วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 156 เมื่อเข้าใกล้ เย่ฉ่าวเหยียนจากไปแล้ว

ในห้องนอน เย่ฉ่าวเหยียนที่นั่งพิงกับหัวเตียงกำลังนั่งอ่านหนังสือ แสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าสาดส่องเข้ามาที่ตัวเขา มันทั้งอบอุ่นและเงียบสงบ

มู่เวยเวยค่อยๆย่องเข้ามาแอบมองเขาด้วยความสงบ มันให้ความรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นเจ้าชายที่ออกมาจากหนังสือนิทานเด็ก รูปงาม อ่อนโยน สุภาพแต่น่าเสียดายที่เจ้าชายรูปงามไม่ใช่ของเธอ

เธอยืนอยู่อย่างนั้นนานพอสมควร ทั้งสองคนไม่มีใครส่งเสียงออกมา และแล้ว ……

เมื่อเย่ฉ่าวเหยียนปิดหนังสือลง และเงยหน้าขึ้นเขายิ้มแบบจำใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“เวยเวย ถ้าเธอยังไม่พูดอะไรอีก ฉันอาจจะเสแสร้งต่อไปไม่ไหวแล้วนะ”

มู่เวยเวยหัวเราะออกมา“ก็ฉันกลัวว่าจะรบกวนคุณไม่ใช่หรือยัง?”

“เธอหนะ……เข้ามานั่งก่อนสิ”เย่ฉ่าวเหยียนตบๆไปที่เตียง

มู่เวยเวยเหลือบไปมองที่เขา เธอยืนคิดอยู่กับที่ไม่ขยับไปพักหนึ่ง “ไม่ต้องหรอก นั่งที่บริษัทมาทั้งวันแล้ว รู้สึกปวดเอว คิดว่ายืนน่าจะสบายกว่า”

เย่ฉ่าวเหยียนรู้แก่ใจดี มีตรงไหนบ้างที่ไม่รู้ล่ะ แน่นอนว่าต้องเข้าใจในความคิดของเธอ เธอไม่ได้ปวดเอวอะไรหรอก เพียงแต่อยากจะมีระยะห่างก็เท่านั้น แม้ว่าตัวเองจะตัดสินใจที่จะวางมือเรื่องเธอแล้ว แต่เมื่อเห็นเธอมีทีท่าแบบนี้ เย่ฉ่าวเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจ

ผู้หญิงคนนี้หนะ……ไม่ว่าจะต้องการมากแค่ไหนแต่ก็เอามาเป็นของตัวเองไม่ได้

“เวยเวย เมื่อร่างกายของฉันดีขี้นแล้ว ฉันจะไปเที่ยวที่ยุโรปสักพัก เธออยากจะไปด้วยกันไหม?”เย่ฉ่าวเหยียนจงใจถามขึ้น

มู่เวยเวยไม่ทันได้คิดก็ตอบปฎิเสธออกมาทันที “ถ้างั้นขอให้นายเที่ยวให้สนุกนะ ฉันยังเรียนไม่จบ ไม่ว่าจะที่ไหนก็ไม่อยากไปทั้งนั้น”

เย่ฉ่าวเหยียนถอนหายใจด้วยความผิดหวังและพูดว่า“เฮ่ย ดูเหมือนว่าฉันจะต้องไปคนเดียวซะแล้ว”

เอ๋?!

มู่เวยเวยตาเป็นประกายขึ้นมา เขาจะไปแล้วหรอ?!

“เธอเดาถูกแล้ว ฉันจะต้องไปจากที่นี่ ไปจากเมือง A เธอคงดีใจมากใช่ไหม?”

มู่เวยเวยนิ่งเงียบ พร้อมกับมีสีหน้ามึนงง

“ฉันคิดได้แล้ว เพราะเธอก็ไม่ได้ชอบฉัน แล้วทำไมฉันจะต้องฝืนใจตัวเองล่ะ?โลกนี้มันตั้งกว้างใหญ่ ผู้หญิงสวยๆยังมีอีกมากมาย ฉันไม่สามารถที่จะใช้เวลาทั้งหมดให้เสียไปกับเธอได้ ”

เมื่อมู่เวยเวยได้ยินเขาพูดอย่างนี้แล้ว ทันใดนั้นเธอมีความรู้สึกว่าโลกทั้งใบมันเบาสบายขึ้น ไม่ว่าเขาจะบอกว่าฉันเป็นคนยังไง ฉันก็ไม่สนใจ พร้อมกับทำการยืนยันให้มั่นใจ

“จริงไหม?คุณคิดดีแล้วใช่ไหม?”

เย่ฉ่าวเหยียนแบะปากด้วยความไม่พอใจและพูดขึ้นว่า“จริงสิ เธอดีใจมากขนาดนั้นเลยหรอ?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ดีใจสิ สั้นๆนะดีใจมากๆเลย”มู่เวยเวยรู้สึกดีใจเกือบจะเต้นออกมา“ก็จริงและ โลกใบนี้มีผู้หญิงสวยๆเยอะแยะ อีกทั้งคุณก็เป็นคนดี ต้องหาคนที่เหมาะสมกับคุณได้แน่ๆ”

เย่ฉ่าวเหยียนฉีกยิ้มแววตาซ่อนเอาความเจ็บปวดที่เธอมองไม่เห็นไว้ข้างใน ความรู้สึกแบบรู้ทั้งรู้ว่าเอาเธอมาเป็นของตัวเองไม่ได้ มันช่างทรมานจริงๆ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไม่อยากเห็นไม่อยากเจอเพราะมันอาจจะทำให้จิตใจสงบขึ้น และการรีบออกไปจากที่นี่มันก็อาจจะดีกว่า

“เวยเวย ฉันหิวแล้ว เธอมาพยุงฉันลงไปทานอาหารที่ชั้นล่างได้ไหม”

“คุณลงจากเตียงได้แล้วหรอ?แผลที่ร่างกายยังไม่สมานไม่ใช่หรอ?”มู่เวยเวยถามด้วยความกังวล

“ได้แล้ว หมอหานบอกว่าให้เคลื่อนไหวร่างกายบ้างจะทำให้หายเร็วขึ้น”

“อืออือ งั้นคุณระวังหน่อย”มู่เวยเวยก้มลงเพื่อสวมรองเท้าให้เขา และประคองที่แขนของเขาและค่อยๆเดินออกไปด้านนอก“ที่คุณพูดว่าไปยุโรป มีแผนไว้หรือยังว่าจะทำอะไร?”

เย่ฉ่าวเหยียนเอาน้ำหนักตัวครึ่งหนึ่งทิ้งลงไปที่แขนของเธอ และก้าวเท้าอย่างระมัดระวัง“ไปเรียน”

“ไปเรียน?”มู่เวยเวยตกใจจนตาแทบจะทะลักออกมา

เย่ฉ่าวเหยียนขมวดคิ้วมองเธอ “ดูถูกฉันหรอ?ฉันอายุมากกว่าเธอแค่ปีเดียวเอง และถ้าฉันเรียนหนังสือฉันจะต้องเรียนได้ดีกว่าเธอแน่”

มู่เวยเวยหัวเราะเหอะเหอะออกมา“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันคิดว่าคุณแค่ต้องการที่จะไปเที่ยวดูทะเล ภูเขา ไม่คิดว่ามันจะดูเป็นเรื่องจริงจังแบบนี้”

“ชิ มีตอนไหนที่ฉันไม่จริงจังบ้าง?”

