บันไดขึ้นไปสู่ห้องใต้หลังคาอยู่ที่ชั้นสามของคฤหาสน์ ในเวลานี้คฤหาสน์เงียบมาก มู่เวยเวยมาถึงชั้นสาม และปีนบันใดแคบๆขึ้นไปข้างบนอาคาร
สายลมยามค่ำคืนหนาวมาก พัดเสื้อขนสัตว์กันลมของเธอ
สามนาทีก่อนจะถึงเวลาที่นัด มู่เวยเวยก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อก่อนมีอยู่คืนหนึ่งเธออารมณ์ไม่ดี เสี่ยวจื่อจึงพาเธอบินขึ้นไปดูดาวบนท้องฟ้า เพื่อให้เธอสบายใจขึ้น
เหตุการณ์แบบนี้ เหมือนเคยเกิดขึ้นเมื่อชาติปางก่อน
เสียงใบพัดดังมาจากระยะไกล มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นเต้น เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามายังคฤหาสน์ด้วยความเร็ว โดยข้างล่างเครื่องมีคนห้อยอยู่หนึ่งคน และตอนนี้ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มพอดี
เสียงดังทำลายความเงียบสงบของค่ำคืน หน่วยลาดตระเวนพากันตกตะลึงไปสองสามวินาทีหลังจากเห็นเฮลิคอปเตอร์ เมื่อแน่ใจว่าเครื่องบินกำลังมาทางคฤหาสน์ จึงรีบแจ้งกับจางเห่อในทันที
พ่อบ้านหวังที่ยังไม่นอน เขาก็ได้ยินเสียง จึงรีบวิ่งออกไปดูและตกใจ คนที่อยู่ด้านบนคือมู่เวยเวยไม่ใช่เหรอ ?
แต่เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน คุณชายเดินมาหยิบขวดไวน์จากห้องเก็บไวน์อย่างมีความสุข บอกว่าคุณหนูอยากดื่ม เวลาเธอควรจะดื่มอยู่กับคุณชาย แต่ทำไม…….
แย่แล้ว เมื่อพ่อบ้านหวังคิดอะไรได้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปและรีบวิ่งขึ้นไปข้างบน
เมื่อเปิดประตูเข้าไปที่ห้องนอนของมู่เวยเวย ก็เห็นแย่ฉ่าวเฉินล้มอยู่ที่พื้น โดยมีผ้าขนหนูมัดปากเขาไว้ และเขาเองก็นอนหลับไม่รู้สึกตัว
พ่อบ้านหวังมองแปปเดียวก็รู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินโดนวางยา จึงรีบวิ่งไปแก้ผ้าขนหนูออก และเขย่าศีรษะเขาเพื่อเรียกสติ “คุณชาย! คุณชาย! ตื่นสิ——โอ้พระเจ้า คุณต้องอวยพรไม่ให้คุณชายเป็นอะไร ”
ด้านนอก จางเห่อรวบรวมบอดี้การ์ดจำนวนมากมาที่ใต้คฤหาสน์ ทุกคนถือปืน เตรียมจะยิงเฮลิคอปเตอร์ให้ตกลงมา
“ไม่มีคำสั่งห้ามยิงเด็ดขาด” จางเห่อตะโกนเสียงดัง ข้างบนเป็นใคร ? เป็นมู่เวยเวย ตอนนี้เธอคือคนที่สำคัญสุดของเย่ฉ่าวเฉิน ถ้าใครกล้าแตะต้องเธอแม้แต่เส้นผม เย่ฉ่าวเฉินจะต้องตัดมือคนนั้นทิ้งแน่
แต่ถ้าไม่หยุดยั้งไว้ มู่เวยเวยต้องถูกเฮลิคอปเตอร์พาตัวไป
เสียงดังขนาดนี้ เจ้านายมัวทำอะไรอยู่ ? เขาไม่ได้ยินเสียงเลยเหรอ ?
ไม่ได้ รอแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
ขึ้นตามบันไดไป จางเห่อวิ่งไปจนสุดทางเข้าห้องใต้หลังคา แต่ปรากฎว่า ประตูถูกมู่เวยเวยล็อคไว้ เขากระแทกมันหลายครั้งแต่ก็เปิดไม่ออก
พ่อบ้านหวังแทบจะเป็นบ้าแล้ว เขาทำยังไงเย่ฉ่าวเฉินก็ไม่มีท่าทีว่าจะตื่น เสียงดังกระหึ่มก็ดังเข้ามาในหูของเขาเรื่อยๆ เขาไม่มีทางเลือกจึงวิ่งที่ไปห้องน้ำและเอาน้ำเย็นใส่กะละมังขนาดเล็กออกมา สาด ไปที่หน้าของเย่ฉ่าวเฉิน เมื่อเห็นเขาเริ่มมีสติขึ้นมา พ่อบ้านหวังจึงไปตักน้ำอีกกะละมังมาสาดใส่เขา
“แค่กแค่กแค่ก……”เมื่อถูกน้ำเย็นสาดเย่ฉ่าวเฉินจึงลืมตาขึ้นมา มองเห็นพ่อบ้านหวังมองหน้าเขาอย่างใจจดใจจ่อ
“คุณชาย คุณตื่นสิ ตื่นตื่น ยังคุณยังไม่ตื่นคุณหนูจะถูกจับตัวไปแล้ว ”พ่อบ้านหวังพูดเสียงดังใส่หูของเขา ถ้าไม่พูดเสียงดังเขากลัวว่าเย่ฉ่าวเฉินจะไม่ได้ยิน เพราะเสียงของเฮลิคอปเตอร์ด้านนอกดังเกินไป
เมื่อได้ยินคำว่าคุณหนู เย่ฉ่าวเฉินก็เริ่มมีสติขึ้นมาเล็กน้อย
“คุณอาหวัง พยุงฉันลุกขึ้นหน่อย ”เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างอ่อนแรง มือและเท้าทั้งสองของเขาไม่สามารถออกแรงได้เลย
พ่อบ้านหวังรีบพยุงเขาลุกขึ้นมาจากพื้น “คุณชาย คุณช้าหน่อย”
“สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง ?”เย่ฉ่าวเฉินส่ายหัวเพื่อพยายามต่อต้านฤทธิ์ยาในตัวของเขา
