กรอบรูปที่ถูกหยิบมาจากบนโต๊ะ เขาใช้ปลายนิ้วมือเช็ดมันอย่างสะอาดหมดจด รอยยิ้มของพ่อกับแม่สมัยยังเป็นหนุ่มสาว จากนั้นก็ตัวเองตอนที่เรียนมัธยมปลายและมู่เวยเวยถักผมเปียที่พึ่งจะเขาเรียนมัธยมต้น
เขายังจำได้อีกว่าตอนนั้นเป็นตอนที่เขาอยู่มัธยมปลายปีที่สอง ในครั้งนั้นเขาสอบได้ที่หนึ่งของชั้นปี พ่อของเขาจึงซื้อกล้องถ่ายรูปตัวนี้ให้เพื่อเป็นรางวัล ลองทำดูอยู่ตั้งนานถึงได้ใช้กล้องจับเวลาถ่ายรูปเป็น เขารู้สึกทั้งดีใจและตื่นเต้นจึงไปลากเอาพ่อ แม่ และน้องเข้ามาถ่ายภาพภาพนี้
ตอนนี้หวนคิดกลับไปถึงครั้งก่อน ราวกับว่าเรื่องนี้พึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวาน
ยิ่งได้หยิบเอาแฟ้มภาพหนาๆออกมาเปิดดู ความทรงจำของภาพที่อยู่ตรงหน้าก็ไหลทะลักออกมาไม่หยุด ด้านในทั้งหมดคือรูปภาพตั้งแต่เล็กจนโตของเขากับมู่เวยเวย ทุกครั้งที่ออกไปเที่ยว วันเกิดในทุกๆปี ยังมีวันที่ไปเรียนตามปกติหรือหยอกล้อเล่นสนุกกัน
เด็กผู้หญิงในรูปถ่ายรอยยิ้มของเธอชั่งน่ารักจริงๆ มองดูใบหน้าที่มีรอยยิ้มของเธอ มู่เทียนเย่ก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้
เวยเวย รอพี่นะ พี่จะรีบพาเธอกลับมา
มู่เทียนเย่เดินออกจากประตูห้องเล็กๆและรีบเดินลงไปที่ชั้นล่างพร้อมกับตะโกนเรียก “ลุงกัว คุณขึ้นมานี้หน่อย”
ลุงกัวไม่ชักช้า วิ่งตั้งหน้าขึ้นมาที่ชั้นสามและถามด้วยเคารพว่า“คุณชายมีเรื่องอะไรที่ต้องการจะสั่ง?”
มู่เทียนเย่ชี้นิ้วไปที่ของที่อยู่ด้านในและพูดขึ้นว่า“หากล่องสักสองสามใบ เอาของที่อยู่ด้านในนี้ห่อลงกล่อง อย่าให้เสียงหายแม้แต่ชิ้นเดียว”
“ครับ คุณชาย ผมจะไปจัดการตอนนี้เลย”
……
มู่จางรุ่ยวิ่งด้วยความรีบร้อนเข้ามาในคฤหาสน์ ยังไม่ทันได้จัดเนคไทที่เอียงไปมา เขามองเห็นภรรยาและลูกสาวนั่งขดตัวอยู่ให้โถง รวมทั้งชายที่นั่งทำตัวสบายๆอยู่บนโซฟา เห็นแบบนั้นแล้วก็ทำให้จุดไท่หย่างที่อยู่บริเวณด้านข้างขมับของเขาเต้นตุบๆขึ้นมาทันที
มู่จางรุ่ยทำหน้าประจบสอพอและรีบเดินเข้าไปตรงหน้าของมู่เทียนเย่พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความห่วงเป็นใยว่า“เทียนเย่ กลับมาแล้วหรอ”
มู่เทียนเย่ใช้หางตามองคุณลุงที่อ้วนขึ้นมานิดหน่อยอย่างไม่ลดละพร้อมกับหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย “คุณลุง ไม่ได้เจอกับตั้งปีกว่าๆ คุณดูอ้วนขึ้นหรือเปล่า”
มู่จางรุ่ยเสแสร้งพูดด้วยความทุกข์ใจว่า“อ๋อ เพื่อธุรกิจของบริษัท ต้องไปเข้าร่วมงานสังคมเกือบทุกวัน มันก็เลยเป็นแบบนี้ไง”
“อย่างนั้นผมคงต้องขอบคุณคุณลุงที่คอยดูแลบริษัทมู่ซื่อของกระกูลมู่แทนผมด้วย?”
มู่จางรุ่ยครุ่นคิดอยู่สักพัก“แทนเขา”ดูแลบริษัทมู่ซื่อของตระกูลมู่?ไอ้เด็กคนนี้พึ่งจะกลับมาก็คิดที่จะเอาบริษัทไปแล้ว?อะไรมันจะง่ายปานนั้น?
“เป็นคนครอบครัวเดียวกัน จะพูดขอบคุณอะไรกัน นี่เป็นเรื่องที่ฉันควรทำ”
มู่เทียนเย่เป็นคนฉลาด ความคิดที่อยู่ในสมองของมู่จางรุ่ยนั้นเขาเข้าใจดี หลังจากที่เขาได้หลอกเอาบริษัทมู่ซื่อของตระกูลมู่จากมู่เวยเวยไป ผลประกอบการของบริษัทนับวันยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ อันที่จริงแล้วเขาตักตวงผลประโยชน์เข้ากระเป๋าของตัวเองไม่น้อย เพียงแค่บ้านช่องที่อาศัยพื้นที่ก็ไม่ตำกว่าห้าห้อง เงินพวกนี่จะมาจากที่ไหน?ไม่ว่าเขาจะกินมันเข้าไปยังไง ก็ต้องให้เขาคายมันออกมาอย่างนั้น
“คุณลุงก็พูดแล้วว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน งั้นคุณลุงก็เซ็นชื่อในสัญญาฉบับนี้ซะ”ขณะที่พูดก็มีบอดี้การ์ดเดินเข้ามาส่งสัญญาฉบับนี้ให้กับมือของมู่จางรุ่ย
จิ้งจอกเฒ่ามู่จางรุ่ยเปิดอ่านดูเนื้อหาที่อยู่ด้านในเพียงไม่ถึงหนึ่งนาที ก็เกิดความโหโมและโยนสัญญาฉบับนั้นลงบนโต๊ะ ใบหน้าที่แท้จริงถูกเผยออกมา“มู่เทียนเย่ นี่แกหมายความว่ายังไง?”
มู่เทียงเย่ใช้สายตาที่เย็นชามองไปที่เขา “ความหมายก็อย่างที่ในนั้นเขียน ของที่เป็นของคุณผมไม่ต้องการ แต่ที่ไม่ใช่ของของคุณ เงินบาทเดียวคุณก็อย่าคิดแม้แต่ที่จะแตะ”
“มู่เทียนเย่ ไม่ว่าจะยังไงฉันก็เป็นลุงของแกนะ แกทำไมถึงได้พูดกับฉันแบบนี้”มู่จางรุ่ยโกรธมาก สัญญาฉบับนี้คือสัญญาถ่ายโอนทรัพย์สิน รวมถึงสมบัติและหุ้นที่เขาขโมยมาจากตระกูลมู่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านที่อยู่อาศัยหรือรถหรู ถ้าหากว่าทำการเซ็นชื่อแล้ว ก็เท่ากับว่าฐานะของเขาก็จะกลับไม่เป็นเหมือนกับหนึ่งปีที่แล้ว หรืออาจจะไม่เท่าก็ได้ จากคนจนให้ใช้ชีวิตแบบคนรวยมันง่าย แต่จากคนรวยให้ใช้ชีวิตแบบคนจนนี่สิมันยาก เขาคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่หรูหรามาแล้ว จะให้ไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมทั่วไป เขาจะยอมได้ยังไง?
