น้องสะใภ้ป่วยจริงๆ
รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรแจ้งเย่ฉ่าวเฉิน
” ฉ่าวเฉิน นายรีบตรงมาที่โรงพยาบาลเพื่อประชาชนในเมือง C เลย น้องสะใภ้เหมือนจะเป็นลม มู่เทียนเย่พาเธอมาโรงพยาบาล ”
” โอเค ผมรู้แล้ว ” เย่ฉ่าวเฉินวางสาย เหงื่อออกเต็มฝ่ามือไปหมด ” จางเห่อ ไปโรงพยาบาลเพื่อนประชาชนในเมือง C ”
มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเธอ? ทำไมเธอถึงเป็นลมไปได้?
ในโรงพยาบาล หลังจากที่คุณหมอทำการตรวจร่างกายของมู่เวยเวยอย่างละเอียดแล้ว คุณหมอก็ได้แจ้งเรื่องที่น่าตกใจมากกับมู่เทียนเย่ ” อ้อ เธอกำลังตั้งครรภ์ ”
” คุณพูดว่าอะไรนะ? ” มู่เทียนเย่เบิกตากว้างและไม่อยากจะเชื่อในสิ่งหูที่ตัวเองได้ยิน
คุณหมอได้พูดประโยคนั้นซ้ำอีกรอบ แต่ว่าท่าทีคุณหมอดูดีใจมาก ” เธอตั้งครรภ์ได้เดือนกว่าแล้ว คุณคือ……”
” ฉันเป็นพี่ชายของเธอ ” มู่เทียนเย่รีบอธิบายถึงสถานะของเขา
คุณหมอมองเขาด้วยสายตาที่เป็นอ่อนโยนมากกว่าเดิม ” น้องสาวคุณมีสภาวะโลหิตจางที่ค่อนข้างรุนแรง อาจจะเป็นเพราะว่านั่งยองๆมากไป พอลุกขึ้นกะทันหันเลยทำให้เป็นลม สำหรับคนท้องต้องให้ความสำคัญกับโลหิตด้วยนะคะ ถ้าไม่อย่างนั้นจะมีปัญหาหลายอย่างตามมา และหลังจากเด็กคลอดแล้วเด็กก็จะสุขภาพอ่อนแอและป่วยง่าย……”
คุณหมอยังคงพูดอธิบายต่างๆนาๆ แต่ว่าประโยคหลังพวกนั้นมู่เทียนเย่ไม่ได้ฟังเลย ในสมองเขายังวนเวียนกับแค่คำว่า เธอตั้งครรภ์
มองดูมู่เวยเวยที่นอนไม่ได้สติบนเตียงผู้ป่วย ในใจของมู่เทียนเย่ทั้งโกรธและเจ็บใจ เรื่องที่เขาโกรธก็คือน้องสาวเธออยู่บ้านตระกูลเย่มานานขนาดนี้ แต่เย่ฉ่าวเฉินกลับดูแลเธอไม่ดีปล่อยให้เธอโรคโลหิตจาง แต่ที่เจ็บใจคือ กว่าจะหนีออกจากหลุมนรกตระกูลเย่นั่นได้มันไม่ง่ายเลย แต่กลับมาตั้งท้องลูกของไอ้เวรนั้นอีก
แน่นอนว่าถ้ามีลูกขึ้นมา ความสัมพันธ์ของตระกูเย่และตระกูลมู่ก็จะตัดขาดกันไม่ได้ และมู่เวยเวยก็ไม่มีวันที่จะตัดขาดความสัมพันธ์กับเย่ฉ่าวเฉินได้
โอ้พระเจ้า เด็กคนนี้ทำไมต้องมาในเวลาที่ไม่เหมาะสมแบบนี้?
หลังจากคิดเรื่องเครียดๆนานกว่าสิบนาที มู่เวยเวยก็ฟื้นขึ้นมา
แต่ในตอนนี้ รถของเย่ฉ่าวเฉินก็มาถึงโรพยาบาลแล้วเช่นกัน จางเห่อยังจอดรถไม่ทันจะสนิท เย่ฉ่าวเฉินก็เปิดประตูรถแล้ววิ่งไปหาพี่ชายสามที่กำลังดูดบุหรี่อยู่
” พี่สาม พวกเขาอยู่ไหน? ” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างกระวนกระวาย
พี่ชายสามชี้ไปที่แผนกฉุกเฉิน และเหลือบมองหนวดเคราของเย่ฉ่าวเฉิน ” ยังไม่ออกมา แต่ว่า ทำไมนายถึงทำให้ตัวเองอยู่ในสภาพแบบนี้ได้
เย่ฉ่าวเฉินตบไหล่พี่ชายสามแล้วพูดว่า ” ครั้งนี้ต้องขอบคุณพี่มากๆ เรื่องนี้ไว้ว่างๆแล้วผมจะเล่าให้ฟัง ผมขอเข้าไปหาพวกเขาก่อน ”
” นายไปเถอะ ฉันขอดูดบุหรี่ให้เสร็จก่อน ”
เย่ฉ่าวเฉินไม่มีเวลาชักช้า เขารีบก้าวขาออกไป
” คุณผู้หญิงที่เป็นลมเมื่อกี้อยู่ไหน? ” เย่ฉ่าวเฉินถามพยาบาล
พยาบาลสาวกำลังจัดแจงยาอยู่ที่ตู้ยาเลยไม่ได้สนใจเขา พูดโดยที่ยังหันหลังให้เขาว่า ” ตอนนี้พักอยู่ที่ห้องผู้ป่วยฉุกเฉินชั่วคราว เชิญคุณไปหาเธอที่นั่น ”
เขาเดินผ่านห้องผู้ป่วยทีละห้อง จนกระทั่งห้องผู้ป่วยที่สี่ เขาหยุดเดินและมองเห็นมู่เทียนเย่ผ่านกระจกประตู มู่เวยเวยนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย มองไม่เห็นหน้าของเธอ มองเห็นเพียงขาคู่นั้นของเธอ
ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือควรโกรธดี เย่ฉ่าวเฉินพยายามจัดการอารมณ์ตัวเอง และในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตูเข้ามา คำพูดของพวกเขาทั้งสองก็ทำให้เย่ฉ่าวเฉินตะลึง
มู่เวยเวยพูดด้วยความตกใจ ” พี่ชาย พี่ไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม? ฉันท้องจริงๆหรอ? ”
มู่เทียนเย่ถอนหายใจ ” เรื่องแบบนี้ฉันจะโกหกได้ยังไง คุณหมอเป็นคนพูดเอง เธอท้องได้หนึ่งเดือนแล้ว ”
มู่เวยเวยอึ้งไปนานมาก ในสมองว่างเปล่าและไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
สำหรับเธอแล้วเรื่องนี้ก็เหมือนฟ้าผ่าเข้ากลางอกที่ไม่แตกต่างไปจากครั้งที่แล้วเลย
เธอเกลียดเย่ฉ่าวเฉิน เธอไม่ต้องการให้กำเนิดลูกของเขาเลย
มู่เทียนเย่มองน้องสาวที่กำลังอึ้งอยู่แล้วพูดปลอบโยนเธอ ” คุณหมอบอกว่าที่เธอเป็นลมไปก็เพราะว่าเธอมีภาวะโลหิตจางอย่างรุนแรง แต่ว่าเธอไม่ต้องกังวลนะกินอาหารที่บำรุงเลือดให้มากๆมันก็จะดีขึ้น……”
มู่เวยเวยไม่ได้ยินสิ่งที่พี่ชายพูดเลย เธอหลุดเข้าไปอยู่ในโลกความคิดของตัวเอง และเธอก็พึมพำออกมา ” ไม่น่าล่ะ ฉันมักจะฝันว่างูเล็กมารัดขาฉันอยู่บ่อยๆ รสชาติอาหารของตัวเองยังเปลี่ยนไปอย่างน่าแปลกใจอีก อยากกินของเผ็ดของเปรี้ยวตลอดเวลา ที่แท้ก็เพราะ……
แต่ว่าตอนนี้……
เย็นนี้เธอก็จะไปประเทศฝรั่งเศสแล้ว แต่กลับมาบอกว่าเธอท้องตอนนี้ นี่ฟ้ากำลังล้อเธอเล่นใช่ไหม?
