“สวัสดีทุกท่านครับ ยินดีต้องรับสู่การเป็นแขกของตระกูลเย่ ก่อนอื่นผมขอแนะนำ คนนี้คือน้องชายของผม เย่ฉ่าวเหยียน เพิ่งกลับมาจากการศึกษาต่างประเทศ ในฐานะที่เป็นผู้นำตระกูล พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะมีความสุขในค่ำคืนนี้ ขอบคุณครับ”
หลังจากเสียงปรบมืออย่างอบอุ่ม เย่ฉ่าวเฉินก็พาเย่ฉ่าวเหยียนไปชนแก้ว
“คุณลุงหลี่ ไม่เจอกันนานเลย คนนี้เป็นลูกสาวของคุร ? ตอนเด็กผมเคยเจอ ไม่คิดว่าจะโตขนาดนี้แล้ว ?”
“คุณป้าเฉิน สวัสดี นี่คือฉ่าวเหยียน ยังจำได้ไหม ? เมื่อยังเด็กเขาชอบไปทานอาหารที่บ้านคุณ”
มู่เวยเวยมองดูพวกเขาอยู่ไกลๆ พวกเขาเติบโตมาในแวดวงที่ร่ำรวยจริงๆ ฉากที่พูดคุยกันช่างแตกต่างกับท่าทีเย็นชาปกติโดยสิ้นเชิง
ที่แท้ภายใต้แสงแพรวพราวนี้ทุกคนล้วนสวมหน้ากากเข้าหากัน
เย่ฉ่าวเฉินเป็นอย่างไร มู่เวยเวยเธอก็เป็นอย่างนั้น
นี่ไม่ ในขณะเดียวกันเธอก็ถูกสาวงามรายล้อม และถามเกี่ยวกับเย่ฉ่าวเหยียน
“คุณนายเย่ ปกติฉ่าวเหยียนขอบทำอะไรเหรอ?”
“เขาค่อนข้างที่จะชอบออกกำลังกาย ว่านน้ำ วิ่งอะไรพวกนี้ ”มู่เวยเวยพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างให้เย่ฉ่าวเหยียนดูเป็นเด็กร่าเริงสดใส
“แล้วเขาชอบทานอะไรเหรอ ?”
มู่เวยเวยรู้สึกลำบากแล้ว เธอไม่เคยสังเกตว่าเย่ฉ่าวเฉินชอบทานอะไร ดูเหมือนว่าขอแค่ฉินหม่าเป็นคนทำ เขาก็กินหมด
“อันนี้……..ถ้าคุณสนใจก็สามารถนัดเขาไปทานข้าวได้นะ รู้ด้วยตัวเองมันน่าจะสนุกกว่าไม่ใช่เหรอ ?” เธอยิ้มพูด
ก็มีสาวสวยอีกคนถามขึ้นมา “คุณนายเย่ ปกติเย่ฉ่าวเหยียนไม่ชอบพูดเหรอ ? ทำไมฉันถึงเห็นเขาทำสีหน้าเย็นชาตลอดเลย”
มู่เวยเวยเหลือบมองไปที่นักแสดงชาย ใบหน้าเย็นชาจริงๆ
“เหอะเหอะ……อันนี้………”มู่เวยเวยไม่มีอะไรจะพูด เธอก็ไม่รู้ว่าทำไม
“ฉันคิดว่าเย่ฉ่าวเหยียนเป็นแบบนี้ก็ดีนะ” หนึ่งในสาวสวยแสดงสีหน้าที่หลงผู้ชายช่วยผู้แก้สถานการณ์แทนเธอ “มองดูผู้ชายเหล่านั้นสิ มีความเย็นชาที่แข็งแกร่ง ฉันชอบ”
มู่เวยเวยตกตะลึง ตอนนี้ไม่นิยมผู้ชายอบอุ่นแล้วเหรอ ? เริ่มนิยมผู้ชายเย็นชากันตั้งแต่เมื่อไหร่ ?
เฮ้อ ตั้งแต่แต่งงานเธอก็ไม่ได้สัมผัสกับเทรนด์อีกเลย
โชคดีที่ผู้หญิงเหล่านี้แยกย้าย ไปตามเย่ฉ่าวเหยียนแล้ว
หลังจากยืนเป็นเวลานาน เท้าของมู่เวยเวยเจ็บไปหมด ไม่มีใครสนใจเธอ เธอจึงหามุมหนึ่งละนั่งลงอย่างเงียบๆ
เดิมที่อยากจะหยุดอยู่สักพัก แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงสองสามคนพูดคุยกันเบาๆอยู่ข้างๆ
“เห็นรึยัง ? ผู้หญิงเมื่อครู่ก็คือภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน มู่เวยเวย ดูแล้วก็ไม่ได้สวยมาก ทำไมเย่ฉ่าวเฉินถึงชอบได้นะ”
“ก็คือ นับตั้งแต่พ่อแม่มู่เวยเวยตาย ครอบครัวก็ไม่ค่อยมีเงิน เย่ฉ่าวยังแต่งงานกับเธอ ?”
“ชัดเจนขนาดนี้ดูไม่ออกรึไง ? คือการแต่งงานทางธุรกิจ มู่เวยเวยแต่งงานกับเย่ฉ๋าวเฉินเพียงเพื่อช่วยเหลือธุรกิจตระกูลมู่เหรอ”
เสียงแตก……….
พูดอะไรหลังจากนั้นมู่เวยเวยก็ไม่มีกะจิตกะใจฟัง เธอถูกเย่ฉ่าวเฉินฝึกฝนให้มีจิตใจที่เข้มแข็งและอดกลั้น ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่พวกเธอพูดมันไม่ผิดเลยสักนิดเดียว
เธอไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโกรธ
เมื่อหลับตา ก็รู้สึกได้ว่ามีคนมานั่งข้างๆเธอ จากความคุ้นเคยเขา มู่เวยเวยไม่ได้ลืมตาขึ้นมา
เขาไม่พูด เธอก็ไม่พูดอะไร
ผู้หญิงสามคนข้างๆยังคงคุยกัน………
ใบหน้าของเย่ฉ่าวเฉินเริ่มเย็นชาขึ้นรื่อยๆ ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะถามเธอ เหนื่อยมากไหม ? ทำไมถึงมาแอบอยู่ตรงนี้ ?