ได้ยินคำว่า“คุณลุง”สองคำ ความโกรธของมู่เทียนเย่ก็ประทุขึ้นมา “คุณลุง?ตอนนี้คุณพึ่งจะนึกขึ้นได้หรอว่าเป็นลุงของผม ?ตอนที่คุณทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและส่งมู่เวยเวยไปแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉินในคราวนั้น ยังจำได้ไหมว่าตัวเองเป็นลุงของเธอ?”
สีหน้าของมู่จางรุ่ยเริ่มแสดงออกถึงความอึดอัดและพูดด้วยความจ้าเล่ห์ว่า“ตอนนั้นบริษัทกำลังลำบากหาทางออกไม่ได้ ที่มู่เวยเวยแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉินนั้นก็เป็นเพราะว่าเธอเต็มใจ แกทำไมถึงได้มาโทษที่ฉัน?”
“ถ้าไม่ใช่ว่าพวกคุณหลอกเธอบีบบังคับเธอ เธอที่เป็นนักศึกษาเรียนมหาวิทยาลัยมีอนาคตที่ดี ทำไมถึงได้คิดที่จะแต่งงานล่ะ?”
มู่จางรุ่ยรู้ว่าในตอนนี้เด็กผู้ชายคนนี้ไม่สามรถยั่วยุให้เขาโมโหได้และเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่คู่ควรของมู่เทียนเย่ จึงทำได้เพียงถอยหลังหนึ่งก้าว“เทียนเย่ มีเรื่องอะไรพวกเราค่อยๆคุยกันดีไหม แกพึ่งเข้าประตูมาถึงก็จะให้ฉันเซ็นสัญญาอะไรนี่มันดูไม่ค่อยรักษาน้ำใจกันเลย ถ้าพูดกันแล้วบริษัทมู่ซื่อก็มีหุ้นที่เป็นส่วนของพวกฉันอยู่ส่วนหนึ่ง”
“คุณลุง คุณดูให้ดีๆ ที่ผมอยากให้คุณคายออกมานั่นคือในส่วนที่เคยเป็นของผมกับเวยเวยส่วนนั้นต่างหาก ในส่วนที่เป็นของครอบครัวคุณสักสลึงผมก็ไม่แตะ ส่วนทรัพย์สินที่เป็นบ้านพักอาศัยกับรถหรูที่เป็นชื่อของคุณ ของพวกนี้ก็ไม่ใช่ว่ายักยอกเอาเงินบริษัทมาใช้ซื้อหรอกหรอ”
ฟางซินยี่เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ของมู่เทียนเย่ ทันทีที่เธอรู้ว่าสัญญาฉบับที่มู่เทียนเย่ให้สามีเซ็นหมายความว่าอย่างไร เธอลืมแม้กระทั่งความกลัวและรีบพูดกับมู่จางรุ่ยว่า“จางรุ่ย คุณจะเช็นไม่ได้นะ ของพวกนี้มันคือของที่เป็นของของเรา จะให้คนอื่นไปได้ยังไง?”
มู่เทียนเย่เหลือบตาไปมองทางฟางซินยี่ พร้อมกับหัวเราะเลาะขึ้น“ป้าสะใภ้ ผมแนะนำว่าคุณควรจะลองคิดทบทวนฐานะของตัวเองดู หรือว่าคุณไม่รู้?คุณลุงท่านนี้ของผมเลี้ยงเด็กผู้หญิงนอกบ้านไว้จำนวนไม่น้อยเลย และมีเด็กสองที่อายุน้อยกว่าลูกสาวของคุณอีกนะ……”
“แกพูดเหลวไหล!”ฟางซินยี่ตัดบทพูดของเขา เธอมีทีท่าแสดงออกบิดเบือนความจริงเธอรู้ว่าสามีของเธออยู่ข้างนอกมีเจ้าชู้บ้าง แต่เธอก็เชื่อใจเขา สามีของเธอมู่จางรุ่ยคงไม่กล้าที่จะทำเรื่องไม่ดีกับเธอได้
มู่เทียนเย่ฮ่าฮ่าหัวเราะด้วยความสะใจ“ป้าสะใภ้ ผมพูดเหลวไหลหรือเปล่า คุณก็ลองถามสามีของคุณดูก็ได้ แต่ที่ผมรู้คือหนึ่งในนั้นตอนนี้กำลังตั้งครรภ์ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาคุณลุงของผมคิดอยากจะได้ลูกชายสักคนไม่ใช่หรอ?ไม่แน่หรอกว่าในท้องของผู้หญิงคนนั้นอาจเป็นเด็กผู้ชายก็ได้”
เมื่อมู่เทียนพูดประโยคนี้ มู่จางรุ่ยถึงกลับสีหน้าไม่ดี อีกทั้งฟางซินยี่ก็ยิ่งโมโหขึ้นไปอีก ผู้หญิงคนหนึ่งแม้ว่าจะมีความโลภในเรื่องเงินๆทองๆ แต่ก็เทียบไม่ได้กับเรื่องครอบครัวที่เธอต้องเป็นที่หนึ่งและหนึ่งเดียวเท่านั้น
มองเห็นสีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปของสามีเช่นนั้นแล้ว ฟางซินยี่รู้สึกเหมือนโดยคนตบไปที่หน้าแรงๆหนึ่งที เธอวิ่งเข้าไปจับที่คอเสื้อของมู่จางรุ่ย และตะโกนถามขึ้นว่า“ที่มู่เทียนเย่พูดเป็นเรื่องจริงไหม?มันเป็นความจริงหรือเปล่า?”
มู่จางรุ่ยกลืนน้ำลายลง
และพูดเอาใจภรรยาว่า“ซินยี่ เรื่องนี้ฉันจะเล่าให้เธอฟังวันหลังได้ไหม?”
มู่เทียนเย่พูดใส่ไฟต่อไปว่า“รอให้เด็กผู้ชายตัวน้อยๆคนนั้นเกิดขึ้นมาก่อนหรอ กลัวว่าสมบัติที่มันควรจะเป็นของคุณมันจะกลายเป็นของเขาไปหมดซะก่อน ป้าสะใภ้ คุณลำบากผ่านเรื่องสุข ทุกข์กับเขามาตั้งหลายปี สุดท้ายแล้วคุณได้อะไร?”