มู่เทียนเย่ไม่ได้รบกวนเธอ ปล่อยให้เธออยู่กับตัวเองไปสักพัก จากนั้นค่อยพูดขึ้นว่า ” เวยเวย ถึงแม้ว่าพี่กับเย่ฉ่าวเฉินจะมีเรื่องบาดหมางกัน แต่ว่าเด็กคนนี้เป็นลูกคนแรกของเธอ ในตัวเขาก็มีเลือดตระกูลมู่ไหลอยู่ ถ้าเธออยากเก็บเด็กคนนี้ไว้ พี่ก็จะมองเขาเป็นคนของตระกูลมู่ แล้วเลี้ยงเขาให้เติบโตมาอย่างดี……”
มู่เทียนเย่พูดถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่มู่เวยเวยเข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ ถ้าเธอไม่อยากเก็บเด็กคนนี้ไว้ ก็ไปกำจัดออก
” เวยเวย พี่เคารพในการตัดสินใจของเธอ ไม่ว่าเธอจะเลือกยังไง พี่จะสนับสนุนเธอเสมอ อย่ารู้สึกกดดันล่ะ ”
อากาศหยุดนิ่ง
เย่ฉ่าวเฉินที่ยืนฟังอยู่หน้าประตูจากที่ตกใจก็เปลี่ยนเป็นดีใจ เขาจะมีลูกแล้ว เขากำลังจะเป็นพ่อคน!
แต่ว่าพึ่งจะดีใจได้ไม่นาน ก็โดนคำพูดของมู่เวยเวยมาทำลายความรู้สึกนี้ไป
” พี่ชาย ฉันไม่ต้องการเด็กคนนี้ ” มู่เวยเวยพูดนิ่งๆ
มู่เทียนเย่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะเสียใจหรือว่ารู้สึกโชคดี ถามเธอว่า ” ทำไมถึงไม่ต้องการ? ”
มู่เวยเวยลูบท้องแล้วพูดเบาๆว่า ” เด็กควรจะเกิดจากความรัก แต่ว่า ฉันไม่ได้รักเย่ฉ่าวเฉิน และไม่มีวันรัก ถ้าเกิดว่าเด็กคลอดออกมาแล้ว เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในความเกลียดชังกันของพ่อแม่หรอ? ในเมื่อฉันไม่สามารถให้ความรักและครอบครัวที่สมบูรณ์แบบกับเขาได้ แล้วทำไมต้องพาเขามายังโลกนี้ด้วยล่ะ?อีกทั้ง……อีกทั้งฉันไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับเย่ฉ่าวเฉินเพราะการมาของเด็กคนนี้ ฉันเหนื่อยมากแล้วจริงๆ……”
มู่เทียนเย่รู้สึกโล่งใจ ” เธอตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม? ”
” อือ ตัดสินใจดีแล้ว ”
มู่เวยเวยพึ่งจะพูดจบ ประตูก็ถูกเปิดออก จนประตูกระแทกกับกำแพงอย่างแรง
มู่เทียนเย่รีบลุกไปบังตัวมู่เวยเวยไว้ตามสัญชาตญาณ
” ลูกของเย่ฉ่าวเฉิน เธอบอกว่าไม่ต้องการก็ไม่ต้องการงั้นหรอ? ” เย่ฉ่าวเฉินโกรธมาก และมองสองพี่นั่นด้วยสายตาที่โกรธ
มู่เทียนเย่ไม่ได้ตกใจมากนัก ตั้งแต่เขารู้ตัวว่ามีคนสะกดรอยตามเขา เขาก็รู้อยู่แล้วว่าต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้
” เย่ฉ่าวเฉิน เคลื่อนไวเร็วดีนี่ ” มู่เทียนเย่มองหน้าเขาและแสยะยิ้ม
เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วเลี่ยงสายตามามองมู่เวยเวยที่สีหน้าซีดเซียว พูดอย่างกัดฟัน ” เด็กคนนี้เป็นคนของตระกูลเย่ เธอจำเป็นต้องคลอดเขาออกมา ”
มู่เวยเวยแสยะยิ้มแล้วมองหน้าเขา ” เด็กคนนี้ก็เป็นของฉันเหมือนกัน ฉันมีสิทธิ์ว่าจะให้เขาอยู่หรือไป ”
” ไม่มีลายเซ็นรับรองของฉัน ฉันก็จะรอดูว่าจะมีหมอคนไหนกล้าทำแท้งให้เธอ ” เย่ฉ่าวเฉินกำหมัดแน่น ดวงตาสีฟ้าของเขาถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงก่ำซึ่งดูน่ากลัวมาก
” บางทีฉันอาจจะกลิ้งตกบันไดเหมือนเฉียวซินโยวในครั้งนั้นก็ได้……”
” มู่เวยเวย เธอห้ามพูดแบบนี้ และห้ามทำเรื่องแบบนั้นด้วย! ” เย่ฉ่าวเฉินต่อยลงบนเตียงผู้ป่วยด้วยความหงุดหงิด เขารู้ว่าเธอเป็นคนเด็ดเดี่ยว เธอกล้าพูดก็กล้าทำ
ตาของมู่เทียนเย่หรี่ลงเล็กน้อย เด็กคนนี้ เธอต้องห้ามทำเรื่องแบบนั้นเด็ดขาดนะ
ทั้งสามคนตกอยู่ในความเงียบ เย่ฉ่าวเฉินพยายามข่มอารมณ์โกรธของตัวเองไว้ มองตามู่เวยเวยแลพูดว่า ” กลับไปกับฉัน เรื่องที่ผ่านมาฉันจะไม่เอาเรื่อง ”
มู่เวยเวยหันหน้าหนี เธอไม่อยากกลับไปสถานที่ที่เลวร้ายแบบนั้น
มู่เทียนเย่ยืนกอดอก ยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า ” เย่ฉ่าวเฉิน มีฉันอยู่ตรงนี้นายอย่าได้คิดจะเอาตัวน้องสาวฉันไปได้ ”
” เธอเป็นภรรยาของฉัน ” เย่ฉ่าวเฉินพูดเสียงแข็ง