มู่เวยเวยก้มหน้าคิดในใจ ช่วงนี้ก็จริงจังมากๆเลยไม่ใช่หรอ

“จะลงบันไดแล้ว ค่อยๆนะ”เธอพูดเตือนเบาเบา

ที่ชั้นล่างของคฤหาสน์ เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นมองเขาทั้งสองคน ในใจเกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

เย่ฉ่าวเหยียนเหลือบไปเห็นเงาของเขา ฉ่าวเหยียนโน้มตัวเข้าไปหามู่เวยเวยพร้อมกับพูดว่า “ถ้าหากครั้งนี้เธอไม่ไปกับฉัน ต่อไปเธอจะต้องทนการทรมานของพี่ชายฉันนะ”

มู่เวยเวยมีแววตาเศร้าลงเล็กน้อย“ฉันชินไปตั้งนานแล้ว แต่ยังไงเขาก็ไม่ฆ่าฉัน ฉันต้องเข้มแข็งเพื่อใช้ชีวิตต่อไป”

“เธอมันเป็นพวกชอบถูกทารุณร่างกาย ฉันอยากช่วยให้เธอได้ออกจากนรกหลุมนี้ แต่เธอกลับไม่ยอม”เย่ฉ่าวเหยียนพูดหยอกเย้าเธอ

“ซะที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะที่ชายของฉัน ฉันหนีไปนานแล้ว”

เย่ฉ่าวเหยียนมองดูคนที่โดดเดี่ยวท่ามกลางแสงสลัวของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า ดูเหมือนว่าต่อไปเขาจะต้องรับกรรม แต่ว่าเป็นอย่างนี้ก็ดี ก่อนหน้านี้ใครให้เขาทำไม่ดีกับเวยเวยล่ะ ถือว่าเป็นการลงโทษเขาแล้วกัน

ทั้งสองคนใช้บันไดในการขึ้นลง เย่ฉ่าวเฉินพึ่งจะเดินเข้ามาและกำลังจะพยุงไปที่มือของเธอเพื่อช่วยในการประคองเย่ฉ่าวเหยียน แต่เธอก็ดึงมือออกไปซะก่อน

“ฉันขอไปล้างหน้าก่อน แล้วจะรีบกลับมา”มู่เวยเวยพูดกับเย่ฉ่าวเหยียน และไม่รอให้เขาตอบกลับมาก่อน เธอก็หันหลังเดินขึ้นชั้นบนไป

เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้แตะแม้แต่ปลายเสื้อของเธอ เธอก็ไปซะก่อน หนังตายังไม่ทันได้ลืมขึ้นมาเลย

ในใจรู้สึกจุกๆเล็กน้อย……

เย่ฉ่าวเหยียนมองดูท่าทางของเขา ก็เกิดความสะใจขึ้นมาทันที

พี่ชายครั้งนี้คงจะรู้สึกงอยไปเลยละซิ คิดว่าคงผิดหวังมากกว่าฉันซะอีก

เมื่อถึงตอนเย็น เย่ฉ่าวเฉินเดินออกจากห้องหนังสือและกลับไปที่ห้องนอน มู่เวยเวยที่ขดตัวนอนหลับอยู่มุมหนึ่งของเตียง แก้มอันขาวบริสุทธิ์แซมกับสีของเลือดฝาดที่ชมพูระเรื่อ จมูกที่เล็กได้รูปพอดีกับสัดส่วนของใบหน้า ดูแล้วน่ารักมากๆ

เย่ฉ่าวเฉินใช้น้ำล้างตัวให้สะอาด เขาขึ้นมานอนบนเตียงและค่อยๆขยับตัวของเธอเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก ปลายจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่หอมฟุ้งจากตัวเธอ ร่างกายของเธอเริ่มมีการขยับตอบสนอง เย่ฉ่าวเฉินควบคุมความรู้สึกให้ไม่ลงมือกับเธอในขั้นต่อไป เพียงแค่กอดเธอไว้นิ่งๆ ก็รู้สึกพอใจมากแล้ว

……

เย่ฉ่าวเหยียนที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น ชอบออกกำลังกายเป็นปกติ พื้นฐานของร่างกายค่อนข้างแข็งแรง ใช้เวลาไม่กี่วันบาดแผลที่อยู่ตามร่างกายก็ฟื้นฟูเกือบจะเป็นปกติ เขาคิดว่า ถึงเวลาที่จะต้องกล่าวคำลาแล้ว ถ้ายังรอให้ผ่านไปนานวันเข้าก็มีแต่จะเจ็บไปมากกว่าเดิม

วันนี้ตอนเย็น ขณะที่ทั้งสามคนกำลังนั่งทานอาหารค่ำอยู่ เย่ฉ่าวเหยียนพูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า“พี่ เวยเวย ฉันคิดว่าจะไปวันพรุ่งนี้”

ฉ่าวเฉินและเวยเวยหยุดชะงักโดยไม่มีการนัดหมายกัน พร้อมกับมองไปที่เย่ฉ่าวเหยียยนพร้อมๆกัน

“ทำไมเร็วขนาดนี้?ร่างกายของนายยังไม่หายดีร้อยเปอร์เซ็นต์”เย่ฉ่าวเฉินมีสีหน้าไม่เห็นด้วยอย่างเห็นได้ชัด

“ที่จริงดีขึ้นมากแล้ว อีกทั้งตอนนี้มือขวาก็ดีขึ้นเร็วมากๆ ดูสิ”เย่ฉ่าวเหยียนพูดไปพลางยกมือด้านขวาขึ้นมา คาดไม่ถึงว่านิ้วชี้จะขยับได้นิดหน่อยแล้ว

“แต่ว่า โรงเรียนที่นั่นยังจัดการไม่เสร็จเลย……”

เย่ฉ่าวเหยียนพูดตัดบทเขา“พี่ โรงเรียนทางนั่นเมื่อไปถึงแล้วฉันจะจัดการเอง นายไม่ต้องเป็นห่วง และฉันก็จองตั๋วเครื่องบินของวันพรุ่งนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว พวกคุณไม่ต้องมารั้นฉันไว้หรอก”

ชั่วพริบตาเดียวเย่าฉ่าวเฉินกลับมีแววตาดูโศกเศร้าขึ้น “ฉ่าวเหยียน พี่ดูแลนายได้ไม่ดี”

“พี่ ฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ นายอย่าทำเหมือนกับว่าฉันเป็นเด็กสิ”เย่ฉ่าวเหยียนพูดเปลี่ยนบรรยากาศ

มู่เวยเวยก็ไม่มีอารมณ์ที่อยากจะทานข้าวต่อ เธอถามเขาว่า“อย่างนั้นเรื่องการรักษามือขวาจะทำยังไง”

“วางใจได้ ฉันให้หมอหานรับศิษย์ไว้หนึ่งคน ฉันจะพาเขาไปด้วย”ลูกศิษย์คนนี้เป็นนักเรียนที่ติดตามหมอหาน พอดีว่าเขาก็ต้องการที่จะออกไปเผชิญโลก ดังนั้นเย่ฉ่าวเหยียนจึงได้พาเขาไปด้วย

อาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่เงียบสงบ มู่เวยเวยกับเย่ฉ่าวเหยียนกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้