“จางเห่อนำคนมารอคำสั่งคุณอยู่ข้างล่าง คุณหนูอยู่บนอาคาร ทุกคนเลยไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม”
ช่วยพยุงฉันไปที่ระเบียง “เย่ฉ่าวเฉินพูด และบอกพวกคนด้านล่างว่าอย่ายิง”
เขาทนไม่ได้ถ้าเธอตาย
“ครับ คุณชาย”พ่อบ้านหวังนำเย่ฉ่าวเฉินไปที่โซฟาตรงระเบียง และรีบหันหลังลงไป
เฮลิคอปเตอร์เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ใกล้จนมู่เวยเวยเห็นใบหน้าของมู่เทียนเย่อย่างชัดเจน ลมพัดแรงจนผมเธอพันกันยุ่งเหยิง เธอแทบจะทรงตัวไม่ได้ “พี่ชาย——”
ในขณะเดียวกันจางเห่อก็เปิดประตูเข้าไปได้ มู่เทียนเย่ยื่นมือมารับเอามู่เวยเวยไปอยู่ในอ้อมแขน จากนั้นก็พาไปจากคฤหาสน์ตระกูลเย่
บนระเบียง เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ร่างทั้งสองที่ลอยอยู่กลางอากาศอย่างเฉยเมย ความโกรธในใจของเขาก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
ไม่เป็นไร มู่เวยเวยไม่ว่าคุณจะหนีไปไกลแค่ไหน ขอแค่คุณยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ สักวันหนึ่งผมจะต้องพาคุณกลับมา
ในสายลมที่ขมขื่น มู่เวยเวยกอดเอวพี่ชาย และหันกลับไปมองคฤหาสน์ตระกูลเย่ที่สว่างไสวอยู่ไกลๆ ในใจก็เกิดความเศร้าขึ้นมา
นับตั้งแต่วันแรกที่มาถึงที่นี่ มู่เวยเวยก็คิดมาโดยตลอดว่า วันหนึ่งพี่ชายจะมาพาเธอออกไป และวันนี้มันก็เป็นจริงแล้ว
ที่นี่ ทิ้งความทรงจำอันโหดร้ายให้กับเธอ ในชีวิตนี้เธอไม่คิดจะกลับมาอีกแล้ว และก็ไม่อยากเจอคนๆนั้นอีก
เฮลิคอปเตอร์ไม่ได้จอดที่เมือง A แต่บินไปที่เมือง S ที่อยู่ใกล้เคียงภายในชั่วข้ามคืน และลงจอดในสถานที่ที่สวยงาม
……
“พี่ แม่บ้านที่คฤหาสน์ตระกูลเย่นั้นเป็นคนของคุณเหรอ ?” แม้ว่าจะเกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่มู่เวยเวยยังคงตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ จึงดึงแขนมู่เทียนเย่มาถาม
“ไม่ใช่ แต่ว่าทุกคนล้วนมีจุดอ่อน ขอแค่คุณหาจุดอ่อนของเธอเจอ ก็สามารถให้เธอทำในสิ่งที่คุณต้องการได้” มู่เทียนเย่พูดอย่างคลุมเคลือ เขาไม่อยากให้มู่เวยเวยรู้อะไรมาก เพราะว่าที่นี่มีด้านมืดอยู่เยอะมาก
“ถ้าหากว่าฉันไม่ได้ใส่ยาให้เย่ฉ่าวเฉินดื่มล่ะ ? ถ้าอย่างนั้นเมื่อคุณปรากฎตัวขึ้นที่คฤหาสน์มันก็จะอันตรายกับคุณมากนะ”
มู่เทียนเย่ยิ้ม “คุณคิดว่าผมโง่เหรอ ? ผมจะทำเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว ก็แค่ถอยกลับมา ถ้าหากว่าแผนทุกอย่างล้มเหลว ถ้างั้นคุณก็ไม่สามารถปรากฎตัวที่บนยอดอาคารได้หรอก และผมก็คงจะไม่ปรากฎตัว”
“โอ้…..”มู่เวยเวยมองไปที่พี่ชายเธออย่างชื่นชม “แต่ว่า ยาที่คุณให้กับฉันมันแรงจริงๆ ในตอนนั้นฉันยังสงสัยว่า แค่เพียงนิดเดียว ถ้าเย่ฉ่าวเฉินดื่มไปแล้วไม่เกิดอะไรขึ้นจะทำยังไง ?”
“เรื่องนี้คุณวางใจได้เลย ถึงแม้ว่าจะเป็นช้างตัวใหญ่เพียงแค่หยดเล็กๆก็สามารถล้มลงได้ แววตาของมู่เทียนเย่แสดงความสงสัย แต่ผมก็ยังแทบไม่อยากเชื่อ ความหวงแหนของเย่ฉ่าวเฉินจะหนักแน่นมาก แค่เพียงครู่เดียวก็ตื่นแล้ว และยังออกมาที่ระเบียงได้อีก”
นี่ควรจะเป็นความผิดพลาดของมู่เทียนเย่ ถ้าหากว่าในตอนนั้นเย่ฉ่าวเฉินไม่ฆ่านักฆ่า ถึงแม้ว่าเขากับมู่เวยเวยอาจจะได้รับบาดเจ็บ แต่ถ้ามีโอกาศแค่เพียงเล็กน้อย เขาก็ไม่เต็มใจที่จะทำ
เมื่อคิดแบบนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็เหมือนจะมีใจให้กับมู่เวยเวยอยู่เล็กน้อย
มู่เวยเวยนึกไปถึงเงาสีดำที่ปลายเตียงห้องนอน ปอดของเขาก็เหมือนจะระเบิด
ทันใดนั้นก็นึกเรื่องอะไรขึ้นได้ ท่าทางของมู่เทียนเย่ก็ดูจริงจังขึ้น “เวยเวย…….เน่ฉ่าวเฉินเป็นอะไรรึเปล่า ?”
มู่เวยเวยรู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าพี่ชายเธอถามเรื่องอะไร “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ?”
“มีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆเขาก็ปรากฎตัวขึ้นที่คฤหาสน์ และดวงตาของเขายังเป็นสีม่วงด้วย” เรื่องนี้รบกวนมู่เทียนเย่มาหลายวันแล้ว เขาคิดยังไงก็คิดไม่ออก
มู่เวยเวยตกตะลึงไปชั่วขณะ ไม่คิดเลยว่าพี่ชายเขาจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เธอลังเลเล็กน้อยไม่รู้ว่าควรพูดดีไหม นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของเย่ฉ่าวเฉิน แต่คนตรงหน้าก็เป็นพี่ชายของเธอ ถ้าหากว่าพวกเขาเผชิญหน้ากันในอนาคต จะต้องเกิดการต่อสู่ขึ้นแน่
“เป็นอะไรไป ? มีเรื่องอะไรที่ยังบอกผมไม่ได้เหรอ ?” มู่เทียนเย่สงสัยเข้าไปอีก
มู่เวยเวยเงียบไปครู่หนึ่ง และพูดอย่างจริงจังว่า “พี่ชาย เรื่องนี้เป็นความลับของเย่ฉ่าวเฉิน คุณต้องรับปากฉัน ห้ามบอกเรื่องนี้กับใคร ถึงแม้ว่าฉันจะเกลียดเขา แต่ฉันก็ไม่อยากให้คนอื่นใช้เรื่องนี้มาคุกคามเขา”
“สรุปแล้วมันเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ร้ายแรงขนาดนั้นเลย ?” มู่เทียนเย่ถามอย่างดูแคลน
“คุณจำเป็นต้องสัญญาเงื่อนไขนี้กับฉันก่อน ไม่อย่างนั้นฉันก็จะไม่บอกคุณ”
มู่เทียนเย่ไม่มีทางเลือก นอกจากจะตอบตกลง “โอเค ผมรับปากคุณ จะไม่บอกเรื่องนี้กับคนอื่น”
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้…….”
มู่เวยเวยพูดสั้นๆเกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติของเย่ฉ่าวเฉิน พูดไปไม่กี่นาทีมู่เทียนเย่ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา เขาอ้าปากค้างเล็กน้อยอยู่นาน
ให้ของลอยบนอากาศ เคลื่อนย้าย ยังบินไปมาบนอากาศ นี่…..นี่เป็นการถ่ายละครเทพนิยายทางทีวีใช่ไหม ?
บนโลกนี้มีความสามารถขนาดนั้นอยู่ด้วย ?
แต่ถ้าหากว่าไม่ใช่ เรื่องในวันนั้นจะอธิบายยังไง ?
แม่เจ้า อยู่มาตั้งนานเพิ่งเคยเจอจริงๆ
“ทั้งหมดก็ประมาณนี้แหล่ะ ส่วนเรื่องเขายังมีพลังอะไรอีกนั้น ฉันก็ไม่ค่อยรู้แล้ว” เมื่อมู่เวยเวยพูดจบ เธอก็เห็นท่าทางที่เฉื่อยชาของพี่ชายเธอ ในใจก็คิดว่า ทำให้คนตกใจอีกคนแล้ว
มู่เทียนเย่ใช้เวลาสักพักก่อนที่สติจะกลับมา และพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้มู่เวยเวยหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา “แม่เจ้า…..โชคดีที่ยาที่ให้คุณมีความเข้มข้นสูง ไม่อยากนั้นถ้าเกิดว่าเขาย้ายตัวเองขึ้นมาบนเฮลิคอปเตอร์ล่ะก็ แผนการของเขาในวันนี้คงล้มเหลวไม่เป็นท่า”
มู่เวยเวยพยักหน้า “เป็นไปได้มากที่จะเป็นแบบนั้น”
“ผมคิดไม่ถึง….จะมีเรื่องแบบนี้ด้วย…..”
มู่เวยเวยเข้าใจความรู้สึกของเขาดี และรู้ว่าเขาคงยอมรับมันไม่ได้สักพัก จึงลุกขึ้นและพูดว่า “คุณค่อยๆคิด ฉันง่วงไปนอนก่อนนะ ห้องนอนของฉันอยู่ไหน ?”
“ชั้นสองทางซ้ายห้องแรก” มู่เทียนเย่ตอบกลับ
“โอ้ โอเค พี่ชาย คุณก็รีบนอนนะ”
สรุปแล้วคืนนี้ มู่เทียนเย่นอนตาค้างจนถึงเช้า ช่วงครึ่งแรกของเมื่อคืนเขากำลังช็อก ครึ่งหลังเขาก็คิดถึงมาตราการรับมือ ถ้าหากว่าเขาเจอกับเย่ฉ่าวเฉินในอนาคตจะทำอย่างไร เมื่อใกล้รุ่งเช้า เขาก็รู้สึกอิจฉา ถ้าหากว่าเขามีพลังเหนือธรรมชาติ ก็คงจะดีไม่น้อย
ในที่สุดความปราถนาที่แสนยาวนานก็เป็นจริง มู่เวยเวยนอนหลับจนถึงสิบโมงถึงตื่นขึ้นมา
เมื่อคืนมันมืดเกิดไปมองอะไรไม่เห็น ตอนนี้เปิดหน้าต่างออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานว่า สวยมาก
เห็นภูเขาสีเขียวปกคลุมด้วยหมอกอยู่ไกลๆ และยังมีแม่น้ำที่ใสสะอาดอยู่ใกล้ๆ ในแม่น้ำมีเป็ดมากมายกำลังหาอาหาร มีต้นหลิวมากมายอยู่ข้างลำธาร และกิ่งยาวๆของต้นหลิวก็ลากยาวลงน้ำ ก่อให้เกิดลวดลายน้ำเป็นชั้นๆ
เข้ามาใกล้อีกหน่อยเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ มีดอกที่ไม่รู้จักอยู่มากมาย……..
