“คือว่าภรรยาของผม” เย่ฉ่าวเฉินชี้ไปที่มู่เวยเวย “เธอเป็นแฟนคลับของคุณ อยากถ่ายรูปด้วย ไม่ทราบว่าสะดวกไหม?”
“เป็นเกียรติของฉัน” หวางเจียข่ายพูดอย่างครุ่นคิด “แสงที่นี่ไม่ดีไปด้านภรรยาของคุณกันเถอะ”
“ขอบคุณมากนะครับ” เย่ฉ่าวเฉินไม่อยากให้มู่เวยเวยเดินพอดี เขาพูดแบบนี้ยิ่งเข้าทางเลย
มู่เวยเวยมองไอดอลกับเย่ฉ่าวเฉินพูดคุยหยอกล้อกันเดินมาทางนี้ ใจเต้นแรง ใบหน้าเริ่มเขินแดง
ยังไงไอดอลก็คือไอดอล เขายื่นมือออกมาอย่างสุภาพและพูดว่า “สวัสดี ฉันหวางเจียข่าย”
มู่เวยเวยถูกรอยยิ้มเขาทำให้มึนมน รีบจับมือเขาและพูดว่า “สวัสดี ฉันชื่อมู่เวยเวย ฉัน…… ”
หวางเจียข่ายเห็นเธอกระวนกระวายจนพูดไม่ออก เขาคุ้นเคยกับเหตุการณ์แบบนี้ จัดการได้อย่างสบายใจ “ขอบคุณที่สนับสนุน ฉันขอถ่ายรูปกับเธอได้ไหม?”
“อ้อ…… ได้ค่ะ ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ฉันชอบคุณมาหลายปีแล้ว…… ”
นายหวางเป็นสุภาพบุรุษมากเชิญเธอมาข้างๆ เขาตัวสูงและเมื่อถ่ายรูปเขาเอามือไพล่หลังและพิงขาเล็กน้อย มู่เวยเวยหัวเราะคิกคักเหมือนคนบ้า
เย่ฉ่าวเฉินถ่ายภาพเสร็จก็พูดขอบคุณเขาอีกครั้ง “หวังว่าฉันจะได้ร่วมงานกับคุณหวางในอนาคต”
“ ฉันก็ตั้งหน้าตั้งตารอเหมือนกัน”
หลังจากที่ไอดอลจากไปมู่เวยเวยก็หายจากอาการช็อก
“ไหนรูปถ่าย? ให้ฉันดูหน่อย ” มู่เวยเวยถามเย่ฉ่าวเฉินด้วยความตื่นเต้น เขาเอารูปถ่ายในมือถือให้เธอดูอย่างไม่พอใจ
“ฉันขี้เหร่ไปไหม ฮ่าฮ่าฮ่า……แต่ว่าไอดอลของฉันหล่อก็พอละ”
ตอนแรกก็คิดว่าจะให้คุณหวางมาเป็นนายแบบ เห็นมู่เวยเวยคลั่งขนาดนี้ ก็ช่างมันเถอะ เขากลัวมู่เวยเวยจะหลงเกินจนจำตัวเองแทบไม่ได้ว่าเป็นใคร
หลังจากพิธีมอบรางวัลเสร็จก็มีงานเลี้ยงค็อกเทลสุดหรูซึ่งจัดขึ้นเป็นพิเศษให้กับโลกธุรกิจและแวดวงบันเทิง
มู่เวยเวยดื่มเหล้าไม่ได้ น้ำอัดลมก็ไม่ได้ เย่ฉ่าวเฉินให้เด็กเสิร์ฟไปรินน้ำอุ่นให้หนึ่งแก้ว
“ ที่นั่นมีของหวาน อยากไปกินสักหน่อยไหม?” เขาถามด้วยความห่วง
มู่เวยเวยส่ายหัว ตอนนี้เธอไม่ชอบของหวานเลย
“ประธานเย่ ฉันตามหาคุณทุกที่เลย ทำไมมาหลบอยู่ที่นี่?”
เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยหันกลับมา ผู้อำนวยการของแฟชั่นนิตยสารที่กำลังถือแก้วไวน์มองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้ม มีสาวสวยยืนอยู่ข้างๆ
ดวงตาของมู่เวยเวยประกายขึ้น นี่ไม่ใช่ดาราที่เพิ่งได้รับรางวัลเหรอ?
เย่ฉ่าวเฉินยืนขึ้นและจับมือกับเขา “ประธานตู”
ประธานตูมองมู่เวยเวย ถามว่า “คนนี้คือ…… ”
“ภรรยาของฉัน มู่เวยเวย” เย่ฉ่าวเฉินแนะนำ ช่วยพยุงมู่เวยเวยลุกขึ้น “เวยเวย นี่คือมือหนึ่งแห่งวงการแฟชั่น”
“ที่แท้ก็เป็นคุณนายเย่นี่เอง ทำไมฉันรู้สึกคุ้นๆจัง?” ประธานตูมองเธอ รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหน?