“ฉ่าวเหยียน ฉันคิดมาตลอดว่าอยากขอโทษคุณสักครั้ง เป็นเพราะพี่ชายของฉันแท้ๆ ถึงทำให้คุณต้องมาได้รับความเจ็บปวดมากมายขนาดนี้”

เย่ฉ่าวเหยียนหันกลับไปจ้องมองที่มู่เวยเวย เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นไปลูบที่ผมของเธอพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เด็กโง่ ฉันเคยบอกเธอแล้วว่า เขาคือเขา ส่วนเธอก็คือเธอ ก็เหมือนกับเย่ฉ่าวเฉินคือพี่ชายของฉัน เธอเกลียดเขาแต่ไม่ได้เกลียดฉัน ฉันก็เช่นกัน แล้วมีอะไรที่ต้องขอโทษละ”

จมูกของมู่เวยเวยเริ่มแดงขึ้น เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาเคยยื่นมือเข้ามาช่วยตัวเธอในหลายๆเรื่อง น้ำตาของเธอเริ่มซึมออกมา เสียงพูดก็เปลี่ยนเป็นเสียงสะอื้นแทน“ฉ่าวเหยียน คุณทำไมถึงได้ดีกับฉันขนาดนี้?”

เย่ฉ่าวเหยียนถอนหายใจและพูดว่า “ฉันดีขนาดนี้ เธอยังไม่ชอบฉันเลย ฉันว่าเธอสูญเสียมากกว่าฉันเยอะ ”

“และใครว่าไม่ใช่ล่ะ?”

จากนั้นเธอก็เดินไม่พูดไม่จาออกไป เย่ฉ่าวเหยียนพูดขึ้น “เมื่อฉันไปแล้ว เธอไม่ต้องกลัวเขานะ ตัวเธอเองต้องการที่จะทำอะไรก็ทำซะ ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ ดีกับตัวเองเข้าไว้”

“อือ ฉันรู้แล้ว”

“ยังมีอีกเรื่อง จำไว้ต่อไปถ้ามีเวลาให้ไปเยี่ยมฉันที่ยุโรปด้วย”จริงๆแล้วเขาต้องการที่จะพูดว่า ถ้ามีเวลาว่างให้โทรมาเขาบ้าง แต่คิดไปแล้วไม่เอาดีกว่า ติดต่อกันบ่อยๆเขากลัวว่าจะลืมเธอไม่ได้

“อือ ได้”

“เวยเวย……”เย่ฉ่าวเหยียนตะโกนเรียกเธอด้วยความซาบซึ้งเป็นครั้งสุดท้าย

มู่เวยเวยก้มหน้าไม่ตอบกลับ น้ำตาของเธอค่อยๆไหลลงมา แต่เพื่อไม่ต้องการให้เขาเห็นเธอจึงพูดขึ้นว่า“ฉันง่วงแล้ว พรุ่งนี้เช้าตอนฟ้ามืดฉันจะไปส่งคุณที่สนามบิน”

และค่ำคืนนี้ มู่เวยเวยก็นอนดึกมาก

……

สนามบิน

เย่ฉ่าวเหยียนดูเหมือนกับว่าวัยรุ่นโดดเดี่ยวที่กำลังจะออกเดินทางท่องเที่ยว ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าเขากำลังอาลัยกับความรัก

เย่ฉ่าวเฉินสั่งงานกับเขาทั้งสองคนเสร็จ และเดินมาตรงหน้าเย่ฉ่าวเหยียนพร้อมกับพูดขึ้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ว่า“ถ้ามีเรื่องอะไรให้โทรมาหาฉัน และต้องดูแลตัวเองดีๆ”

เย่ฉ่าวเหยียนแสยะยิ้มด้วยความดีใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ว่างใจเถอะ เพียงแค่นายจัดการโอนเงินมาให้ตรงเวลา ฉันก็จะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข”

“หุ้นของบริษัทยังคงเก็บไว้ให้นายอยู่อย่างนั้น ถ้าเที่ยวเหนื่อยแล้วก็กลับมา”

“ฉันรู้”ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ประชาสัมพันธ์ของสนามบินได้ประกาศให้เย่ฉ่าวเหยียนทำการไปตรวจร่างกายตามเวลาก่อนขึ้นเครื่อง

เย่ฉ่าวเหยียน อาเจี๋ยและลูกศิษย์ของหมอหานเข้าไปตรวจร่างกาย เขาหันกลับมามองมู่เวยเวยที่ไม่พูดไม่จาอะไรเลย และพูดกับเย่ฉ่าวเฉินว่า“ต่อไปนายต้องดีกับพี่สะใภ้หน่อย หากว่าวันหนึ่งฉันยังตัดใจไม่ได้ล่ะก็ ไม่แน่ว่าฉันอาจกลับมาแย่งเธอไปจากนาย”

เย่ฉ่าวเฉินมองที่ตาของเขาและตอบกลับอย่างจริงจังว่า“ได้”เพียงคำเดียว

ประกาศของสนามบินดังขึ้นมาอีกครั้ง เย่ฉ่าวเหยียนรู้ว่าหมดเวลาอาลัยอาวรณ์ต่อแล้ว ใช้ความกล้าพูดความต้องการของเขาออกมาว่า“พี่ ฉันอยากกอดเธอสักครั้งจะได้ไหม?”

ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันมา เย่ฉ่าวเหยียนไม่เคยกอดเธอเลย จะมีก็แค่จับมือบ้างแต่ก็เป็นในตอนที่เธอนอนหลับ

จะให้พูดกันจริงๆแล้ว เขาก็ยังมีเยื่อใยอยู่

เย่ฉ่าวเฉินนิ่งไปสักพัก แล้วหันหลังให้

มู่เวยเวยไม่ได้ปฏิเสธ เธอยื่นมือออกไปเพื่อกอดเขา

หัวใจของเย่ฉ่าวเหยียนเหมือนโดนแช่น้ำ จุกๆแน่นๆ ยิ่งคิดว่าต่อไปและจะไม่ได้เจอเธอแล้ว เย่ฉ่าวเหยียนก็กอดเธอแน่นขึ้น

“ดูแลตัวเองดีๆ” มู่เวยเวยพูดขึ้นที่ข้างหูของเขาเบาเบา

ศีรษะของเย่ฉ่าวเหยียนที่อยู่บริเวณไหล่ของเธอขยับขึ้นลงเป็นตอบรับ เขาค่อยๆปล่อยมือออกจากเธอ และจูบไปที่ริมฝีปากของเธอหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ดึงตัวกลับมาและหันหลังจากไป

นี่เป็นจูบแรกของเขา เขาอยากส่งมันให้กับผู้หญิงที่เขาชอบ

แม้ว่าเธอจะไม่ชอบเขาก็ตาม

มู่เวยเวยที่กำลังยื่นงงอยู่กลับที่ ความรู้สึกโศกเศร้าที่มีในตอนแรกถูกจูบนี้ของเขาทำลายลงไปจนหมดสิ้น

เด็กผู้ชายคนนี้!

