เย่ฉ่าวเฉินมองดูใบหน้าซีดขาวของเธอ รู้สึกทนไม่ได้ “ หมอบอกว่าอาการแพ้ท้องเป็นเรื่องปกติ ต่อให้เธออาเจียนออกอีกก็ต้องกิน”
มู่เวยเวยสีหน้าไม่ดี “ ฉันไม่อยากกิน กินแล้วก็อาเจียน”
“เวยเวย……”
มู่เวยเวยไม่พอใจและพูดตะโกนใส่เธอ “เย่ฉ่าวเฉิน เธอไม่รำคาญหรอ? ไม่ต้องไปทำงานหรือไง? อย่ามาป้วนเปี้ยนในสายตาฉันได้ไหม?”
ตอนแรกอารมณ์ก็ไม่ดีอยู่แล้ว ยิ่งเห็นเขายิ่งไม่ดีไปอีก
อารมณ์ที่รุนแรงของเย่ฉ่าวเฉินไม่รู้หายไปไหน เวยเวยทำนิสัยไม่ดีกับเขาแบบนี้ เขาก็ไม่โมโหขึ้นมาแต่กลับรู้สึกว่า เธอทำแบบนี้ก็ยังดีกว่านิ่งเงียบไม่พูดอะไร
“ ฉันจะเข้าบริษัทสายๆ”
ถ้าเป็นไปได้ เย่ฉ่าวเฉินก็อยากจะอยู่เป็นเพื่อนเธอที่บ้านทุกวันเพื่อไม่ให้มู่เทียนเย่มายุ่งกับเธอได้ แต่งานในบริษัทก็รอต่อไปไม่ได้แล้ว
“เย่ฉ่าวเฉิน คุณกังวลว่าพี่ชายของฉันจะมาอีกใช่ไหม” มู่เวยเวย กล่าวด้วยน้ำเสียงถากถางของเธอ
เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วและมองเธอและค่อยๆพยุงเธอเดินไปที่โซฟา “ต่อให้มาแล้วยังไง? บ้านเย่ไม่ใช่ใครอยากเข้ามาก็เข้าได้”
มู่เวยเวยหัวเราะและพูดว่า“ ฮ่าๆ เย่ฉ่าวเฉินพูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำจังนะ ครั้งก่อนพี่ชายฉันก็เข้ามาได้ไม่ใช่หรอ?”
เย่ฉ่าวเฉินใบหน้าหมองลง “มู่เวยเวย ครั้งแรกเป็นความประมาทของฉัน ส่วนเรื่องของครั้งที่สอง เธอแน่ใจหรอว่าอยากพูดถึงมัน?”
“พูดถึงแล้วจะทำไม? เธอจะทำอะไรฉันได้?” ตอนนี้มู่เวยเวยไม่กลัวเขา เพราะยังไงในท้องก็มีลูกของเขา เขาโยนเธอขึ้นเตียงไม่ได้ แตะต้องตัวเธอก็ไม่ได้ ทำได้สุดก็แค่ด่าเธอสองสามคำ แต่มันก็ไม่ได้สะทกสะท้านเธอแม้แต่น้อย
เย่ฉ่าวเฉิน กัดฟันจ้องมองเธอด้วยความโกรธ แต่ตอนนี้เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับเธอได้
“ มู่เวยเวย เธอก็พึ่งแค่ความชอบที่ฉันมีต่อเธอ” เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยเสียงต่ำ
มู่เวยเวยนั่งลงบนโซฟาและพูดดูถูก “เฮ้อ ฉันไม่ได้ขอให้เธอชอบนิ เธอมาชอบเอง”
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกว่าเขาเป็นคนทำร้ายตัวเองล้วนๆ เขารู้ว่าไม่มีทางที่จะได้ยินคำพูดดีๆจากปากเธอ ก็เลยหยิบของกินขึ้นมาและถาม
“ถ้าเธออยากกินอะไรก็บอกฉินหม่า ตอนเที่ยงต่อให้ไม่อยากกินก็ต้องกินสักนิด ถ้าง่วงก็นอน การออกแบบช่วงนี้ก็ยังไม่ต้องไปแตะมัน ทำลายสุขภาพสายตา……”
“รู้แล้ว รู้แล้ว” มู่เวยเวยขัดจังหวะคำพูดเขา ทำไมเย่ฉ่าวเฉินถึงกลายเป็นคนจุ้จี้แบบนี้? เกินไปละนะ
เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่เธอและไม่พูดอะไร หันหลังออกไป ก่อนที่จะขึ้นรถก็กล่าวเตือนจางเหอว่า: “ตอนที่ฉันไม่อยู่บ้าน ห้ามปล่อยให้ใครเข้ามาเด็ดขาด ใครก็ตามห้ามเข้า รู้ไหม?”