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะและพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “เธอเคยขึ้นปกนิตยสารเสื้อผ้าที่สวยงามของคุณ”
ทันใดนั้นประธานตูก็นึกขึ้นได้ “อ้อ! ใช่ใช่ใช่ ฉันจำได้แล้ว ตอนนั้นฉันยังบอกกับเขาอยู่เลยว่า บริษัทเย่ฮวางครั้งนี้มีนักออกแบบที่หัวทันสมัยมาก รูปแบบการออกแบบมีความกล้าหาญและสร้างสรรค์ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นภรรยาของประธานเย่”
มู่เวยเวยไม่ค่อยได้รับการยกย่องแบบนี้ เธอไม่รู้ว่ามันจริงใจหรือแค่พูดเอาใจต่อหน้าเย่ฉ่านเฉิน
“ คุณชมเกินไปแล้ว ฉันไม่ได้ขนาดนั้นหรอกค่ะ” มู่เวยเวยพูดอย่างถ่อมตัว
ประธานตูแนะนำสาวสวยที่อยู่ข้างๆเขา “นี่คือคุณซูหยา ที่เพิ่งได้รับรางวัลดาราที่น่าสนใจประจำปี ซูหยา นี่คือประธานเย่ของบริษัทเย่ฮวางกรุ๊ป”
“สวัสดี เย่ฉ่าวเฉิน” เย่ฉ่าวเฉินยื่นมือออกไปและจับมือของเธอเบา ๆ และรีบปล่อย
ซูหยายิ้มหวานและพูดว่า “ ประธานเย่ ฉันได้ยินชื่อนี้มานานแล้ว ไม่คาดคิดว่าจะได้พบคุณในวันนี้”
อุตสาหกรรมบันเทิงและผู้ประกอบการเชื่อมโยงกัน ประธานตูสามารถพาซูหยามาหาเย่ฉ่าวเฉินด้วยตัวเอง ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะใกล้ชิดกันมากและมีจุดประสงค์ที่ชัดเจน
มู่เวยเวยเฝ้าดูพวกเขาคุยกัน เธอรู้สึกเบื่อเล็กน้อย จึงดื่มน้ำไปไม่กี่คำ ในตอนนี้เธออยากเข้าห้องน้ำมาก เธอกำลังจะบอกให้เย่ฉ่าวเฉินว่าจะไปห้องน้ำ ทันใดนั้นสาวเสิร์ฟที่สวมรองเท้าส้นสูงก็เดินเซ แก้วไวน์ที่อยู่ในถาดก็ร่วงลงมาที่เธอ ตาและมือของเย่ฉ่าวเฉินไวมาก รีบดึงมู่เวยเวยไว้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงแก้วที่แตกลงพื้น
“ ขอโทษนะคะ ขอโทษ ” หญิงสาวก้มลงขอโทษอย่างรีบร้อน
เย่ฉ่าวเฉินรีบดูร่างกายของมู่เวยเวยด้วยความกังวล แขนเสื้อของเธอมีไวน์เปื้อนเล็กน้อย รองเท้าสีขาวของเธอเต็มไปด้วยไวน์แดง
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ทันระวังเอง ขอโทษ…… ”
ก่อนที่เย่ฉ่าวเฉินจะโกรธ มู่เวยเวยก็พูดว่า “ไม่เป็นไร ฉันไปล้างออกที่ห้องน้ำก็พอแล้ว”
“ ฉันต้องขออภัยด้วยจริงๆ หรือว่าฉันเอาเสื้อผ้าของคุณไปซักให้” หญิงสาวกังวลจนจะร้องไห้
มู่เวยเวยโบกมือให้เธอ “ฉันบอกว่าไม่เป็นไร เธอไปเถอะ”
เย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าเธอไม่อยากให้พนักงานเสิร์ฟต้องอับอาย เขาจึงพูดกับประธานตูและซูหยาว่า “ฉันขอตัวไปห้องน้ำกับเวยเวยก่อน ทั้งสองคนรอสักครู่นะ”
ประธานตูรู้สึกเสียหน้า แถมนี่ยังเป็นงานของเขา เขาโกรธมากและตำหนิหญิงสาวว่า “นี่แกทำอะไรของแก?”
มู่เวยเวยรีบพูดแทนหญิงสาวว่า “ประธานตู ฉันไม่เป็นไรจริงๆ อย่าตำหนิเธอเลย”
“วันนี้ฉันเห็นแก่คุณนายเย่ไม่เอาเรื่องแก ครั้งหน้ายังเป็นแบบนี้ ก็ลาออกไปซะ”
หญิงสาวพูดเบาๆสองคำ”ขอโทษ” จากนั้นโค้งคำนับให้กับมู่เวยเวยและพูดว่า “ขอบคุณ”
“ไม่เป็นไร” มู่เวยเวยไม่ต้องการเป็นจุดสนใจของผู้คน ดึงแขนเสื้อของเย่ฉ่าวเฉินและกระซิบ “ไปกันเถอะไปห้องน้ำ”
เย่ฉ่าวเฉินจับมือเธอแล้วพูดว่า “เดินช้าๆ” โชคดีที่วันนี้ฉันใส่รองเท้าผ้าใบถ้าเป็นรองเท้าส้นสูงหรือรองเท้าแตะเท้าอาจถลอกได้
ทั้งสองเดินไปที่ห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ซูหยายกแก้วไวน์ขึ้น มองไวน์สีแดงไหลลงมาในนั้นดวงตาของเธอแสดงความอิจฉาออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ประธานเย่ดีกับภรรยาของเขาจริงๆ” ซูหยาถอนหายใจ
ประธานตูพยักหน้า“ ดีมากจริงๆ ฉันยังไม่เคยเห็นเลยว่าเย่ฉ่าวเฉินจะใส่ใจใครขนาดนี้ อย่าว่าแต่เมื่อกี้ที่เขาคุยกับเราเลย จริงๆใจเขาอยู่ที่ตัวภรรยาเขา ไม่อย่างงั้นปฏิกิริยาเมื่อกี้จะไวขนาดนั้นหรอ?”
ซูหยายิ่งอิจฉา เธอสวยกว่ามู่เวยเวยมาก แต่ทำไมถึงไม่มีใครดีกับเธอแบบนี้บ้าง?
ที่ประตูห้องน้ำ เย่ฉ่าวเฉินจะตามเข้าไปด้วย แต่มู่เวยเวยห้ามไว้
“ เธอจะเข้าไปห้องน้ำผู้หญิงด้วยทำไม? รออยู่ที่นี่แหละ”
เย่ฉ่าวเฉินมองลงไปที่รองเท้าของเธอและพูดอย่างเป็นห่วง “เธอไปคนเดียวได้หรอ?”