เย่ฉ่าวเหยียนไม่ได้หันกลับมามอง โบกมือลาไม่กี่ครั้ง แล้วหายเข้าไปในเขตตรวจร่างกาย

ประมาณสิบนาทีหลังจากนั้น เครื่องบินเริ่มทะยานขึ้นไปในอากาศ และบินสูงขึ้นไปทะลุเมฆ

เพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ ตอนนี้ได้จากเธอไปแล้ว

……

กลับเข้าสู่การใช้ชีวิตปกติ แต่มู่เวยเวยไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้อารมณ์ของเย่ฉ่าวเฉินได้เปลี่ยนไปแล้ว

อย่างเช่นว่าเวลาทานอาหารจะคอยสังเกตว่าเธอชอบทานอะไร และคอยกำกับแม่บ้านฉินด้วยตัวเอง ไม่ว่าตอนเช้าหรือตอนเย็นเขาจะขับรถมาจอดรอที่หน้าคฤหาสน์และคอยเปิดประตูด้านข้างคนขับให้กับเธอ ถ้าเธอไม่ยอมขึ้นและเดินหนีไปข้างหน้าเขาก็จะดึงมือของเธอไว้และเอาตัวของเธอขึ้นรถไป ตอนเย็นถ้าหากว่าเธอมีทีท่าปฏิเสธ เขาก็จะรีบหยุดทันที จากนั้นตอนนอนเขาจะทำเพียงแค่กอดเธอเท่านั้น

มู่เวยเวยมีท่าทีที่ประหลาดใจ ตอนที่เย่ฉ่าวเหยียนจะไปได้บอกให้เขาทำดีกับตัวเธอบ้าง หรือว่าเขาฟังเข้าใจและทำตาม?

เย่ฮวางกรุ๊ป

เลขาหลิวถือแฟ้มงานเข้ามาในห้องประธาน

“ประธานเย่ กำหนดการท่องเที่ยวของบริษัทปีนี้ออกมาแล้ว คุณลองดูสักหน่อย”

การท่องเที่ยวของบริษัท นี่เป็นรางวัลตอบแทนของบริษัทเย่ฮวางที่มีให้พนักงานทุกๆปี ที่พักและอาหารฟรี พนักงานมีหน้าที่แค่กินและเที่ยวให้สนุก

“ปีนเขาหรอ?”เย่ฉ่าวเฉินพิจารณาดูอย่างรวดเร็ว “ใช้เวลาสองวันจะพอหรอ”

เลขาหลิวพูดขึ้นด้วยความระมัดระวังว่า“เพราะมีเวลาแค่ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เพียงสองวัน ฉะนั้นแล้ว……”

“งั้นก็เอาเวลาของวันศุกร์บวกเพิ่มเข้าไปด้วย พนักงานหยุดทำงานหนึ่งวันบริษัทคงไม่เสียหายอะไรหรอก ต้องให้พวกเขาพักผ่อนให้สนุกถึงจะมีแรงทำงาน ”เย่ฉ่าวเฉินพลิกไปดูที่หน้าสุดท้ายพร้อมกับพูดว่า“ปีนขามันดูธรรมดาเกินไป ให้เพิ่มบาร์บีคิวนอกสถานที่เข้าไปด้วย”

เลขาหลิวมีแววตาแสดงออกมาด้วยความดีใจอย่างเห็นได้ชัด“ตกลงค่ะ ฉันจะรีบไปจัดการปรับเปลี่ยน”

“รอก่อน”เย่ฉ่าวเฉินเรียกเลขาหลิวที่เดินถึงหน้าประตูให้หยุด“เรื่องที่พัก ดีที่สุดให้มีห้องทำอาหารส่วนตัว เพราะมีพนักงานบางคนไม่ทานเผ็ด”

“ได้ค่ะท่านประธาน”เลขาหลิวเดินออกไปจากห้องด้วยท่าทางดีใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ มีคนที่ไม่กินเผ็ดอยู่?นั่นไม่ใช่มู่เวยเวยหรอกหรอ?

เมื่อในกลุ่มของบริษัทประกาศแจ้งออกไป พนักงานทั้งบริษัทต่างดีใจกันอึกทึกครึกโครม

“แม่เจ้า ประธานเย่ช่างดีเหลือเกิน พรุ่งนี้พวกเราก็จะได้ออกไปเที่ยวกันแล้ว”

“ถูกต้อง ถูกต้อง แถมยังได้พักในคฤหาสน์ข้างทะเสสาบที่ดีที่สุดของเมืองAอีกด้วย ได้ยินมาว่าที่นั้นมีขนมหวานที่แสนอร่อนอยู่ด้วย”

“ลองคิดดูสิว่า ได้ชมพระอาทิตย์ตกอยู่ข้างๆกับริมทะเลสาบไปพลางกินบาร์บีคิวไปพลาง และมีผู้ชายหล่อๆเป็นอาหารตา มันสุดยอดไปเลย”

มู่เวยเวยที่ไม่มีความรู้สึกตื่นเต้นดีใจอะไร ได้ยินเพื่อนร่วมงานตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจ แน่นอนว่าครั้งนี้ถ้าไม่มีเย่ฉ่าวเฉินไปด้วยล่ะก็ เธอคงจะดีใจมากกว่านี้แน่

ใกล้เวลาเลิกงาน พนักทุกคนเริ่มนั่งกันไปติด อยากรีบกลับไปเตรียมข้าวของล่วงหน้า มีพนักงานไม่กี่คนที่อาศัยตอนที่เหอเหม่ยหลิงเผลอ หยิบกระเป๋าออกไปแต่เมื่อไปถึงหน้าประตูก็บังเอิญถูกเย่ฉ่าวเฉินมาหยุดไว้ได้

“เย่……ประธานเย่……”เรียกอย่างติดๆขัดๆเพียงไม่กี่คำพร้อมกับร้อนร้นวิ่งกลับไปที่ที่นั่งของตัวเอง

เมื่อมู่เวยเวยได้ยินเข้าก็อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะ แต่เมื่อเห็นเย่ฉ่าวเฉินเดินเข้ามาก็รีบหุบยิ้มทันที

“ทำงานเสร็จหรือยัง?”เย่ฉ่าวเฉินเดิมเข้ามาที่หน้าโต๊ะทำงานของเธอ

“ยังไม่เสร็จ”มู่เวยเวยกำลังแก้รูปภาพรูปหนึ่ง

เย่ฉ่าวเฉินดึงดินสอที่อยู่ในมือของเธอออกแล้วพูดว่า“ไปกันเถอะ เลิกงานแล้ว”

มู่เวยเวยควบคุมอารมณ์ให้อยู่นิ่งและมองดูเวลาที่อยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมกับเงยหน้ามองเขา“ยังเหลืออีกสิบนาที”

“ฉันเป็นหัวหน้า คำพูดของฉันถือว่าเป็นอันสิ้นสุด”จากนั้นเขาก็โยนดินสอลงไปที่โต๊ะและสั่งให้เธอหยิบกระเป๋าพร้อมกับพูดว่า“พรุ่งนี้จะต้องไปเที่ยวแล้ว เราไปซื้อของเล็กๆน้อยๆกัน”

มู่เวยเวยทำได้เพียงลุกขึ้นหยิบเอาโทรศัพท์และเดินตามเขาไป

เมื่อมาถึงหน้าประตู เย่ฉ่าวเฉินหันหลับมาพูดอย่างกะทันหันว่า “วันนี้เป็นกรณีพิเศษ ตอนนี้สามารถเลิกงานได้แล้ว แต่ว่า ครั้งต่อไปอนุญาต”

“โอ้เย้——”

“ขอให้ประธานเย่อายุยืนหมื่นปี——”

เย่ฉ่าวเฉินใช้แขนโอบไปที่ไหล่ของมู่เวยเวย และพาเธอเดินไปที่ลิฟต์

เพื่อนพนักงานในแผนกออกแบบต่างมีสีหน้าอิจฉามู่เวยเวยกันยกใหญ่ มีคนถอนหายใจและพูดขึ้นว่า“ประธานเย่ผู้เย็นชาตอนนี้ก็รู้จักวิธีทำให้คนอิจฉาเป็นซะแล้ว คนโสดอย่างพวกเราอิจฉากันไหมล่ะ”

เมื่อขับรถมาถึงศูนย์การค้า มู่เวยเวยมีความรู้สึกมึนงงเล็กน้อย

“ต้องซื้ออะไรบ้าง?”