“มู่เทียนเย่ แกหุบปากเดี๋ยวนี้เลยนะ!”มู่จากรุ่ยที่กำลังโมโหจัดระเบิดอารมณ์ออกมา และพูดปลอบใจภรรยาต่อว่า“คุณอย่าไปฟังที่เขาพูดเหลวไหลนะ มันก็แค่ต้องการทำให้เราสามีภรรยาแตกคอกัน……”
“ผมแค่พูดเหลวไหลหรือว่าเป็นความจริง ป้าสะใภ้ คุณก็ลองดูเอาเองเถอะ”มู่เทียนเย่เอารูปภาพหลายๆรูปที่ซ้อนกันออกมาให้ฟางซินยี่ดู ฟางซินยี่ปล่อยมือออกจากคอเสื้อของมู่จางรุ่ยชั่วขณะ เธอค่อยๆดูที่รูปภาพใบแล้วใบเล่า ในภาพล้วนแต่เป็นภาพของมู่จางรุ่ยที่โอบผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าเข้าออกทั้งสถานที่เริงรมย์อันหรูหราและสถานที่เล็กๆทั่วไป ยังมีรูปอีกสองสามใบเป็นรูปที่มู่จางรุ่ยประคองผู้หญิงคนหนึ่งไปที่โรงพยาบาล มองเห็นได้ชัดเจนว่าท้องของผู้หญิงคนนั้นมันโตมากแล้ว เดาได้ว่าคงจะตั้งครรภ์ได้ประมาณห้าถึงหกเดือน
ฟางซินยี่โกรธจนตัวสั่นไปหมด พร้อมกับโยนรูปภาพใส่หน้าของมู่จางรุ่ยดึงที่คอของเขาและตะโกนถามด้วยความโกรธว่า“คุณยังมีอะไรอยากจะแก้ตัว?คุณกำลังรอนางสารเลวคนนั้นคลอดเด็กออกมาและจะเฉดหัวฉันกับเหยาเหยาออกไปจากบ้านอย่างนั้นใช่ไหม?”
“มันจะเป็นไปได้ยังไง ซินยี่ ฉันรักเธอนะ ฉันจะทำแบบนั้นกับเธอได้ยังไง?”
ฟางซินยี่ที่มีความโกรธเข้าครอบงำ ใครพูดอะไรเธอก็ฟังไม่ได้ยินทั้งนั้น“ฉันรู้ดีว่าหลายปีมานี้ คุณรังเกลียดฉันที่ฉันมีลูกชายให้กับคุณไม่ได้ แต่ไม่คิดเลยว่า สันดานที่จริงของคุณตอนนี้มันจะออกมาแล้ว กระทั่งว่าหักหลังฉันโดยการให้ผู้หญิงคนอื่นมีลูกให้ มู่จางรุ่ย ถ้าไม่มีฟางซินยี่ฉันคนนี้ คุณจะมีวันนี้ไหม?ฉันจะบอกอะไรคุณให้นะ คุณเป็นคนบังคับฉันเอง ฉันจะพูดเรื่องที่สกปรกโสมมที่คุณทำลงไปทั้งหมดออกไป คุณทำให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ ฉันก็จะไม่ให้คุณมีชีวิตต่อไปเช่นกัน”
มู่เทียนเย่ที่นั่งอยู่บนโซฟามองทั้งสองคนพูดแขวะกันไปมาอย่างนิ่งสงบ อย่างไรก็ตามในมือของเขาก็ยังมีไพ่ที่ยังไม่ได้เปิดอีกหลายใบ เขาไม่กลัวหรอกว่ามู่จางรุ่ยจะไม่ยินยอมเซ็น ถ้าหากยังไม่ยอมละก็ในมือของเขาปืนอยู่อีก
“เพี้ย——”มู่จางรุ่ยตบไปที่ข้างหูของฟางซินยี่หนึ่งที“ใจเย็นๆก่อน!”
ฟางซินยี่กุมไปที่ใบหน้าของตัวเอง เธอรู้สึกตกใจพร้อมกับมองไปที่มู่จางรุ่ย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือผู้ชายที่เธอได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาถึงสามสิบปี มู่อี้เหยาเมื่อเห็นแม่ถูกตบก็รีบเขามาโอบที่ไหล่ของแม่พร้อมกับตะโกนต่อว่าพ่อ “พ่อมีสิทธิอะไรมาตบเธอ?พ่ออยู่ข้างนอกเลี้ยงเมียสามเมียสี่และลูกของพวกมัน ตอนนี้มีสิทธิอะไรที่จะมาตบตีแม่ของหนู ?”
“เหยาเหยา เรื่องในบ้านของพวกเรา รอวันหลังค่อยคุยกันดีไหม?”ลูกสาวคนนี้สำหรับมู่จางรุ่ยแล้วเป็นลูกที่เขารักใคร่เอ็นดูมาก ตั้งแต่เล็กจนโตก็เลี้ยงไว้อยู่ในกำมือ อยากได้อะไรก็ได้ ดังนั้นเธอจึงได้หยิ่งยโสแบบนี้
มู่อี้เหยาก็ไม่ใช่คนโง่อะไร จ้องมองพ่อด้วยความเกลียดชั่งพร้อมกับพยุงเอาแม่ที่กำลังเสียใจลุกขึ้นมานั่งที่ด้านข้าง
มู่จางรุ่ยเห็นอย่างนั้นแล้วก็ค่อยๆถอนหายใจออกมา จากนั้นเขาได้หันไปมองมู่เทียนเย่ที่กำลังนั่งดูละครฉากนี้อยู่พร้อมกับพูดขึ้นว่า“ไม่ว่ายังไงฉันก็จะไม่เซ็นมัน แกถอดใจไปซะเถอะ”
มู่เทียนเย่ที่มีสีหน้าไม่เปลี่ยน“คุณลุง ผมอยากจะเตือนอะไรคุณหน่อย วันที่สิบเจ็ดเดือนสี่ เพื่อที่ดินในเขตเฉิงซีพื้นนั้นคุณจ่ายเงินให้กับคนที่นั้นไปแล้วสิบห้าล้าน วันที่ยี่สิบห้าเดือนห้าเพื่อทำการปิดปากใครคนหนึ่ง คุณเอาลูกชายของคนที่เขาไม่เห็นด้วยไปไหนแล้วล่ะ ?เรียกค่าไถ่หรือว่าฆ่าตายแล้ว?ยังมีอีก……”
“หุบปาก!แกหุบปากเดี๋ยวนี้!”สีหน้าของมู่จางรุ่ยซีดขาวไปหมด“เรื่องที่แกพูดมาแกมีหลักฐานไหม?”เห็นได้ชัดว่าเรื่องพวกนี้เขาได้การอย่างลับๆ แล้วทำไมมู่เทียนเย่กลับรู้เรื่องพวกนี้ได้ชัดเจนขนาดนี้?