จางเหอโค้งคำนับ “รับทราบ เจ้านาย”
“ถ้าคุณหนูเป็นอะไรขึ้นมาให้โทรหาฉันทันที” เย่ฉ่าวเฉินไม่ไว้ใจจึงพูดเตือนอีกครั้ง
“เข้าใจแล้ว” จางเหอตอบ ทันใดนั้นก็นึกถึงบางอย่างจึงถามว่า “คุณชาย ถ้ามู่เทียนเย่จะบุกเข้ามาล่ะ?”
แววตาของเย่ฉ่าวเฉินฉายแสงที่โหดร้ายออกมา“บุกเข้ามา? ถ้างั้นก็อย่าปราณีมัน”
“รับทราบ”
ครั้งนี้ดูแล้ว คุณชายจะเอาใจใส่คุณหนูมาก เขายอมทำทุกวิถิทางเพื่ออยู่กับเธอ แต่ว่าคนนั้นดูเหมือนว่าจะไม่เห็นความสำคัญมากนัก
……
ในตอนบ่าย มู่เวยเวยหลับไปสักพัก ตื่นแล้วเดินไปที่ห้องนั่งเล่นเห็นว่าไม่มีคนจึงรีบเดินไปหยิบโทรศัพท์และโทรหาใครสักคน
ตุ๊ด-ตุ๊ด-ตุ๊ด-
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นถึงครั้งสี่ก็มีคนรับสาย
“ฮัลโหล?” เสียงของมู่เทียนเย่ดังมา
มู่เวยเวยมองไปรอบ ๆ และพูดกระซิบเบาๆ “ พี่ นี่ฉันเอง”
“เวยเวย? เธอเป็นยังไงบ้าง? หลังจากกลับไปแล้วเย่ฉ่าวเฉินทำอะไรเธอหรือเปล่า?”
“เปล่า เขาไม่ได้ทำอะไรฉันเลย ” มู่เวยเวยนึกถึงคำที่เย่ฉ่าวเฉินพูดไว้กับจางเหอ จึงรีบบอกว่า “พี่ ช่วงนี้อย่ามาหาฉันที่บ้านนะ เย่ฉ่าวเฉินจะทำทุกวิธีทางเพื่อขัดขวางพี่ ฉันไม่อยากให้พี่ต้องมาบาดเจ็บเพราะฉัน”
หลังจากวันที่แยกจากมู่เทียนเย่ โทรศัพท์ของเธอก็ถูกเย่ฉ่าวเฉินยืดไป และยังบล็อกข้อความของมู่เทียนเย่อีกด้วย วันนี้เย่ฉ่าวเฉินไปทำงาน เธอจึงมีโอกาสได้โทร
มู่เทียนเย่คิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ เงียบไปสักพักและพูดว่า “เวยเวย ลูกของเธอ…… ”
“พี่ ฉันไม่อยากเก็บเด็กคนนี้ไว้จริงๆ แต่ตอนนี้ฉันไม่สามารถเอามันออกได้ คงทำได้แค่ดูๆไปก่อน”
“ เวยเวย เธออย่าเพิ่งรีบตัดสินใจ ถึงแม้จะคลอดเด็กออกมาแล้ว เธอก็หนีไม่พ้นจากเย่ฉ่าวเฉิน”
พูดจากใจ มู่เทียนเย่ในใจอยากให้เวยเวยเก็บเด็กคนนี้ไว้ เพราะนี่เป็นลูกคนแรกของเธอ ถ้าหากทำแท้ง เขากลัวว่าจะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายเธอ
“ว่าแต่ เวยเวย เธอไปตรวจที่โรงพยาบาลมาหรือยัง?” มู่เทียนเย่ถามด้วยความเป็นห่วง
“ ฉันไปมาแล้วหมอบอกว่าเป็นโรคโลหิตจาง สัปดาห์หน้าค่อยไปอีกครั้ง บอกว่าจะดูอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์”
มู่เทียนเย่ตื้นตันในใจ โรงพยาบาล? ไม่นานนักก็มีแผนเกิดขึ้นในหัว
“ เวยเวย ก่อนจะไปโรงพยาบาลหนึ่งวันบอกฉันก่อน ฉันจะเตรียมการ”
มู่เวยเวยฉลาดมาก ทันทีก็รู้ว่านี่เป็นแผน ลดเสียงพูดเบาๆว่า “พี่ กำลังหมายถึง…… ”
“อืม แค่บอกสถานที่และเวลากับฉัน ที่เหลือปล่อยให้ฉันจัดการเอง เธอมีอะไรต้องทำที่โรงพยาบาลก็ทำไป อย่าให้เย่ฉ่าวเฉินสงสัย”