“เหนื่อยแล้ว อยากพักสักครู่” มู่เวยเวยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เมื่อทั้งสองคนพูด เสียงพูดคุยกันอย่างสนุกสนานข้างๆก็หยุดลง และรีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว…….
มู่เวยเวยถอนหายใจ ผู้หญิงพวกนี้เอาแต่นินทาตอแหลลับหลัง คงกลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวาย
“หิวไหม ? ผมจะไปเอาอาหารมาให้”
มู่เวยเวยยิ้มและลืมตามองหน้าเขา “เย่ฉ่าวเฉิน พวกเธอไปแล้ว ไม่ต้องแสดงแล้ว”
“คุณ……”เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ดวงตาที่ไร้รอยยิ้มของเธอในเงามืด ในใจของเขาถูกสะกิดอย่างรุนแรง เขาโกรธหลังจากที่ได้ยินมันมาเพียงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเธอนั่งอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่แล้ว ได้ยินมากน้อยแค่ไหน แต่กลับไม่มีร่องรอยของความโกรธ ?
“คุณไม่ใส่ใจสักนิดเลยเหรอ ?”เย่ฉ่าวเฉินถามอย่างกังวล
มู่เวยเวยส่ายหัวอย่างไม่แยแส “คำพูดของพวกเธอสุภาพกว่าที่ฉันเคยได้ยิน”
เคยได้ยิน ?
ยังมีใครอีก ? นอกจากตัวเขา กลัวว่าจะเป็นเฉียวซินโยว
เย่ฉ่าวเฉินมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง และลุกขึ้นไปหยิบเค้กมาสองสามชิ้นด้วยตัวเอง เขาจำได้ลางๆว่าเธอชอบกินของหวาน
“รองท้อง อีกเดี๋ยวยังต้องส่งแขก”
มู่เวยเวยเอื้อมมือไปหยิบมา ในสายตาก็เต็มไปด้วยความมึนงง และถามเขาว่า “เย่ฉ่าวเฉิน ช่วงนี้ฉันเพิ่งสังเกตว่าคุณไม่ได้ทำร้ายชั้นแล้ว ทำไมเหรอ ?”
เย่ฉ่าวเฉินสำลักเมื่อเธอถามขึ้นมา ที่จริงเขาก็อยากรู้ ว่าทำไมจู่ๆถึงอยากทำดีกับเธอ
“ก็ไม่ทำไม ช่วงนี้อารมณ์ดีเลยทำดีกับคุณหน่อย ”เย่ฉ่าวเฉินปกปิดความแปลกประหลาดในใจเขา
“โอ้~งั้นฉันก็ขอให้คุณอารมณ์ดีแบบนี้ตลอดเลย ”เธอกินเค้กพลางมองไปที่ไปที่เย่ฉ่าวเฉินที่ใจร้อนอยู่ไม่ไกล และถามเขาว่า “คุณหาผู้หญิงที่เย่ฉ่าวเหยียนชอบเจอรึยัง ?”
ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินมืดมนลง “ไม่ คุณถามเรื่องนี้ทำไม?”
“แน่นอนว่าฉันอยากเห็นว่าหน้าตาเป็นยังไง” มู่เวยเวยตอบอย่างคาดหวัง
เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองไปที่ด้านข้างของเธอ และพูดออกมาสองคำ “ซุบซิบ”
มู่เวยเวยเม้มริมฝีปาก “ฉันไม่เชื่อว่าคุณเองก็ไม่อยากรู้อยากเห็น”
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างจริงจัง “คุณพูดถูก ผมไม่อยากรู้สักนิด ”เมื่อพูดจบ เย่ฉ่าวเฉินก็เหมือนจะเห็นใครบางคน จึงพูดกับมู่เวยเวยว่า “ถ้าคุณรู้สึกเบื่อก็ออกไปเดินเล่นพักผ่อน คุณไม่ใช่ตัวเอกไม่มีใครสนใจหรอก แต่อย่าเดินไปไกล”
“รู้แล้วค่ะ”
………..
เมื่อสายลมเย็นๆพัดมา มู่เวยเวยก็ถือกระโปรงแล้วไปนั่งที่เก้าอี้ริมทะเลสาบ ห่างไกลจากเสียงหัวเราะของผู้หญิง ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ไม่มีเสียงหัวเราะเย้ยหยัน เธอรู้สึกว่าที่นี่เงียบสงบดี
ไม่รู้ว่าผ่านมานานแค่ไหน ข้างหลังเธอก็มีเสียงดังขึ้น “คุณช่างหาสถานที่จริงๆ”
มู่เวยเวยหันกลับมา เย่ฉ่าวเหยียนอยู่ทามกลางแสงจันทร์ และมองเธอด้วยรอยยิ้ม ด้านหลังคฤหาสน์ที่สว่างไสว
“ข้างในน่าเบื่อเกินไป เลยออกมาสูดอากาศหายใจ ทำไมนักแสดงชายคนนี้ถึงออกมาล่ะ ?” มู่เวยเวยแกล้งเขา
เย่ฉ่าวเหยียนถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ และนั่งลงข้างๆเธอ ผมจะถูกผู้หญิงพวกนั้นเสียงดังใส่จนจะตายแล้ว เลยหนีออกมาซ่อนตัวสักครู่
“เหอะเหอะ ผู้ชายอย่างพวกคุณไม่ใช่ว่าจะชอบบรรยากาศที่มีเสียงผู้หญิงอยู่รอบๆเหรอ ?”
เย่ฉ่าวเหยียนรีบดึงตัวเองออกมา คุณพูดถึงก็คือผู้ชายพวกนั้น อย่าเอาผมไปรวมด้วย
มู่เวยเวยยิ้ม “ใช่ ฉันผิดไปแล้ว คุณเป็นผู้ชายที่มีความหมาย”
เย่ฉ่าวเหยียนหันไปมองใบหน้าที่สดใสของเธอ และพูดสิ่งที่เขาอยากพูดตั้งแต่งานในคืนนี้เริ่ม “คืนนี้คุณสวยมาก”
ใจของมู่เวยเวยเต้นแรง เมื่อตระหนักได้ว่ามีอะไรแปลกๆจากคำพูดเมื่อกี้ จึงรีบพูดอย่างสุภาพว่า “คนต้องอาศัยเสื้อผ้าม้าต้องอาศัยอานม้า เป็นเย่ฉ่าวเฉินที่เลือกเสื้อผ้าได้ดี”
เย่ฉ่าวเหยียนยิ้มบางๆ และมองขึ้นไปที่ดวงจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้า
มู่เวยเวยเห็นเขาไม่พูด ในใจก็คิดสงสัย หรือว่าเธอคิดมากเกินไป ?