และอาคารหลังเล็กบนชั้นสองที่เธออยู่ ก็สร้างขึ้นกลางสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ เมื่อเปิดประตูไป ก็จะเป็นทางเดินเล็กๆที่ปูด้วยอิฐสีน้ำเงิน เมื่อเดินตามทางเล็กๆมา ก็จะเป็นสวนผักที่ทำเป็นสันเขาเป็นชั้นๆ ซึ่งด้านในก็ปลูกผักต่างๆเช่น มะเขือม่วง แตงกวา ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ และผักอื่นๆอีกมากมาย
พี่ คุณทำอะไรอยู่ที่นี่ ? มู่เวยเวยมองไปเห็นพี่ชายที่ม้วนแขนเสื้อทำงานอยู่ในสวนผัก
มู่เทียนเย่เหลือบหันมามองเธอ และยังคงทำงานในมือต่อไป “ผมกำลังแขวนมะเขือเทศ แบบนี้พวกมันก็จะไม่หล่นลงมา เมื่อมะเขือเทศโดนแสงเพียงพอ รสชาติของมันก็จะอร่อยขึ้น”
มู่เวยเวยเหมือนฟังหนังสือของสวรรค์ และมองไปที่มู่เทียนเย่ด้วยความสงสัย “พี่ชาย คุณไปเรียนรู้ทักษะพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
“ไม่ใช่ว่าชื่มชมฉันมากอยู่ใช่ไหม ? ”มู่เทียนเย่กระพริบตาที่แดงก่ำที่ภายในเต็มไปด้วยการตีเนียน
“แทบจะบูชาอยู่แล้ว พี่ชาย คุณคือผู้นำตระกูลมู่ซื่อนะ เพียงแค่ไม่กี่นาทีก็สามารถทำเงินได้หลายหมื่น แต่ใครจะคิดว่า เขายังปลูกผักเป็นด้วย ?”
มู่เทียนเย่ยิ้มและพูดว่า “ยังจะมีอะไรอีก ? ที่จริงแล้วที่แห่งนี้มีไว้เพื่อผมตอนแก่ เมื่อก่อนผมคิดว่า เมื่อแก่แล้ว ก็ยกบริษัทให้กับลูกหลาน จากนั้นก็มาอยู่ที่นี่ตอนแก่ชรา ปลูกผักตกปลา เลี้ยงหมูสองสามตัว วันเวลาแบบนี้ คิดแล้วก็รู้สึกดีนะ”
เมื่อมู่เวยเวยฟังเขาอธิบาย ในใจก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เธอคิดมาตลอดว่าพี่ชายของเธอเป็นคนเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยว ไม่คิดเลยว่าเขาก็มีด้านที่อบอุ่นแบบนี้
“ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนดูแลที่นี่ล่ะ ? ทำไมฉันไม่เห็นใครเลย ?”
“ชาวนาแก่ๆกับภรรยาของเขาทำนามาหลายชั่วอายุคนแล้ว เมื่อวานผมเลยให้พวกเขากลับบ้าน” หลังจากมู่เทียนเย่มัดเถาวัลย์เสร็จแล้วก็หันไปมันอีกอัน “ดังนั้น สองสามวันนี้พวกเราต้องทำอาหารกินเอง หรือก็คือ คุณจะไม่ปล่อยให้พี่ชายคนนี้หิ้วท้องหรอกใช่ไหม”
มู่เวยเวยตบหน้าอกของเธอและสัญญาว่า “เรื่องทำอาหาร ทั้งหมดฉันรับผิดชอบเอง ฉันเรียนรู้มาจากฉินหม่ามานานแล้ว”
“ถ้างั้นก็ดี ถ้าหากว่าคุณรู้สึกเบื่อ ก็ไปเดินเล่นใกล้ๆนี้ก่อนก็ได้ ทิวทัศน์ไม่เลวเลย”
“ฉันไปเดินเล้นคนเดียวก็รู้สึกเบื่อ ตอนบ่ายคุณไปปกับฉันป่ะ ตอนนี้ให้ฉันช่วยคุณทำงานอะไรหน่อยดีไหม ?”
มู่เทียนเย่ชี้นิ้วไปที่ด้ายกลมๆและพูดว่า “คุณส่งอันนั้นมาให้ผมหน่อย ผมจะตัดคุณตัดให้ผมหน่อย”
“โอเค”
……
ทางด้านนี้สองพี่น้องทำงานที่ฟาร์มอย่างสบายใจ ณ เมือง A เมื่อเย่ฉ่าวเฉินหายจากฤทธิ์ยา ก็รีบระดมคนออกตามหา
เย่ฉ่าวเฉินบุกเข้าไปสำนักงานใหญ่ของบริษัทมู่ซื่อด้วยตัวเอง
“ประธานเย่ คุณได้นัดไว้ไหม ?” ผู้หญิงตัวเล็กที่แผนกต้อนรับถามเขาอย่างไม่กลัวตาย
“ฉันมาหามู่เทียนเย่ ยังต้องอีกเหรอ ?” สีหน้าเย่ฉ่าวเฉินเย็นชา สายตาราวกับจะฆ่าคน
เด็กผู้หญิงตัวสั่น ไม่กล้าหยุดเขาไว้ เขามาเจอมู่เทียนเย่ ถ้าเป็นเรื่องงานแน่นอนว่าต้องนัดล่วงหน้า แต่ถ้าน้องเขยมาเจอพี่ชาย ก็คงไม่จำเป็น
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นท่าทางของเขา ถึงแม้ตัวเองจะอยากจะหยุดก็คงหยุดไว้ไม่ได้
ตลอดทางเมื่อลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นบนสุด เลขาทั้งสามคนก็ยินอยู่หน้าประตู หนึ่งในนั้นพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ประธานเย่ ประธานมู่ของพวกเราไม่อยู่ คุณมีธุระด่วนอะไรรึเปล่า ?”
แน่นอนเย่ฉ่าวเฉินรู้ว่ามู่เทียนเย่ไม่อยู่ที่บริษัท เขาไม่ได้มาหามู่เทียนเย่ แต่เป็นผู้จัดการที่เพิ่งว่าจ้างมาใหม่ของมู่เทียนเย่ เขาไม่เชื่อว่า ผู้จัดการที่ดูแลบริษัทมู่ซื่อแห่งนี้จะไม่ติดต่อกับมู่เทียนเย่
“ฉันไม่ได้มาหามู่เทียนเย่ ฉันมาหาเขา”
เลขาทั้งสามคนค่อยๆหันกลับไป หนุ่มหล่อชาวต่างชาติคนใหม่ที่ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา เย่ฉ่าวเฉินเดินเข้าไปหา แล้วชักปืนไปที่หน้าอกของหนุ่มหล่อคนนั้นและพูดว่า “มู่เทียนเย่ล่ะ ?”
หนุ่มหล่อยกมือขึ้นอย่างไม่มีทางเลือก “มู่ ? ผมจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่ที่ไหน ?”
“คุณแน่ใจนะว่าไม่รู้ คุณไม่กลัวว่ากระสุนของฉันจะยิงเข้าไปที่กลางหัวใจคุณ ?”