มู่เวยเวยรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “อืมๆ ฉันรู้แล้ว”
ในขณะนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าเดินมาแต่ไกล มู่เวยเวยรีบพูดว่า “พี่ ฉันวางก่อนนะ” จากนั้นก็รีบวางสาย ทันใดนั้น ฉินหม่าก็เดินเข้ามาพร้อมกับผลไม้ที่ปอกแล้วพร้อมทานในมือ
มู่เวยเวยเสแสร้งทำเป็นอ่านนิตยสารข้างๆ แต่หัวใจของเธอยังคงเต้นรัวๆไม่หยุด
“คุณหนู ตอนบ่ายคุณกินไปนิดเดียว ทานผลไม้ซะหน่อยนะ”
มู่เวยเวยไม่เงยหน้า และพูดกับฉินหม่าว่า “ฉินหม่า วางไว้ตรงนั้นก่อน ถ้าฉันอยากกินเดี๋ยวฉันจะกินเอง เธอไม่ต้องมาดูแลฉันหรอก”
ฉินหม่าวางผลไม้ไว้ข้างๆ ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวและหันกลับมาพูดว่า “คุณหนู ฉันมีเรื่องอยากพูดด้วย”
มู่เวยเวยเงยหน้าขึ้นพร้อมกับตบที่โซฟาเบาๆ เรียกให้เธอนั่งลง “ฉินหม่า เรียกฉันเวยเวยก็พอแล้ว เรียนคุณหนูฉันไม่ชิน ว่าแต่มีอะไรก็พูดเลย”
ฉินหม่านั่งลงอย่างเรียบร้อยและพูดอย่างจริงจังว่า “เวยเวยอย่าคิดว่าฉันเป็นคนจู้จี้เลยนะ ฉันเห็นคุณชายมาตั้งแต่เด็กยันโต แม้ว่าบางครั้งเขาจะนิสัยไม่ดี แต่ตอนนี้เขาก็ดีกับคุณมากจริงๆ ตอนนี้คุณมีลูกแล้ว ผู้หญิงคนเราเมื่อมีลูกแล้วความปรารถนาทั้งหมดในชีวิตนี้จะอยู่ที่ลูกแน่นอนตอนนี้คุณอาจไม่รู้สึกแบบนี้ แต่ตอนนี้มันกำลังค่อยๆโตในท้องคุณ ความรู้สึกแบบนี้มันจะชัดขึ้นเรื่อยๆ ผู้หญิงแบบเราวาดฝันอะไรไว้ล่ะ? ก็คงเป็นภาพครอบครัวที่สุขสันต์ เพราะฉะนั้น……
“ฉินหม่า ฉันเข้าใจความหมายของคุณ ฉันจะคิดอย่างรอบคอบ” มู่เวยเวยพูดไปงั้นๆ เธอไม่อยากทำให้คนแก่เสียความรู้สึก แต่ก็ไม่อยากทำตามในสิ่งที่เธอบอก
ฉินหม่ารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “คุณจะคิดเรื่องนี้จริงหรือ?”
“อืม ฉันจะคิด”
“ถ้าอย่างงั้นก็ดีเลยๆ ฉันจะไปทำมื้อค่ำ คุณพักผ่อนอยู่ที่นี่นะ” ฉินหม่าได้ดั่งใจ ตาโตอมยิ้มและเดินจากไป มู่เวยเวยก็ถอนหายใจออกมา
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาอาการแพ้ท้องของมู่เวยเวยเป็นหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ แทบจะเป็นชีวิตประจำวันที่ต้องตื่นขึ้นทุกเช้า ตัวก็ผอมซูบไปหมด
แต่เดิมเธอก็ไม่อ้วนอยู่แล้ว ผอมจนคางแหลมเห็นชัด เย่ฉ่าวเฉินเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจมาก
เช้าวันนั้นเย่ฉ่าวเฉินอยู่กินอาหารเช้ากับเธอ และพูดว่า “พรุ่งนี้ฉันจะไปตรวจครรภ์กับเธอ ถึงตอนนั้นก็จะได้ถามหมอด้วยว่า จะทำยังไงให้กินข้าวได้บ้าง กินนิดๆหน่อยๆก็อาเจียนทุกวัน จะปล่อยไว้แบบนี้ได้ยังไง?”