“คุณลุง คนทำเรื่องไม่ดีต่อให้กำจัดหลักฐานไปจนหมดยังไงซะมันก็ต้องมีคนรู้จนได้ คุณคิดว่าผมมู่เทียนเย่คนนี้จะไม่มีพักพวกที่พึ่งพาได้หรือยังไง?”มู่เทียนเย่ล้วงเอาปากกาหนึ่งด้ามออกมาจากกระเป๋าและวางลงตรงหน้าของเขา“ผมแนะนำว่าให้คุณเซ็นสัญญาจะดีกว่า วิธีนี้ แม้ว่าเงินมันจะลดลงแต่ก็ยังใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไปได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว เรื่องพวกนั้นที่คุณลุงทำ ไม่ว่าจะเอาเรื่องไหนขึ้นมาพิจารณาก็คงไม่พ้นต้องอยู่ในคุกไปพักหนึ่ง”
มู่จางรุ่ย——
ที่นั่งอยู่บนโซฟานิ่งเงียบไม่พูดไม่จา สีหน้าดูซึมเศร้าไร้ชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด
“คุณลุง ตอนนี้ผมยังคงเรียกคุณว่าคุณลุง เพราะเห็นว่าคุณเป็นพี่ชายแท้ๆของพ่อผม ดังนั้น คุณอย่าบังคับผมทำอย่างไม่ให้เกียรติคุณเลย”มู่เทียนเย่ขู่เขาต่อ
มู่จางรุ่นคิดทบทวนอยู่นาน สุดท้ายเสียงของเขาก็อ่อนลง“เทียนเย่ สัญญาฉบับนี้ฉันเซ็นให้ก็ได้ แต่ฉันมีเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอ นายสามารถให้ฉันดำรงตำแหน่งในบริษัทต่อไปได้ไหม”
“ไม่ได้ ”มู่เทียนเย่ปฏิเสธออกมาทันทีโดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย“ผมจะเชิญผู้ที่มีความชำนาญเข้ามาจัดการดูแลบริษัทเอง ส่วนคุณ ผมจะเหลือหุ้นไว้เล็กๆน้อยๆให้กับคุณ คุณแค่มีเงินปันผลของบริษัทในทุกๆปีก็น่าจะอยู่ได้ ถ้าหากบริษัทของตระกูลไม่ล้มก่อนล่ะก็ คุณลุงกับป้าสะใภ้ก็อยู่จนแก่ได้อย่างไม่มีปัญหา”
สุดท้ายแล้วมู่จางรุ่ยก็ไม่เหลือทางเดิน ท่าทางของเขาเหมือนก็คนที่ไร้วิญญาณ นั่งอ่อนปวกเปียกอยู่บนโซฟา ตาสองข้างดูมืดมน
“อยากจะติดคุกหรืออยากจะใช้ชีวิตที่สงบไปตลอด คุณก็เลือกเอา”
เขาพิจารณาอยู่นาน และแล้วมู่จางรุ่ยก็หยิบปากกาขึ้นมา
หากยังมีชีวิต ก็ยังมีความหวัง หากว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่ เขายังสามารถเอาของพวกนี้กลับมาใหม่ได้ แต่ถ้าเขาเข้าคุกไปแล้ว ต่อไปคิดจะทำการใดๆก็ทำไม่ได้
“คุณพ่อ หรือว่าพ่ออยากให้พวกเราต้องกลับไปอยู่ในห้องเล็กๆแบบนั้นจริง?หนูไม่ต้องการ”มู่อี้เหยาแสดงอารมณ์บ้าคลั่งออกมา หากว่าต้องสูญเสียทรัพย์และเงินทอง งั้นเธอจะเอาเงินที่ไหนไม่เสื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับสวยๆล่ะ?และจะเข้าร่วมงานสังคมของคนชั้นสูงในเมืองAได้ยังไง?
มู่จางรุ่ยมีแววตาที่ดุดันขึ้น“หรือว่าแกอยากให้คนแก่อย่างฉันติดคุก?”
มู่อี้เหยาตะลึงในสิ่งที่เขาพูด รีบหดหัวเข้ามาและไม่กล้าที่จะพูดต่อ แต่ไหนแต่ไรมามู่จางรุ่ยไม่เคยทำแบบนี้กับเธอ
มู่จางรุ่ยเซ็นชื่อลงในสัญญาด้วยความจำใจและโมโห เมื่อเซ็นเสร็จเขาโยนลงบนโต๊ะและพิงไปที่ด้านหลังของโซฟาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เสร็จแล้ว ตอนนี้แกคงจะพอใจแล้วใช่ไหม”
มู่เทียนเย่หยิบสัญญาขึ้นมาดูและส่งไปให้บอดี้การ์ด เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดว่า“เซ็นตั้งแต่แรกก็คงไม่เป็นแบบนี้?และผมคงจะไม่ต้องเอาเรื่องเลวๆที่คุณทำข้างนอกมาพูดแบบนี้”
มู่จางรุ่ยเบิกตาขึ้นมองเขาด้วยความแค้น
“พรุ่งนี้ทนายของผมจะมาคุยกับคุณลุงที่นี่ คุณลุงผมคิดว่าคุณต้องทำการเตรียมเอกสารทุกอย่างไว้ล่วงหน้า”มู่เทียนเย่ฉิกยิ้มเบาเบา จากนั้นเขาก็เดินไปดูรอบๆของคฤหาสน์หลังนี้“ผมให้เวลาพวกคุณสองวันในการย้ายของออกไป ที่นี่คือบ้านของผม เห็นมันเปลี่ยนไปแบบนี้แล้วรู้สึกทุกข์ใจจริงๆ ต่อไปผมจะไม่มีวันให้มันเละเทะไปกว่านี้แน่”
เดินออกไปทางด้านนอกได้เพียงไม่กี่ก้าว นึกขึ้นมาได้กะทันหัน จึงหันหลังกับมาและพูดกับฟางซินยี่ว่า“ป้าสะใภ้ ผมอยากจะเตือนคุณด้วยความหวังดีสักประโยค สามีของคุณอยู่ด้านนอกยังมีลูกสาวอีกหนึ่งคนที่พึ่งจะเกิด อาจเป็นเพราะว่าเขาอยากจะมีลูกชายมาก และยังไม่ค่อยพอใจ ดังนั้นจึงหาคนใหม่อีกคน”
“อา——มู่จางรุ่ย ผมจะเหยียบคุณให้จม——”
ฟางซินยี่หันกลับมาร้องกรี๊ดด้วยเสียงที่แสบแก้วหู มู่เทียนเย่เดินออกจากคฤหาสน์ไปด้วยความสบายใจ
เย่ฉ่าวเฉิน ตอนนี้ถึงตานายแล้ว
……
สองวันมานี้ เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยตัวติดกันตลอด นอกจากเข้าห้องน้ำ อาบน้ำถึงจะแยกกัน เวลานอกจากนั้นมู่เวยเวยเกือบจะไม่ได้ออกไปจากรัศมีสายตาของเขาเลย
แต่ว่าอย่างไรก็ตามเย่ฉ่าวเฉินยังอดที่จะเป็นห่วงเธอไม่ได้ กลัวว่าหากละสายตาไปแม้แต่นิดเดียว มู่เวยเวยก็จะถูกมู่เทียนเย่พาตัวไป อย่างไรเสีย มู่เทียนเย่ก็เป็นคนที่กล้าหาญคนหนึ่ง
ครั้งนี้ เดิมทีบริษัทเรียกประชุมคณะบริหารระดับสูง มู่เวยเวยยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วม แต่เป็นเพราะเธอถูกเย่ฉ่าวเฉินลากเข้ามาในห้องประชุมด้วย ทั้งยังได้นั่งข้างๆเขาอีก
“คุณไม่กลัวว่าฉันจะแอบฟังความลับของบริษัทคุณหรอ?”มู่เวยเวยได้ถามก่อนที่จะเข้าห้องประชุม
เย่ฉ่าวเฉินมีทีท่าไม่สนใจ“สมองไอคิวต่ำอย่างเธอถึงจะได้ฟังก็ไม่เข้าใจหรอก”
มู่เวยเวยกัดฟันด้วยความโมโห
ผู้บริหารระดับสูงที่มองเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ก็ก้มหัวลงเล็กน้อยและสบตากัน ประธานเย่กับภรรยาภรรยาตัวติดกันจริงๆ
มู่เวยเวยไม่ได้โกรธ เพียงแต่ทำเป็นเหมือนว่ามองไม่เห็นสายตาแปลกๆพวกนั้นที่มองมา และหันกลับมามีสติทำงานออกแบบตัวอย่างของตัวเองให้เสร็จ
การประชุมดำเนินผ่านไปได้ครึ่งหนึ่ง เดิมทีหูทั้งสองข้างของเธอก็ไม่ได้สนใจเสียงพูดใดๆเลย แต่เมื่อได้ยินคำว่า“บริษัทมู่ซื่อ”ปากกาที่อยู่ในมือของเธอก็ค่อยๆหยุดชะงักพร้อมกับหูผึ่งขึ้นมา
รองประธานบริษัทพูดขึ้นว่า“พวกเรากำลังทำการเสนอราคาที่ดินผืนนั้นอยู่ อันที่จริงชัยชนะกำลังจะมาอยู่ในมือของเราแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มู่ซื่อได้เข้ามาแทรกแซงอย่างกะทันหัน อีกทั้งใบประมูลราคาก็ยังทำออกมาได้ดีงามไม่ต่างกับของบริษัทเรา”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องไปที่มู่เวยเวยโดยไม่ขยับสายตา และถามรองประธานว่า“บริษัทมู่ซื่อที่ล้มระเนระนาดบริษัทนั้นมีศักยภาพอะไรที่ทำแบบนี้ได้”
รองประธานเหลือบไปมองทางมู่เวยเวย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะพูดต่อไปดีไหม
“ไม่เป็นไร พูดเถอะ”เย่ฉ่าวเฉินออกปากพูด
“เมื่อวานเราได้รับข่าวมาว่า คณะผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารของบริษัทข้ามชาติที่มีชื่อเสียงมากบริษัทหนึ่ง ได้เข้าไปทำงานในมู่ซื่อ ตอนนี้ระบบการจัดการ การควบคุมดูแลทั้งหมดของมู่ซื่อล้วนแล้วแต่อยู่ในหน้าที่การดูแลของบริษัทนี้ รวมทั้งใบประมูลราคาก็เป็นฝีมือของพวกเขาด้วย”
เย่ฉ่าวเฉินมีสีหน้าหนักใจขึ้น มู่เทียนเย่เป็นคนที่จัดการอะไรได้ไวเหมือนเดิม ข้อนี้ช่างน่านับถือจริงๆ จิ้งจอกเฒ่ามู่จางรุ่ยคนนั้นไม่นึกเลยว่าจะพลาดท่าให้กับเขาได้?