ถ้าเย่ฉ่าวเฉินไม่พูดคำนี้มันจะดีมาก พอเขาพูดความโกรธของมู่เทียนเย่ก็ถูกจุดประกายขึ้นมา ” ภรรยา? เย่ฉ่าวเฉินนายคิดไปเองหรือเปล่าว่าเป็นสามีของน้องสาวฉัน? ตั้งแต่ที่นายแต่งงานกับเธอวันแรกมีวันไหนบ้างที่นายเห็นเธอเป็นภรรยา ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอดวงแข็ง ฉันยังจะเจอหน้าเธออยู่ไหม? ตอนนี้มีหน้ามาพูดคำนี้ต่อหน้าฉันหรอ? นายมีค่าพอหรอ? ”
เย่ฉ่าวเฉินโดนมู่เทียนเย่ด่าจนไม่มีอะไรจะพูด
” ใช่ นายกับฉันเรามีเรื่องบาดหมางกัน นายอยากจะฆ่าฉันเพื่อแก้แค้นให้มู่ฉ่าวเหยียน นี่เป็นเรื่องที่ฉันเข้าใจได้เพราะมันเป็นเรื่องของลูกผู้ชาย แต่นานกลับดึงเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังเรียนหนังสืออยู่มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย เพื่ออะไร? นายแต่งงานกับเธอ นายจะทำให้เธอมามลทินฉันไม่ว่า นายละเลยเธอได้ ใช้เธอเป็นเหยื่อล่อก็ได้ แต่ทำไมนายต้องทำร้ายเธอด้วย? ตอนที่นายทำร้ายเธอ นายเคยคิดบ้างไหม ว่านายเป็นผู้ชาย แต่เธอเป็นเพียงเด็กสาวที่ไร้ทางสู้ตัวคนเดียวเท่านั้น? เธอก็เคยเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ฉัน แล้วทำไมเธอต้องโดนนายทำร้ายเพราะเรื่องระหว่างเราสองคนด้วย? เย่ฉ่าวเฉิน นายยังเป็นลูกผู้ชายอยู่ไหม?
มู่เวยเวยฟังทุกคำพูดของพี่ชายเธอ เธอก็คิดถึงเรื่องราวต่างๆนานาที่เกิดขึ้น น้ำตาของเธอก็ไหล
เธอคิดว่าเธอแข็งแกร่งมาก เธอสามารถทำเป็นเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นได้ แต่การปรากฏตัวของมู่เทียนเย่ทำลายความหลอกตัวเองของเธอ จริงๆแล้วเธอไม่ได้แข็งแกร่งเลย เธอเพียงแค่สร้างเกราะกำบังมาเพื่อปกป้องตัวเองไม่ให้โดนทำร้าย
ตังแต่ก้าวขาเข้าตระกูลเย่ เธอก็ไม่เหลือที่พึ่งใดๆ เธอค่อยๆเรียนรู้ที่จะเอาเรื่องที่โดนทำร้ายเก็บซ่อนไว้ในใจ เพราะว่าเธอกลัวว่าพูดออกมาแล้ว ก็ไม่มีใครจริงใจกับเธอ
ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว มู่เทียนเย่เป็นครอบครัวของเธอ เป็นที่พักผิงของเธอ เป็นคนที่บังแดดบังฝนมาให้เธอตั้งแต่เล็กจนโต แค่อยู่ใต้ร่มเงาของเขาเท่านั้น เธอถึงจะกลับไปเป็นเด็กสาวคนเดิมได้ เธอถึงจะปล่อยวางเรื่องที่ผ่านมาได้
เย่ฉ่าวเฉินที่โกรธมากจนอยากจะฆ่าคนเมื่อกี้ ตอนนี้กับนิ่งเงียบ เพราะว่าสิ่งที่มู่เทียนเย่พูดมันเป็นความจริงที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่ว่าที่ทำให้เขาเสียใจมากก็คือน้ำตาของมู่เวยเวย น้ำตาทุกหยดของเธอทำให้ใจของเขาเจ็บปวดมาก
เขาอยากจะเดินเข้าไปเช็ดน้ำตาให้เธอด้วยตัวเอง แต่ว่าแค่ขยับตัวเขายังไม่กล้า
มู่เทียนเย่ดึงตัวเธอมากอดในอ้อมแขนของเขา ลูบหลังเธอ แล้วพูดปลอบเธอว่า ” ไม่เป็นไรแล้ว เป็นความผิดของพี่เอง ที่ทิ้งให้เธออยู่เมือง A คนเดียว ทั้งหมดเป็นความผิดของพี่……”
เสียงร้องไห้ของมู่เวยเวยยิ่งอยู่ยิ่งดัง ราวกับว่าจะร้องไห้ออกมากับสิ่งที่เธอทุกข์ทรมานมาตลอดทั้งปี
เย่ฉ่าวเฉินฟังเสียงร้องไห้ของเธอแล้ว ในใจของเขาเจ็บมาก เขาไม่เคยเห็นมู่เวยเวยร้องไห้แบบนี้มาก่อน ความเจ็บปวดและความหดหู่ซ่อนอยู่ในหัวใจเขา
หลังจากร้องไห้ไปนาน มู่เวยเวยก็ค่อยๆหยุดร้องไห้ เธอเอาตัวออกจากอ้อมกอดของมู่เทียนเย่ ตาของเธอแดงมาก
” เย่ฉ่าวเฉิน……คุณ……คุณไปเถอะ…..ฉันไม่มีวันกลับไปกับคุณหรอก ” มู่เวยเวยพูดแบบสะอึกสะอื้น
เย่ฉ่าวเฉินเจ็บใจก็เจ็บใจ แต่เรื่องนี้เขาจะไม่ยอมถอย
” เวยเวย ฉันไม่ยอมปล่อยเธอไปหรอก โดยเฉพาะตอนนี้ เธอท้องลูกของฉันอยู่ ฉันยิ่งปล่อยเธอไปไม่ได้ ” เย่ฉ่าวเฉินหยุดคิดสักพัก แล้วมองหน้ามู่เทียนเย่พูดว่า ” เรื่องที่ผ่านมาเป็นความผิดของฉัน ต่อจากนี้ฉันจะดูแลเธอให้ดี ”
มู่เทียนเย่อึ่้ง ไม่คิดว่าเขาจะเอ่ยปากขอโทษ
แต่ว่าขอโทษแล้วยังไง? มันไม่สามารถชดเชยกันได้ ที่สำคัญก็ต้องอยู่ที่มู่เวยเวย
” พี่ชาย พี่พาฉันไปจากที่นี่เถอะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขา ”