มู่เวยเวยพูดอย่างเฉยชาว่า “อืม” เกิดความวุ่นวายในใจ ไปตรวจครรภ์พรุ่งนี้? งั้นวันนี้ฉันต้องรีบบอกพี่ ยิ่งเร็วยิ่งดี จะได้ให้พี่เตรียมการได้ทัน
“โรงพยาบาลครั้งก่อนหรอ?” มู่เวยเวยถามอย่างนิ่งๆ
เย่ฉ่าวเฉินสนใจลูกในท้องมากกว่าเรื่องอื่นก็เลยไม่คิดมากและตอบว่า “ใช่แล้ว ก็ต้องเป็นโรงพยาบาลครั้งก่อน ทำไมล่ะ? ไม่ชอบโรงพยาบาลนั้นหรอ?”
“ เปล่า จู่ๆฉันก็จำได้ว่ามีก๋วยเตี๋ยวต้มยำใกล้โรงพยาบาล ฉันอยากไปกินพรุ่งนี้” มู่เวยเวยตอบอย่างสมเหตุเหตุผล แต่ที่ใกล้ๆโรงพยาบาลก็มีร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำขายจริง
“ได้สิ พรุ่งนี้ตรวจเสร็จ ฉันจะพาเธอไปกิน” เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกดีขึ้นมาก
……
วันรุ่งขึ้น จางเหอขับรถไปส่งเย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพ
พยายาลมองไปที่รูปบนอัลตร้าซาวด์ แล้วพูดกับมู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินว่า “ดูสิจุดสีดำเล็ก ๆ นี้เป็นหัวใจของเด็ก เขามีพัฒนาการที่ดีและดูเหมือนเด็กน้อยจะแข็งแรง”
มู่เวยเวยหันหน้าไปมองสิ่งเล็กๆบนจอ รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที นี่ เป็นลูกของเธอหรอ?
เย่ฉ่าวเฉิน เช็ดของเหลวในท้องของเธอออกอย่างระมัดระวังและเอาเสื้อเธอลง จากนั้นช่วยพยุงตัวเธอขึ้นแล้วก้มลงเพื่อช่วยเธอใส่รองเท้า ทั้งหมดนี้เขาทำเองอย่างชำนาญ ทั้งๆที่เขาเคยทำแค่ครั้งก่อนครั้งเดียว
“ คุณหมอ ภรรยาของฉันช่วงนี้อาเจียนหนักมาก ต้องกินยาอะไรไหม?” เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยความเป็นห่วง
พยาบาลที่ดูแลพูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า“ อาการแพ้ท้องเป็นเรื่องปกติ หลังจากช่วงเวลานี้คุณจะกินอะไรก็ได้ อย่าไปกินเลยยา ทนเอาหน่อยแม้ว่าอาการแพ้ท้องจะทำให้ทรมาน แต่คุณก็ต้องพยายามกินนะ อะไรที่ชอบก็กินเยอะๆหน่อย”
“โอเค.”
เย่ฉ่าวเฉินโอบมู่เวยเวยไว้ขณะที่กำลังรอลิฟท์ ก็มีผู้ช่วยพยาบาลวิ่งมาถาม “พวกคุณสองคนใช่เย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยไหม?”
“ ใช่แล้ว มีอะไรหรอ?”
ผู้ช่วยพยาบาลพูดอย่างใจเย็น “ผู้อำนวยการมีเรื่องสำคัญลืมบอก ให้พวกคุณกลับไปที่ห้องทำงานของเขาอีกครั้ง”
เย่ฉ่าวเฉินไม่สงสัยเพราะผู้ช่วยพยาบาลคนนี้วิ่งมาจากทิศทางที่พวกเขามา จึงหันไปพูดกับมู่เวยยเวยว่า “ไปกันเถอะ”
มู่เวยเวยเหลือบตามองไปที่พยาบาลและสังเกตเห็นว่าเธอกระพริบตาที่ตัวเอง ใจของมู่เวยเวยเต้นรัวและพูดกับเย่ฉ่าวเฉินอย่างใจเย็นว่า“เธอ ไปเลย ฉันขี้เกียจเดิน จะรอเธออยู่ที่นี่”
เย่ฉ่าวเฉินมองดูผู้คนที่กำลังเดินไปเดินมา รู้สึกไม่ไว้ใจเล็กน้อย
เพื่อปัดความสงสัยของเขา มู่เวยเวยชี้ไปที่ที่นั่งห่างออกไปสองเมตรและพูดว่า “ฉันจะนั่งรอคุณอยู่ตรงนั้น โอเคไหม?”