มู่เวยเวยพูดไม่ออก“ ฉันแค่ท้อง ไม่ใช่คนพิการ”
“ ทำไมพูดแบบนี้?” เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วและจ้องไปที่เธอ
มู่เวยเวยเหลือบมองเขาจากนั้นก็หันเข้าไปในห้องน้ำผู้หญิง
เย่ฉ่าวเฉินเดินไปเดินมา ยืนอยู่ไม่กี่นาที เขายิ่งอยู่ยิ่งกระวนกระวาย แค่ไม่เห็นเธอวินาทีเดียว หัวใจของเขาก็ตื่นตระหนก
รอยยิ้มที่ขมขื่นในใจ เย่ฉ่าวเฉิน ไม่คิดว่าเธอจะมีวันนี้ด้วย
“ เฮ้ นี่ใช่ประธานเย่ไหม? คุณกำลัง…… ” คนรู้จักเดินออกมาจากห้องน้ำผู้ชาย
เย่ฉ่าวเฉินแสร้งทำเป็นหยิบซองบุหรี่ออกมาจากกระเป๋ากางเกง “สูบบุหรี่”
“อ้อ ได้ยินมาว่าโปรเจคของคุณถูกบริษัทมู่ขโมยไปหรอ?” ชายคนนั้นหยิบบุหรี่ที่เย่ฉ่าวเฉินส่งให้และพูดต่อ “ตระกูลเย่ของคุณกับตระกูลมู่เป็นญาติกันไม่ใช่หรอ? ทำไมมู่เทียนเย่ถึงยังขโมยของคุณ?”
เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะออกมา ไม่อยากยอมรับว่าเขาแพ้จึงพูดว่า “มู่เทียนเย่ไม่ได้ขโมยไปหรอกแต่ฉันมอบมันให้เขาเอง ถือว่าเป็นของขวัญที่เขากลับมา”
ชายคนนั้นตบไหล่เขาและพูดว่า “ประธานเย่นี่ใจถึงจริงๆ ให้ของขวัญเป็นร้อยร้อยล้าน…… ”
พูดถึงตรงนี้ ไฟทั้งหมดในงานเลี้ยงก็ดับลงอย่างกะทันหัน มืดสนิท
“ ไฟดับหรอเนี่ย?”
“ เอ้ะ ทำไมมืดไปหมด? ”
มีเสียงประหลาดใจในห้องโถง เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกไม่ปกติ ไม่สนว่าข้างในจะเป็นยังไงเป็นห่วงผู้หญิงของเขาก็เลยบุกเข้าไป ทันทีที่เข้าไปถึงห้องน้ำ ไฟก็สว่างขึ้น
ที่หน้ากระจกผู้หญิงคนหนึ่งกำลังยืนแต่งหน้า เธอยืนอยู่ที่นั่นก่อนที่ไฟจะดับแล้ว เมื่อเห็นเย่ฉ่าวเฉินเข้ามาก็ตกใจ “คุณ……คุณเข้ามาทำอะไร?”
เย่ฉ่าวเฉินไม่สนใจเธอและตะโกนว่า “เวยเวย คุณเป็นอย่างไรบ้าง?”
ไม่มีใครตอบ หัวใจของเย่ฉ่าวเฉินเริ่มกังวลและเขาก็ตะโกนอีกครั้งว่า “เวยเวย?”
ยังคงไม่มีใครตอบรับ
ห้องน้ำผู้หญิงมีอยู่สี่ห้อง มีสามห้องที่ว่างอยู่ แต่ห้องตรงกลางมีคนอยู่ข้างใน เย่ฉ่าวเฉินเดินไปและเคาะประตู “เวยเวย”
“อ๊าก-ใครอะ!!” มีเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนหนึ่งดังออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่มู่เวยเวย
เย่ฉ่าวเฉินตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็หันกลับไปถามผู้หญิงอีกคนอย่างใจจดใจจ่อ “ผู้หญิงที่เพิ่งเข้ามาใส่เสื้อโค้ทสีชมพูอยู่ที่ไหน?”
“ คุณหมายถึงผู้หญิงที่ถูกไวน์หกใส่เสื้อเหรอ?”
“ใช่ เธออยู่ไหน?”
ผู้หญิงคนนั้นชี้ไปที่ประตู “เธอออกไปเมื่อกี้แล้วนิ”
เย่ฉ่าวเฉินตกตะลึง เป็นไปไม่ได้เขายืนอยู่ที่ประตูตลอด หรือว่า……ตอนที่เขากำลังคุยกับผู้ชายคนนั้น เธอก็แอบวิ่งหนีไป?
เมื่อคิดถึงเช่นนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็วิ่งออกจากห้องน้ำและรีบวิ่งไปที่ประตู เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา “จางเหอ เฝ้ามองที่ประตูดี ถ้าเห็นมู่เวยเวยให้ตามไปทันที มู่เทียนเย่หรือหนานกงเฮ่าก็อย่าปล่อยมันไป”
“ครับ เจ้านาย!” จางเหอรีบตอบรับ เย่ฉ่าวเฉินวางสายโทรศัพท์ แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเขาร้องออกมาคำนึง “เห้ย—“
เย่ฉ่าวเฉินวิ่งไปที่ชั้นสาม ทันทีที่ได้ยินเสียงของเขาจึงรีบถามว่า “เมื่อกี้แกเห็นใคร?”
“ มันคือมู่เทียนเย่ เขาพาคุณนายเย่ไปแล้ว……เจ้านาย พวกเขาขึ้นรถไปแล้ว”
“ตามไป” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างโมโห “โทรรายงานตลอด ฉันจะรีบตามไป”
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”
วิ่งไปถึงประตูโรงแรม ไม่มีรถ เย่ฉ่าวเฉินรีบวิ่งไปที่ถนนไม่ไกล
เขาขึ้นแท็กซี่คันหนึ่ง เย่ฉ่าวเฉินรับสายโทรศัพท์ของจางเหอและถามว่า “ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน?”