พอพูดจบ มู่เวยเวยก็ลงจากเตียงและก้มใส่รองเท้า เย่ฉ่าวเฉินรีบเดินไปขวางประตูไว้ ” มีฉันอยู่นี่ทั้งคน เธอคิดว่ามู่เทียนเย่จะพาเธอไปได้หรอ? ”
มู่เทียนเย่ค่อยๆพับแขนเสื้อขึ้น ” เย่ฉ่าวเฉิร แค่นายคนเดียวคิดว่าจะขวางฉันได้หรอ? ”
” ก็ลองดู ”
หมัดที่ดุเดือดของทั้งคู่ต่อยไปที่หน้าของฝ่ายตรงข้าม เย่ฉ่าวเฉินหลบได้ในชั่วพริบตา ทั้งสองต่อยกันอย่างดุเดือน มู่เทียนเย่อยากจะแก้แค้นให้น้องสาว จึงต่อยเข้าไปที่หน้าของเย่ฉ่าวเฉินอย่างหนัก
เย่ฉ่าวเฉินเองก็ไม่อ่อนข้อ คิดถึงเรื่องที่น้องชายเขาต้องลำบากเพราะเขา ก็ออกหมัดไม่ยั้ง
มู่เวยเวยที่ก้มลงใส่รองเท้าอยู่ พอเงยหน้าขึ้น ทั้งสองคนก็เปิดศึกกันแล้ว เธอตะลึงไปเลย ทำไมถึงได้ต่อยกันจริงจังขนาดนี้? ”
ทั้งเย่ฉ่าวเฉินและมู่เทียนเย่ต่างก็เป็นคนที่ชำนาญในเรื่องการต่อสู้ และรู้จุดอ่อนของกันและกันเป็นอย่างดี เพียงเวลาสั้นๆ เนื้อตัวของทั้งสองก็เต็มไปด้วยเลือด
” หยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้ ” มู่เวยเวยกลัวว่าพี่ชายจะบาดเจ็บ เลยตะโกนออกมา
แต่ว่าทั้งสองต่างเป็นคนที่โหดเหี้ยม และในใจก็โกรธแค้นกันอยู่แล้ว จะยอมหยุดเพราะคำพูดไม่กี่คำของเธอได้ยังไงกันล่ะ?
ทั้งเย่ฉ่าวเฉินและมู่เทียนเย่ต่างก็เป็นคนที่ชำนาญในเรื่องการต่อสู้ และรู้จุดอ่อนของกันและกันเป็นอย่างดี เพียงเวลาสั้นๆ เนื้อตัวของทั้งสองก็เต็มไปด้วยเลือด
เสียงดังเอะอะโวยวาย ทั้งหมอและพยาบาลต่างก็ได้ยินแต่กลับไม่มีคนวิ่งมาดู จนกระทั่งพี่ชายสามกับจางเห่อวิ่งมา
” โอ้ ต่อยกันดุเดือดขนาดนี้เลย? ” พี่ชายสามยืนดูอยู่ตรงหน้าประตู จางเห่อกังวลมาก แต่ก็ไม่อยากสร้างปัญหาต่อหน้าเขา ” ท่านช่วยห้ามหน่อยได้ไหม เผื่อว่าคุณชายจะได้รับบาดเจ็บ……”
พี่ชายสามพูดอย่างสบายๆว่า ” อยากมากก็แค่แขนขาหัก รักษาที่บ้านไม่กี่วันก็หายดีแล้ว จะกลัวอะไร ”
จางเห่อพอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็ยิ่งกังวล
การต่อสู้ครั้งนี้จบลงที่เท้าของมู่เทียนเย่เหยียบตรงหน้าอกของเย่ฉ่าวเฉิน เขาไม่ได้กินไม่ได้นอนมาหลายวัน จะเอาแรงที่ไหนมาสู้กับมู่เทียนเย่ได้
” วันนี้แค่สั่งสอนนายนะ เรื่องอื่นฉันจะกลับมาคิดบัญชีนายทีหลัง ” มู่เทียนเยาเช็ดเลือดที่มุมปาก และปล่อยเย่ฉ่าวเฉิน
มู่เวยเวยเห็นว่าทั้งสองคนหยุดต่อยกันแล้ว จึงวิ่งเข้าไปหาพี่ชาย ” พี่ แขนของพี่……”
มู่เทียนเย่ก้มชำเลืองดูบาดแผลที่โดนเย่ฉ่าวเฉินฝากไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้และมีเลือดไหลออกมา
” ไม่เป็นไหร่ แผลแค่นี้ทายาก็หายแล้ว ” มู่เทียนเยาจับมือมู่เวยเวย ” เราไปกันเถอะ ”
หน้าประตู พี่ชายสามไม่มีทีท่าจะเปิดทางให้
แน่นอนว่ามู่เทียนเย่ต้องรู้จักคนตรงหน้า แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเย่ฉ่าวเฉินจะเป็นมิตรกับเขา ถ้ารู้แบบนี้แต่แรกเขาคงไม่มาอยู่ในจังหวัด S หรอก
” อยากไป? ต้องถามฉันก่อนว่าฉันอนุญาตไหม? ” พี่ชายสามยืนกอดอก แล้วมองหน้าเขา
” คุณชายสาม นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัว หวังว่าท่านจะไม่ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้อง ” ถือว่ามู่เทียนเย่พูดด้วยความเกรงใจแล้ว
พี่ชายสามมองหน้าเย่ฉ่าวเฉินที่อยู่ข้างหลังแล้วพูดว่า ” เขาเป็นน้องชายฉัน เรื่องของเขาก็เหมือนเรื่องของฉัน นายคิดว่าฉันควรจะยุ่งไหม? ”
มู่เทียนเย่สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า “คุณชายสาม เราสองคนก็ไม่ได้มีเรื่องโกรธเกลียดกัน ทำไมต้องกดดันฉันมากขนาดนี้ด้วย? ”
พี่ชายสามชูมือขึ้น ” ฉันก็ไม่อยากหรอก เอาแบบนี้ไหม ในเมื่ออยู่ในที่ที่ของฉัน นายลองฟังดูว่าความเห็นของฉันดีไหม? ”
” เชิญพูด ”
” ให้เย่ฉ่าวเฉินพาน้องสะใภ้กลับไป ฉันก็จะปล่อยนายกลับเมือง A ”
มู่เทียนเย่โกรธ มันต่างที่เย่ฉ่าวเฉินพูดตรงไหน?