เย่ฉ่าวเฉินก็ไม่อยากให้เธอเหนื่อย หันกลับไปพูดกับจางเหอว่า “ดูแลคุณหนูดีๆ ฉันจะรีบกลับมา”
“รับทราบ”
ผู้ช่วยพยาบาลพาเย่ฉ่าวเฉินไปที่ห้องทำงานของผู้อำนวยการเปิดประตูเพื่อเชิญเย่ฉ่าวเฉินเข้าไป จากนั้นก็หายไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
“ คุณหมอ มีอะไรอีกหรือเปล่า?”
พยาบาลที่รับผิดชอบเงยหน้ามองด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ คุณ……ไม่มีอะไรนี่คะ?”
“ก็คุณให้…… ” เย่ฉ่าวเฉินตั้งสติ รีบเปิดประตู แล้ววิ่งไปที่ลิฟท์
เมื่อเขาไปถึงก็ไม่เห็นมู่เวยเวยนั่งอยู่ที่นั่น จางเหอถูกกระแทกจนล้มลงกับพื้น ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ กำลังเฝ้าดู
ไม่กี่นาทีที่แล้ว
มู่เวยเวยกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ดวงตาของเธอกวาดมองผู้คนรอบๆด้วยความกังวล
พี่ชายจะมาด้วยตัวเองหรือเปล่านะ? ถ้าเกิดจางเหอเห็นจะทำยังไง?
ในขณะที่กำลังคิด ก็มีชายคนหนึ่งสวมหน้ากากและเสื้อคลุมยาวของหมอเดินเข้ามา มู่เวยเวยจำพี่เธอได้ แค่เพียงเห็นก้าวเดินก็ดูออกแล้วว่าเป็นเขา
“จางเหอ ช่วงนี้เย่ฉ่าวเฉินงานยุ่งไหม?” มู่เวยเวยเงยหน้าถามเขา เพื่อดึงดูดความสนใจของจางเหอ
“ช่วงนี้คุณชายค่อนข้างยุ่ง” จางเหอตอบ ในใจรู้สึกแปลกเล็กน้อยที่คุณหนูถามถึงเรื่องของคุณชาย
“ออ~ วันนี้ต้องรบกวนคุณหน่อยนะ ต้องส่งพวกเรามาที่นี่” มู่เวยเวยพยายามชวนคุย
“คุณหนูไม่ต้องเกรงใจครับ นี่เป็นงานของ……เออ……”
ก่อนที่จะพูดจบ จางเหอก็ถูกตีอย่างรุนแรงที่ด้านหลังของศีรษะ ดวงตาของเขามืดไปหมดและเขาก็ล้มลงกับพื้นทันที
“ไป” มู่เทียนเย่คว้าแขนของเธอรีบเดินไปทางลิฟต์ ในเวลานั้นประตูลิฟท์เปิดออกพอดี ข้างในมีคนเพียงคนเดียว
ผู้คนที่กำลังรอลิฟท์เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่มีใครกล้าขึ้นลิฟท์เดียวกับพวกเขา ทั้งหมดรีบหาที่ซ่อนลุกลี้ลุกลน
ประตูลิฟท์ปิดไม่นาน เย่ฉ่าวเฉินก็รีบวิ่งตรงมา
“จางเหอ!” เย่ฉ่าวเฉินเขย่าตัวเขาและตะโกน ไม่มีการตอบสนองใด ๆ เย่ฉ่าวเฉินไม่กล้ารอต่อไป รีบหันไปถามคนข้างๆ “ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนี้ไปไหน?”
ทุกคนไม่กล้าพูดกลัวตัวเองจะซวยด้วย ทันใดนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนออกมาว่า “เพิ่งขึ้นลิฟท์ลงไปเมื่อกี้”
เย่ฉ่าวเฉินหันไปมองลิฟท์นี่คือชั้นที่ห้า ตอนนี้ลิฟท์เพิ่งถึงชั้นหนึ่ง
มีคนกำลังรอขึ้นลิฟท์เยอะมาก มัวรอไม่ได้แล้ว เย่ฉ่าวเฉินรีบวิ่งไปที่บันไดหนีไฟและปิดประตูไปด้วย
ตอนนี้ ทำอะไรไม่ได้แล้ว ไม่ว่าคนที่พามู่เวยเวยไปจะเป็นใคร เธอจะเป็นอะไรไปไม่ได้
ราวกับว่าสีฟ้าทันใดนั้นก็กลายเป็นสีม่วง เมื่อกี้ยังอยู่ที่ชั้นห้า ไม่กี่นาที ก็ปรากฏตัวตัวที่ชั้นหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กลงมาจากชั้นสอง ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าเขา แล้วก็หายวาปไปในพริบตา เขาขยี้ตา“ ภาพหลอนหรอเนี่ย? อืม น่าจะตาฝาด”
เย่ฉ่าวเฉินรีบวิ่งไปที่ประตูโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วเขาไม่แน่ใจว่าใครพามู่เวยเวยไป แต่สัญชาตญาณต้องเป็นมู่เทียนเย่แน่ๆ เพราะถ้าเป็นคนอื่นมู่เวยเวยคงขัดขืนและร้องขอความช่วยเหลือ แบบนี้คงไม่มีใครพาเธอไปได้ในเพียงเวลาสั้นๆแบบนี้
มู่เทียนเย่ มู่เทียนเย่ แกเป็นศัตรูของฉันในชาตินี้จริงๆ
อยู่ที่ไหน?