“ บนถนนหวู่ตง มู่เทียนเย่ดูเหมือนจะขับรถมุ่งหน้าไปยังชานเมืองด้านตะวันออก”
“รู้แล้ว ตามพวกมันไป” เย่ฉ่าวเฉินพูดกับคนขับรถ “คุณครับ ถนนหวู่ตง”
คนขับเหลือบมองเขาและพูดติดตลกว่า “เฮ้อ ไล่ตามคนหรอ”
“ เร็วกว่านี้ได้ไหม?” เย่ฉ่าวเฉินเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่
คนขับมองไปที่เขาสวมสูทและรองเท้าหนังและสีหน้าของเขาก็ไม่สบายใจ“ พี่ชาย นี่มันรถแท็กซี่นะจะเร็วแค่ไหนก็เทียบกับรถสปอร์ตไม่ได้หรอก”
เย่ฉ่าวเฉิน หยิบเงินออกมาจากกระเป๋า
วางไว้ตรงหน้าเขา “ถ้าตามทันรถที่ฉันตามอยู่ ทั้งหมดนี่เป็นของคุณ”
เมื่อคนขับรถเห็นมัน ดวงตาเต็มไปด้วยประกายเขาเหยียบคันเร่งและพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “พี่ชาย ไม่ต้องเป็นห่วง ก็แค่ไล่ตามคนไม่ใช่หรอ ตามทันแน่นอน ”
แน่นอนว่าพี่ชายคนนี้ไม่ได้ขับแท็กซี่ด้วยความเร็วรถสปอร์ต แต่ด้วยความรู้เส้นทางถนนในเมือง A หลังจากเลี้ยวไปหลายทาง เย่ฉ่าวเฉินก็เห็นคาเยนน์ของเขา
“จางเหอ ฉันเห็นแกแล้ว รถของมู่เทียนเย่คันไหน?”
“ รถปอร์เช่สีแดงข้างหน้า” จางเหอจ้องมองไปที่รถเพราะกลัวว่ามันจะหายไปต่อหน้าต่อตา แต่เขารู้สึกแปลกๆในใจของเขา เห็นได้ชัดที่แยกเมื่อกี้ มู่เทียนเย่พยายามดีดตัวออก แต่ตรงกันข้ามตอนนี้เขากลับช้าลงราวกับว่ารอให้เขาตามทัน
คงไม่มีแผนการอะไรใดๆหรอกมั้ง
หรือว่า เขาไม่เคยสังเกตเห็นตัวเองเลย?
รถไล่ตามกันสามคัน หนึ่งชั่วโมงผ่านไปออกจากเมืองA เย่ฉ่าวเฉินสงสัยเล็กน้อยมู่เทียนเย่จะพาเวยเวยไปที่ไหน? ทางทิศตะวันออกตรงนั้นก็เป็นทะเล หรือว่าพวกเขาจะนั่งเรือหนีไป?
ตลอดทางไปทางทิศตะวันออก แท็กซี่ออกมาถึงชานเมืองก็ไม่มีประโยชน์ รถสองคันข้างหน้าเป็นรถสปอร์ต ต่อให้คนขับมีความชำนาญมากแค่ไหน ประสิทธิภาพของรถก็สู้ไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูรถสองคันยิ่งอยู่ยิ่งวิ่งไปไกล ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป อีกสักพักก็คงไม่เห็นแม้แต่เงาของรถ
เย่ฉ่าวเฉินไม่มีทางเลือก “จางเหอหันกลับมารับฉัน คนขับรถ จอดรถ”
พี่ชายคนขับพูดอย่างอาย ๆ ว่า “ขอโทษด้วยนะความเร็วของรถคันนี้เทียบไม่ได้กับรถสปอร์ตจริงๆ”
หลังจากรถแท็กซี่จอดแล้ว รถคาเยนน์ก็มาถึง เย่ฉ่าวเฉินก็รีบลงรถและขึ้นรถ
พี่ชายคนขับมองไปที่คาเยนน์ที่หายไปในพริบตาพูดชมว่า “รถดีก็เร็วแบบนี้แหละ” แล้วนับเงินตรงหน้าด้วยความดีใจ
……
บนหน้าผาริมทะเลรถปอร์เช่สีแดงจอดอยู่นิ่งๆ เหมือนเสือชีต้าที่เหนื่อยล้า
“บูม -”
จู่ๆคาเยนน์ก็หยุดอยู่ห่างออกไปสิบเมตร
เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองไปที่รถคันข้างหน้าอย่างเย็นชาและพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
นอกเหนือจากเสียงลมและคลื่นแล้วก็ไม่มีเสียงอื่นๆอีก มู่เทียนเย่คิดจะทำอะไรทำไมมาจอดรถไว้ที่นี่?
“ จางเหอ แกแน่ใจหรอว่าข้างในคือมู่เทียนเย่?” เย่ฉ่าวเฉินถามเขา
“เป็นมู่เทียนเย่แน่นอน เขายังยิ้มหยามออกมาให้ฉันเลย” จางเหอตอบด้วยความมั่นใจ
เย่ฉ่าวเฉิน เปิดช่องหน้ารถทางด้านขวามือของรถหยิบปืนพกออกมาและบรรจุกระสุนทีละนัด
จางเหอมองดูด้วยความตกใจ “คุณชาย คุณ…… ”
“ มู่เทียนเย่ชอบเล่นไม่ใช่หรอ? งั้นคราวนี้มาเล่นกันให้พอเถอะ” ดวงตาของเย่ฉ่าวเฉินเต็มไปด้วยความกระหายเลือด เขาไม่สามารถปล่อยให้มู่เทียนเย่ท้าทายขีดจำกัดของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อีก เขาทนพอแล้ว ถ้าอย่างงั้นเรามาไขความคับข้องใจระหว่างเราในวันนี้กันเลยดีกว่า
จางเหอไม่กล้าที่จะพูด
เดินตามเขาออกไปจากรถอย่างเงียบ ๆ
“มู่เทียนเย่ มึงออกมาสิวะ!” เย่ฉ่าวเฉินตะโกนใส่ปอร์เช่
ประตูเปิดออกและมู่เทียนเย่ก็ลุกจากที่นั่งคนขับด้วยสีหน้าพอใจราวกับว่าเขากำลังพักผ่อนอยู่
มู่เทียนเย่มองไปที่เย่ฉ่าวเฉินด้วยสายตาเย้ยหยันยิ้มมุมปากและพูดว่า “เย่ฉ่าวเฉิน มึงตามกูมาตลอดทาง มึงอยากทำอะไร?”