“เอ่อ….ผู้หญิงที่คุณชอบว่าชอบครั้งที่แล้ว”วันนี้มาไหม ? มู่เวยเวยไม่มีอะไรจะพูด
“เธอ……..ไม่มา ”น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเหยียนดูผิดหวัง
“โอ้ ”มู่เวยเวยกัดริมฝีปาก ทำไมถึงโง่อย่างนี้นะ อะไรไม่พูดดันมาพูดเรื่องนี้ เขาหลบเลี่ยงก็แสดงให้เห็นชัดเจนแล้ว ยังจะไปถามทำให้เขาเสียใจอีก
“เวยเวย” ทันใดนั้นเย่ฉ่าวเหยียนก็เรียกเธอ
“มีอะไรเหรอ ?”
“คุณยังอยากหนีจากพี่ชายผมไหม ?” เย่ฉ่าวพูดถึงเรื่องเก่าขึ้นมาอีกครั้ง
มู่เวยเวยตกใจ และยิ้มด้วยความขมขื่น “ฉันเคยใช้ความพยายามอย่างหนักและเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด เย่ฉ่าวเฉินไม่เห็นด้วย แม้ว่าฉันจะวิ่งหนีไปจนสุดขอบโลก เขาก็จะจับฉันกลับมา และ…….”
“และอะไร ?”
มู่เวยเวยมองเขาและพูดว่า “และฉันยังต้องรอพี่ชายฉันกลับมา ถ้าหากว่าฉันหนีไป ฉันก็ต้องใช้ชีวิตอย่างไร้ตัวตน ถ้าถึงตอนนี้พี่ชายมาตามหาฉันก็คงจะยาก ตอนนี้ต้องผ่านมันไปก่อน ฉันก็อยากจะไป ในโลกนี้นอกจากเรื่องเป็นตายที่เป็นเรื่องใหญ่แล้ว อย่างอื่นก็เล็กน้อยไปเลย”
เย่ฉ่าวเหยียนโพล่งออกมา “ถ้าหากว่าผมสามารถพาคุณออกไปได้ล่ะ ?”
“ห๋า ? คุณพาฉันไป ?” มู่เวยเวยเบิกตาโพลง
เย่ฉ่าวเหยียนหายใจเข้าลึกๆและพูดอย่างหนักแน่นว่า “ใช่ ผมพาคุณไป ผมไม่อยากเห็นพี่ชายปฎิบัติแบบนั้นกับคุณ คุณควรจะมีชีวิตที่ดีขึ้น”
ตาของมู่เวยเวยตระตุกขึ้นมา ที่เขาพูดมามันหมายความว่าอะไร ?
หรือว่าเขาชอบฉัน ?
โอ้ย——ไม่มีทาง เธอเป็นพี่สะใภ้ของเขา เขาจะชอบเธอได้อย่างไร ?
เพื่อไม่ให้เขาคิดเรื่องนี้ มู่เวยเวยจริงปฏิเสธเขาไปตรงๆ “ไม่ เย่ฉ่าวเหยียน ฉันไปไม่ได้ ฉันยังต้องรอพี่ชายฉัน”
“เขาไม่มาหาคุณ พวกเราไปหาเขาก็ได้หนิ” แบบนี้ก็ดีต่อทั้งสองฝ่ายไม่ใช่เหรอ ? เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยความตื่นเต้น
มู่เวยเวยลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินถอยหลังไป ถึงแม้ว่าเธอจะโง่แต่ก็รู้ว่าคำพูดของเขาหมายถึงอะไร
“อะไรดีทั้งสองฝ่าย เย่ฉ่าวเหยียน คุณรู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรอยู่ ?”
เขาคือเย่ฉ่าวเหยียนนะ เป็นน้องของเย่ฉ่าวเฉิน ทำไมเขา…….
มู่เวยเวยรู้สึกสับสนในหัวของเธอ
เย่ฉ่าวเหยียนลุกขึ้นและเขยิบเข้ามาใกล้เธอ “ผมรู้ว่าผมกำลังพูดอะไรอยู่ เวยเวย ทุกอย่างที่ผมพูดคือความจริง”
“คุณหุบปาก!” มู่เวยเวยขัดจังหวะเขาและพูดอย่างเคร่งครึมว่า “ฉันเป็นพี่สะใภ้ของคุณ คุณก็มีผู้หญิงที่ชอบแล้ว เรื่องในคืนนี้ฉันจะทำเป็นไม่ได้ยินมัน”
“เวยเวย คุณไม่อยากรู้เหรอว่าผู้หญิงที่ผมชอบชื่ออะไร ? ”เย่ฉ่าวเหยียนจ้องมองไปที่ดวงตาเธอ เขาไม่อยากพลาดรายละเอียดใดๆของเธอ คืนนี้เธอเหมือนกับนางฟ้าของเขา ความหึงหวงในใจเขาเพิ่มขึ้นเหมือนหญ้าที่กำลังโต เขาอยากจะเดินเข้าไปคุยกับเธอ แม้ว่าจะเป้นการพูดคุยแบบสบายๆ แต่ก็มักจะมีหญิงสาวมาขัดจังหวะเขาเสมอ ในที่สุดเขาก็มีโอกาสนี้ เขาจึงตัดสินใจบอกความในใจทุกอย่างของเขากับเธอ
เขาไม่เชื่อว่ามู่เวยเวยจะไม่ชอบเขา
มู่เวยเวยถือกระโปรงขึ้นเตรียมจะวิ่ง เย่ฉ่าวเหยียนในคืนนี้เธอไม่รู้จัก
“คุณอย่าพูดเลย ฉันไม่อยากฟัง ฉันยังมีธุระไปก่อนนะ” มู่เวยเวยหันกลับไปเดินได้สองก้าวก็ถูกเย่ฉ่าวเหยียนดึงแขนไว้
“เวยเวย คุณฟังที่ผมพูดก่อนได้ไหม ?”