“ผมกลัว ทำไมถึงจะไม่กลัว ? แต่ถึงคุณยิงผมตาย ผมก็ไม่รู้ ”หนุ่มหล่อพูดอย่างไร้เดียงสา
เย่ฉ่าวเฉินกัดฟัน “ไม่คิดเลยว่าคุณจะจงรักภักดีกับมู่เทียนเย่ขนาดนี้”
“ประธานเย่ ผมแค่มาหาเงินแทนเขาก็เท่านั้น”ไม่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดแบบที่คุณคิดหรอก
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองดวงตาของเขา ไม่แสดงท่าทีการโกหกออกมาเลย จึงชกไปที่หน้าอกของเขาเพื่อระบายความโกรธจากนั้นก็จากไป
เขาใช้เวลาทั้งวัน ตามหาไปทั่วทุกที่ที่คิดว่ามู่เทียนเย่จะอยู่ แต่ก็ไม่พออะไรเลย สถานการณ์แบบนี้มันเหมือนกับตอนหนานกงเฮ่าพาเธอไปในตอนนั้น ไม่พบเบาะแสอะไรแม้แต่นิดเดียว
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ มู่เวยเวยสมัครใจไปกับมู่เทียนเย่ อีกทั้งมู่เทียนเย่ยังเก่งกาจกว่าหนานกงเฮ่า ด้วยความสามารถของเขา การพามู่เวยเวยออกนอกประเทศนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
“คุณชาย เป็นไปได้ไหมที่มู่เทียนเย่อาจจะไม่ได้อยู่เมือง A แล้ว?” จากเห่อพูดอย่างระมัดระวัง “เขารู้อยู่แล้วว่าพวกเราต้องค้นหาอย่างกว้างขวาง ทำไมเขาถึงจะต้องอยู่ในที่ที่อันตรายแบบนี้ด้วย ?”
“คุณพูดถูก เฮลิคอปเตอร์ของมู่เทียนเย่บินไปได้ไม่ไกลนัก บางทีอาจจะลงจอดที่สองสามเมืองรอบๆเมือง A นี้ก็ได้” ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินเป็นประกาย “ให้คนของเราสังเกตเมืองพวกนี้หน่อย แต่ว่า ไม่ต้องไปเมือง S”
จางเห่อเงยหน้าขึ้นมองเขาและพูดว่า “ครับ”
อาจใช่ เมือง S มีคนๆนั้นอยู่ ถึงพวกเขาจะอยากเข้าไปก็คงเข้าไปไม่ได้ เขตของเขา เป็นที่ต้องห้ามสำหรับคนอื่นๆ
หลังจากจางเห่อจากไป เย่ฉ่าวเฉินก็ยืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์เป็นเวลานาน จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมา
“พี่สาม ผมมีเรื่องจะขอความช่วยเหลือครับ”
“เราเป็นพี่น้องกัน ขอร้องอะไรกัน พูดดูห่างเหินอะไรอย่างนี้ มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ”
“ผมต้องการให้คุณหาคนสองคนในเมือง S หนึ่งในนั้นคุณก็รู้จัก” เย่ฉ่าวเฉินพูดออกไปตรงๆ
“ใครล่ะ ?” พี่สามถามอย่างไม่ใส่ใจ
เย่ฉ่าวเฉินหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า “มู่เทียนเย่ อีกคนหนึ่งคือ….ภรรยาของผม มู่เวยเวย”
“แย่แล้ว……”พี่สามสถบออกมาตรงนั้น “ฉันว่านะฉ่าวเฉิน คุณก็เกินไป……..”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างขมขื่น “พี่สาม คุณอย่าหัวเราะเยาะผมเลย ถ้าหาคนเจอแล้ว พวกเราไปดื่มเหล้ากัน”
“ไม่เป็นไรไม่เป็นไร ฉันไม่อยากฟังคำสุภาพของคุณ พี่สามรับรองเลย ตราบใดที่สองคนนี้อยู่ที่เมือง S ฉันจะตามหาให้คุณแน่นอน”
“ขอบคุณมากครับพี่สาม”เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างจริงใจ
“รอฟังข่าวจากฉันเถอะ”
พี่สามของเย่ฉ่าวเฉินคนนี้ ในตอนนั้นเขารู้จักกันตอนที่วิ่งหนีไปรอบๆ Wall Street ภูมิหลังเขานั้นลึกซึ้งมาก เขามีความคิดและการคำนวนที่ฉลาด ที่แข็งกร่งที่สุดก็คือการต่อสู้ เมื่อเขากลับมาที่เมือง S เขาใช้เวลาเพียงเดือนเดียวก็สามารถไปนั่งบนจุดสูงสุดได้แล้ว
บางทีอาจจะเป็นเพราะความรู้สึกดีในตอนนั้น พี่สามคนนี้ค่อนข้างดีกับเย่ฉ่าวเฉิน ถ้าหากทั้งสองมีเวลาว่างพวกเขาก็จะมาดื่มเหล้ากัน เมื่อดื่มก็จะดื่มกันทั้งคืน เพื่อระลึกถึงเรื่องบ้าๆที Wall Street ในตอนนั้น แต่เย่ฉ่าวเฉินก็แทบจะไม่เคยขอร้องให้พี่สามช่วย แต่ครั้งนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ
……
เพื่อตามหามู่เวยเวย เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้ไปทำงานที่บริษัทเป็นเวลาสามวันแล้ว ข้าวก็กินแค่สองสามคำ นอนก็แทบไม่ได้นอน บางครั้งตอนกลางดึกเมื่อเขานึกถึงคนที่เกี่ยวข้องกับมู่เทียนเย่ ก็จะขับรถไปที่ประตู
แม้ว่าเขาจะรู้ว่า บ้านของมู่อี้เหยาไม่มีทางรู้ที่อยู่ของมู่เทียนเย่ แต่เขาก็ยังมีความรู้สึกที่อยากลอง เขาก็เลยลองไปหาดูสักครั้ง
บางที มู่จางรุ่ยอาจจะรู้จักบ้านเก่าของตระกูลมู่
“มู่เทียนเย่หายตัวไปแล้ว ? จริงเหรอ ? “มู่จางรุ่ยไม่สามารถปิดบังใบหน้าที่มีความสุขของเขาได้ แบบนี้ เขาก็สามารถกลับมาควบคุมบริษัทมู่ซื่อได้อีกครั้ง ?