“มึงว่ากูอยากทำอะไรล่ะ? มู่เทียนเย่ ครั้งก่อนกูไว้ชีวิตมึงเพราะเห็นแก่มู่เวยเวย ทำไมถึงไม่หลาบจำ อยากวอนลูกปืนมากนักหรอ?” เย่ฉ่าวเฉินยกปืนขึ้นและเล็งไปที่หัวของมู่เทียนเย่“ เชื่อไหมกูส่งมึงไปสวรรค์ได้ตอนนี้เลย?”
มู่เทียนเย่ไม่มีปฏิกิริยาอะไร ยักไหล่“เย่ฉ่าวเฉิน มึงพูดเยอะขนาด กล้าเหนี่ยวไกไหมล่ะ?”
“ปั๊ง-” เย่ฉ่าวเฉินยิงไปที่ขาของมู่เทียนเย่ จากนั้นก็ไม่ขยับ
มู่เทียนเย่หัวเราะเยาะ“ เย่ฉ่าวเฉิน วิธียิงปืนของแกไปเรียนมาจากไหน? เมื่อหลายปีก่อนฉันไม่เคยสอนหรอว่ายิงคนให้ยิงที่หัว?”
“ มู่เทียนเย่ อย่ามาท้าทายขีดจำกัดของฉัน มู่เวยเวยอยู่ไหน?”
มู่เทียนเย่หัวเราะเบา ๆ “ เวยเวย? ในที่สุดแกก็นึกถึงเวยเวยแล้วหรอ ว่าแต่ พวกเธออยู่ด้วยกันไม่ใช่หรอ? ทำไมมาถามหาคนกับฉันได้?”
เปลือกตาของเย่ฉ่าวเฉินกระตุกสองสามครั้ง“ มู่เทียนเย่ อย่ามาเล่นลิ้นกับฉัน คนที่นั่งอยู่ในรถไม่ใช่เธอหรอ?”
มู่เทียนเย่หัวเราะเสียงดัง“ ใครบอกแกว่าคนที่นั่งอยู่ข้างในคือเวยเวย?”
เย่ฉ่าวเฉินมองกลับไปที่จางเหออย่างกะทันหัน จางเหอดูงุนงง “ฉันเห็นเต็มตาว่าเขาพาคุณนาย……”
“จริงหรอ? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า……โอ้ย ขำว่ะ ” มู่เทียนเย่หัวเราะจนน้ำตาไหล พูดกับจางเหอว่า “น้องชาย ตาของแกยังดีอยู่ไหม? ฉันพาแฟนของฉันขึ้นรถตางหาก”
“เป็นไปไม่ได้ ฉันเห็นเต็มตา…… ” จางเหอพูดอย่างแน่วแน่
จางเหอตบหลังคารถและตะโกนเข้าไปว่า “ออกมาสิ ให้พวกเขาเห็นกับตา ”
ประตูรถเปิดออกและสาวสวยคนหนึ่งก็ออกจากรถ ผมยาวคลุมไหล่ สวมเสื้อคลุมสีชมพูและรองเท้าผ้าใบสีขาวคู่หนึ่ง……
พวกเขาสวมชุดเหมือนกัน แต่ใบหน้านั้นไม่ใช่มู่เวยเวย ถ้าหากไม่มองให้ดีๆก็จะเข้าใจว่าเป็นมู่เวยเวย แถมยังมีมู่เทียนเย่อยู่ข้างๆ……
“คุณชาย ฉัน……” จางเหอรู้สึกรำคาญและอยากจะกระโดดลงไปในทะเล ที่ทางเข้าของโรงแรมใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นถูกปิดกั้นด้วยผมยาวและเธอก็สวมชุดแบบนี้ ทันใดนั้นเขาก็เลยคิดว่าเป็นมู่เวยเวย
เย่ฉ่าวเฉินค่อยๆวางปืนลง เขาไม่ได้ตำหนิจางเหอ ถ้าเขาเห็นก็คงคิดว่าเป็นมู่เวยเวยเหมือนกัน
เขาโดนหลอกอีกแล้ว
ทั้งๆที่มีเวลารอผู้หญิงคนนั้นออกมาจากห้องน้ำ ด้วยความเฉียบแหลมของเขา หากมู่เวยเวยหายไปจากเขา ทำไมเขาจะรู้สึกไม่ได้ล่ะ?
เป็นห่วงจนวุ่นวายไปหมด
ดังนั้น ทันทีที่ได้ยินผู้หญิงคนนั้นบอกว่ามู่เวยเวยออกไปแล้ว สมองของเขาก็ร้อนรุ่มและด้วยคำพูดของจางเหอเขาก็สูญเสียสติไปในทันที
ทำไมถึงโง่ได้ขนาดนี้?
“เห็นชัดหรือยัง? เธอไม่ใช่เวยเวย” มู่เทียนเย่เอนตัวไปในรถและยืดตัว “มันน่าผิดหวังจริงๆที่ออกไปข้างนอกกับแฟนสาวเพื่อดูทะเลแต่กลับถูกคนอื่นรบกวนแบบนี้”
……
ที่โรงแรม ก่อนไฟดับสามนาที
มู่เวยเวย เดินเข้าไปในห้องน้ำผู้หญิง คนหนึ่งกำลังแต่งหน้า เธอเหลือบมองเธอผ่านกระจก มู่เวยเวยไม่ได้สนใจและไปที่ห้องน้ำเธอกดน้ำ ทันทีเปิดประตูออกมา ผู้หญิงตคนหนึ่งก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตู
“จุ๊ๆ-” ผู้หญิงคนนั้นบอกให้เธอเงียบและพาเธอเข้าไปอีกห้อง
“คุณเป็นใคร? คิดจะทำอะไร?” มู่เวยเวยถามด้วยความกังวล
ผู้หญิงคนนั้นกระพริบตา “จำฉันไม่ได้แล้วหรอ?”
มู่เวยเวยกระพริบและปิดปากของเธอ “ผู้ช่วยพยาบาล?”