” ถ้าไม่เห็นด้วยล่ะ? ”
พี่ชายสามพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ในคำพูดนั้นแฝงไปด้วยคำขู่ ” ถ้าอย่างนั้นก็ต้องปล่อยให้เย่ฉ่าวเฉินพาน้องสะใภ้กลับไป แล้สนานก็อยู่ในเมือง S ดื่มเหล้าและพูดคุยเป็นเพื่อนฉัน ”
” พี่ ฉันจะกลับไปกับเย่ฉ่าวเฉิน ” จู่ๆมู่เวยเวยก็พูดออกมา เธอดูออกว่าคนตรงหน้าร้ายกาจกว่าเย่ฉ่าวเฉินและพี่ชายเธอ เธอไม่อยากให้พี่ชายเธอตองอยู่จังหวัด S มันอันตรายเกินไป
มู่เทียนเย่หันหลังขวับ ” เวยเวย! ”
มู่เวยเวยยิ้ม ” พี่ฉันไม่เป็นไร ถึงยังไงตอนนี้ฉันก็ท้องลูกของเขาอยู่ เขาไม่ทำอะไรฉันหรอก ” เธอพูดไปด้วยและยื่นมาไปจับมือพี่ชายเธอเบาๆ
มู่เทียนเย่และมู่เวยเวยเติบโตมาด้วยกัน แน่นอนว่าเขาเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการสื่อ เหมือนประโยคที่ว่า มีลมหายใจอยู่ดีกว่าต้องเป็นวิญญาณ แต่ว่า เขาทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ
วางแผนมาตั้งนานกำลังจะสำเร็จแล้วเชียงกลับต้องกลับไปจุดเริ่มต้นใหม่ แล้วเย่กว่าเดิมอีก
” พี่ชาย ถ้าว่างก็มาหาฉันที่ตระกูลเย่บ่อยๆนะ ” มู่เวยเวยทำเป็นอ้อนและเขย่าแขนพี่ชาย
มู่เทียนเย่อดทนแล้วอดทนอีก สุดท้ายก็ยอม มองเธอแล้วพูดว่า ” กลับไปแล้วอย่าทำเรื่องอะไรโง่ๆนะ รู้ไหม? ”
มู่เวยเวยพยักหน้า ” ฉันเชื่อฟังพี่ ”
พอพูดจบ มู่เวยเวยก็เดินออกไปโดยไม่เหลียวหลังสักนิด จางเห่อรีบเดินตามเธอไป
เย่ฉ่าวเฉินจับหน้าออกไว้แล้วเดินมา ” พี่สาม……”
” พอเลย รีบตามไปเถอะ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดแล้ว ” สายตาของพี่ชายสามมองไปที่มู่เทียนเย่ ” ฉันกับเขาไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว มีเรื่องจะคุยกันหน่อย ”
เย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าเขากำลังดึงตัวมู่เทียนเย่ไว้ให้เขา เขาพยักหน้าอย่างซาบซึ้ง หันหลังแล้วเดินออกจากห้องตามมู่เวยเวยไป
……
เมือง A คฤหาสน์ตระกูลเย่
การกลับมาของมู่เวยเวยทำให้พ่อบ้านหวังและฉินหม่ารู้สึกโล่งอก พวกเขาไม่อยากจะคิด ว่าถ้ามู่เวยเวยยังไม่กลับมา เย่ฉ่าวเฉินจะไม่กินไม่นอนไปอีกนานเท่าไหร่
” คุณชาย คุณเป็นอะไร? “พ่อบ้านหวังถามเขาด้วยความกังวล และรีบโทรหาคุณหมอหานทันที
เย่ฉ่าวเฉินเขย่าแขนข้างที่เขาบาดเจ็บแล้วพูดว่า ” ไม่เป็นไร ” จากนั้นก็พูดกับฉินหม่าว่า ” ฉินหม่า ช่วงนี้ทำอาหารที่บำรุงเลือดหน่อยนะ และอาหารทั้งหมดต้องเป็นที่เหมาะกับคนท้อง ”
ฉินหม่ามองหน้าเย่ฉ่าวเฉินด้วยความดีใจ ” คุณชาย คุณหมายความว่าคุณผู้หญิง……”
” ใช่ เวยเวยท้องแล้ว ” เย่ฉ่าวเฉินเงยหน้ามองคนที่หายไปจากชั้นสองแล้ว และเขาก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ” แต่ว่าคุณหมอบอกว่าโลหิตจาง คุณรู้ไหมว่ากินอะไรถึงจะบำรุงเลือด? ”
ฉินหม่าลูบอกอย่างตื่นเต้น ” รู้ๆ ตอนที่แม่คุณท้องคุณ ก็โลหิตจางเหมือนกัน ก็เป็นฉันที่ดูแลอาหารการกินให้ท่าน คุณสบายใจได้ เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง ”
” ถ้าอย่างนั้นก็ดีมาก ฉันจะไปถามหมออีกสักหน่อย ว่ายังมีอะไรที่ต้องระวังเป็นพิเศษอีก ” เย่ฉ่าวเฉินก้าวขาออกจากคฤหาสน์ไปเบาๆ
ฉินหม่าบอกเรื่องนี้กับพ่อบ้านหวัง พ่อบ้านหวังดีใจกว่าเธออีก พูดไม่หยุดเลยว่า ” ตระกูลเย่มีคุณชายน้อยแล้ว ตระกูลเย่มีคุณชายน้อยแล้ว ”
” ถ้าไม่ใช่คุณชายน้อยล่ะ? ” ฉินหม่าเหลือบมองเขา ดูไม่พอใจกับความไม่เท่าเทียมของเขา
พ่อบ้านหวังพูดอย่างมีความสุข ” เจ้าหญิงน้อยก็ดี ” ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ” บ้านหลังนี้ที่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือการมีชีวิตชีวา ”
ฉินหม่าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน เธอพูดว่า ” คุณก็เตือนๆคุณชายบ้างนะ ให้ดีกับคุณผู้หญิงหน่อย ถ้าแต่ก่อนเขาสงบสติอารมณืตัวเองสักหน่อย เรื่องราวมันก็คงไม่เลวร้ายแบบวันนี้หรอก ”
” ทั้งหมดเกิดจากเฉียวซินโยวต่างหาก? ” เอาเถอะๆ คุณก็ลองดูซิ ช่วงนี้คุณชายดีกับคุณผู้หญิงมากขนาดไหน?
