินเข้าไปก็เห็นโจ๊ะสองชามบนโต๊ะ กับกับข้าวง่ายๆสองสามอย่าง
“หิวรึยัง กินรองท้องไปก่อน เดี๋ยวผมให้พ่อบ้านถังไปซื้ออาหารมาให้” เขาดึงเก้าอี้ออก แล้วกดเธอให้นั่งลง พลางพูดข้างหูว่า “คุณใส่เสื้อผมเหมาะมาก”
ลมหายใจของเขาที่เป่ารดหู ทำให้มู่เวยเวยใจเค้นขึ้นมาอย่างไม่สบายใจ
เมื่อเห็นเขานั่งตรงข้ามแล้ว เธอถึงพูดว่า “หนานกง คุณไม่คิดจะอธิบายหน่อยหรอ
หนานกงเฮ่าเอาตะเกียบค่อยๆคีบอาหารพลางพูด “ตอนแรกผมจะพาคุณไปต่างประเทษ แต่ดันมีฝนตกหนัก เลยพาคุณมาที่นี่แทน”
“งั้นทำไมคุณไม่ถามความเห็นฉัน ทำไมไม่ถามหน่อยว่าฉันยอมรึเปล่า” มู่เวยเวยพยายามทำให้น้ำเสียงตัวเองฟังแล้วยังดูสงบนิ่งอยู่
หนานกงเฮ่าจ้องเธอตรงๆ “เพราะผมรู้ว่าคุณจะไม่ย อม ก็เลยต้องลักพาตัวมา”
“โอเค แล้วจากนั้นล่ะ คุณพาฉันมาที่นี่ อย่าบอกว่านะว่าจะขังฉันตลอดชีวิต” มู่เวยเวยกำตะเกียบปน่น ข่มอารมณ์โมโหแงอย่างสุดกำลัง
หนานกงเฮ่ายิ้มขึ้นมาทันที “ไม่ใช่ทั้งชีวิต รอให้ข้างนอกซาลงก่อม ผมจะพาคุณออกไป โลกใหญ่ขนาดนี้ เราสามารถหาที่ที่ไม่มีใครรู้จักอยู่ มีแค่คุณกับผม อย่างนี้ดีมากไม่ใช่หรอ”
“ไม่ดี” มู่เวยเวยดับฝันของเขา “หนานกงเฮ่า นี่เป็นแค่ความคิดของคุณ ฉันไม่ได้อยากไปกับคุณสักนิด”
สีหน้าของหนานกงเฮ่าเย็นชาลง รอยยิ้มก็ค่อยๆหายไป “ผมกำลังจะพาคุณหนี ทำไมคุณถึงไม่ยอม”
“ฉันอยากไปจากเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปกับคุณ”
หนานกงเฮ่าพูดอย่างอดทน “เวยเวย เมื่อก่อนความสัมพันธ์ของเราดีมากไม่ใช่หรอ คุณก็ชอบผม แต่เพราะแม่ของผม พวกเราเลยต้องโดนบีบให้เลิกกัน ตอนนี้ระหว่างเราไม่มีอะไรมากั้นแล้ว ทำไมคุณถึงไปกับผมไม่ได้”
“เพราะฉันไม่รักคุณ” มู่เวยเวยพูดตามตรง เธอเห็นเขาเป็นเพื่อนมาตลอด
หนานกงเฮ่านั่งหลังตรง พูดหน้าเย็นชา “ไม่เป็นไร เวลาของพวกเรามีเยอะมาก คุณจะรักผมอีกครั้ง”
มู่เวยเวยโกรธจนตัวสั่นไปทั้งตัว แต่เธอไม่อาจฉีดหน้าเขาได้ จึงต้องบังคับตัวเองให้กินข้าว
กินอิ่มเท่านั้น เธอถึงจะสามารถลับฝีปากกับเขาได้
บรรยากาศดึงเครียดขึ้นมาก ทั้งคู่กินข้าวกันเงียบๆ ก่อนที่หนานกงเฮ่าจะพูดเตือนเธอ “เวยเวยคุณอย่าคิดหนี ตรงนี้อยู่กลางเขา ไม่มีรถ คุณเดินไปสองชั่วโมงก็ไม่ถึง แล้วก็อย่าคิดลองวิ่งเข้าเขา ตรงนั้นมีสัตว์มีพิษเยอะ ถ้าคุณถูกกัดเข้าไปอาจถึงตายได้
มู่เวยเสยคนเม็ดข้าวในจานช้าๆ และพูดโกรธๆ “ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้น”