เมื่อมู่เวยเวยได้ยินเรื่องนี้เข้า ระหว่างคิ้วของเธอแสดงออกถึงความดีใจ เรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของพี่ชายแน่นๆ อย่างที่คิดเอาไว้เลยว่าพี่ชายทำอะไรก็ดีไปหมด
“มู่จางรุ่ยที่ทำหน้าที่ดูแลบริษัทคนก่อนล่ะ?”
“ได้ยินมาว่าถูกมู่เทียนเย่ไล่ออกจากบ้านไปแล้ว และไม่มีตำแหน่งหน้าที่อะไรเหลือในบริษัทเลย”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างเย็นชา มู่เทียนเย่ชั่งเป็นคนที่ไม่ไร้น้ำใจจริงๆ ตอนที่ตัวเองหายสาบสูญไป คนอื่นช่วยนายดูแลบริษัท พึ่งจะกลับมาได้ไม่นานก็ไล่เขาไปให้พ้นซะแล้ว
รองประธานมองเย่ฉ่าวเฉินที่ไม่พูดไม่จา พร้อมกับค่อยๆถามด้วยความระมัดระวังว่า“ประธานเย่ ตอนนี้พวกเราจะจัดการยังไง?”
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้ว “อะไรคือต้องจัดการยังไง?แน่นอนว่าต้องเอาพละกำลังทั้งหมดทำใบประมูลราคาของบริษัทเราให้ออกมาดีที่สุดโดยที่ต้องไม่ให้เจ้าของผู้ประกอบการหาข้อผิดพลาดได้แม้แต่นิดเดียว ศัตรูคู่ต่อสู่ที่เก่งกาจได้เผยตัวออกมาแล้ว ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งของบริษัทเรา จะว่าไปแล้ว กวางที่ตายจะตกไปอยู่ในกำมือของใครตอนนี้ยังตอบไม่ได้ หรือว่า?ยังไม่ทันได้เริ่มเปิดศึกต่อสู้คิดที่จะยอมแพ้แล้วอย่างนั้นหรอ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่”รองประธานยิ้มเขินๆไม่พูดไม่จา แอบตอบคำถามในใจว่า ตอนนี้คุณทำดีกับภรรยาของคุณมาก เกิดว่าคุณคิดจะเอาที่ดินผืนนี้ให้กับภรรยาของคุณล่ะ?เพราะฉะนั้นถามออกไปให้ชัดเจนจะเป็นการดีกว่า
จบการประชุม คณะบริหารชั้นสูงก็ออกไปกันจนหมด ใบหน้าของมู่เวยเวยยังเก็บเอาความดีใจและตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยความไม่สบายใจ“ได้ยินข่าวนี้ก็ดีใจงั้นหรอ?”
มู่เวยเวยตอบกับด้วยความมั่นใจ“ใช่สิ ดีใจมากๆด้วย บริษัทที่เป็นของตระกูลมู่ตอนนี้ได้กลับมาอยู่ในมือของพี่ชายแล้ว และทำไมฉันจะไม่ดีใจละ?”
เย่ฉ่าวเฉินมองหน้ามู่เวยเวยด้วยความเย็นชาและพูดเชอะออกมาครั้งหนึ่ง ก่อนที่เดินกลับไปที่ห้องประธาน
เขามีลางสังหรณ์ว่า หลังจากที่มู่เทียนเย่จัดการเรื่องครอบครัวของมู่จางรุ่ย มู่เทียนเย่ก็จะมาหาเขาเป็นคนต่อไป
ตอนที่ทานอาหารเย็น มู่เวยเวยรู้สึกว่าทานอาหารเข้าไปจำนวนมาก จึงออกมาเดินเล่นเพื่อเป็นการย่อยในสวนดอกไม้ กี่วันมานี้รู้สึกว่าทานอาหารได้ดีขึ้น ไม่ทันระวังก็จะทานลงไปมาก
ยังไม่ทันที่จะได้เดินกี่ก้าว เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เธอคุ้นเคยอยู่ทางด้านหลัง เธอแอบคร่ำครวญอยู่ในใจว่า หรือว่าจะไม่ให้เธออยู่สงบๆกับตัวเองสักพักบ้างเลยหรือยังไง?
“ฉันรู้สึกว่าหลายวันมานี้เธอทานอาหารได้ดีขึ้นเยอะเลยนะ ไม่นึกว่าตอนเย็นทานข้าวไปถึงสองถ้วย ”เย่ฉ่าวเฉินคุยกับเธอไปเรื่อยเปื่อย
มู่เวยเวยอ้าปากขึ้นพูดว่า“อารมณ์ดีกินอะไรก็อร่อยถึงได้กินได้เยอะไงล่ะ”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกว่า สิ่งที่เขาพูดทำให้ตัวเองถึงทางตัน รู้ทั้งรู้ว่าเธอไม่สามารถพูดเรื่องที่เขาอยากจะฟังได้ ยังจะปากหมาไปถามเธออีก อีกทั้งตั้งแต่ที่รู้ว่าตัวเองชอบเธอเข้าแล้ว ก็ปฏิบัติกับเธอดีในทุกๆเรื่องด้วยความอดทน และไม่กล้าที่จะทำเรื่องที่เป็นการทำให้เธอเสียใจออกมาเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งคำพูดรุนแรงก็ไม่มี
มู่เวยเวยก็รู้แก่ใจ ตอนนี้เธออยากพูดอะไรเธอก็สามารถพูดออกมาได้ และไม่ว่าเธอจะพูดอะไรเย่ฉ่าวเฉินก็ทำเป็นไม่ได้ยิน มากที่สุดก็ทำเพียงแค่จ้องไปที่เธอแต่ไม่พูดอะไร ไม่ทะเลาะกับเธอและก็ไม่ลงไม้ลงมือกับเธอ
ทุกครั้งที่มู่เวยเวยเห็นเขาโกรธโดนที่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับเธอดี มู่เวยเวยรู้สึกว่าได้ระบายความโกรธแค้นลงบ้าง
……
วันอาทิตย์สุดสัปดาห์
เป็นโอกาสที่หายากของเย่ฉ่าวเฉิน เขาใช้เวลาตกปลาในทะเสสาบข้างๆของคฤหาสน์ตกปลาไปพลาง อ่านหนังสือไปพลาง ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ไม่ทราบว่าคุณเป็นใคร?”เสียงที่เย็นชาเล็กน้อยของเย่ฉ่าวเฉิน และสายตาที่เคลื่อนออกจากหนังสือ
“เย่ฉ่าวเฉิน พวกเราออกมาเจอกันหน่อยไหม”มู่เทียนเย่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมา
เย่ฉ่าวเฉินยืดเอวให้ตรงขึ้น พร้อมกับแววตาที่ดูเคร่งขรึม“ที่ไหน?”