“วันอื่นได้ไหม ? ตอนนี้ฉันไม่อยากฟัง” มู่เวยเวยสะบัดมือเขาออก เดินผ่านเขาและกำลังจะออกไปก็เงยหน้าขึ้นไปเห็นสีหน้าที่เยือกเย็นของเย่ฉ่าวเฉิน
มู่เวยเวยก้าวขาไม่ออก จบแล้ว เขาเข้าใจผิดอีกแล้ว
เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามา และถามด้วยเสียงต่ำเหมือนจะฆ่าคนว่า “พวกคุณทำอะไรกัน ?”
“ข้างในน่าเบื่อ ฉันเลยออกมาสูดอากาศ เลยบังเอิญเจอฉ่าวเหยียน ”มู่เวยเวยอธิบาย เดินทีมันก็เป็นอย่างนั้น เพียงแต่เขาจะเชื่อหรือไม่นั้นก็พูดได้ยากแล้ว
เหมือนมีมีดอยู่ในดวงตาของเย่ฉ่าวเฉิน “ใช่เหรอ ? บังเอิญจัง ?”
“ใช่ บังเอิญแบบนี้แหล่ะ ถ้าคุณไม่เชื่อก็ถามฉ่าวเฉินดูสิ”
เย่ฉ่าวเหยียนถอนหายใจหนัก และพูดด้วยน้ำเสียงทำไรไม่ถูก “อืม ก็เป็นอย่างที่เวยเวยว่านั่นแหล่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินเหลือบไปมองเขา คว้ามือของมู่เวยเวยและพูดว่า “พวกแขกจะกลับแล้ว ไปกันเถอะ”
เขาเดินอย่างรวดเร็ว มู่เวยเวยสวมรองเท้าสนสูง กระโปรงยาว เกือบถูกเข้าทำให้ล้มลง “เย่ฉ่าวเฉิน คุณช้าหน่อย”
ไม่พูดยังดีซะกว่า เมื่อพูด เย่ฉ่าวเฉินก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น มู่เวยเวยไม่ทันระวังเผลอเหยียบกระโปรง จากนั้น “อ้า——”เธอล้มลงพื้นอย่างสวยงาม
มืออีกข้างหนึ่งของเธอยังถูกเขาจับไว้ ดังนั้นเธอจึงคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่บนพื้นหิน ท่าทางของเธอทำให้เธอรู้สึกอายมาก และก็เจ็บเข่ามาก
เย่ฉ่าวเฉินก็ยืนอยู่อย่างนั้น ไม่มีความคิดที่จะช่วยเธอเลย มู่เวยเวยก็ไม่รอเขาช่วย ใช้มือข้างเดียวยันตัวเองลุกขึ้นมา
เธอสลัดมืออีกข้าง กัดฟันและเดินไปทางแสงไฟสลัว
เย่ฉ่าวเฉินเห็นท่าทางทีหยิ่งยโสของเธอ ก็ยิ่งโกรธขึ้นไปอีก
เมื่อถึงเวลาส่งแขก ทั้งสองคนแทบไม่พูดอะไรกัน มู่เวยเวยใช้ความพยายามในการฝืนยิ้ม ถ้าส่งแขกหมด กล้ามเนื้อบนใบหน้าเธอคงจะเกร็งไปหมด
……
ณ ห้องนอน
มู่เวยเวยถอกกระโปรงยาว และโยนมันไปที่มุมตู้เสื้อผ้า จริงตามที่คาดหัวเข่าเธอหนังถลอกออกไปชิ้นใหญ่ เลือดกลับไม่ไหลมาก แต่มองไปมาก็ดูแย่มาก
เปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างเครื่องสำอาง
หลังจากคืนนี้ มู่เวยเวยก็รู้สึกร่างกายเหนื่อยล้า แต่เธอก็รู้ว่าฝันร้ายที่แท้จริงยังไม่มา
ในขณะที่ใช้แอลกอฮอล์ทางการแพทย์ฆ่าเชื้อที่หัวเข่า เสียงฝีเท้าก็ดังเข้ามาใกล้ มู่เวยเวยไม่ได้เงยศีรษะขึ้นมา แอลกอฮอล์ซึมเข้าไปในเลือด เธอก็เจ็บจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา แต่เธอก็อดทนโดยไม่เปล่งเสียงอะไรออกมา
“บอกมา ที่มู่อี้เหยาพูดในคืนนี้เป็นเรื่องจริงเหรอ ?” เย่ฉ่าวเฉินนั่งลงตรงข้ามเตียง
“เป็นความจริงที่ฉันไปหาเขา แต่เรื่องที่เธอพูดก็เป็นเรื่องเท็จ” มู่เวยเวยก้ไม่ได้ตั้งใจจะปิดเขา แต่ถ้าเขายังไม่เชื่อก็ไปตรวจสอบเอาเองก็รู้แล้ว
เห็นได้ชัดว่าเย่ฉ่าวเฉินไม่พอใจกับคำตอบนี้ “คุณบอกผมมาให้ชัด สรุปเรื่องพวกนั้นมันเป็นเรื่องจริง หรือเป็นเรื่องเท็จ ?”
มู่เวยเวยโยนสำลีที่ใช้แล้วลงบนโต๊ะ เงยศีรษะขึ้นมองแววตาเขาและพูดเบาๆว่า“ ฉันไปหาลู่จื่อหางเพื่อถามอะไรบางอย่าง แต่โดนเขาขังไว้ในห้อง จากนั้นมู่อี้เหยาก็มา ฉันต้องการจะหนีเลยทุบแจกันให้แตกและจ่อไปที่คอของเธอเพื่อขู่ให้พวกเขาปล่อยฉัน เรื่องก็เป็นอย่างนี้”
เย่ฉ่าวเฉินมองเข้าไปในดวงตาเธอ เหมือนจะแยกยะคำพูดของเธอได้
“มู่เวยเวย ขอร้องอย่ามาโกหกต่อหน้าผม”
เธอยิ้มเยาะ “ถ้าคุณไม่เชื่องั้นคุณมาถามฉันทำไม ? คุณเก่งกาจขนาดนี้ ไปตรวจสอบดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ ?”