“ถ้าคุณเบื่อขั้นสามมีห้องดูหนัง ในนั้นมีหนังโบราณเยอะมาก คุณไปดูได้ แล้วก็ยังมีห้องวาดรูป คุณไปวาดได้ หรือคุณจะเลือกนั่งชั้นหนึ่งดูทีวีก็ได้ จำไว้ว่าอย่าคิดจะติดต่อเย่ฉ่าวเฉิน ที่นี่ไม่มีเครื่องมือสื่อสารอะไรทั้งนั้น”
หลังจากมู่เวยเวยฟังจบ เธอก็ยิ่งโหรธเกลียดมากขึ้น
นี่มันเหมือนกับจับเธอใส่กรงไม่มีผิด
เธอน่าจะประมาณตัวสูงไป ตอนแรกเธออยากยืมอำนาจของหนานกงเฮ่าเพื่อจะหนีจากเย่ฉ่าวเฉิน ตอนนี้หนีออกมาได้ ดันต้องมาอยู่ในกรงของหนานกงเฮ่า
ถ้าเทียบกันแล้ว เธออยากอยู่ในกรงของเย่ฉ่าวเฉินมากกว่า อย่างน้อยอยู่ตรงนั้นก็อาจจะทำให้พี่ชายหาเธอเจอได้
ถ้าหนานกงเฮ่าลักพาตัวเธอไป พี่ชายก็จะตามหาเธอได้ยากขึ้น
หนานกงเฮ่าเห็นสีหน้าเธอเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก็ยิ้มค่อนขอดออกมา “เวยเวยที่จริงคุณไม่ได้ป่วย ทั้งหมดเป็นแค่การแสดงให้เย่ฉ่าวเฉินดูใช่มั้ย
มู่เวยเวยก็ไม่ได้ปิดเขา เธอบอกตรงๆว่า “ใช่ ฉันแค่แสดง”
“การแสดงไม่เลว คุณสมควรได้รับรางวัลออสการ์เลย” เขาพูดขำๆ
“เว่อร์” มู่เวยเวยใช้คำคำเดียวจบบทสนทนาที่ไม่น่าฟังนี้
ตอนนี้นอกจากรอเย่ฉ่าวเหยียนกับเย่ฉ่าวเฉินมาช่วยแล้ว เธอก็ต้องช่วยตัวเองด้วย
หนานกงเฮ่าบอกว่าที่นี่ไม่มีเครื่องมือสื่อสาร แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ถึงเธอไม่มีโทรศัพท์ แต่พ่อบ้านถังมี หนานกงเฮ่าก็มีเช่นกัน
เธอแค่ต้องเอาโทรศัพท์จากคนไหนสักคนในนี้เท่านั้น ก็จะได้รับการช่วยเหลือ
……
คฤหาสน์ตระกูลเย่
ในห้องนั่งเล่น เย่ฉ่าว เย่ฉ่าวเหยียน และเฉียวซินโยวน่างใส่ชุดนอน นั่งกันคนละมุม
“พูดมา เรื่องมันยังไงกันแน่” เย่ฉ่าวเฉินเปิดปากพูด
เย่ฉ่าวเหยียนรู้ว่าตอนนี้ปิดบังเขาไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ทั้งหมด เขาจึงคิดและตอบ “เมื่อเย็นวาน ผมเดินเล่นที่เมือง A แล้วบังเอิญเห็นคุณเฉียวซินโยวเข้าไปในร้านกาแฟร้านหนึ่ง ผมกำลังจะเข้าไปทัก ก็เห็นว่าจรงหน้าเธอมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ ที่บังเอิญก็คือ ผู้ชายคนนั้นผมก็รู้จักด้วย เขาคือหนานกงเฮ่า”
เฉียวซินโยวฟน้าซีด มือกำกระโปรงแน่น รีบคิดหาทางออกโดยเร็ว
“แถมผมยังเห็นหนานกงเฮ่ายื่นกระดาษแผ่นนึงให้เธอ ราวกับให้เธอทำอะไรบางอย่าง ผมว่ากระดาษแผ่นนั้นต้องอยู่ในกระเป๋าเธอแน่ พี่ลองค้นดูสิ”
เย่ฉ่าวเฉินหน้าเข้ม “อาหวัง ไปห้องเธอ”
“ครับ”
เฉียวซินโยวรู้ว่าปิดไม่ได้แล้วจึงวิ่งไปตรงหน้าเย่ฉ่าวเฉินและสารภาพผิด “ฉ่าวเฉิน ฉันบอกแล้ว ฉันจะบอกทั้งหมดเลย หนานกงเฮ่าบังคับฉัน เมื่อวานตอนบ่ายเขาโทรมาบอกให้ฉันหาวิธีทำให้คุณเซ็นสัญญาหย่านั่น ฉันไม่ยอม เขาก็ขู่ฉัน ฉันไม่มีทางออกเลยต้องตอบตกลงไป”