“หนึ่งชั่วโมงหลังจากนี้ เจอกันที่ยิมมวย LN”
“ได้ ”
หลังจากวางสาย เย่ฉ่าวเฉินก็มีสีหน้าครุ่นคิด มู่เทียนเย่นัดเขาที่สถานที่แบบนั้น หรือว่าคิดที่จะใช้กำลังเพื่อเป็นการตัดสินเรื่องนี้ ?แต่เขาไม่สนใจอะไรแล้ว เขาเรับมือได้
มีเพียงครั้งนี้ ที่ไม่สามารถจะพามู่เวยเวยออกไปกับเขาได้
“ลุงหวัง คุณผู้หญิงล่ะ?”เย่ฉ่าวเฉินที่กำลังเดินเข้าไปในคฤหาสน์ออกคำสั่งให้ลุงหวังจัดเตรียมรถไปพลาง ถามหามู่เวยเวยไปพลาง
ลุงหวางพูดด้วยความอ่อนโยนว่า“คุณผู้หญิงกำลังเรียนทำอาหารกับแม่บ้านฉินอยู่”
ได้ยินประโยคนี้แล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็ใจชื้นขึ้นมา เขายืนดูมู่เวยเวยอยู่ไม่ไกลจากห้องครัวและพูดกับพ่อบ้านหวังว่า “ฉันจะออกไปไม่กี่ชั่วโมง และตอนที่ฉันไม่อยู่ให้เพิ่มยามรักษาความปลอดภัยในคฤหาสน์ให้หนาแน่ขึ้น”
“ครับคุณชาย”
ยิมมวย LN เป็นสถานที่ที่อยู่บริเวณใจกลางเมือง จากคฤหาสน์ขับรถไปถึงถ้ารถไม่ติดต้องใช้เวลาประมาณสี่สิบนาที
ปอร์เช่คารเยนน์สีดำขับออกจากคฤหาสน์ เข้าสู่เส้นทางสัญจรหลัก จากนั้นก็มีรถลักษณะเดียวกัน ป้ายทะเบียนเดียวกันที่เป็นรถปอร์เช่คาเยนน์เลี้ยวเข้ามา ค่อยค่อยขับเข้ามาในถนนเส้นเดียวกับทางไปคฤหาสน์
ไม่กี่นาทีผ่านไป ยามรักษาความปลอดภัยได้มองเห็นรถของเจ้านายออกไปและกลับเข้ามา ในใจยังแอบสงสัยว่าเจ้านายลืมของอะไร?
ปอร์เช่คารเยนน์ขับเข้ามาที่โรงจอดรถอย่างราบรื่น และจอดรถอย่างสงบ มีคนคนหนึ่งลงมาจากรถ รูปร่างของเขาดูลึกลับพร้อมกับแสยะยิ้มที่มุมปาก ไม่ใช่มู่เทียนเย่แล้วจะเป็นใคร?
ไม่นาน เขาก็หายไปจากโรงรถ
ใครห้องครัว มู่เวยเวยเรียนทำผัดเส้น(จ๋าจางเมี่ยน)ตลอดเวลาช่วงเช้า และแล้วก็เป็นผลสำเร็จ น้ำซอสที่ตุ๋นออกมาข้นกำลังดี รสชาติก็ออกมาถูกต้องตรงตามแบบต้นฉบับ
เธอทำไมต้องการที่เรียนทำผัดเส้น(จ๋าจางเมี่ยน)ล่ะ?ง่ายมาก ก็เพราะว่ามู่เทียนเย่ชอบทาน
มู่เทียนเย่มีเวลาช่วงหนึ่งที่เขาเรียนหนังสืออยู่ในเมืองหลวง ตอนที่เรียนที่นั่นเขาก็รักในการกินผัดเส้น(จ๋าจางเมี่ยน)ที่เป็นของขึ้นชื่อของเมืองหลวง หลังจากกลับมาที่เมือง Aก็ได้ลองกินผัดเส้น(จ๋าจางเมี่ยน)แต่ยังไม่มีร้านไหนทำรสชาติออกมาได้เหมือนต้นฉบับ ทำให้เขากลุ้มใจขนาดที่ว่าอยากเป็ดร้านทำผัดเส้น(จ๋าจางเมี่ยน)ขึ้นเป็นของตัวเองสุดท้ายก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้แค่ฝืนทนกินแก้ขัดไปก่อน
ไม่กี่วันมานี้ได้ข่าวของพี่ชาย เธอจึงคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ฝีมือของแม่บ้านฉินก็เป็นคนทางตะวันออกเฉียงเหนือที่ทำผัดเส้น(จ๋าจางเมี่ยน)เป็น ประกอบกับเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ก็เลยเรียนสักหน่อย รอให้พี่ชายพาเธอออกไปจากที่นี่และเธอจะทำให้พี่ชายทาน
เธอบีบๆนวดๆที่ไหล่ที่เมื่อยของเธอ มู่เวยเวยขึ้นไปที่ชั้นบนจากนั้นก็กลับไปที่ห้อง เธอปิดประตูและยื่นเหม่ออยู่นิ่งๆกับที่
ข้างนอกหน้าต่าง มีชายคนหนึ่งที่กำลังหยิบรูปที่เธอเป็นคนออกแบบขึ้นมาดูอย่างตั้งใจ เมื่อได้ยินเสียง เขาก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกับรอยยิ้มอันอบอุ่นและพูดว่า“น้องเล็ก ถ้ามีเวลาออกแบบชุดให้พี่ชายสักชุดสิ”
ดวงตาของมูเวยเวยมีน้ำตาซึมออกมาทันที เสียงเธอก็เริ่มสั่น “เพียงแค่พี่ชอบ ไม่ว่าตอนไหนฉันก็สามารถทำให้พี่ได้”
“ฉันเป็นคนเรื่องมากนะ”เขาพูดอย่างยิ้มแย้ม
มู่เวยเวยอดไม่ได้ที่จะวิ่งเข้าไปในอ้อมอกของเขาและพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า“พี่ชาย สุดท้ายพี่ก็มาแล้ว ฉันรู้ ฉันรู้ว่าพี่ต้องไม่เป็นอะไรแน่ๆ พี่ต้องกลับมาหาฉันแน่นอน”
มู่เทียเย่ตบไปที่หลังของเธอเบาเบาพื่อเป็นการปลอบใจพร้อมพูดขึ้นว่า“เอาล่ะ เอาล่ะ โตขนาดนี้แล้วยังจะร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อีกหรอ?อย่าร้อง หยุดร้องได้แล้ว……เวยเวยทำไมถึงได้กลิ่นผัดเส้น(จ๋าจางเมี่ยน)ในตัวเธอล่ะ?หรือว่าฉันอยากกิน(จ๋าเจี้ยงเมี่ยน)ขึ้นมาแล้ว?”