ทันใดนั้น รถเบนซ์สีดำก็ขับผ่านไป เย่ฉ่าวเฉินวิ่งตามทันทีอย่างไม่ลังเล
ทางเข้าโรงพยาบาลมีการจราจรหนาแน่นไม่ว่ารถจะหรูหราแค่ไหนมันก็จะช้าเหมือนหอยทาก เพราะเป็นแบบนี้จึงไม่ใช่ปัญหาของเย่ฉ่าวเฉิน
ไฟแดงขึ้นพอดี เย่ฉ่าวเฉินยืนขวางอยู่หน้ารถเบบซ์สีดำ มองดูคนขับด้วยสีหน้าที่บึ้งตึงและตะโกนว่า “ลงมา!”
คนขับก็ดูโกรธเช่นกันและเปิดประตูรถ “ปั๊ง” และตะโกนใส่ฉ่าวเฉินว่า “มึงอยากตายหรือไง มาขวางรถกูทำไม?”
หัวใจของเย่ฉ่าวเฉินสะดุ้งและเขารีบเดินไปข้างหน้าเพื่อลากคนขับรถลงจากรถและมองเข้าไปข้างใน ไม่มีใครอยู่สักคน……
เขาเข้าใจผิดหรอ?
เป็นไปไม่ได้ เขาจำได้ชัดเจนว่าข้อมูลที่เขาสำรวจมา มู่เทียนเย่ มีรถแบบนี้เป๊ะๆและป้ายทะเบียนเดียวกันอีก
“เห้ยเห้ยเห้ย มึงทำอะมึงทำอะไร?” คนขับรถที่มีสีหน้าไขว้เขวเล็กน้อย
เย่ฉ่าวเฉินจับคอเสื้อของเขา เกือบจะยกเขาขึ้นมาด้วย มองเขาอย่างดุร้าย“ มู่เทียนเย่อยู่ไหน?”
“อะไรมู่เทียนเย่ ฉันไม่รู้จัก! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นฉันจะแจ้งตำรวจ” คนขับรถขู่
เย่ฉ่าวเฉิน โยนเขาเข้าไปในรถและเหยียบหน้าอกของเขา “บอกมา มู่เทียนเย่อยู่ที่ไหน?”
“แก……ต่อให้แกตีฉันให้ตาย ฉันก็ไม่รู้จักมู่เทียนเย่อะไรทั้งนั้น”
เย่ฉ่าวเฉินเตะเขาอย่างแรง และหันหลังเดินไปที่รถของเขา
คนขับรถเห็นเขาไปไกลแล้ว จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “เจ้านาย เขามาขวางฉันไว้แล้ว……ตอนนี้เขาไปแล้ว ไม่รู้ว่าไปทำอะไร”
ในขณะที่เย่ฉ่าวเฉินกำลังไล่ตามรถเบนซ์สีดำ รถโฟล์คสะวาเก้นก็ขับออกจากโรงพยาบาลอย่างช้าๆและขับไปในทิศทางตรงกันข้าม
“ พี่ เย่ฉ่าวเฉินคงไม่ตามมาแล้วมั้ง” มู่เวยเวยยมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเป็นห่วง
มู่เทียนเย่ที่กำลังขับรถ ก็ถอดหน้ากากออกและพูดว่า “น่าจะไม่ตามมาแล้ว คนของฉันหลอกเขาไปอีกทางแล้ว”
“ แล้วพี่มาถึงโรงพยาบาลเมื่อไหร่?” มู่เวยเวยถามด้วยความตื่นเต้นมาก
“ฉันมาถึงที่นี่แต่เช้าแล้ว พวกเรารออยู่ที่ชั้นนั้น” มู่เทียนเย่พูดถึงตรงนี้เหลือบมองน้องสาวจากกระจกหลังและพูดว่า “ไม่อยากคิดแกก็ฉลาดเหมือนกันนะเนี่ย รู้ว่าต้องตีตัวออกจากเย่ฉ่าวเฉินด้วย”
มู่เวยเวยตบหน้าอกของเธออย่างภาคภูมิใจ“ก็ฉันเป็นน้องสาวพี่นี่หนา แถมยังมีประสบการณ์หลายครั้งแล้ว”
ทันทีทีคำนี้พูดออกมา บรรยากาศก็เริ่มอึดอัดเล็กน้อย
มีประสบการณ์?