เย่ฉ่าวเฉินที่มือข้างหนึ่งตั้งใจจับที่ข้อมือของเธอและมืออีกข้างถือกระเป๋าให้เธอได้พูดว่า“ซื้อรองเท้าและเสื้อผ้า พรุ่งนี้กับมะรืนนี้เราจะไปปีนเขากัน เธอมีรองเท้าและเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับการปีนเขาแล้วหรือยัง?”

เอ๋……เขารู้จักแม้กระทั้งว่าในตู้เสื้อผ้าของเธอนั้นมีอะไรอยู่บ้าง?

“เสื้อผ้ามี แต่รองเท้ายังไม่มี”

“ดังนั้นเลยต้องมาซื้อยังไงล่ะ”เย่ฉ่าเฉินพูดเหตุผลเสร็จ แต่มู่เวยเวยกับรู้สึกว่ามันแปลกๆ ทำไมท่าทีของเขาถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้นะ รู้สึกทำใจรับไม่ได้จริงๆ

ร้านรองเท้า

เย่ฉ่าวเฉินจับมือของเธอไว้ตลอด ดูรองเท้าไปหลายต่อหลายคู่แล้ว พอเจอรองเท้าที่เหมาะสม เขาก็บอกกับพนักงานว่า“เอารองเท้าคู่นี้เบอร์37”

ใช้เวลาไม่นานพนักงานก็หยิบมันออกมา มู่เวยเวยนั่งลงที่โซฟากำลังจะทำการลองรองเท้า เย่ฉ่าวเฉินรับรองเท้ามาจากพนักงาน พร้อมกับคุกเข่าลงไป

มู่เวยเวยเห็นเขาทำแบบนี้แล้วก็รู้สึกตกใจ จับที่แขนของเขาให้หยุด“เย่ฉ่าวเฉิน คุณไม่ต้องแสดงละครหรอก”

เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว“แสดงละครอะไร?”

“คุณบอกมาสิว่าแสดงละครอะไร?ไม่กี่วันมานี้คุณดูแปลกไปมาก ถึงคุณจะรับปากเย่ฉ่าวเยียนว่าจะทำดีกับฉัน แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ก็ได้”

เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้าขึ้นมองมู่เวยเวยที่มีทีท่าระแวง ในใจของเขารู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมา เขานิ่งไปสักพักและได้ตัดสินใจที่จะพูดความในใจของเขาออกมา“เวยเวย ที่ฉันดีกับเธอไม่ใช่เป็นเพราะว่าฉ่าวเหยียนพูด แต่เป็นเพราะว่าฉันอยากจะดีกับเธอเองต่างหาก”

มู่เวยเวยถูกคำพูดของเย่ฉ่าวเฉินสะกิดเข้ามาที่ตัวของเธอ จากนั้นเธอก็ยื่นมือออกไปลองแตะลงบนหน้าฝากของเขาและพูดขึ้นว่า“เย่ฉ่าวเฉิน คุณไม่สบายหรือเปล่า”

“คุณ……”เย่ฉ่าวเฉินโกรธจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมา เขาพูดความรู้สึกที่มีต่อเธอออกมาจากใจจริงของเขา แต่กลับถูกเธอสังสัย ?แต่ก็เอาเถอะ เมื่อก่อนตัวเองทำเรื่องไม่ดีไว้หลายเรื่อง จะโทษเธอก็ไม่ได้หรอก

“เย่ฉ่าวเฉิน คุณคิดแผนการที่ไม่ดีอยู่ใช่ไหม”มู่เวยเวยมองเขาที่กำลังสวมรองเท้าให้เธอ และยังไม่เชื่อคำพูดเขา

“มู่เวยเวย ในตัวของเธอมีอะไรที่ทำใหฉันหลอกเธอได้อีก?”เย่ฉ่าวเฉินที่กำลังโมโหอยู่ถามเธอ

มู่เวยเวยเบนสายตาไปทางอื่น และพูด เชอะ ออกมา“คุณรู้ได้ยังไง?อย่างไรก็ตามความคิดของคุณก็ไม่หมือนกับคนอื่น”

เย่ฉ่าวเฉินถูกมู่เวยเวยพูดใส่จนเขาเองก็พูดไม่ออก จึงพูดขึ้นอย่างประนีประนอมว่า“ก็ได้ก็ได้ ฉันไม่ทะเลาะกับเธอแล้ว พวกเราไปซื้อของอย่างสงบๆให้เสร็จและกลับบ้านกันเถอะOK?”

มู่เวยเวยแบะปาก ตั้งแต่พี่ชายของเธอหายตัวไปในวันนั้น เธอก็ไม่มีบ้านแล้ว เมื่อพูดถึงคฤหาสน์ของตระกูลเย่ สำหรับเธอแล้วก็เป็นเหมือนกับคุกอันหรูหราที่เธอไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นบ้านของเธอเลย

ต่อมาเรื่องราวได้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น เพียงแค่มู่เวยเวยชอบไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือรองเท้า แม้แต่ลองก็ยังไม่ทันได้ลอง เย่ฉ่าวเฉินก็บอกให้พนักงานห่อใส่ถุงแล้ว

ก็มันเป็นเงินของเขา จะซื้อหรือไม่ซื้อก็เรื่องของเขา

หลังจากที่เลิกงานก็ถูกลากมาซื้อของ มู่เวยเวยรู้สึกหิวจนท้องร้องจ๊อกจ๊อก

“หิวแล้วล่ะสิ?”เย่ฉ่าวเฉินได้ยินท้องของเธอร้องครวญคราง เขาแสยะยิ้มเบาเบาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ไปกันเถอะ ไปทานข้าวกัน”จากนั้นก็เอาถุงของทั้งหมดของเธอใส่ไว้ที่ท้ายรถ

มู่เวยเวยนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน เธอรัดเข็มขัดพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉันอยากไปทานอาหารแถวมหาลัยของพวกเรา”

คำของร้องของเธอน้อยครั้งที่จะพูดออกมา แน่นอนว่าเย่ฉ่าวเฉินต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน

แต่เมื่อมาถึงที่ เย่ฉ่าวเฉินกับหยุดชะงัก

ถนนคนเดินเส้นเล็กๆที่เต็มไปด้วยนักเรียนนักศึกษาเดินสวนกันไปมา หม้อไฟ ลูกชิ้น ชานม โรตีไข่ โรตีผลไม้ และยังมีอาหารพวกปิ้งย่างต่างๆอีกมากมาย อย่างไรก็ตามเย่ฉ่าวเฉินก็รับไม่ได้ถึงความไม่สะอาดของอาหารที่นี่ ไม่เพียงแค่นั้นที่ด้านหน้าของแต่ละร้านยังดูวุ่นวายมาก เขามองเห็นชัดๆว่าโรตีร้านนั้นเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเขาและยัง ไม่ทันจะได้ล้างมือก็ทำแผ่นที่สองต่อไป