เย่ฉ่าวเฉินเงียบไปชั่วขณะและถามว่า “ถ้างั้นฉ่าวเฉินล่ะ ? เมื่อสองวันก่อนผมก็บอกคุณไปแล้ว ว่าให้อยู่ห่างเขาหน่อย คุณไม่เข้าใจที่ผมพูดใช่ไหม ?”
“เย่ฉ่าวเฉิน ฉันบอกแล้ว นั่นมันบังเอิญ ฉันนั่งอยู่ที่นั่นเขาก็มา แล้วฉันจะทำอะไรได้ ?”
คุณสามารถหันหลังกลับไปได้ ทำไมยังต้องพูดคุยกับเขามากขนาดนนี้ ? เย่ฉ่าวเฉินไม่ปล่อยผ่าน
มู่เวยเวยไม่ได้พูดอะไร “เย่ฉ่าวเฉิน คุณมีเหตุผลหน่อยได้ไหม ? ฉันไม่ได้พูดอะไรกับเขาเลย และก็ไม่ได้ทำอะไรด้วย สรุปแล้วคุณกำลังโกรธอะไรอยู่ ?”
ถ้าไม่ได้พูดอะไรเขาจะดึงมือเธอไว้เหรอ ? เย่ฉ่าวเฉินจำฉากได้เขาเห็นมันด้วยตัวเอง แทบจะอดไม่ได้ที่จะซ่อนแขนข้างนั้น
มู่เวยเวยเริ่มโกรธ “ฉันจะรู้ได้ยังไง ?”
“มู่เวยเวย” เย่ฉ่าวเฉินรีบวิ่งไปกดเธอลงบนโซฟาและบีบหน้าเธอ “อย่าพยายามยั่วยวนเย่ฉ่าวเหยียน อย่าพยายามหนี ในชีวิตนี้คุณเป็นของผมเพียงคนเดียว”
มู่เวยเวยมองเขาอย่างเฉยเมยด้วยสายตาเยาะเย้ย “เย่ฉ่าวเฉิน คุณก็ทำได้แค่ตะโกนต่อหน้าฉัน คุณมีความสามารถพอก็ไปหาเย่ฉ่าวเหยียน บอกเขาว่าอย่ามายั่วโมโหฉันสิ”
“ต้องการยุแยงความสัมพันธ์พี่น้องของพวกเรา ? หืม ? ”เย่ฉ่าวเฉินพ่นลมหายใจอุ่นๆลงบนหน้าเธอ แต่เธอกลับรู้สึกกลัว
“เย่ฉ่าวเฉิน ฉันคิดว่าคุณคงไม่ต้องหนักหนาใจหรอก ฉันไม่สามารถทำเรื่องใหญ่แบบนั้นได้ ”บาดแผลที่เข่าของมู่เวยเวยถูกับกางเกงของเขา เจ็บจนแทบทดไม่ได้จึงผลักเขาออกไป “ลุกขึ้น ฉันไม่มีเวลามาบ้ากับคุณที่นี่ ”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกหงุดหงิดกับท่าทางของเธอ จึงกดเธอลงอีกครั้งและทำเรื่องที่อยากทำในคืนนี้
“เย่ฉ่าวเฉิน คุณปล่อยฉันนะ ”มู่เวยเวยยังไม่ทันพูดจบ ชุดนอนของเธอก็ถูกฉีกออก เผยให้เห็นผิวขาวเนียนขนาดใหญ่
ขาก็ถูกเขากดไว้แน่น จนไม่สามารถต้านทานได้ และเข่าที่บาดเจ็บแทงลงที่โซฟา
น้ำตาไหลออกมาลงมาและตกลงไปที่ผมของเธอ มู่เวยเวยรู้ว่าเธอไม่อาจหนีได้ จึงทำตามเขาไป แต่เธอไม่มีความสุขใดๆเลยมีเพียงแต่ความเจ็บปวดและอ้างว้าง……..
มู่เวยเวยเหมือนปลาที่ตายอยู่ในทะเล ขึ้นๆลงๆพร้อมกับคลื่น
ชีวิตที่น่าอับอายนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ?
เย่ฉ่าวเฉินกดเธอไว้บนโซฟาและปล่อยเธอแค่หนึ่งครั้ง จากนั้นก็อุ้มเธอขึ้นมาและโยนลงเตียงไป เมื่อเห็นน้ำตาที่มุมตาของเธอ ใจเขาก็สั่น
อย่างไรก็ตามความสงสารเล็กๆน้อยๆนี้แทบจะไม่สามารถต้านทางความต้องการอย่างสูงของเขาได้เลย คืนนี้ มู่เวยเวยรู้สึกยาวนานและยากลำบาก เธอหลับไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้
……
เช้าตรู่ พระอาทิย์ขึ้นสูง
มู่เวยเวยตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อลืมตา เย่ฉ่าวเฉินกำลังใช้สำลีทายาที่หัวเข่าเธอ หลังจากถูกทรมานเมื่อคืน แผลของเธอไม่เพียงแต่ไม่ตกสะเก็ด แต่มันกลับแย่ลงอีกด้วย
มู่เวยเวยลูบหน้าผากของเธอ ลุกขึ้นและดึงขาของตัวเอง เธอไม่ต้องการความหรูหราจอมปลอมแบบนี้
“คุณอยู่เฉยๆได้ไหม ?”เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วถาม
มู่เวยเวยไม่พูดอะไร ลุกขึ้นจากเตียง และเดินไปที่ห้องน้ำโดยที่ยังไม่ได้ใส่เสื้อผ้า
ในใจของเย่ฉ่าวเฉินรู้สึกถึงความไร้เรี่ยวแรง และโยนสำลีทิ้งไปบนพื้น
ทำไมถึงหยุดทำร้ายเธอไม่ได้ ?
เสียงน้ำดังมาเข้าหูของเขา เย่ฉ่าวเฉินลุกจากเตียงเดินไปหน้าประตูห้องน้ำ ซึ่งประตูกระจกถูกล็อคไว้
“มู่เวยเวย แผลของคุณโดนน้ำไม่ได้ ”เย่ฉ่าวเฉินตบประตูห้องน้ำตะโกนเสียงดัง
ไม่มีปฎิกิริยาใดๆจากผู้หญิงอารมณ์ร้อนคนนี้ เจ็บแล้วยังไง ? เธอก็แค่อยากจะล้างกลิ่นที่น่ารังเกียจนี้ออกไป
“มู่เวยเวย คุณได้ยินไหม ?”