“ อย่าส่งเสียงดัง ฉันพูดอะไรให้ทำตาม เข้าใจไหม?”
มู่เวยเวยพยักหน้าด้วยความประหลาดใจ เธอไม่คาดคิดว่าพี่ชายของเธอจะวางแผนไว้ แม้ว่าพยาบาลคนนั้นจะแต่งหน้า แต่เธอก็ยังจำได้
“ขึ้นไปยืนข้างบนนี้ อย่าให้คนมองจากข้างนอกแล้วเห็นขาของเธอ ฉันรู้ว่ามันยาก แต่แค่แปปเดียวอดทนไว้”
ห้องน้ำแต่ละห้องจะมีกล่องพิเศษ พยาบาลหมายถึงที่ๆเธอยืนอยู่ ทางโรงแรมทำกล่องจากโลหะซึ่งน่าจะรับน้ำหนักคนได้
“มาเร็ว ขึ้นไป ไม่มีเวลาแล้ว”
มู่เวยเวยหายใจเข้าลึกๆและแอบพูดในใจ ลูกรัก เป็นกำลังใจให้แม่ด้วย ลูกจะต้องไม่เป็นอะไร
จากนั้นก้าวเท้าข้างหนึ่งบนโถส้วม เท้าอีกข้างหนึ่งบนกล่องโลหะจับขอบด้านบนของห้องไว้ ขยับเท้าอีกข้างไปข้างหน้า
ทันใดนั้น ไฟก็ดับลงทันที
มีเสียงหวีดหวิว และเธอก็ได้ยินเสียงพยาบาลเหมือนกำลังปลดกางเกงของเธอ
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ไฟก็สว่างขึ้นอีกครั้ง
จากนั้น เสียงของเย่ฉ่าวเฉินก็ดังออกมาจากข้างนอก ใจของมู่เวยเวยเต้นแรงขึ้นมาทันที จับฉากกั้นไว้แน่นๆและรำพึงในใจของเธอว่า “อย่าเห็นฉัน ไม่เห็นฉัน”
เวยเวย เวยเวย —
เย่ฉ่าวเฉินตะโกนเสียงดังจากข้างนอก เมื่อเขาผลักประตูเข้ามา มู่เวยเวยก็กลั้นหายใจทันที
พยาบาลนั่งอยู่ที่โถส้วมกรีดร้องออกมาและด่าออกไปคำนึง
มู่เวยเวยลืมตาขึ้นและมองลงไป เธอถอดกางเกงออกแล้วนั่งลงบนชักโครกจริงๆ
พูดได้ว่าเล่นได้สมบทบาทมาก ต่อให้เย่ฉ่าวเฉินจะเปิดประตูแล้วมู่เวยเวยอยู่หลังประตูสิ่งแรกที่เขาเห็นคือพยาบาล ตามความคิดปกติเขาต้องรีบออกไปทันที
ไม่คาดคิด เย่ฉ่าวเฉินไม่แม้แต่จะเปิดประตู เขาไปถามผู้หญิงอีกคนผลก็คือเขาถูกหลอกให้ออกไปได้อย่างง่ายดาย
หลังจากที่ฝีเท้าของเย่ฉ่าวเฉินหายไป ผู้หญิงที่กำลังแต่งหน้าอยู่ข้างนอกก็วิ่งออกไปดูและเห็นเขาวิ่งไปไกลแล้ว จากนั้นก็รีบกลับมาและบอกว่า “เขาไปแล้ว พวกเธอเร็วเข้า”
ตอนนี้พยาบาลก็รีบใส่กางเกงเรียบร้อย แล้วช่วยมู่เวยเวยลงมาและถามว่า “คุณเป็นอะไรไหม?”
“ฉันไม่เป็นอะไร” มู่เวยเวยกังวลมาก ทั้งหมดนี้น่าตื่นเต้นเกินไป
ผู้หญิงสองคนพามู่เวยเวยไปตามทางเดินของโรงแรมอย่างรวดเร็ว มีรถรออยู่ที่ประตูแล้ว เธอนั่งลงในรถอย่างสงบ หัวใจของมู่เวยเวยเต้นแรงและมือสั่นเบาๆ
พยาบาลสังเกตเห็นอาการของเธอและเอามือมาปลอบเธอว่า “อย่ากังวลมาก คุณกำลังท้อง การวิตกกังวลมากเกินไปไม่ดีสำหรับเด็ก”
“อืมอืม ฉันรู้แล้ว แต่ฉันก็อดไม่ได้นี่หนา” มู่เวยเวยพูดพร้อมกับร้องไห้และยิ้ม
“เมื่อกี้คุณกล้าหาญมาก ลองหายใจเข้าลึกๆสักสองสามครั้ง”
ภายใต้การปลอบของพยาบาลทำให้มู่เวยเวยค่อยๆสงบลง ในเวลานั้นรถก็ขับออกมาจากโรงแรม
“ พี่ชายของฉันล่ะ? พวกเราจะไปไหน?” มู่เวยเวยถามพยาบาล
“เจ้านายหลอกเย่ฉ่าวเฉินออกไปอีกทาง ตอนนี้พวกเราต้องออกจากเมือง A ก่อน” พยาบาลตอบสั้น ๆ
มู่เวยเวยตกตะลึง เธอคิดว่าพี่ชายของเธอรอเธออยู่ที่นี่ แต่ไม่คาดคิดว่าพี่จะเป็นคนไปล่อเย่ฉ่าวเฉิน
“ เขา……เขาไม่บอกหรอว่าต้องไปเจอกันที่ไหน?”