ฉินหม่ายิ้มออกมาอย่างสบายใจ ” ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ”
นอกคฤหาสน์ เย่ฉ่าวเฉินโทรหาคุณหมอหาน ” คุณรู้จักสูติยารีแพทย์ที่ดีๆไหม? ”
คุณหมอหานเป็นคนฉลาด พอได้ยินคำถาม ก็ถามออกมาทันที ” ภรรยาคุณท้องหรอ? ”
เย่ฉ่าวเฉินตอบ ” ใช่ ”
” อ้อ แบบนี้นี่เอง ฉันมีรุ่นพี่อยู่คนหนึ่ง ตอนนี้หัวหน้าแผนกสูตินาที่อยู่ที่โรงพยาบาลกลางเมือง มากประสบการณ์ ฉันให้เบอร์โทรศัพท์เธอกับคุณ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ลองโทรคุยกับเธอ
” ได้ ขอบคุณมาก ”
คุณหมอหานตกใจ คนอย่างเย่ฉ่าวเฉินพูดว่า “ขอบคุณ”? นี่ยังเป็นเย่ฉ่าวเฉินที่เขารู้จักอยู่รึป่าว?
หลังจากได้รับเบอร์โทรศัพท์ที่คุณหมอหานส่งมา เย่ฉ่าวเฉินก็โทรไปเล่าสถานการณ์ของมู่เวยเวยให้เธอฟัง รุ่นพี่หัวหน้าแผนกพูดว่า ” โลหิตจางต้องระวังมากเป็นพิเศษ เอาแบบนี้ คุณพาเธอมาทำการตรวจร่างกายให้ละเอียดที่โรงพยาบาลก่อน แล้วก็อีกอย่าง สภาพจิตใจของคนท้องก็สำคัญมาก อย่าให้เธอต้องกังวล เธอต้องมีความสุขเข้าไว้ ช่วงสามเดือนแรกเป็นช่วงที่สำคัญมาก เพราะการท้องยังไม่มั่นคง ต้องหยุดทำการบ้าน เรื่องอื่น ไว้ตรวจเสร็จแล้วค่อยว่ากัน ”
เย่ฉ่าวเฉินวางสาย เขารู้สึกกลุ้มใจ
เธอไม่อยากได้เด็กคนนี้แต่แรกแล้ว ยังต้องให้เธอท้องอย่างมีความสุขอีก?
โอ้พระเจ้า นี่มันเป็นอะไรที่ยากสำหรับเขามาก
ห้องนอนชั้นสอง
มู่เวยเวยกลับมายังห้องที่คุ้นเคย และเธอก็ยิ้มอย่างขมขื่น หลายวันก่อนเธอยังพูดอยากมั่นอกมั่นใจว่าจะไม่เจอหน้าเขาอีก นี่ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน ในท้องกลับมีเด็กเพิ่มขึ้นมาอีกคน ชาตินี้เธอจะหนีไม่พ้นมือเขาเลยหรอ?
นอนตะแคงอยู่บนเตียงด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียถาโถมเข้และหลับตาลง แต่กลับไม่รู้สึกง่วง
เสียงฝีเท้าจากไกลมาใกล้ และหยุดลง ขอบเตียงขยับเล็กน้อยจากนั้นผ้านวมก็ค่อยๆคลุมร่างของเธอ
เย่ฉ่าวเฉินเหลือบมองเธออย่างลึกซึ้งจากนั้นลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องน้ำ
หลายวันมานี้ฉันเอาแต่ตามหาเธอ แม้แต่ล้างหน้าก็ล้างด้วยความรีบร้อน หนวดเคราของก็ไม่ได้โกน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการอาบน้ำ ในที่สุดตอนนี้หัวใจของฉันก็สงบลง เขาเลยได้กลิ่นของเหงื่อบนร่างกายของตัวเอง
หลังจากล้างตัวจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็เข้านอนและไปนอนข้างๆเธอเขาอยากจะเอื้อมมือไปกอดเธอและกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา แต่เขากลัวว่าเขาจะทำร้ายเด็กด้วยการดิ้นแรงเกินไป เขาจึงยกมือขึ้นและวางไว้ที่ผมยาวสีดำของเธอ
ถึงแม้ว่าเธอจะหันหลังให้เขาแบบนี้ ตราบใดที่ยังมีเธออยู่ตรงหน้าเขาก็รู้สึกเพียงพอแล้ว
อาจจะเป็นเพราะว่าร่างกายทำงานหนักเกินไป เพียงเวลาสามสี่นาทีสั้นๆ เย่ฉ่าวเฉินก็หลับสนิทไปอย่างรวดเร็ว
มีเสียงกรนเล็กน้อยและมู่เวยเวยก็หันมามองเขา
เย่ฉ่าวเฉินผอมลงมากจริงๆ ตอนนี่หน้าของเขาเล็กมาก ผอมจนเห็นกระดูก
เขาน่าจะไม่ได้หลับไปหลายวัน
ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่สามารถกรนได้แม้ว่าเขาจะเมาเป็นครั้งคราว
เย่ฉ่าวเฉินถ้าคุณทำตัวกับฉันแบบนี้ตั้งแต่แรกฉันอาจจะหวั่นไหวกับคุณและตกหลุมรักคุณก็ได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันสายเกินไป
ในเมื่อตอนนี้ชะตากรรมมันจบลงแล้ว ทำไมต้องมายุ่งกับฉันอย่างหนัก
ไม่ สิ่งที่เธอพูดมันผิด โชคชะตามันยังไม่จบเธอยังมีเด็กคนนี้อยู่ในท้อง
จะเก็บไว้ หรือเอาเด็กออก?