สองคนพี่น้องอยู่ในบรรยากาศของความอบอุ่น มู่เวยเวยถูกคำพูดประโยคนี่ของมู่เทียนเย่ทำลายบรรยากาศอันอบอุ่นลง มู่เวยเวยหุบยิ้มลง ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากอ้อมอกของเขา เช็ดปาดน้ำตาเบาเบาและพูดขึ้นว่า“ฉันพึ่งกำลังเรียนทำผัดเส้น(จ๋าเจี้ยงเมี่ยน) ก็เป็นธรรมดาที่ในร่างกายต้องมีกลิ่นสิ”
มู่เทียนเย่รู้สึกปลื้มใจพร้อมพยักหน้าและแกล้งพูดเยาะเย้ยเธอว่า“เอ๋ ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยทำอาหารตอนนี้เริ่มลงครัวแล้ว?”
“พี่พึ่งจะกลับมาก็มาแกล้งเยาะเย้ยฉัน”มู่เวยเวยจ้องที่มู่เทียนเย่อย่างจริงจัง ดึงจมูกของเขาและพูดขึ้นว่า“พี่ พี่ผอมลงมากเลย”
“ผอมถึงหล่อไม่ใช่หรอ”มู่เทียนเย่ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
มู่เวยเวยตีที่แขนของเขาพร้อมกับมองไปที่ขาของเขาพร้อมกับรีบถามขึ้นว่า “พี่ได้รับบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?ตอนที่ฉันให้คุณลุงสืบหาข่าวของพี่ เขาบอกว่าพี่บาดเจ็บอยู่ที่อเมริกา”
“เธอโง่หรือไง คำพูดของคุณลุงเธอก็เชื่อเข้าไปได้?ฉันไม่เป็นไร”มู่เทียนเย่กลัวว่าเย่ฉ่าวเฉินจะกลับมา มองที่ตาของน้องสาวและถามขึ้นว่า“น้องเล็ก พี่จะมาพาเธอไป เธอจะไปไหม?”
“ไปสิ ตอนนี้ใช่ไหม?ไปกันเถอะ”มู่เวยเวยตอบแบบไม่ลังเลเลยสักนิด ตลอดเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา สิ่งที่เธอรอคือช่วงเวลานี้
เดิมทีมู่เทียนเย่คิดว่ามู่เวยเวยจะมีความลังเลถึงตอนนั้นเขาก็จะพิจารณาดูอีกที เพราะอันที่จริงเธอแต่งงานกับเย่ฉ่าวเฉินแล้ว แต่ไม่นึกว่าเธอจะไม่มีการทบทวนใดๆและยังดูเหมือนว่าจะตื่นเต้นดีใจมาก
ดูแล้วสำหรับเธอเย่ฉ่าวเฉินคนนั้น เธอไม่มีความอาลัยอาวรณ์กับเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
“เวยเวย เธอไม่เก็บข้าวของหรอ?”
ใครจะรู้ว่ามู่เวยเวยจะพูดว่า“ไม่มีของอะไรที่ต้องเก็บ ของทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ ฉันไม่ต้องการเอาไปด้วย สำหรับฉันแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือภาพวาดพวกนี้ แต่ก็ไม่เป็นไรฉันได้จดจำพวกมันไว้ในสมองส่วนลึกๆของฉันแล้ว”
มู่เวยเวยพูดกับใจตัวเองว่า ถ้าหากได้ออกไปจากที่นี่แล้ว ก็จะเริ่มต้นใหม่ เธอไม่อยากมีความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเย่ฉ่าวเฉินแม้แต่นิดเดียว และไม่อยากเอาของที่เป็นเขาไปด้วย
“ได้ งั้นฉันจะพาเธอไป”มู่เทียนเย่หยิบโทรศัพท์ออกมาต่อสาย“ขับรถไปที่หน้าประตูของคฤหาสน์”
เมื่อมองจากหน้าต่างเห็นรถไปจอดแล้ว มู่เทียนเย่ก็จับมือของมู่เวยเวยและพูดว่า“ไปกันเถอะ”
มู่เวยเวยพยักหน้าอย่างมั่นใจ
เธอไม่ต้องกังวลว่าเย่ฉ่าวเฉินจะเห็น เพียงแค่เธอเดินตามหลังของพี่ชายไปเท่านั้น
พ่อบ้านหวังพึ่งจะสั่งงานบอดี้การ์ดเสร็จ กำลังเดินเข้ามาทางคฤหาสน์เห็นรถของคุณชายจอดอยู่ที่หน้าประตู ก็รู้สึกได้ว่ามันแปลกๆ คุณชายไม่ใช่บอกว่าจะออกไปสองสามชั่วโมงไม่ใช่หรอ?ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้?
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ พ่อบ้านหวังยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้น รถคันนี้แม้ว่าจะเหมือนรถของคุณชายยังกับแกะ แต่มองดูแล้วมันดูใหม่กว่าอยู่นิดหน่อย
เขานึกถึงคำสั่งของเย่ฉ่าวเฉินขึ้นมาได้ทันที และในใจเกิดความสงสัยขึ้นมาเป็นอย่างมาก พ่อบ้านหวังเดินอ้อมไปเคาะกระจกทางด้านคนขับ“จางเห่อ?จางเห่อ?”
ที่นั่งด้านคนขับเห็นชัดเจนได้ว่ามีคนอยู่ แต่ก็ไม่มีการลดกระจกลงมา
“จางเห่อ ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ”พ่อบ้านหวังมีทีท่าที่เคร่งขรึมขึ้น
และในตอนนี้เอง มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากทางด้านในของคฤหาสน์ ด้านหลังของเขาที่เดินตามมาติดๆคือมู่เวยเวย
พ่อบ้านหวังรู้สึกตกใจมาก เขาทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านคนสำคัญของเย่ฉ่าวเฉิน ย่อมรู้ดีว่าชายคนที่อยู่ตรงหน้าคือใคร และรู้ว่าเขามาเพื่อต้องการอะไร
“มู่เทียนเย่?คุณต้องการทำอะไร?”พ่อบ้านหวังตะโกนพูดเสียงดังไปพลางมืออีกข้างล้วงไปที่กระเป๋ากางเกงที่มีโทรศัพท์อยู่ ใช้ความเคยชินกดโทรออกไปที่เบอร์โทรของเย่ฉ่าวเฉิน
มู่เทียนเย่ไม่พูดต่อปากต่อคำกับเขา ล้วงเอาปืนออกมาพร้อมกับหันไปทางพ่อบ้านหวังพร้อมกับพูดขึ้นว่า“หลบไป!”