“ไม่ได้บอกค่ะ ถ้าถึงแล้วจะมีคนมารับเรา คุณไม่ต้องเป็นห่วง” พยาบาลนึกอะไรบางอย่างได้ หยิบเอกสารจากกระเป๋ามาให้เธอ “เจ้านายบอกให้เอานี่ให้คุณ ”
มู่เวยเวยเปิดมันและเห็นว่ามันเป็นเอกสารการโอน อีกด้านเป็นชื่อของมู่จางรุ่ย อีกด้านเป็นชื่อเธอ เมื่อเธอเห็นก็ลืมตาโตขึ้น พี่ชายของเธอนำทรัพย์สินทั้งหมดที่มู่ชางรุ่ยที่เอาไปจากตระกูลมู่เปลี่ยนเป็นชื่อของตัวเอง ซึ่งรวมทรัพย์สินหลายอย่าง ส่วนของบริษัท และรถหรูหลายคัน
อสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ถูกขายและเงินจะถูกฝากไว้ในบัญชีธนาคารของสวิสที่เขาเปิดให้เธอและเธอสามารถนำมันไปเบิกได้ เมื่อเธอไปถึงที่นั่น
มู่เวยเวยไม่เข้าใจเขาทำแบบนี้ทำไม เขาให้พวกนั้นเพื่ออะไร? จัดแจงทุกอย่างเหมือนว่าเขาจะไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว?
ยิ่งคิดยิ่งไม่ถูก ไม่ได้ เธอจะไปง่ายๆแล้วปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้
เธอเข้าใจเย่ฉ่าวเฉิน หากเขารู้ว่าพี่ชายหลอกเขา เขาจะลงไม้ลงมืออย่างรุนแรง หรือไม่ก็อาจลงมือฆ่าพี่ชาย……
เธอไม่สามารถเอาอิสระของตัวเองมาแลกกับชีวิตของพี่ชายได้ ถ้าอย่างงั้นเธอยอมอยู่กับเย่ฉ่าวเฉินทั้งชีวิตก็ยังได้ เธอต้องการให้พี่ชายมีชีวิตอยู่
“คุณรู้ไหมว่าพี่ฉันจะพาเย่ฉ่าวเฉินไปไหน” มู่เวยเวยพูดขึ้น
พยาบาลมองเธออย่างกังวล“ คุณจะถามทำไม?”
“พาฉันกลับไป” มู่เวยเวยพูดอย่างหนักแน่น “คุณต้องรู้แน่ว่าพี่ฉันอยู่ที่ไหน พาฉันกลับไป”
พยาบาลและสาวแต่งหน้าเหลือบมองหน้ากันแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “เจ้านายสั่งให้ฉันพาคุณออกจากเมือง A ส่วนเรื่องอื่นเราไม่ต้องไปยุ่ง”
มู่เวยเวยจับแขนเธออย่างกระวนกระวาย“พี่สาวคนสวย เขาเป็นพี่ชายฉัน ไม่สนได้ยังไง พวกคุณไม่รู้จักเย่ฉ่าวเฉิน เขาเป็นคนบ้า ถ้าเขารู้ว่าพี่ฉันหลอกเขา เขาต้องฆ่าพี่ฉันแน่ๆ แล้วพวกเขายังมีเรื่องบาดหมางกันมากขนาดนั้น”
เห็นได้ชัดว่าพยาบาลมั่นใจในตัวมู่เทียนเย่มาก “คุณหนูมู่ ต่อให้เย่ฉ่าวเฉินจะฆ่าเจ้านาย เขาก็ต้องมีความกล้านั้นถึงจะทำได้”
มู่เวยเวยไม่สามารถบอกพวกเขาได้ว่าเย่ฉ่าวเฉินมีพลังเหนือธรรมชาติดังนั้น เธอจึงสามารถอธิบายได้แค่“ ไม่ คุณไม่เข้าใจความสามารถของเย่ฉ่าวเฉิน ไม่อย่างงั้นพี่จะเอาทั้งหมดนี่ให้ฉันทำไม นี่คือการเตรียมไว้ก่อนไปตาย ฉันจะปล่อยให้พี่ชายตัวเองไปตายได้ยังไง?”
พยาบาลยังคงไม่เห็นด้วย“ คุณหนูมู่ ยกโทษให้พวกเราด้วยที่ไม่สามารถฟังคุณได้ ยังยืนยันคำนั้น เจ้านายสั่งอะไรไว้เราทำอันนั้น อย่างอื่นก็ไม่ต้องสนใจ”
มู่เวยเวยรู้สึกกังวล“ เขากำลังจะตายแล้ว ยังจะมาอะไรเจ้านงเจ้านายอีก จะให้ฉันเป็นคนทำพี่ตายหรอ?”
บรรยากาศในรถเริ่มนิ่ง……
หลังจากที่มู่เวยเวยสงบลง เธอก็ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและพูดว่า “เอาอย่างงี้ พาฉันไปที่พี่ฉันอยู่ และคอยดูจากไกลๆถ้าพี่ชายของฉันสบายดีเราจะหันหลังกลับและหากเขาโทษพวกคุณ ฉันจะรับโทษแทนเอง โอเคไหม?”
ผู้หญิงสองคนในรถก็ไม่พูด
“ พี่สาว ฉันขอร้องล่ะ……พวกคุณก็ไม่อยากเห็นพี่ฉันตายใช่ไหม? พี่สาว……”
“เอาล่ะเอาล่ะ เสี่ยวจาง เลี้ยวกลับไปที่ทะเล” พยาบาลอดทนไม่ไหว เธอถูกมู่เวยเวยพูดให้ใจอ่อน เพราะเธอเองก็ไม่อยากให้เจ้านายตัวเองตาย
มู่เวยเวยดีใจมาก กอดไหล่ของพยาบาลและพูดว่า “ขอบคุณ”
“เธอ…… เธอรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อฝ่าฝืนคำสั่ง” ผู้หญิงอีกคนหันศีรษะและจ้องมองไปที่พยาบาลด้วยสายตาที่ไม่น่าเชื่อ
พยาบาลเหลือบมองเธอและพูดว่า “ก็ต้องรอดูถ้าเขายังมีชีวิต”
ถ้าเขาตาย จะพูดถึงบทลงโทษทำไม?