ในโรงพยาบาลเธอบอกว่าเธอจะแกล้งตกบันได คำพวกนี้เป็นแค่คำพูดตอนที่เธอโมโห เธอไม่ได้โง่ขนาดนั้น นี่มันอันตรายถึงชีวิต เธอจะทำแบบนั้นได้ไง?
มันยากมากจริงๆ ใครก็ได้บอกทีว่าเธอควรทำยังไงดี?
เย่ฉ่าวเฉินนอนหลับสนิทมาก และเมื่อเขาตื่นขึ้นมาท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยแสงสว่างแล้ว
เวยเวยอยู่ไหน
ทันใดนั้นเขาก็ลุกจากเตียงสวมชุดนอนและเดินลงไปชั้นล่างเมื่อเห็นพ่อบ้านหวังเขาก็ถามอย่างรวดเร็ว “คุณผู้หญิงอยู่ไหน”
“เธอนั่งอยู่ในสวน” พ่อบ้านหวังตกใจกับชุดนอนของเขาและใช้เวลานานกว่าจะรู้สึกตัวได้
เย่ฉ่าวเฉินวิ่งผ่านเขาไปเหมือนลมกระโชก และเขารู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นคนนั่งอยู่ท่ามกลางดอกไม้
เขากลัวจริงๆว่าสิ่งที่เขาฝันจะกลายเป็นความจริง พอเขาตื่นมา ก็ไม่เจอเธออีก
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของเขา มู่เวยเวยก็หันหน้าไปมองรอบ ๆ เปลือกตาของเธอกระตุกทำไมเขาถึงวิ่งออกไปในชุดนอน กังวลว่าเธอจะหนีไปอีกหรอ?
เขาคิดมากไปแล้ว ไม่มีมู่เทียนเย่มารับ แค่เธอเข้าใกล้ประตูหน้าบ้านสิบเมตร ก็โดนการ์ดหน้าบ้านจับตัวกลับมาแล้ว อย่าทำว่าเธอรู้ได้ยังไง เมื่อกี้เธอลองมาแล้ว
“คุณต้องการกักขังฉันให้อยู่แต่ในบ้านหรอ?” มู่เวยเวยยิ้มเยาะเขา
เย่เฉาเฉินเดินมานั่งลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย“ เวยเวยถ้าเธอยอมเชื่อฟังที่จะอยู่ข้างๆฉันฉันก็ไม่ต้องทำแบบนี้ จริงไหม?”
มู่เว่ยเว่ยหัวเราะเบา ๆ สองครั้ง ” เชื่อฟัง? คำนี้อยู่ในพจนานุกรมของฉันมานานแล้ว ”
“ เราคุยกันดีๆไม่ได้หรอ”
มู่เวยเวยยักไหล่ “โอเค คุณต้องการคุยเรื่องอะไรล่ะ? ”
“ตัวอย่างเช่น เด็กคนนี้ ” หัวใจของเย่ฉ่าวเฉินหม่นหมอง เขาหยุดนิ่งไปสักพัก และพูดว่า “เวยเวย ฉันรู้ว่าเธอเกลียดฉัน แต่ยังไงก็ตามเด็กคนนั้นไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย ในเมื่อพระเจ้าต้องการให้เขามายังโลกนี้ทำไมคุณถึงต้องฆ่าเขาด้วยมือของคุณเองด้วย เขาเป็นลูกของฉันและลูกของเธอด้วย เธอทำใจได้จริงๆหรอ ”
มู่เวยเวยไม่มีอะไรจะพูด ทำใจได้ไหม? นี่เป็นลูกคนแรกของเธอ เธอจะไปทำใจได้ได้ยังไง แต่ว่าทำไมพ่อของเด็กคนนี้ต้องเป็นเย่ฉ่าวเฉินด้วย
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างจริงใจ ” เก็บเขาไว้ได้ไหม? ฉันสัญญาว่าจะรักและดูแลเขาให้ดีที่สุด ”
มู่เวยเวยมองดูดวงอาทิตย์ที่กำลังจะจมหายไปทางทิศตะวันตก นานมากว่าเธอจะพูดออกมาว่า ” เย่ฉ่าวเฉิน ตอนนี้ฉันมาทางเลือกด้วยหรอ? ”
” ไม่มี แต่ฉันหวังว่าเธอจะเต็มใจ ”
เต็มใจ? ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีสักเรื่องที่เธอเต็มใจ
” ถ้าฉันจะเอาเด็กคนนี้ออกให้ได้ล่ะ? ”
” เวยเวย ฉันจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นเด็ดขาด ” น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเฉินเคร่งขรึม
มู่เวยเวยลุกขึ้นแล้วในเข้าไปทางคฤหาสน์ ” ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมาถามความเห็นฉัน ”
เพราะว่ามันไม่จำเป็น เธอไม่เคยรู้สึกใจตรงกับเขาเลยสักเรื่อง
……
วันรุ่งขึ้นเย่ฉ่าวเฉินพามู่เวยเวยไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจร่างกาย เขาจับมือเธอในระหว่างกระบวนการทั้งหมด อยู่กับเธอในตอนที่ขอคำปรึกษา รับเลือดและเข้ารับแบบฟอร์มการตรวจในห้องตรวจ เมื่อผู้คนหลั่งไหลเข้ามามาก เขาจะคอยปกป้องเธอในอ้อมแขนของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นโดนตัวเธอ
แต่มู่เวยเวยไม่ได้มีการแสดงออกมากนัก อย่างมากก็เพียงแค่ความร่วมมือ
หัวหน้าแผนกที่เป็นรุ่นพี่ของคุณหมอหานหยิบใบตรวจขึ้นมาดูแล้วพูดว่า ” เม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวต่ำ และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในคนท้องก็ต่ำด้วย ฉันจะจ่ายยาให้ กลับไปกินตรงเวลาด้วย ”
“ขอบคุณ.”