นอกจากเสียงน้ำ ก็ไม่มีเสียงอะไรอีกเลย
เย่ฉ่าวเฉินยืนพิงกำแพงข้างห้องน้ำ ความข่มหวานเผ็ดเค็ม ทั้งหมดถาโถมเข้ามาในใจของเขา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เสียงน้ำก็หยุดลง และประตูก็เปิดออก มู่เวยเวยเดินออกมาอย่างสบายๆ และเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ไม่มีใครหยิบออกมาจากตู้เสื้อผ้ามาเช็ดตัว
คอ หน้าอก สองเท้า……..
บนผิวที่ขาวอ่อยโยน มีรอยฟกช้ำม่วง ทั้งหมดคือร่องรอยที่เขาฝากไว้เมื่อคืน
หลังจากเช็ดตัวแห้งแล้ว มู่เวยเวยก็โยนผ้าขนหนูลงตระกร้า และเดินไปห้องแต่งตัว
เย่ฉ่าวเฉินมองดูเธอสวมเสื้อโค้ทและกระโปรงอย่างเงียบๆ ค่อยๆปกปิดร่องรอยทั้งหมดบนร่างกายเธอ
“มู่เวยเวย คุณหยุดก่อน” เย่ฉ่าวเฉินทนไม่ได้กับท่าทีไม่สนใจของเธอ จึงตะโกนด้วยความโกรธ
มู่เวยเวยทำเป็นไม่ได้ยิน และยังคงเดินไปที่ประตู
“ผมบอกให้คุณหยุด”เย่ฉ่าวเฉินรีบตามไป และขวางเธอไว้
มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างไม่แยแส
“คุณ………แผลที่เข่าของคุณต้องรักษาอย่างเร็วที่สุด” เย่ฉ่าวเฉินดูอ่อนลงเล็กน้อย ในความเป็นจริงเขาก็ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร แค่อยากให้เธอสนใจเขาเท่านั้น
คุณไม่ต้องกังวล ฉันทำเองได้ มู่เวยเวยพูดอย่างเย็นชา ลำคอของเธอเหมือนมีอยู่กรวดเต็มไปหมด
เย่ฉ่าวเฉินหายใจไม่ออก มู่เวยเวยอ้อมตัวเขาและเดินลงไป
หลังจากเมื่อคืนผ่านไป พ่อบ้านหวังคิดว่าตระกูลเย่จะดูมีชีวิตชีวาขึ้น แต่ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เขาคาดหวังไว้จะตรงกันข้ามกัน เห็นได้ชัดว่าเมื่อวานอากาศยังร้อนอยู่เลย เขารู้สึกว่าทั้งคฤหาสน์ได้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ราวกับว่าพวกเจ้านายของเขาถูกมนต์สะกดให้เงียบลงในเวลาเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาจะนั่งทานอาการโต๊ะเดียวกันแต่ก็ได้ยินเพียงแค่เสียงช้อนกับส้อมเท่านั้น
มู่เวยเวยไปทำงานตามปกติ แต่เธอก็ไม่นั่งรถของเย่ฉ่าวเฉินอีกเลย ทุกวันเธอตื่นเร็วขึ้นหนึ่งชั่วโมงเพื่อไปรอรถประจำทาง
ในตอนกลางคืน แม้ว่าเย่ฉ่าวเฉินจะมานอนที่ห้อง เธอก็ไม่พูดกับเขา
……
บริษัทเย่ฮวาง กรุ๊ป
เย่ฉ่าวเฉินพลิกมองงานที่แต่ละแผนกส่งมา แต่ก็รู้สึกลำคาญจนไม่สามารถดูต่อไปได้
เธอไม่พูดอะไรกับเขามาเป็นเวลาสามวันเต็มแล้ว
เขากอดเธอทุกคืน แต่ก็ไม่รู้ว่าใจเธอคิดอะไรอยู่ ในใจรู้สึกว่างเปล่าขึ้นเรื่อยๆ
“เลขาหลิว ให้มู่เวยเวยแผนกออกแบบขึ้นมาหน่อย ”เย่ฉ่าวเฉินกดโทรศัพท์
ซักพัก ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา” เย่ฉ่าวเฉินปรับท่านั่งโดยไม่รู้ตัว
มู่เวยเวยผลักประตูเข้ามา และยืนอยู่ที่หน้าประตูโดยไม่เข้าไป “ประธายเย่ มีธุระอะไรคะ ?”
“เอ่อ………รินกาแฟให้ผมแก้วหนึ่ง” เย่ฉ่าวเฉินชี้ไปที่แก้วที่อยู่บนโต๊ะ
มู่เวยเวยเหลือบมองไปที่แก้วกาแฟ เธอไม่ขยับเขยื้อนและพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ประธานเย่ นี่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตงานของฉัน คุณยังมีธุระอะไรอีกไหม ?”
“มู่เวยเวย ผมเป็นเจ้านายคุณ ผมให้คุณทำอะไรคุณก็ต้องทำ ”เย่ฉ่าวจงใจทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับเธอ
มู่เวยเวยถอนหายใจเข้าลึกๆ “ไม่เกี่ยวกับงานของฉัน ฉันสามารถไม่ทำได้ ถ้าหากคุณคิดว่าทัศนคติของฉันมีปัญหา ฉันสามารถออกได้”
เย่ฉ่าวเฉินตกตะลึง มือที่วางอยู่บนโต๊ะบีบแน่น “คุณพูดว่าอะไรนะ ?”