อย่างไรก็ตามมู่เทียนเย่ไม่คิดว่าเธอจะฉลาดขนาดนี้ ยังคิดว่าเธอเป็นเด็กสาวที่น่ารักใสซื่อคนนั้น
เพื่อทำลายบรรยากาศที่อึกอัดแบบนี้ มู่เวยเวยเสแสร้งทำเป็นผ่อนคลายและถามมู่เทียนเย่ว่า “พี่ เรากำลังจะไปที่ไหน?”
“สนามบิน”
หลังจากเรียนรู้บทเรียนจากครั้งที่แล้ว ปล่อยให้เธออยู่ในเมืองAต่อไม่ได้แล้ว คงต้องไปอยู่ต่างประเทศ ที่ไหนก็ได้ที่เย่ฉ่าวเฉินจะหาไม่เจอ จะได้ไม่ต้องมีปัญหาในวันครั้งหน้า
มู่เวยเวยไม่มีปฏิกิริยาอะไร พี่จัดการให้ยังไงเธอก็เอาตามนั้น แต่มีเรื่องหนึ่ง เธออยากที่จะบอกกับเขา
“พี่คะ ฉันอยากให้กำเนิดเด็กคนนี้”
มู่เทียนเย่ประหลาดใจเล็กน้อย“ ทำไมแกถึงเปลี่ยนใจแล้วล่ะ?”
มู่เวยเวยลูบหน้าท้องของเธอแม้ว่ามันจะยังแบนอยู่ แต่เธอก็รู้ว่ามีชีวิตเล็กๆในนั้นกำลังเติบโตอยู่
“วันนี้ฉันไปตรวจครรภ์มา หมอบอกว่าเด็กมีการเต้นของหัวใจแล้ว ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกทำไม่ลง นี่เป็นลูกของฉัน ฉันจะลงมือฆ่ามันได้ยังไง?”
มู่เทียนเย่ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจเขารู้ว่าน้องสาวจะเปลี่ยนใจ“ แล้วเย่ฉ่าวเฉินล่ะ?”
มู่เวยเวยพูดอย่างเย็นชา“เกี่ยวอะไรกับเขา? นี่เป็นลูกของฉัน ฉันจะเลี้ยงดูเขาให้เติบโตมาอย่างดี ถ้าเขาอยากได้พ่อ ฉันคิดว่า ฉันสามารถหาคนที่ดีกว่าเย่ฉ่าวเฉินมาเป็นพ่อเขาได้”
“ดีมาก สมแล้วที่เป็นลูกสาวของตระกูลมู่ของเรา” มู่เทียนเย่พูดด้วยความภาคภูมิใจเล็กน้อย “ยังมีฉันเป็นลุงด้วยนะ”
“ฮ่าฮ่า ใช่แล้ว พี่เป็นลุงของเด็กคนนี้ ถ้างั้นต่อไปพี่ต้องมีรายจ่ายเพิ่มแล้วนะ” มู่เวยเวยพูดหยอกล้อ
มู่เทียนเย่ขมวดคิ้ว “สำหรับหลานชายของฉัน ฉันยอม”
ลานจอดรถของโรงพยาบาล
เย่ฉ่าวเฉินนั่งอยู่ในรถของเขา โกรธจนตาจะทะลุออกมา ใบหน้ายิ่งอยู่ยิ่งซีด
การถ่ายโอนย้าย เขามักจะย้ายจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งและสถานที่เหล่านี้ก็เป็นที่แน่นอน ตอนนี้เขาต้องการใช้การย้ายแบบนี้อีกประเภทหนึ่ง ก็คือโอนย้ายไปยังคนๆหนึ่งโดยเฉพาะ
เขายังไม่เคยทดลองวิธีแบบนี้ นี่เป็นครั้งแรก จะเป็นอันตรายไหม จะสำเร็จหรือเปล่า เขายังไม่เคยลอง มีความสามารถพิเศษชนิดหนึ่งที่เขาไม่เคยใช้มาก่อนนั่นคือการโอนย้ายโดยตรงกับคนๆนั้นสิ่งนี้ต้องการความสนใจสูงมาก
……
อยู่ในที่จอดรถของสนามบิน บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข
“พี่ ฉันจะไปที่ฝรั่งเศสอีกหรอ?” มู่เวยเวยยวางแขนของเธอไว้หน้ารถพร้อมกับเอียงหัวถามเขา
“ฝรั่งเศสไม่ปลอดภัย ฉันจะส่งเธอไปที่อื่น”
“ที่ไหน” ทันทีที่มู่เวยเวยถาม ก็มีคนปรากฏตรงหน้าพวกเขา ทำให้ตกใจจนสะดุ้งออกมา “อ้ากก-”
มู่เทียนเย่ได้สติ ก็มีมีดจี้อยู่ที่คอของเขา “หยุดรถ!”