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองเขาอย่างเย็นชา ตระกูลมู่ของพวกคุณยังมีบ้านเก่าที่ไหนอีกไหม ? แล้วอยู่ที่ไหน ?
“อันนี้…….”มู่จางรุ่ยกลืนน้ำลาย
ถุ้ย ในใจเขาอยากให้มู่เทียนเย่หายไปตลอดการ
เย่ฉ่าวเฉินเห็นจุดประสงค์ของเขา จึงพูดอย่างใจกว้างว่า “ขอเพียงคุณบอกเบาะแสที่ทำให้ผมหาคนเจอ ผมสามารถช่วยคุณแย่งบริษัทมู่ซื่อมาจากมู่เทียนเย่ได้”
“จริงเหรอ ? คุณไม่ได้หลอกฉันนะ ?”
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะเยาะ “มู่จางรุ่ย คุณยังมีตัวเลือกอื่นอีกเหรอ ?”
นับตั้งแต่มู่เทียนเย่ขับไล่พวกเขาออกจากบริษัทมู่ซื่อ ชีวิตของมู่จางรุ่ยก็น่าอับอายมาก พวกผู้หญิงที่เขาเลี้ยงดูอยู่ข้างนอกก็มาก่อกวนที่บ้าน ฟางซินยี่ก็ยื่นคำขาดหย่ากับเขาและพามู่อี้เหยากลับไปอยู่บ้านพ่อแม่เธอ
ดังนั้น มู่จางรุ่ยจึงเกลียดมู่เทียนเย่เขากัดฟันด้วยความเกลียดชัง เกลียดจนอยากจะถลกหนังของเขา และตอนนี้ มีโอกาสแบบนี้อยู่ต่อหน้าเขาแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความหวังเพียงเล็กน้อย เขาก็ต้องคว้าเอาไว้ เพราะว่านี่อาจเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขาแล้ว
เย่ฉ่าวเฉินมองมู่จางรุ่ยอย่างไม่แยแส เขาเพียงแค่ให้สุนัขจิ้งจอกแก่ตัวนี้ลิ้มรสผลกำไร ส่วนเรื่องที่จะช่วยเขาแย่งบริษัทมู่ซื่อมา หึ ถึงตอนนั้นค่อยพูดละกัน
มู่จางรุ่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพูดว่า “ฉันรู้ว่าตระกูลมู่มีบ้านเก่าอยู่หลายหลัง แต่ล้วนอยู่แถบชานเมือง และไม่มีคนอาศัยอยู่นานแล้ว ไม่รู้ว่า……”
“เอาแผนที่มาให้ผม”
เขาถือแผนที่สองสามใบที่มู่จางรุ่ยเขียนให้ เย่ฉ่าวเฉินขับรถไปทางเหนือใต้ออกตกของเมือง A มาทั้งวัน แต่ก็เจอเพียงบ้านเก่าๆสองสามหลัง ที่ประตูยังล็อกด้วยโซ่สนิมเหล็ก ด้านล่างก็มีฝุ่นหนา ไม่มีร่องรอยของใครมาที่นี่
มู่เทียนเย่สรุปแล้วคุณพามู่เวยเวยไปที่ไหนกันแน่นะ ?
แม้แต่ทางด้านพี่สามก็ยังไม่มีข้อมูลใดๆ หรือว่าจะออกนอกประเทศไปแล้ว ?
ในตอนเที่ยง โต๊ะถูกจัดขึ้นในสนามหญ้าท่ามกลางทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงาม มู่เทียนเย่นั่งอยู่ที่ม้านั่งขนาดเล็กและก้มศีรษะลงมองโทรศัพท์ หน้าจอแสดงข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเมือง A
“มาแล้วมาแล้ว ผัดซีอิ้วสูตรต้นตำหรับมาแล้ว” มู่เวยเวยเดินมาพร้อมกับถ้วยใบใหญ่ มู่เทียนเย่เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าอย่างเงียบๆ
“โอ้ว ผมดูหน่อย” มู่เทียนเย่รับถ้วยใบใหญ่มาดมกลิ่นดู และยกนิ้วโป้งไปทางเธอ “ไม่เลวเลย แค่สูดกลิ่นก็รู้แล้วว่าอร่อย”
มู่เวยเวยนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กข้างๆเขา โดยวางมือไว้ใต้คางและพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “รีบชิมเร็ว นี่เป็นผลจากการทำงานในช่วงเช้าของฉัน”
มู่เทียนเย่คีบเส้นบะหมี่และกินมันเข้าไป หลังจากลิ้มลองอย่างละเอียดแล้ว จึงพูดชมว่า “รสชาติของซอสอร่อยมาก เส้นหมี่ก็นุ่ม สิบคะแนนเต็ม”
“คะแนนสูงจัง ?”
“สามารถกินอาหารที่องค์หญิงน้อยของเราทำด้วยตัวเองได้ ต่อให้ไม่อร่อย ก็ให้คะแนนเต็ม”
มู่เวยเวยยิ้มและหันกลับเข้าไปในครัวเพื่อหยิบถ้วยให้ตัวเอง
หลังจากสองพี่น้องกินเสร็จ ก็นอนพักผ่อนอยู่ที่ใต้ต้นองุ่น
มู่เทียนเย่นึกถึงข้อความที่เพิ่งได้รับมา และคิดว่าต้องรีบส่งมู่เวยเวยออกไปโดยเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เย่ฉ่าวเฉินมาตามหาได้
“เวยเวย คุณอยากไปประเทศไหน ? ”มู่เทียนเย่ถาม
มู่เวยเวยอึ้งไปชั่วขณะ เธอรู้ว่าพี่ชายกำลังจัดการหาที่อยู่ให้เธอ จึงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ฝรั่งเศส ครั้งก่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนคนหนึ่งอยากให้ฉันไป แต่ตอนนั้นฉันอยากจะหาคุณให้เจอก่อน ก็เลยปฎิเสธไป”
มู่เวยเวยไม่ได้บอกเหตุผลตามจริง เธอกลัวว่าพี่ชายจะรู้สึกผิด
“ตกลง อีกสองวัน พี่ชายจะส่งคุณไปฝรั่งเศส”
“ทำไมเร็วอย่างนี้ ?”มู่เวยเวยประหลาดใจเล็กน้อย
มู่เทียนเย่มองเธอด้วยความงงงวย “รีบไหม ? หรือว่าคุณอยากอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวัน ?”