ฉันเป็นแค่นักศึกษาฝึกงานในบริษัท ไม่ใช่พนักงานประจำ ถ้าคุณคิดว่าฉันไม่เหมาะสม ฉันก็สามารถออกได้ มู่เวยเวยแสดงท่าทีที่สงบนิ่งมาก สองวันมานี้เธอหาที่ฝึกงานในบริษัทต่างๆเยอะ ถึงแม้ว่าจะเล็กกว่าเย่ฮวาง แต่ก็ยังดีกว่าเห็นหน้าเขาทุกวัน
ในเมือง A บริษัทเย่ฮวางกรุ๊ปก็ยังไม่ถึงจุดที่ปกคลุมไปทั่ว
“มู่เวยเวย คุณอยากโบยบินด้วยตัวคุณเองแล้วใช่ไหม ?” เย่ฉ่าวเฉินลุกเป็นไฟและตบมือลงโต๊ะ
“ประธานเย่ ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วฉันขอตัวก่อน”มู่เวยเวยทิ้งคำพูดไว้ และหันหลังเปิดประตูออกไป
“ปัง——”มีเสียงดังขึ้นจากข้างหลัว ไม่รู้ว่าเขาเขวี้ยงอะไรอีก แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ ?
หลังจากเลิกงานก็นั่งรถประจำทางกลับคฤหาสน์ ฝนตกลงมาบนถนน มู่เวยเวยมองพิงหน้าต่างมองดูสายฝน ในใจไม่มีความรู้สึกใดๆ
เมื่อลงรถ ฝนก็ยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อยๆ มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และเดินกลับคฤหาสน์อย่างไม่มีทางเลือก
เมื่อเดินไปสองสามเมตร ก็มีร่มยื่นมาเหนือศีรษะเธอ เธอตกใจหันกลับไปมอง ก็เจอเย่ฉ่าวเหยียนยิ้มมองเธออย่างอบอุ่น
“คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ?” มู่เวยเวยอดไม่ได้ที่จะถาม
เย่ฉ่าวเหยียนถอนหายใจออกมา “ในที่สุดคุณก็สนใจผมแล้ว”
ในช่วงสามวันที่ผ่านมา ทุกครั้งที่เจอกับมู่เวยเวย เธอก็จะเดินก้มหน้าผ่านไป โดยไม่ทักทายหรือพูดกับเขา
มู่เวยเวยขมวดคิ้วสวยเข้าหากัน และก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า “ฉ่าวเหยียน คุณอย่าเสียเวลาอีกเลย ฉันจะไม่ไปกับคุณ”
“เพียงเพราะมู่เทียนเย่เหรอ ? ”เย่ฉ่าวเหยียนเดินตามเธอ
“ไม่เพียงแค่นั้น แต่ยังเพื่อชื่อเสียงตระกูลเย่ของพวกเรา” มู่เวยเวยพูดอย่างตรงไปตรงมา“ ฉันแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉิน แต่สุดท้ายกลับหนีไปกับคุณ คุณคิดว่าผู้คนในโลกนี้จะด่าฉันว่ายังไง ? ถึงแม้ว่าฉันจะไม่สนใจสายตาของผู้คนบนโลกนี้ แต่พ่อแม่ฉันล่ะ ? ฉันไม่สามารถให้พวกเขาที่ตายไปแล้วมาถูกหัวเราะเยาะเพราะคนอย่างฉันหรอก ”
เย่ฉ่าวเหยียนเงียบลง เขาไม่รู้ว่าจะตอบปัญหานี้กับเธอยังไงดี เพราะที่เธอกำลังพูดถึงความเป็นจริง
แต่ ผมชอบคุณ ผมอยากให้คุณมีชีวิตที่คุณต้องการ ในที่สุดเย่ฉ่าวเหยียนก็ใช้ช่วงเวลาฝนตกนี้พูดออกมา
มู่เวยเวยตกตะลึง แม้ว่าจะเดาเอาไว้บ้างแล้ว แต่เธอก็ไม่คิดเลยว่าเขาจะพูดออกมาตรงๆแบบนี้
“ผมก็ไม่รู้ว่าเริ่มชอบคุณตั้งแต่เมื่อไหร่ บางทีอาจจะตั้งแต่ที่เจอคุณที่โรงพยาบาล บางทีอาจจะตอนที่คุณกระโดดไปช่วยผมในสระน้ำ หรือบางทีอาจจะเป็นตอนที่คุณขอให้ผมช่วย อย่างไรก็ตามคุณค่อยๆเข้ามาอยู่ในใจผม…….”เย่ฉ่าวเหยียนพูดอย่างแผ่วเบาผสมกับเสียงฝนที่กระจายเข้าหูมู่เวยเวย
“ตอนที่ไปหาหมอ ผมก็อยากจะบอกคุณ แต่ก็กลัวคุณจะตกใจ ดังนั้นจึงเก็บไว้ไม่กล้าพูดออกไป ” เย่ฉ่าวเหยียนหัวเราะออกมา “ในคืนนั้นผมพูดได้เพียงครึ่งเดียว คุณน่าจะเดาได้แล้วใช่ไหม ว่าผู้หญิงที่ผมชอบคือใคร ?”
มู่เวยเวยอ้าปากค้าง และตอบไปเบาๆ “เดาได้นิดหน่อย”
เย่ฉ่าวเหยยีนหยุดไปชั่วขณะ เขามองเธออย่างดุดันและจริงจัง “ดังนั้นล่ะ ? งั้นคุณชอบผมไหม ?”
มู่เวยเวยก็หยุดและจ้องมองไปที่เขา “ฉ่าวเหยียน ฉันปฎิบัติต่อคุณในฐานะเพื่อนที่ดีเท่านั้น และการชอบก็คือการชอบในหมู่เพื่อนเท่านั้น”
“ถ้างั้นคุณชอบพี่ชายผมไหม ?” เย่ฉ่าวเหยียนเหมือนจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้ผิดหวังอะไร
มู่เวยเวยยิ้มมุมปากอย่างประชดประชัน “คุณคิดว่าฉันจะชอบเขาไหมล่ะ ? สำหรับเขาฉันมีแต่เกลียดเท่านั้น”
“คุณดูสิ ถ้าเทียบกับพี่ชายผม คุณมีความรู้สึกดีๆกับผมกว่าเขา จะให้โอกาสผมอีกสักครั้งไม่ได้เหรอ ?”
“ฉ่าวเหยียน ถ้าหากว่าฉันไม่ได้แต่งงานกับพี่ชายคุณ ถ้าหากว่าพ่อแม่ฉันยังอยู่ บางทีฉันอาจจะชอบคุณก็ได้ แต่ว่าตอนนี้ ฉันขอโทษนะ ไม่วาคุณพูดยังไง ฉันก็ไม่สามารถทำได้” มู่เวยเวยปฎิเสธกลับไป
มันจะมีจุดจบที่ถูกต้องได้อย่างไรในเมื่อ คุณพบคนผิดที่ผิดเวลา ?