หลังจากรับยาเสร็จหัวหน้าแผนกก็มองไปที่มู่เวยเวยและพูดว่า ” สตรีมีครรภ์ต้องอารมณ์ดีเพื่อที่เด็กจะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง”
“ขอบคุณค่ะ ” มู่เวยเวยพูดประโยคแรกตั้งแต่ที่เธอก้าวเข้ามาในโรงพยาบาล
“ถ้าคุณไม่มีปัญหาร่างกายมากนักช่วงนี้ก็พักผ่อนให้ดี ประจำเดือนครั้งสุดท้ายของคุณมาเมื่อไหร่”
มู่เวยเวยขมวดคิ้วและครุ่นคิดเป็นเวลานาน ประจำเดือนของเธอมักจะผิดปกติโดยตลอดบางครั้ง 28 วันบางครั้ง 35 ครั้งนี้ประจำเดือนเธอไม่มาเธอเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร
เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างใจเย็น หัวหน้าแผนกถึงกับหัวเราะ ” ดูสิเธอยังจำได้ไม่ดีเท่าสามีเธอเลย ฉันนับให้เธอเอง……ถึงตอนนี้ เธอท้องได้สี่สิบห้าวันพอดี หลังจากนี้หนึ่งสัปดาห์ให้มาอัลตร้าซาวด์ที่โรงพยาบาล เพื่อฟังพัฒนาการของอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ ”
“เข้าใจแล้ว”
หลังจากการตรวจเสร็จแล้วกลับไปถึงคฤหาสน์ตระกูลเย่ เย่ฉ่าวเฉินก็เข้าห้องหนังสือไปทันที มีช่วงหนึ่งที่เขาไม่ได้เข้าบริษัท งานสำคัญของบริษัทเลยต้องรีบจัดการ
ชั้นล่าง มู่เวยเวยกำลังดูละครทีวีอย่างเบื่อหน่าย ฉินหม่าเดินไปนั่งข้างๆเธอแล้วกระซิบว่า “เวยเวยคุณยังมีปัญหากับคุณชายอยู่หรือเปล่า?”
” ฉินหม่า ฉันกับเย่ฉ่าวเฉินไม่เคยดีกันเลย ”
ฉินหม่าถอนหายใจ แล้วพูดว่า ” แต่ก่อนคุณชายทำเกินไปจริงๆ แต่ว่าตอนนี้เขาปรับปรุงตัวแล้วไม่ใช่หรอ? ช่วงเวลาที่คุณไม่อยู่ คุณชายไม่ได้นอนเลย กินข้าวก็กินแค่สองสามคำ ขอแค่มีเบาะแสที่เกี่ยวข้อกับคุณ ไม่ว่าจะดึกแค่ไหน เขาก็ออกไปตามหาคุณ ฉันทำงานในคฤหาสน์มาครึ่งชีวิต ยังไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ตอนนี้คุณชายใส่ใจคุณมากจริงๆนะ ”
มู่เวยเวยฟังสิ่งที่เธอพูดมาเป็นเวลานาน แต่เธอกลับไม่รู้สึกอะไร ราวกับว่ากำลังฟังเรื่องของคนอื่น
” ฉินหม่า คุณมาที่นี่เพื่อเพื่อพูดให้เย่ฉ่าวเฉินดูดีหรอ? ”
” ช่างเถอะ ก็แค่รู้สึกว่าพวกคุณสองคนนี่ไม่ง่ายเลยจริงๆ เวยเวย คนโบราณพูดไว้ว่า คนเราเปลี่ยนแปลงตัวเองได้เสมอ ทำไมคุณไม่ให้โอกาสเขาในการเปลี่ยนแปลงตัวเองดูล่ะ? ”
” ฉินหม่า โจ๊กน่าจะไหม้แล้ว ”
” โอ้ ฉันลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไงกัน แย่แล้วๆ ” รูปร่างอ้วนๆของฉินหม่ารีบวิ่งไปที่ห้องครั้ว
สายตาที่นิ่งๆมู่เวยเวยหันกลับมามองที่ทีวี มีแต่คนพูดให้โอกาสเย่ฉ่าวเฉินสักครั้ง? แล้วแต่ก่อนมีใครเคยให้โอกาสเธอสักครั้งไหม?
ไม่รู้ว่ามันเพราะผลทางจิตใจ หรือมันอยู่ที่เวลา
ตอนเย็นหลังจากกินข้าวเข้าไปหนึ่งคำ มู่เวยเวยก็รู้สึกเหม็น และรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำที่อยู่ใกล้ที่สุด
เย่ฉ่าวเฉินตกใจมาก และรีบวิ่งตามเธอไป
มู่เวยเวยก้มลงอ้วกอยู่ตรงชักโครก อาหารที่กินไปเมื่อตอนเที่ยงเธอก็อ้วกออกมาจนหมด
พออ้วกเสร็จ ท้องก็โล่ง เธอค่อยรู้สึกสบายขึ้นหน่อย
เย่ฉ่าวเฉินลูบหลังเธอเบาๆ พอเห็นว่าเธออ้วกเสร็จแล้ว ก็รีบยื่นน้ำให้เธอบ้วนปาก
คืนนี้ มู่เวยเวยไม่ได้กินอะไรเลย
วันรุ่งขึ้นเธอก็ยังไม่อยากกินอะไรเหมือนเดิม ได้กลิ่นอาหารนิดๆหน่อยๆก็รีบวิ่งไปที่ห้องน้ำทุกที ในกระเพราะไม่มีอะไรเลยก็อ้วกเหมือนเดิม อ้วกจนน้ำเหลืองในกระเพราะออกมาหมดแล้ว
เธอจับอ่างล้างมือแล้วเช็ดปาก และพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง ” ท้องนี่มันลำบากจริงๆเลย ”