มู่เวยเวยส่ายหัว “ไม่ใช่ ก็แค่พวกเราสองพี่น้องเพิ่งเจอกันไม่กี่วันเอง ฉันทำใจไม่ได้ที่จะห่างคุณ”
มู่เทียนเย่ยื่นมือออกไปลูบหัวเธอและยิ้มอย่างอ่อนโยน “เด็กโง่ รอพี่ชายจัดการเรื่องทางนี้ให้เรียบร้อยแล้ว พี่ก็ตามจะไปเยี่ยมเธอ”
“ตกลง ถ้าอย่างนั้นคุณต้องรักษาสัญญาด้วยนะ”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว” มู่เทียนเย่มองไปที่มู่เวยเวยที่ยังคงเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก เมื่อคิดถึงเรื่องที่เธอประสบพบเจอมา ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดและพูดว่า“ เวยเวย พี่ขอโทษเธอนะ ตอนที่พ่อแม่เสียชีวิต ผมรับปากว่าจะดูแลคุณอย่างดี ไม่คิดเลยว่า ไม่เพียงแต่ผมไม่ได้ดูแลคุณแล้ว ยังให้คุณ…..”
สิ่งที่มู่เวยเวยกลัวที่สุดก็คือเห็นเขาโทษตัวเอง จึงรีบพูดขึ้นมาว่า“ พี่ คุณอย่าพูดแบบนั้น ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าให้คุณปลอดภัย คุณดูฉันตอนนี้สิ ก็สบายดีไม่ใช่เหรอ ?”
มู่เทียนเย่เห็นว่าเธอไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ จึงทำตามคำพูดของเธอ “ใช่แล้ว น้องสาวของผมเยี่ยมมากเลย ได้ตีพิมพ์นิตยสารแฟชั่นแล้ว เป็นความสมหวังของพ่อแม่จริงๆ”
“คุณเห็นแล้ว ? เห็นจากที่ไหน ?” มู่เวยเวยถามด้วยความดีใจ ในตอนนั้นนิตสารพวกนั้นก็เพื่อทำให้เขาได้เห็น ไม่คิดเลยว่าเขาจะเห็นมันจริงๆ
“วงการแฟชั่นใหญ่แพร่หลายขนาดนี้ ตอนที่ผมกินข้าวอยู่ที่อเมริกา บนโต๊ะอาหารก็มีหนังสือยู่เล่มหนึ่งพอดี ผมเปิดไปมาก็ตกใจ นี่ไม่ใช่น้องสาวของผมเหรอ” เป็นเพราะนิตยสารเล่มนั้น เขาถึงค่อยๆได้ยินเรื่องราวของเธอ จนในที่สุดก็ตัดสินใจ กลับมาทันที
มู่เวยเวยหันไปมองมู่เทียนเย่ และถามเขาว่า “พี่ชาย สองสามวันมานี้ฉันมีเรื่องจะถามคุณ ช่วงที่คุณอยู่ที่อเมริกา……”
“เวยเวย เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะคุณแค่จำไว้ว่า ต่อไปพวกเราสองพี่น้องจะอยู่ด้วยกันอย่างสงบไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ”มู่เทียนเย่ไม่อยากบอกเรื่องราวที่เปื้อนเลือดให้กับเธอ เธอเป็นนางฟ้า ต้องอยู่บนสวรรค์ เรื่องราวนรกพวกนี้เขารับมันไว้เพียงคนเดียวก็พอแล้ว
มู่เวยเวยพยักหน้า “อืม ฉันรู้แล้ว”
……
ผ่านไปอีกวัน เย่ฉ่าวเฉินผู้ซึ่งตกอยู่ในความวิตกกังวลกินข้าวไปได้เพียงสองคำ ก็โยนตะเกียบลงบนโต๊ะ
ในขณะเดียวกัน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เขาเพียงเหลือบไปมอง จากนั้นก็ลุกขึ้นด้วยความตึงเครียด
เป็นพี่สาม
เขากดปุ่มรับสายอย่างประหม่า สูดหายใจเข้าลึกๆและแสร้งทำเป็นพูดด้วยเสียงเป็นปกติ “พี่สาม”
“ฉ่าวเฉิน คนของฉันเจอมู่เทียนเย่ที่แถบเมือง S และเมือง A แล้ว เป็นยังไงบ้าง ? จะให้ฉันขึ้นไปเอาตัวทั้งสองคนแล้วมัดส่งไปให้คุณไหม ?”
เย่ฉ่าวเฉินรีบลุกจากเก้าอี้ และเดินไปที่โรงรถ และพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ไม่ต้อง ไม่ต้อง รบกวนพี่สามเกินไปแล้ว ขอแค่คุณช่วยผมจับตามองก็พอแล้ว”
“เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องกังวล ถ้าอยู่ในเขตของฉันไปหายไปไหนหรอก”
“ขอบคุณมากครับพี่สาม ผมจะไปเมือง S เดี๋ยวนี้”
หลังจากวางสาย เย่ฉ่าวเฉินก็พบว่ามือของตัวเองกำลังสั่นอยู่ หาเจอแล้ว ในที่สุดก็หาเจอแล้ว
มู่เวยเวย คุณทำให้ผมหาอย่างยากลำบากมากนะ
พระเจ้ารู้ดีว่าสองสามวันมานี้เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ ทันทีที่หัวแตะหมอนก็เห็นเงาด้านหลังที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยวของเธอ ยังมีคำลานั่นอีก ชีวิตนี้ขอย่าเจอกันอีกเลย
แต่ว่า มู่เวยเวย ในชีวิตนี้มันไม่ง่ายเลยที่ผมจะชอบใครสักคน แล้วจะให้ปล่อยไปง่ายๆแบบนี้ได้อย่างไร ?