ไม่มีใครพูด
……
ริมทะเล
ดวงอาทิตย์กำลังจะจมลงสู่ก้นทะเล แสงของดวงอาทิตย์ทำให้พื้นผิวทั้งหมดเปียกโชกราวกับทะเลเพลิง
รถสองคัน คนสี่คนกลายเป็นสิ่งที่สะดุดตาในทะเลเพลิง
หลังจากที่เย่ฉ่าวเฉินบังคับตัวเองให้สงบลง เขาก็เริ่มไถ่ถามอีกครั้ง“ มู่เทียนเย่ แกพยายามหลอกฉันให้ออกมาที่นี่ เพื่ออยากพามู่เวยเวยไปใช่ไหม”
มู่เทียนเย่มองลงไปที่นาฬิกาของเขาและถอนหายใจอย่างโล่งอก“ สองชั่วโมงกว่าแล้ว ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เวยเวยก็น่าจะขึ้นเครื่องบินแล้ว” หึม เขาไม่อยากจะเชื่อ เขากลัวที่จะเกิดอันตราย รีบโอนย้ายไปยังเครื่องบินทันที
อารมณ์ของเย่ฉ่าวเฉินสงบลงอีกครั้ง“ มู่เทียนเย่ ทำไมแกจ้องจะแยกฉันกับเวยเวย?”
ท่าทีของมู่เทียนเย่เปลี่ยนเป็นเย็นชาและพูดว่า“ เย่ฉ่าวเฉิน ไม่ใช่ฉันอยากแยกพวกคุณ แต่เวยเวยต้องการที่จะไปจากคุณ ถ้าเธอไม่อยากไปจากคุณ ฉันอาจละทิ้งความสงสัยก่อนหน้านี้ และพยายามยอมรับคุณเป็นน้องเขยของฉัน แต่ว่า ภาพแบบนี้ชาตินี้พวกคุณคงไม่ได้เห็นมันอีกแล้วล่ะ”
คำพูดของมู่เทียนเย่คมเหมือนมีด
ในใจของเย่ฉ่าวเฉิน เขาพูดถูก เหตุผลที่มู่เวยเวยถูกมู่เทียนเย่พาตัวไปครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะเธอต้องการจากไป หากเธอไม่ต้องการไปจากฉัน ครั้งที่หนานกงเฮ่าพาเธอไป เธอก็คงโทรหาฉันให้ไปช่วยแล้ว…..
เขาทำดีไปขนาดนี้แล้ว มันไม่ทำให้หัวใจที่เย็นชาของเธอกลับมาอบอุ่นอีกครั้งหรอ?
ไม่ ต่อให้เปลี่ยนกลับไม่ได้แล้วยังไง? ตราบใดที่เธออยู่ในสายตา ให้กำเนิดลูก เขาไม่เชื่อว่าชาตินี้จะเอาชนะใจเธอไม่ได้
แต่ว่า ก่อนที่จะไปหามู่เวยเวย เขาต้องจัดการกับมู่เทียนเย่ก่อน ต่อให้ไม่ฆ่าเขา ก็ต้องทำให้เขาลุกจากเตียงไม่ได้สักปี แบบนี้ มู่เทียนเย่จะได้ไม่ต้องมายุ่งกับเขาและเวยเวย
“ มู่เทียนเย่ ไม่กี่ปีที่แล้ว ทำให้น้องฉันเหมือนตายทั้งเป็น ปล่อยให้เขาต้องทุกข์ทรมานอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน แถมยังเสียแขนไปอีกข้าง บัญชีนี้เรามาคิดกันวันนี้ดีกว่า” เย่ฉ่าวเฉินโยนปืนลงบนพื้น ดึงเสื้อคลุมอีกข้างขึ้น
แม้ว่าอาการบาดเจ็บที่ไหล่ของมู่เทียนเย่จะยังไม่หายดี แต่ตอนนี้เขาจะยอมได้อย่างไร?
“พอดีเลย หนึ่งปีมานี้ แกทำให้เวยเวยต้องทนทุกข์ทรมาน ฉันก็อยากคิดบัญชีเหมือนกัน” มู่เทียนเย่ถอดเสื้อออก โยนปืนลงที่พื้น
ทั้งสองจ้องมองอย่างเย็นชา ขยับเท้าและพุ่งเข้าหากัน …
การต่อสู้ด้วยมือเปล่านั้นน่าตกใจยิ่งกว่าดาบและกระสุน ยิ่งทั้งสองคนฝีมือไม่มีใครยอมใคร
ครั้งที่แล้วต่อสู้กันที่โรงพยาบาล สถานที่มีพื้นที่จำกัด ใช้เท้าใช้ขาก็ไม่ได้ แต่ตอนนี้ พื้นที่อำนวยต่อสู้ยังไงก็ได้ ไม่มีใครมารบกวนอีกด้วย
ทั้งสองคน คนหนึ่งเป็นสิงโต อีกคนเป็นเสือ จางเหอเป็นเสือดาวตัวน้อย ทำได้เพียงยืนดูการต่อสู้ ถ้าลงสนามด้วยสิ่งเดียวที่ได้คือความพ่ายแพ้
รถที่มู่เวยเวยนั่งอยู่ก็มาจอดอยู่หลังก้อนหินขนาดใหญ่ จากมุมนี้เธอสามารถมองเห็นสถานการณ์ของทั้งสี่คนได้ แต่อีกฝ่ายมองไม่เห็นตัวเอง
สังเวียงที่สมบูรณ์แบบ
ในขณะนี้ เย่ฉ่าวเฉินและมู่เทียนเย่ ยังไม่ได้เริ่มการต่อสู้เขาก็ถือโอกาสกระโดดไปเตะที่หน้าอกของมู่เทียนเย่ เตะเขาถอยหลังไปหลายก้าว เกือบล้มลงกับพื้น
“พี่!” มู่เวยเวยอุทานออกมา กำลังจะเปิดประตูและลงจากรถ แต่ถูกพยาบาลดึงไว้ “ตอนคุณกลับมาพูดว่ายังไง? อีกอย่างพวกเขาก็คงกำลังเคลียร์ศีกดิ์ศรีของตัวเอง ยังไม่ถึงขั้นเอาเป็นเอาตายหรอก”
“เธอรู้ได้ยังไง?”