“ เย่ฉ่าวเฉิน?” มู่เทียนเย่ไม่อยากจะเชื่อ จู่ๆเขาก็ปรากฏตัวในรถของเขาได้ยังไง? หรือว่าจะใช้พลังพิเศษอย่างที่เวยเวยเคยบอก?
“ไปจอดรถข้างๆ!” น้ำเสียงของเย่ฉ่าวเฉินโกรธจนจะฆ่าคนได้
มู่เวยเวยสงบสติและพูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า “เย่ฉ่าวเฉิน ใจเย็น ๆก่อน ”
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองไปที่มู่เทียนเย่อย่างดุร้ายโดยไม่หันกลับไปมอง “ตอนนี้ฉันก็เย็นมากแล้ว มู่เทียนเย่ อย่ามาท้าทายกับฉัน”
“ ถ้าฉันบอกว่าไม่ล่ะ?” มู่เทียนเย่ขับด้วยความเร็วปกติไม่เปลี่ยนแปลง
“ก็ดี อย่างน้อยเราสามคนก็ตายพร้อมกัน มีเวยเวยกับลูกอยู่ข้างๆ แค่นี้ฉันก็พอแล้ว” ขณะที่เขาพูด มีดก็กรีดไปที่เขาหนึ่งแผล มีเลือดไหลออกมา
มู่เวยเวยรู้สึกกังวลมาก“ เย่ฉ่าวเฉิน อย่าทำร้ายพี่ของฉัน”
เย่ฉ่าวเฉินดูเหมือนจะอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง “ทำร้ายเขา? เธอรู้ไหม? ฉันรอไม่ไหวแล้วที่จะฆ่ามันด้วยมือฉันเอง!”
“ เย่ฉ่าวเฉิน!” มู่เวยเวยตะโกนออกมา เพราะมีดของเย่ฉ่าวเฉินกรีดเข้าไปอีกทำให้เลือดยิ่งไหลออกมา
ตอนนี้เขาเป็นคนบ้าคลั่ง ไม่สามารถใช้เหตุผลกับเขาได้ มู่เวยเวยเริ่มขอร้องมู่เทียนเย่ “พี่ ฟังเขาเถอะ จอดรถซะ”
“เวยเวย!” มู่เทียนเย่ไม่พอใจ
“พี่ ขอร้องล่ะ จอดรถเถอะ ตอนนี้เขาเป็นเหมือนคนบ้า เขาฆ่าพี่ได้จริงๆ”
มู่เทียนเย่ไม่พูดออไร หักรถเลี้ยวเข้าข้างทางและจอด
“ ลงไป” เย่ฉ่าวเฉินตะโกน
มู่เทียนเย่ไม่ได้หันกลับมา เมื่อเขาเปิดประตูด้วยมือซ้ายคอของเขาเอนไปข้างหลังและมือขวาของเขาก็คว้ามีดในมือของเย่ฉ่าวเฉิน ไม่คาดคิดว่าเย่ฉ่าวเฉินจะเร็วกว่า ทันใดนั้นเขาก็แทงไปที่ไหล่ของเขา เลือดไหลนองออกมา
ประตูเปิดออก เย่ฉ่าวเฉินก็เตะเขาลงไป
“พี่ชาย-” มู่เวยเวยกำลังจะเปิดประตูรถออกไป แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง “คลิ๊ก” ประตูรถก็ล็อคทั้งหมด
“ไอ่สารเลว ปล่อยฉันออกไปนะ” มู่เวยเวยโกรธจนน้ำตาไหลออกมา เธอเห็นมู่เทียนเย่เต็มไปด้วยเลือด รู้สึกโดนแทงที่หัวใจไปด้วยเหมือนกัน