เย่ฉ่าวเหยียนไม่สามารถซ่อนความผิดหวังไว้ได้ จึงฝืนยิ้มและพูดว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ผมสารภาพรักกับผู้หญิง ไม่คิดเลยว่าจะผิดหวัง”
“นั่นเป็นเพราะว่าคุณเจอผิดคน ”มู่เวยเวยคิดไปถึงรักแรกของตัวเอง และอดไม่ได้ที่จะแซวว่า “ก็เหมือนกับฉัน รักแรกของฉันก็ล้มเหลว”
“แต่ว่าคุณเป็นคนดี ผมไม่อยากพลาด”
“คุณจะเจอผู้หญิงที่ดีกว่าฉัน ฉ่าวเหยียน คุณสมควรได้เจอผู้หญิงที่ดีกว่า ไม่ใช่อย่างฉัน……..” มู่เวยเวยหาคำอธิบายตัวเองไม่ได้
หญิงวัยกลางคน ? หรือดอกไม้ที่ใกล้ตาย ? !
“คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งเธอจะถูกคนดีๆรั้งไว้ แต่มู่เวยเวย ผมจะไม่มีวันปล่อยคุณ อย่างน้อยก็ช่วงเวลานี้”
มู่เวยเวยยิ้ม “แล้วแต่คุณ ยังไงฉันก็ไม่เปลี่ยนความตั้งใจ”
“ไม่แน่นะ”
ทั้งสองเดินเคียงข้างกัน และก็มีรถคันหนึ่งแล่นผ่านสายฝนผ่านด้านหลัง เย่ฉ่าวเหยียนได้ยินเสียงของเครื่องยนต์ จึงปกป้องมู่เวยเวยอย่างไม่รู้ตัว
โดยไม่คาดคิดเจ้าของรถเหมือนกับคนบ้า ขับพุ่งเข้าไปหาทั้งสอง เย่ฉ่าวเหยียนหันกลับมา และดึงมู่เวยเวยไปอยู่ข้างหลังเขา และมองรถคาเยนน์สีดำขับเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
เขาแทบไม่เชื่อ เขาจะพุ่งเข้ามา
แน่นอน เสียงรถเบรกอย่างรุนแรงห่างจากเย่ฉ่าวเหยียนเพียงหนึ่งเมตร
เมื่อครู่เขาทำอะไรลงไป ? จะฆ่าคนทั้งสองรึไง ? คนหนึ่งก็น้องชาย อีกคนหนึ่งก็ภรรยา
เย่ฉ่าวเหยียนหันกลับมาถามมู่เวยเวย “จะนั่งรถเขากลับไปไหม ?”
“ไม่ ฉันจะเดินกลับ”มู่เวยเวยพูดจบ ก็หันหลังเดินไป
เย่ฉ่าวเหยียนตามมา “ดูเหมือนว่าผมจะทำให้คุณเดือดร้อนอีกแล้ว”
“ไม่เป็นไร ฉันชินแล้ว”
คาเยนน์เหวี่ยงไปมา น้ำสาดไปทั่ว
เย่ฉ่าวเหยียนพูดถูก ในตอนกลางคืน เย่ฉ่าวเฉินระบายความโกรธทั้งหมดลงบนร่างกายของเธอ และหยาบคายกว่าเดิม
“มู่เวยเวย มนชีวิตนี้คุณจะต้องมีแค่ผมคนเดียว…….”
“ผมพูดกี่ครั้งแล้ว อย่าชักนำหรือยั่วยวนน้องชายผม……หรือว่า ผมไม่สามารถทำให้คุณพอใจได้ ? อืม ?”
“มู่เวยเวย พูด! ”เย่ฉ่าวเฉินตบไปที่ร่างกายของเธอ รอยแดงทั้งห้านิ้วของเขาเห็นอย่างชัดเจน
มู่เวยเวยคุกเข่าอยู่บนเตียง กัดริมฝีปากแน่นไม่พูดอะไรสักคำ
“พูด !!”
เขาตบอย่างแรงอีกครั้ง และความเจ็บปวดก็แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
เย่ฉ่าวเฉินกระวนกระวาย และใช้นิ้วดึงปากที่กัดของเธอออก ผมบอกให้คุณพูด !
มู่เวยเวยกระแอมอย่างเย็นชา ไม่พูดอะไร และหันออกไปมองข้างนอกหน้าต่าง
ไม่พูดใช่ไหม ? เย่ฉ่าวเฉินโกรธ จากนั้นก็หันมาหาเธอ………
มู่เวยเวยรู้สึกหนักศีรษะของเธอชา และเป็นลมไป………
หลังจากเย่ฉ่าวเฉินเสร็จกิจ ก็พบว่ามู่เวยเวยมีบางอย่างผิดปกติไป เขาจึงรีบโน้มไปตบหน้าเธอ “มู่เวยเวย?! มู่เวยเวย!”
ไม่มีการตอบสนอง แต่โชคยังดีที่ยังหายใจเป็นปกติ
เย่ฉ่าวเฉินมองดูเธออย่างลึงซึ้ง สักพักก็โอบกอดแน่นด้วยสองมือสองเท้าของเขา และกระซิบเบาๆที่ข้างหูเธอว่า “อย่าทิ้งผมไป คุณเป็นของผมคนเดียว…….เป็นของผมคนเดียว…….”
……
ณ ร้านเหล้า เย่ฉ่าวเหยียนดื่มเหล้าหลายแก้ว ผู้หญิงไม่น้อยอยากจะเข้าใกล้เขา แต่ก็ต่างหวาดกลัวกับสายตาของเขา
“เจ้านาย อย่าดื่มเลย คุณยังต้องให้ยาจีน ดื่มเหล้าไม่ได้” อาเจี๋ยเตือนด้วยความหวังดี
เย่ฉ่าวเหยียนสลัดมือเขาออก มีความเศร้าที่คนอื่นไม่อาจเข้าใจอยู่ในสายตาของเขา “ไม่เป็นไร ดื่มครั้งนี้อีกครั้งเดียว”