มู่เวยเวยหัวเราะเยาะอยู่ในใจหลายครั้ง ที่เธอพาเขามาที่นี่ นั่นก็เป็นเพราะเธอรู้ดีว่า สำหรับเย่ฉ่าวเฉินถ้าเป็นเรื่องกินเขาค่อนข้างจะให้ความสำคัญและใส่ใจในรายละเอียดต่างเป็นอย่างมาก

“คิดอะไรอยู่?”มู่เวยเวยถามด้วยความกระตือรือร้น ยังไม่ทันที่เขาจะตอบกลับเธอก็แหวกกลุ่มนักเรียนเดินเข้ามาถึงร้านชานมร้านหนึ่ง “เจ้าของร้าน ขอชานมไข่มุกหนึ่งแก้ว ขอบคุณค่ะ”

เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้จะทำยังไงจึงได้แต่เดินตามเธอไปแต่โดยดี

“ยี่สิบห้าบาท”เจ้าของร้านส่งแก้วชานมไข่มุกให้เธอ และขณะที่มู่เวยเวยกำลังจะหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าของเธอนั้น เย่ฉ่าวเฉินหยิบเงินยี่สิบห้าบาทส่งให้กับเจ้าของร้าน

“ชานี่มีอะไรอร่อยหรอ” เย่ฉ่าวเฉินพูดขึ้นอย่างดูถูก “นอกจากเติมผงก็มีแต่น้ำตาล”

มู่เวยเวยไม่ได้มาที่นี่นานแล้ว สถานที่และกลิ่นที่เธอคุ้นเคย เท่านี้เธอก็รู้สึกชุ่มชื้นหัวใจขึ้นมามาก

เมื่อเธอดูดชานมเข้าไปหนึ่งคำ มู่เวยเวยก็พูดขึ้นด้วยความชื้นออกชื่นใจว่า “เชอะ คนที่เป็นหัวหน้าอย่างคุณไม่เข้าใจหรอกว่าประชาชนตัวเล็กๆอย่างพวกเราสนใจในเรื่องอะไร อร่อยก็ทาน ไม่สนใจหรอกว่าจะทำมาจากอะไร”

เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองไปที่ใบหน้าอันยั่วยุของเธอ พร้อมกับก้มลงไปที่มือของเธอ ดูดที่หลอดหนึ่งครั้งและกลืนมันลงไป จากนั้นก็พูดดูถูกว่า“ก็ไม่ได้อร่อยอะไรมาก”

มู่เวยเวยขมวดคิ้วมองหลอดที่เขาดูด เธอรู้สึกหนักใจ อย่างนี้แล้วจะกินต่อยังไง?

“เธอรังเกลียดฉันหรอ?”เย่ฉ่าวเฉินอ่านความคิดของเธอออกและพูดขึ้นที่ข้างหูของเธอ“ไม่รู้ว่าเคยจูบกันตั้งกี่ครั้งแล้ว เธอจะมารังเกลียดฉันตอนนี้มันไม่สายเกินไปหรอ?”

มู่เวยเวยเขม่นตามองไปที่เขาหนึ่งครั้ง พร้อมกับเอาแก้วชานมไข่มุกยัดใส่ที่มือของเขา ไม่กินก็ได้

ต่อมามู่เวยเวยก็เดินมาถึงร้านก๋วยเตี๋ยวร้านประจำของเธอ เธอสั่งเมนูพิเศษของทางร้าน

และหันกลับมาถามเย่ฉ่าวเฉินว่า “คุณอยากทานอะไร?”

“เอาแบบที่เธอสั่ง”

เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่เก้าอี้ที่เหนียวเหนอะหนะพวกนั้น เขาดึงกระดาษออกมาเช็ดแล้วเช็ดอีกจากนั้นจึงได้ให้มู่เวยเวยนั่งลง ต่อไปเขาก็เริ่มเช็ดไปที่โต๊ะ

มู่เวยเวยทนดูต่อไปไม่ได้ พร้อมกับพูดแขวะเขาว่า“คุณพอได้แล้ว คนอื่นก็เขายังไม่ตาย?”

เย่ฉ่าวเฉินได้ยินเข้า ก็โยนกระดาษในมือลงไปในถังขยะ

รูปร่างภายนอกของเขาที่แตกต่างจากคนอื่น อีกทั้งชุดสูท เมื่ออยู่ในกลุ่มนักเรียนนักศึกษานักแล้ว เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความมีเสน่ห์และความเป็นผู้ใหญ่ เมื่อนั่งลงได้ไม่นาน ก็มีผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่แอบมองเขา

มีผู้หญิงที่ใจกล้าหนึ่งคน ที่คิดว่าตัวเองสวย นึกไม่ถึงว่าจะเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่มีความเคารพ“ขออนุญาตเรียนถาม คุณคือประธานเย่แห่งเย่ฮวางกรุ๊ปไหม?”

เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้ารับด้วยความเย็นชา

“สวัสดีค่ะ ตอนคุณมาที่มหาลัยของเราฉันเคยเห็นหน้าคุณ ฉันกำลังจะเรียนจบแล้ว อยากจะเรียนถามว่าปีนี้บริษัทของคุณจะมาประกาศรับสมัครงานที่มหาลัยของพวกเราหรือเปล่า”

“เรื่องนี้มีคนรับผิดชอบ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉัน”เย่ฉ่าวเฉินตอบกับอย่างเมินเฉย

ผู้หญิงคนนั้นแสดงทีท่าไม่พอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด เอวคอดๆ หน้าอกที่โชว์ผิวขาวราวกับหิมะและเสียงที่ดัดในลำคอให้อ่อนหวานพูดขึ้นว่า“งั้นพอที่จะให้เบอร์โทรของคุณกับฉันได้ไหม ?เมื่อถึงตอนนั้นฉันมีเรื่องที่จะต้องถามคุณ”

เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะอย่างเย็นชา ผู้หญิงที่มีท่าทางแบบนี้เขาเคยเจอมาหลายต่อหลายคนแล้ว

“ท่านที่นั่งอยู่ตรงข้ามคือภรรยาของฉัน ลองถามเธอดูสิว่าเธอยินยอมหรือเปล่า?”

ผู้หญิงคนนั้นถึงกับตกตะลึงไปสักพัก เธอคิดว่ามู่เวยเวยเป็นเพียงเพื่อนทั่วไปของเขา ไม่คิดว่าจะเป็นภรรยาของเขาได้

หน้าของเธอเริ่มแดงขึ้นมา ตาของเธอก็ยิ้มให้กับมู่เวยเวยด้วยความอับอายพร้อมกับรีบพูดขึ้นมาว่า“ขอโทษค่ะ”จากนั้นก็รีบเดินออกไป

มู่เวยเวยเอาตะเกียบที่อยู่ในมือชนกันพร้อมกับเลิกคิ้วหัวเราะและพูดขึ้นว่า“เด็กคนนี้หน้าตาไม่เลวนะ ทำไมไม่ให้เธอไปล่ะ?”

เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยเหตุผลว่า“ฉันเลือกคน ชอบแค่สิ่งที่เลี้ยงไว้ในบ้าน สิ่งที่เกิดตามสภาพแวดล้อมแบบนี้ฉันไม่ชอบ”

เวียนหัว……

หลังจากที่ก๋วยเตี๋ยวขึ้นโต๊ะ มู่เวยเวยก็ไม่ได้สนใจเขาแล้ว เอาแต่ก้มหน้าก้มตากิน ส่วนเย่ฉ่าวเฉินทานเพียงแค่สองคำก็วางตะเกียบลงแล้ว เมื่อเห็นว่ามู่เวยเวยที่เลือกกินเฉพาะผักในถ้วย เขาก็คีบเอาผักทั้งหมดที่อยู่ในถ้วยของตัวเองไปให้มู่เวยเวยกิน

เมื่อเจออาหารอร่อยๆมู่เวยเวยก็กินไม่หยุด ใม่ต้องเดาเลยว่าเธอคิดถึงอาหารของที่นี่มากแค่ไหน

หน้าผากที่มีเหงื่อซึมออกมา เมื่อกระทบกับแสงไฟจะเป็นประกายขึ้น เย่ฉ่าวเฉินยื่นมือออกไปใช้กระดาษซับเหงื่อให้กับเธอ

“เย่ฉ่าวเฉิน ฉันกำลังกินอย่างมีความสุขอย่ามากวน”มู่เวยเวย เขม่นตาและเตือนเขา

เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองไปที่เธอ ทันทีที่มู่เวยเวยลุกขึ้นคางของเธอได้ไปเกี่ยวกับโต๊ะ เย่ฉ่าวเฉินจูบลงไปที่ริบฝีปากของเธอหนึ่งครั้ง

คนที่อยู่รอบๆข้างโฮ่ร้องด้วยความตื่นเต้น……

“ว้าว โรแมนติกจัง”

มู่เวยเวยเกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นภายใจในอย่างบอกไม่ถูก โรแมนติกบ้าบออะไร อารมณ์ทานอาหารอร่อยๆของเธอถูกทำลายลงจนหมด

“คุณเป็นบ้าไปแล้วหรือยังไง?”มู่เวยเวยจ้องเขาด้วยความโมโห

เย่ฉ่าวเฉินเลียที่ริมฝีปากของเขาและพูดว่า“ฉันอารมณ์ไม่ดีแล้วเธอจะอารมณ์ดีคนเดียวได้ยังไง?”

“เจ้าของร้าน เช็คบิล”มู่เวยเวยตะโกนเรียกเสียงดัง ถ้าไม่ไปตอนนี้ หรืออยากจะเป็นของแปลกที่ให้คนมามุงดู?

เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วและฉีกยิ้มเล็กน้อย เขารีบล่วงเงินออกมาจากกระเป๋าและวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็รีบเดินตามเธอออกไป

นิสัยของผู้หญิงชอบมีอารมณ์โกรธขึ้นมาง่ายๆ

เมื่อออกมาจากร้านก๋วยเตี๋ยว มู่เวยเวยก็เดินหายเข้าไปในกลุ่มของนักเรียนนักศึกษา เย่ฉ่าวเฉินตามหาตัวเธอในบริเวณใกล้ๆอย่างร้อนใจ เมื่อมาถึงร้านปิ้งย่างข้างทาง เขามองเห็นเธอแวบๆอยู่ทางด้านหน้า

“เอาไม่เผ็ด เอาไม่เผ็ด ใส่เครื่องเทศเยอะๆ……..”มู่เวยเวยพูด

เย่ฉ่าวเฉินเบิกตาขึ้นมองดูไส้กรอกย่างที่ถูกย่างจนดำเกรียม

ขณะที่มู่เวยเวยกำลังมองไปที่ของกินเล่นอันแสนอร่อยของเธออย่างใจจดใจจ่ออยู่นั้น ก็ถูกใครคนหนึ่งจับเข้ามาที่ข้อมือของเธอ เธอหันกลับมามองเพราะสัมผัสมือของเขาเป็นสัมผัสที่คุ้นเคย

ขณะที่เตรียมจะจ่ายเงินให้กับเจ้าของร้าน มู่เวยเวยที่ถือไส้กรอกย่างเป่าไปสองสามทีจากนั้นก็กัดเข้าไป

อา อร่อยมากเลย

เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ไส้กรอกย่างไม้นั้นที่ค่อยๆเข้าออกจากปากของเธอ ทำให้ส่วนข้างล่างของเขาเกิดมีความรู้สึกขึ้น เขาจับมือของเธอแน่นขึ้นเรื่อยๆ

“เย่ฉ่าวเฉิน ฉันเจ็บนะ”มู่เวยเวยไม่พอใจและต่อต้าน

เย่ฉ่าวเฉินหายใจถี่ขึ้นพร้อมกับลากเธอเดินไปที่รถอย่างรวดเร็ว

ยัยปีศาจนี่ เกือบจะทำให้ทรมานจนตาย หลายวันมานี้เพื่อเป็นการรักษาน้ำใจของเธอเขาไม่กล้าทำให้เธอไม่สบายใจ เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้แตะเธอแม้แต่น้อย เพียงแค่ห่มผ้าให้เธอ จากนั้นเขาก็นอน แต่ตอนนี้เขาทนไม่ไหวแล้ว

“นี่ คุณเดินช้าๆหน่อยจะได้ไหม”

แขนของมู่เวยเวยเกือบจะเคล็ด ไส้กรอกย่างที่กินเหลือในมือก็ไม่รู้ว่าหล่นไปตรงไหน

พอมาถึงข้างรถ เย่ฉ่าวเฉินเปิดประตูตอนหลังของรถ ผลักเธอเข้าไป ยังไม่ทันได้รอให้มู่เวยเวยตั้งตัว เขาก็กดเธอลงไป

“ เย่ฉ่าวเฉิน……นาย……”

เย่ฉ่าวเฉินใช้แรงจูบไปที่ริมฝีปากของเธอ

มู่เวยเวยที่ถูกเขาจูบเข้าอย่างกะทันหันถึงกับช็อตไปสักพัก เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ?นึกไม่ถึงว่าจะทำให้เขารีบร้อนได้ถึงขนาดนี้

ในรถมีพื้นที่ทั้งแคบและเป็นพื้นที่ปิด ข้างนอกมีกลุ่มคนสัญจรไปมา มู่เวยเวยรู้ว่าสายตาของคนด้านนอกมองเข้ามาด้านในไม่ได้ แต่ว่าเธอก็ยังมีความรู้สึกตื่นเต้นอยู่

“เด็กดี ทำตัวสบายๆ……”เย่ฉ่าวเฉินที่ไม่ได้สติ

มู่เวยเวยผลักเขาออกไป

“ที่คุณ……ออกไป……”

เวลาแบบนี้เย่ฉ่าวเฉินหรือจะได้ยินเสียงของเธอ ทันใดนั้น……

มู่เวยเวยรับไม่ได้กับความรู้สึกแบบนี้ และทนไม่ไหวส่งเสียงออกไปว่า……

“เย่ฉ่าวเฉิน……หยุดนะ……นี่มันอยู่ข้างนอก……

บางทีก็อาจเป็นเพราะเปลี่ยนบรรยากาศ เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกตื้นเต้นเร้าใจ เหตุการณ์บนรถจบลง เย่ฉ่าวเฉินรีบขับรถกลับคฤหาสน์ คืนนี้มู่เวยเวยไม่ได้ลงจากเตียงเลยแม้แต่น้อย