มู่เวยเวยรีบพูดกับมู่เทียนเย่ขึ้นมาทันทีว่า“พี่ อย่าทำร้ายลุงหวัง เขาดีกับฉันมาก”
มู่เทียนเย่บีบไปที่มือของเธอ เพื่อเป็นการแสดงออกว่าเขาทราบดี เขาเพียงแค่ต้องการจะขู่ให้พ่อบ้านหวังตกใจเท่านั้น
ในขณะนั้นที่ได้ยินเสียงตะโกนของพ่อบ้านหวัง บอดี้การ์ดที่กำลังเดินตรวจอยู่บริเวณใกล้ๆก็รีบวิ่งเข้ามาที่ประตูคฤหาสน์
มู่เทียนเย่เปิดประตูรถด้วยความว่องไวพร้อมพูดกับมู่เวยเวยว่า“น้องเล็ก ขึ้นรถ”
“คุณผู้หญิง!”พ่อบ้านหวังตะโตนเรียก“คุณผู้หญิง อย่าขึ้นรถ”
มู่เวยเวยมองพ่อบ้านหวังด้วยใบหน้านิ่งสงบและพูดอย่างจริงใจว่า“ลุงหวัง ตั้งแต่ที่ฉันมาอยู่ที่คฤหาสน์นี้ คุณและแม่บ้านฉินดีกับฉันเป็นอย่างมาก ฉันรู้สึกขอบคุณจริงๆ แต่ว่าฉันไม่อาจจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ลาก่อน”
“คุณผู้หญิง คุณไม่รู้สึกเลยหรือว่าคุณชายชอบคุณจริงๆ?หรือคุณไม่คิดที่อยากจะให้โอกาสเขาสักครั้ง?”พ่อบ้านหวังรีบพูดความในใจออกมา เขาหวังว่ามันจะเป็นการถ่วงเวลาให้เย่ฉ่าวเฉินกลับมาได้ทัน
มองไปที่บอดี้การ์ดที่กำลังรีบวิ่งเข้ามา มู่เวยเวยไม่อยากให้เสียเวลา เธอไม่ได้ตอบกลับพ่อบ้านหวังและยกขาขึ้นรถทันที ทันใดนั้นก็ได้มีมือหนึ่งเพิ่มเข้ามาอีกมือใช้แรงดึงเธอออกมาจากรถ หน้าผากของเธอชนเข้ากับหน้าอกอันแข็งแรงของเขา
“จะไปไหน?”คำพูดไม่กี่คำนี้น่าจะออกมาจากปากของเย่ฉ่าวเฉินที่กัดฟันพูด
มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้น เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความโมโหมองมาที่เธอ เอวบางๆของเธอถูกแขนและมือที่ใหญ่ของเขารัดแน่น
เย่ฉ่าวเฉินที่ปรากฎตัวออกมาในที่เกิดเหตุทำให้ทุกคนถึงกลับตะลึงกันไปเป็นแถวๆ รวมทั้งมู่เทียนเย่ที่ยืนอยู่ห่างกันแค่ปลายนิ้ว สมองของเขาว่างเปล่าไปสักพัก เย่ฉ่าวเฉินไม่ใช่ถูกเขาหลอกออกไปแล้วหรอ?ทำไมถึงได้หายตัวมาอยู่ที่นี่ได้?
หายตัวออกมาได้จริงๆ
อีกทั้งเขายังจำได้ว่า ดวงตาทั้งสองข้างของเย่ฉ่าวเฉินต้องเป็นสีฟ้า แล้วทำไมได้เปลี่ยนเป็นสีม่วงไปได้?
สองนาทีที่แล้ว รถของเย่ฉ่าวเฉินพึ่งจะขับเข้าใจกลางเมือง บังเอิญได้รับโทรศัพท์ของพ่อบ้านหวัง ลางสังหรณ์ของเขาบอกเขาว่าที่คฤหาสน์ต้องเกิดเรื่องเป็นแน่ โทรศัพท์ดังขึ้นเพียงหนึ่งครั้งเย่ฉ่าวเฉินก็กดรับทันที ยังไม่ได้ทันได้ถาม ก็ได้ยินเสียงตะโกนจากโทรศัพท์พ่อบ้านหวัง คุณผู้หญิง อย่าขึ้นรถ
เขากลั้นหายในและฟังในสิ่งที่มู่เวยเวยพูด เขาก็รู้สึกสับสนมากแต่ชั่วครู่เขาก็ได้สติกลับมา นี่เป็นแผนการล่อเสือออกจากถ้ำของมู่เทียนเย่
ตอนนี้หันหัวรถกลับไปก็คงจะไม่ทัน เขาจึงทำได้เพียงใช้พลังวิเศษ แม้ว่าจะถูกคนเห็นเข้ามันก็ช่วยไม่ได้?ถ้าวันนี้มู่เวยเวยถูกมู่เทียนเย่พาตัวไป ก็เท่ากับว่าเธอจะหายสาบสูญไปจากชีวิตเขา เขาไม่สามารถให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาจึงได้หายตัวกลับมาที่คฤหาสน์ทันที ปกติแล้วเขาจะหายตัวไปมาในบริเวณระยะสั้นๆเท่านั้น ครั้งนี้ใช้ในระยะที่ไกล ทำให้เลือดลมที่อยู่ในร่างกายของเขาเกิดการปั่นป่วน
เย่ฉ่าวเฉินจ้องที่มู่เทียนเย่ น้ำเสียงเย็นชาราวกับว่าจะฆ่าเขา “มู่เทียนเย่ นายจะเอาภรรยาของฉันไปไหน?”
เมื่อมู่เทียนเย่ได้สติกลับมา “ฉันจะพาน้องสาวของฉันไป ยังต้องขอความยินยอมจากนายด้วยงั้นหรอ?”
“แน่นอน ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของฉันแล้ว”พูดไปพลางเย่ฉ่าวเฉินก็จับที่มือของเธอแน่นขึ้น มู่เวยเวยรู้สึกเจ็บจนเสียงร้องของเธอติดๆขัดๆ
มู่เทียนเย่อดไม่ได้ที่เห็นน้องสาวทรมาน“เย่ฉ่าวเฉิน นายปล่อยเธอก่อน นายมองไม่เห็นหรอว่าเธอหน้าขาวซีดไปหมดแล้ว?”
และตอนนี้ด้านในของคฤหาสน์ก็ถูกบอดี้การ์ดล้อมไว้หมดแล้ว ต่อให้มู่เทียนเย่มีปีกก็บินหนีไม่พ้น เมื่อเย่ฉ่าวเฉินคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ค่อยๆลดแรงจับที่มือของเธอลง แต่ยังกอดเธอเอาไว้ในอ้อมอก
“มู่เทียนเย่ ไม่นึกเลยว่าไม่เจอกันหนึ่งปี นายจะเป็นเต่าที่หดตัวอยู่ในกระดองแบบนี้ นายเป็นฝ่ายที่นัดให้ฉันออกไปพบ แต่อันที่จริงแล้วนายก็มาถึงที่บ้านของฉัน แบบนี่ดูไม่ค่อยเหมือนนิสัยของนายเลยนะ”คำพูดของเย่ฉ่าวเฉินแฝงไปด้วยคำพูดที่เสียดสีทิ่มแทง
มู่เทียนเย่ยิ้มด้วยความไม่รู้สึกสะทบสะท้านและพูดขึ้นว่า“นั้นก็เป็นเพราะว่านายมันโง่ยังไงล่ะ ในเมื่อฉันเสียแรงไปเพียงแค่น้อยนิดเพื่อให้ทำบรรลุเป้าหมาย แต่ทำไมถึงนายถึงได้เสียแรงไปมากขนาดนั้น?น่าเสียดาย เกือบจะทำสำเร็จแล้ว”