“คุณชาย ให้ผมขับรถเถอะ ”เมื่อจางเห่อเห็นอาการของเย่ฉ่าวเฉินไม่ค่อยดี จึงแนะนำเขา “คุณไม่ได้นอนมาหลายวันแล้ว ในเมื่อตอนนี้มีข่าวของคุณหนูแล้ว คุณอย่าเพิ่งรีบร้อนเลย นอนพักที่เบาะหลังสักครู่เถอะ”
ในตอนที่ไม่มีข่าวของมู่เวยเวย เขาไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่นิด ตอนนี้พบเบาะแสแล้ว ในที่สุดในใจเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย และความเหนื่อยล้าก็เข้ามาครอบงำทันที
เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า และเข้าไปนั่งเบาะหลัง “ถ้ามีข่าวจากพี่สาม รีบปลุกฉัน”
“ทราบแล้วครับคุณชาย” จากเห่อเข้าไปนั่งที่นั่งคนขับ สตาร์ทรถและตรงไปที่เมือง S ในทันที
ในหมู่บ้านเล็กๆ มู่เวยเวยกำลังเตรียมรูปภาพที่มู่เทียนเย่เอามาจากบ้าน เครื่องบินเป็นไฟท์บ่าย เธอต้องการเอารูปสองสามใบไปฝรั่งเศสด้วย
“เก็บกระเป๋าเดินทางไปถึงไหนแล้ว ?” มู่เทียนเย่ยืนพิงประตูถาม
มู่เวยเวยนั่งยองๆบนพื้นโดยไม่หันศีรษะกลับมา “ฉันไม่มีกระเป๋าเดินทางอะไรหรอก ถ้าต้องการอะไรก็ซื้อที่นู้นเอา ฉันมาเลือกรูปไปสองสามใบ”
“งั้นถ้าคุณเลือกเสร็จแล้วพวกเราออกเดินทางกัน”
มู่เวยเวยถามอย่างสงสัย “เอ๊ะ ? เครื่องบินไม่ใช่ห้าโมงเย็นเหรอ ? ทำไมต้องอกเร็วขนาดนี้ ?”
มู่เทียนเย่พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ผมกลัวว่ารถจะติด จากที่นี่ไปสนามบินยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก”
“อ่อ โอเค อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
มู่เทียนเย่ลงไปข้างล่าง ที่เขาไม่ได้บอกมู่เวยเวยก็คือ เขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันตรายรอบตัว เขารู้สึกเหมือนถูกฝูงคนรายล้อมเขาไว้
ถึงแม้ว่าเข้าจะไม่เห็นใคร แต่ความรู้สึกของเขานั้นเฉียบคมเสมอ
เมื่อลงไปได้สองขั้น ก็ได้ยนเสียงดัง ตุบ มาจากข้างหลัง เขารีบหันหลังวิ่งไปดู ก็พบว่ามู่เวยเวยทรุดตัวลงกับพื้น และเป็นลมไป
“เวยเวย——เวยเวย——”มู่เทียนเย่กอดเธอและร้องเรียกด้วยความกัววลใจ แต่มู่เวยเวยก็ไม่ตอบสนองอะไรกลับมา
“ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะพาคุณไปโรงพยาบาล” มู่เทียนเย่อุ้มเธอขึ้นมาและรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง
รถของมู่เทียนเย่วิ่งไปบนถนนด้วยความเร็ว จากที่นี่ไปถึงโรงพยาบาลขับรถอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง มู่เทียนเย่มองไปที่น้องสาวที่หลับด้วยความกังวล จนเขาไม่ทันสังเกตเห็นรถสองสามคันที่วิ่งตามมา
ในขณะเดียวกัน รถของเย่ฉ่าวเฉินกำลังออกจากเมือง A และเข้าสู่เมือง S
เวลานี้ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
ไม่ต้องรอให้จางเห่อปลุกเขา เยฉ่าวเฉินก็ลืมตาขึ้นมาดู เมื่อเห็นเป็นเบอร์ของพี่สาม เขาก็รู้สึกตัวขึ้นมาทันที
“พี่สาม เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ ?”
“มู่เทียนเย่พาภรรยาของคุณออกจากที่พักไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ไปสนามบิน แต่เข้าไปในเมือง ไม่รู้ว่าไปทำอะไร ฉันกำลังตามหลังไปอยู่”
เย่ฉ่าวเฉิกตกใจเล้กน้อย“ พี่สาม คุณไปด้วยตัวเอง ?”
“นี่ไม่ใช่น้องของฉันรึไง ฉันต้องมาด้วยตัวเองอยุ่แล้ว พอดีกับช่วงนี้ว่างๆอยู่ด้วย ก็เลยออกมายืดเส้นยืดสายหน่อย”
เย่ฉ่าวเฉินไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีกนอกจากคำว่าขอบคุณ
“ตอนนี้คุณถึงไหนแล้ว ?” พี่สามถาม
เย่ฉ่าวเฉินมองไปนอกรถ “เข้าเมือง S แล้ว อีกเดี๋ยวก็จะถึงเมือง C แล้ว”
“ตกลง ติดต่อกัยไว้แบบนี้นะ ”
จู่ๆพี่สามวางโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เพราะเขาพบว่า รถของมู่เทียนเย่ที่อยู่ด้านหน้ากำลังพยายามกำจัดเขา
มู่เทียนเย่คนนี้ไหวพริบดีนี่ เพียงแปปเดี๋ยวก็รู้สึกถึงพวกเขาแล้ว ?
อย่างไรก็ตาม ในเมือง S นี้ ถ้าอยากกำจัดเขา ก็คงเป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อฝัน
หลังจากมู่เทียนเย่ขับไปตามถนนสายหลักหลายเส้นแล้ว แต่ก็พบว่าไม่สามารถสลัดหลุดเลยได้
ช่างเถอะ ตอนนี้ชีวิตของมู่เวยเวยสำคัญที่สุด ถึงแม้ว่าจะถูกพวกเขาเจอ เขาก็ไม่เชื่อว่าตัวเขาจะปกป้องน้องสาวตัวเองไม่ได้
เมื่อเห็นสัญลักษณ์ของโรงพยาบาลจากระยะไกล จิตใจของมู่เทียนเย่ก็สงบลงมาก
ด้านหลังตามมาด้วยพี่สาม เขาเห็นมู่เทียนเย่ขับรถเข้าไปในโรงพยาบาลเทศบาลเมือง ในใจก็เกิดคำถามขึ้นมากมาย หรือว่าพี่หรือน้องจะป่วย ?
ในไม่ช้า เขาก็เห็นมู่เทียนเย่อุ้มมู่เวยเวยที่หมดสติออกมาจากรถ และรีบวิ่งเข้าไปในห้องฉุกเฉิน