“เย่ฉ่าวเฉิน……พรุ่งนี้ยังต้องไปปีนเขา……”มู่เวยเวยพูดเสียงแหบๆ

“เธอนอนบนรถก็ได้ มะรืนถึงจะปีเขา”เย่ฉ่าวเฉินที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยยังอยากจะควบม้าต่อไป ราวกับว่าเขาต้องการรวบรวมบัญชีของช่วงก่อนหน้านี้ส่งคืนให้กับเธอ

นอกหน้าต่างอันมืดสนิท พระจันทร์ที่เขินอายหลบเข้าไปที่ด้านหลังของก้อนเมฆ

……

วันที่สอง มู่เวยเวยถูกเย่ฉ่าวเฉินลากขึ้นจากเตียง เธอล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าและรองเท้าอย่างมึนงง ลากขาที่มีอาการปวดของธอขึ้นรถ แม้แต่อาหารเช้าก็ไม่ทันได้ทาน

รถบัสคือรถที่ใช้ในการเดินทาง ตอนที่เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยมาถึง รถบัสทั้งสองคันล้วนรอพวกเขาทั้งสองคนอย่างสงบ

มู่เวยเวยดูไม่มีชีวิตชีวาเลยแม้แต่น้อย ขี้เกียจแม้แต่จะฉีกยิ้ม เมื่อขึ้นมาบนรถทันทีที่เธอมองเห็นที่นั่งที่ว่างเธอก็เอาหัวมุดเข้าไปและนอนต่อ เย่ฉ่าวเฉินอดที่จะหัวเราะเธอไม่ได้

เขาเข้ามานั่งที่ด้านข้างของเธอ จับหัวของเธอมาว่างไว้ที่ไหลของเขา

เลขาหลิวเห็นว่าคนมาครบแล้ว เธอจึงพูดขึ้นว่า“ออกเดินทางได้”รถบัสสองคันค่อยๆเคลื่อนที่และมุ่งหน้าสู่ที่หมาย

รถบัสใช้เวลาขับอยู่บนถนนสองชั่วโมงกว่า มู่เวยเวยยิ่งหลับยิ่งลึก สุดท้ายเธอก็หลับอยู่ในอ้อมกอดของเย่ฉ่าวเฉิน

นิ้วมือของเขาสางไปที่ผมยาวเส้นเล็กๆที่สีดำสนิทของเธอ มันพันที่ละน้อยๆที่ปลายนิ้วของเขา และแน่นอนว่ามันได้เข้าไปพันที่หัวใจของเขาอีกด้วย

หยุดไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะหยุดยังไง

มู่เวยเวย ในเมื่อฉันได้เข้าใจในหัวใจของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว ชาตินี้ฉันคงจะปล่อยเธอไปไม่ได้

เมื่อถึงที่พัก เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่ได้ปลุกให้เธอให้ตื่น อีกทั้งยังอุ้มที่เอวของเธอและพาเธอขึ้นไปพักในห้องที่ใหญ่ที่สุดที่ถูดจัดเตรียมไว้แล้ว

ท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมงานที่ตาลุกเป็นไฟ ตอนอยู่ที่บริษัทก็ว่าหวานแล้ว แต่ออกมาข้างนอกยิ่งหวานไปกว่าเดิมซะอีก ทำเอาเพื่อนร่วมงานสาวๆถึงกับอกจะระเบิดกันเลยใช่ไหม?

“คุณบอกให้ทุกคนจัดการทำอะไรตามใจได้เลย และต้องระวังความปลอดภัยไว้ด้วย ไม่ต้องสนใจพวกเรา ”เย่ฉ่าวเฉินพูดกับเลขาหลิวก่อนที่เขาจะเข้าห้องไป

เขาวางมู่เวยเวยลงบนเตียงเบาเบา ถอดรองเท้าและเสื้อโค้ชให้กับเธอ จากนั้นเย่ฉ่าวเฉินก็ขึ้นไปบนเตียงพร้อมเอาเธอมากอดไว้ในอ้อมแขนและเขาหลับไป

พอดิบพอดีกับที่เมื่อวานตอนเย็นเขานอนไม่พอ

แม้ว่าตอนนี้ด้านนอกจะมีน้ำใสสวยงาม ทิวทัศน์ไกลสุดลูกหูลูกตา เขาก็ต้องการเพียงแค่ฉากที่สวยงามแบบนี้ ได้นอนเป็นเพื่อนกับเธออยู่ที่นี่ราวกับว่าได้เข้าไปอยู่ในความฝัน

การนอนหลับครั้งนี้ มู่เวยเวยที่นอนจนถึงตอนหัวค่ำและพึ่งจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ตอนที่ลืมตาตื่น เธอเสียความทรงจำไปชั่วขณะ เธอเป็นใคร? เธออยู่ที่ไหน?

“ตื่นแล้วหรอ?”

บางครั้งอาจเป็นเพราะว่าเธอนอนนานเกินไป เสียงต่ำที่ออกมาจากลำคอของเย่ฉ่าวเฉินที่ปนกับความขี้เกียจเล็กน้อย มันมีเสน่ห์และบาดใจคนที่ได้ฟังมาก

มู่เวยเวยขยี้ตาหลายครั้ง สุดท้ายก็นึกขึ้นได้ว่าที่นี่คือที่ไหน

“กี่โมงแล้ว?”เสียงของเธอดูแห้งๆนั่นเป็นเพราะว่าขาดน้ำเป็นเวลานาน

เย่ฉ่าวเฉินเดินอ้อมเตียงไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู“ห้าโมงเย็นแล้ว”

“เย็นแล้วหรอ?”มู่เวยเวยไม่อยากจะเชื่อว่าเธอจะนอนไปนานขนาดนี้

“ใช่สิ ฉันปลุกก็ปลุกไม่ตื่น”ตอนสองสามโมง เย่ฉ่าวเฉินกลัวว่าเธอจะนอนนานเกินไปตอนเย็นจะนอนไม่หลับ จึงตบเบาเบาไปที่หน้าของเธอและเรียกเธอตั้งหลายครั้ง แต่เธอก็หมุนตัวหนี และงัวเงียพูดออกมาประโยคเดียวว่า“ง่วง ขอนอนสักพัก”

จากนั้นเขาก็ปล่อยให้เธอนอนจนถึงตอนนี้ กระทั่งถึงตอนเย็น หากว่าเธอนอนไม่หลับจริงๆ เขาก็ไม่ถือแถมยังจะช่วยให้เธอนอนหลับได้อย่างสบายอีกด้วย

มู่เวยเวยบิดขี้เกียจไปมาอยู่ในผ้าห่ม ไม่มีแม้แต่แรงที่จะปีนขึ้นมาพิงกับหัวเตียงเพื่อพักสายตา

ในอากาศที่ถูกลมพัดมาบ้างก็ได้กลิ่นบางก็ไม่ได้กลิ่นหอมๆของบาร์บีคิว เธออดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงไป ตลอดทั้งวันแม้แต่น้ำเพียงหยดเดียวเธอก็ยังไม่ได้ดื่ม ตอนนี้เธอหิวแทบจะขาดใจแล้ว

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset