มู่เวยเวยแววตาล่องลอย “พี่ชายอยู่ที่นั่น”
พ่อบ้านหวังขนหัวลุกเล็กน้อย พูดอธิบายว่า : “คุณหนู คุณตาลายแล้ว พี่ชายคุณไม่ได้อยู่ในทะเลสาบ เรากลับกันเถอะ ” จากนั้นสาวใช้ก็จูงมู่เวยเวยมาที่ริมฝั่ง
“พี่ชาย ฉันจะไปหาพี่ชาย” มู่เวยเวยต่อสู้ขัดขืน พ่อบ้านหวังกับสาวใช้กล้าปล่อยมือซะที่ไหน ไม่ว่าเธอจะทำอย่างไรก็จับแขนเธอไว้แน่น ไม่ง่ายเลยที่จะลากมู่เวยเวยขึ้นฝั่ง ทั้งสองก็เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว
เวลานี้ฉินหม่าก็วิ่งเข้ามา เห็นภาพเหตุการณ์นี้ ในใจก็เข้าใจว่าหวนคิดถึงความทรงจำที่เจ็บปวดหรือความทรงจำที่ดีในคืนวันนั้นไปก็เปล่าประโยชน์ เด็กคนนี้ยังคงคิดอยากจะตาย
“คุณหวัง เอาคุณส่งมาให้เราเถอะ” ฉินหม่าเข้าไปช่วยประคองแขนของมู่เวยเวย สิ่งที่จำเป็นสำหรับเธอที่สุดตอนนี้คืออาบน้ำอุ่น มิเช่นนั้นจะเป็นหวัดอย่างแน่นอน
หญิงตั้งครรภ์เป็นหวัดมันเป็นเรื่องยุ่งยากมาก ยาอะไรก็กินไม่ได้ อาศัยภูมิต้านทานของตัวเองได้เท่านั้น และด้วยร่างกายที่อ่อนแอของมู่เวยเวย คาดว่าจะต้านทานไม่ไหว
ฉินหม่าและสาวใช้พยุงมู่เวยเวยมาที่ห้องน้ำ รีบถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นของเธอ แล้วเปิดฝักบัว
“ไป เอาม้านั่งข้างนอกเข้า” ฉินหม่าพูดกับสาวใช้
สาวใช้ทำท่าทางคล่องแคล่ว ย้ายม้านั่งหนึ่งตัว ฉินหม่าปลอบโยนมู่เวยเวยให้นั่งลงบนนั้น
“ฉินหม่า ให้คุณหนูแช่อ่างอาบน้ำไม่ดีกว่าเหรอ? ทำไมต้องทำเช่นนี้? ” สาวใช้ถามอย่างไม่เข้าใจ
ฉินหม่าเหลือบมองเธอ “คนท้องพยายามอย่าแช่อ่างอาบน้ำ จะไม่ดีต่อเด็ก”
หลังจากสิบนาที ฉินหม่าสัมผัสขาของมู่เวยเวยว่าไม่เย็นแล้ว จึงปิดน้ำร้อน ใช้ผ้าเช็ดตัวมาเช็ดตัวเธอให้แห้ง
“ฉินหม่า ทำไมไม่ให้ฉันตายไปซะ” มู่เวยเวยนอนอยู่บนเตียง มองเพดานด้วยแววตาล่องลอย เมื่อกี้ฉันเกือบจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับพ่อแม่แล้วก็พี่ชายแล้ว ทำไมต้องมาขัดขวางเธอด้วย?
ฉินหม่ามองเธออย่างจนปัญญา ท้ายที่สุดไม่รู้จะใช้คำพูดไหนมาปลอบโยนเธอ
“คุณพวกออกไปเถอะ ฉันล้าแล้ว” มู่เวยเวยพลิกตัว หันหลังให้พวกเธอ
เงามืดขนาดใหญ่ได้ห่อหุ้มเธอไว้อย่างสมบูรณ์แล้ว เธอไม่อยากบุกฝ่าความมืดมิดนี้ เรี่ยวแรงสักนิดเธอก็ไม่มีแล้ว
หลังจากเย่เฉ่าเฉินได้รับโทรศัพท์จากพ่อบ้านหวัง จึงขับรถกลับบ้านอย่างรีบร้อน
“เวยเวยเป็นอย่างไรบ้าง? ” เย่เฉ่าเฉินเพิ่งจะลงจากรถก็เอ่ยถามพ่อบ้านหวังอย่างร้อนใจ
“พักผ่อนอยู่บนห้องแล้ว”
เย่เฉ่าเฉินรีบเดินขึ้นไปชั้นบน มาถึงห้องนอนของตนเอง มู่เวยเวยก็หลับไปแล้ว
เขาถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก นั่งอยู่ข้างเตียงมองหน้าเธออย่างเคร่งขรึมและด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง
เส้นทางนี้ ใจของเขาถูกมือใหญ่คู่หนึ่งจับไว้แน่น ทุกลมหายใจนำพามาซึ่งความเจ็บปวดที่เสียดแทงถึงกระดูก เขาวิ่งฝ่าไฟแดงนับไม่ถ้วน จนเกือบเกิดอุบัติเหตุ เขาไม่อยากจะเชื่อ หลังจากที่มู่เวยเวยสงบลงเป็นเวลาหลายวันอย่างนี้ ยังคงทำเรื่องที่เด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เย่เฉ่าเฉินเริ่มสงสัยว่า ระหว่างสูญเสียเธออย่างสิ้นเชิงและปล่อยเธอไป เขาจะเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า
เขาคิดมาตลอด เวลาสามารถทำให้ความเจ็บปวดของบาดแผลหายไปได้ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถหายเป็นปกติได้ ก็สามารถทำให้เธอกลับมามีชีวิตที่ปกติได้ เขาคิดผิดเหรอ
จริงๆแล้ว ต้องปล่อยเธอไปใช่ไหม?
แล้วเด็กคนนั้นจะทำอย่างไร?
นี่เป็นลูกคนแรกของเขา เขาจะยอมให้ลูกออกไปเร่ร่อนอดอยากข้างนอกได้อย่างไร?
แต่ไม่ให้เธอไป ชีวิตของเธอจะถูกใช้ไปทีละน้อยๆ จนหมดสิ้นในคฤหาสน์หลังใหญ่นี้ นี่ไม่ใช่จุดจบที่เขาต้องการ เขาไม่อยากให้เธอตาย
มู่เวยเวย เมื่อก่อนคุณเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งไม่ยอมแพ้นะ? หายไปไหนแล้ว? คุณรู้ไหม ฉันยอมให้คุณทะเลาะกับฉันทุกวันจะดีกว่า ต่อให้คุณจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อที่จะแก้แค้นฉัน ก็ไม่อยากให้คุณเงียบจนเหมือนกับหุ่นกระบอกเช่นนี้
เย่เฉ่าเฉินงอนิ้วของเขา สัมผัสใบหน้าของเธอเบาๆ ด้วยหลังมือ เป็นเวลานานมากแล้วที่เขาไม่ได้มองเธอใกล้ๆ แบบนี้
เพื่อไม่ให้เธอดูเขาอย่างรังเกียจ เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ ได้แต่เพียงอยู่ในมุมที่เธอมองไม่เห็นเท่านั้น จ้องมองภาพด้านหลังของเธอ
เย่เฉ่าเฉินไม่เคยรักใคร จะมีก็แต่ความสะเทือนใจที่มาจากเฉียวซินโยวเท่านั้น จากนั้นก็เป็นมู่เวยเวย เขาไม่รู้ว่าควรจะรักเธออย่างไร สิ่งที่เขาต้องการมอบให้เธอคือสิ่งที่เธอไม่ต้องการ สิ่งที่เธอต้องการ ทว่าเขาไม่สามารถให้ได้
อยู่ในห้องสักพัก เย่เฉ่าเฉินก็ออกไปอย่างเงียบๆ
พ่อบ้านหวังนึกถึงบทสนทนาของเขากับฉินหม่าเมื่อตอนบ่าย ก็พูดกับเย่เฉ่าเฉินว่า “คุณชาย คุณหนูจะสูญเสียจิตใจไปถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่ ความเจ็บปวดทุกข์ใจของเธอนี้ คุณต้องการจิตแพทย์สักคนมาช่วยพูดโน้มน้าวใจเธอหน่อยไหม? ”
เย่เฉ่าเฉินนวดๆ ขมับที่ปวด ฟังคำพูดนี้ของพ่อบ้านหวัง ก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ “งั้นก็ให้หมอหานลองหาจิตแพทย์ดีๆ มา”
“ตกลง ฉันจะไปโทรหาหมอหานเลย”
……
วันที่สอง หมอหานก็พาเพื่อนจิตแพทย์ของตนเองมา เป็นสาวสวยวัยรุ่น สวมแว่นตา ในแววตานำมาซึ่งแสงแห่งการสืบเสาะหา
“คุณเย่ นี่คือเพื่อนของฉัน เป็นจิตแพทย์ที่ดีที่สุด
หมอคนสวยยื่นมือออกมา “สวัสดีค่ะ ฉันซิ่งเหยียน เรียกฉันว่าหมอเหยียนก็ได้”
เย่เฉ่าเฉินจับเบาๆ เล็กน้อยแล้วปล่อยทันที “เย่เฉ่าเฉิน”
“คนไข้อยู่ไหนคะ? ” หมอเหยียนทักทายพอเป็นพิธี ก็เข้าประเด็นเลย เพราะว่าเวลาของเธอนับเป็นนาที
“กรุณาตามฉันมา” เย่เฉ่าเฉินพาทั้งสองไปที่ประตู ผลักเปิดประตูแล้วพูดว่า “พวกคุณเข้าไปดูสักหน่อยก่อน”
มู่เวยเวยนั่งอาบแดดอยู่ที่ระเบียง สวมชุดคลุมถักสีเทาควันบุหรี่ ท้องนูนขึ้นเล็กน้อย ผมยาวสยายอยู่บนบ่า มองแวบแรกเธอดูเหมือนผู้หญิงที่สุภาพและอ่อนโยนมาก
ได้ยินเสียงฝีเท้า เธอก็ไม่หันมา ตอนนี้เธอหมดความสนใจในทุกสิ่งไปแล้ว
“เวยเวย สีหน้าคุณดูดีขึ้นมากเลย” หมอหานเดินเข้าไปใกล้ๆ เธอ ยิ้มแล้วพูดอย่างอบอุ่น
มู่เวยเวยหันมามองเขา พูดเบาๆ ว่า “หมอหาน นี่คุณพูดตลกเกินไปแล้ว”
“คาดไม่ถึงว่าจะฟังออกว่าฉันพูดเล่น? ” หมอหานประหลาดใจ พูดต่อว่า “คุณเป็นคนที่ดื้อรั้นที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา ฉันจำไม่ได้ว่าช่วยคุณไว้กี่ครั้งแล้ว”
“ฉันก็จำไม่ได้” ดวงตาของมู่เวยเวยมองไปที่สระว่ายน้ำที่อยู่ไกลๆ เธอจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยยืมเงินเย่เฉ่าเฉินหนึ่งล้าน ถูกเขาแกล้งให้กระโดดลงสระว่ายน้ำเพื่อหาปากกา ท้ายที่สุดก็เกือบจมน้ำตาย ครั้งนั้นก็เป็นหมอหานที่ช่วยเธอไว้
ตอนนี้กลับมาคิด ก็อดถอนหายใจไม่ได้ ในตอนแรกตนเองมุ่งมั่นที่จะเข้ามาได้อย่างไร?
ถ้าเธอรู้หลายสิ่งหลายอย่างจะเกิดขึ้นในภายหลังแบบนี้ แน่นอนว่าเธอจะไปตามโชคชะตา จมน้ำตายในสระว่ายน้ำก็จบ ก็ตัดเรื่องราวมากมายในภายหลังทิ้งไป บางทีพี่ชายก็ไม่ต้องมาตาย
“เวยเวย นี่คือเพื่อนของฉัน คุณสามารถคุยเล่นกับเขาได้ไหม? ” หมอหานพูดอย่างระมัดระวัง
มู่เวยเวยไม่ลืมตา พูดอย่างเย็นชาว่า “อยากคุยอะไร? ”
หมอเหยียนนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ตรงข้ามเธอ ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “คุยอะไรก็ได้ ฉันเป็นผู้ฟังที่ดีมาก”
“แต่ฉันไม่มีอะไรอยากจะพูด” มู่เวยเวยพูดถึงตรงนี้ก็หยุด หันไปมองหมอเหยียน “บางที คุณก็สามารถบอกฉันได้ ว่าวิธีตายแบบไหนที่จะไม่สามารถถูกค้นพบ”
หมอเหยียนนิ่งอึ้งไปสองสามวินาที เธอแทบไม่เคยเห็นคนไข้ถามคำถามแบบนี้เลยในครั้งแรกที่พบกัน เธอได้กลิ่นลมหายใจแห่งความสิ้นหวังและความเบื่อหน่ายที่มีต่อโลกบนตัวมู่เวยเวย
เมื่อวานตอนเย็น หมอหานได้บอกเล่าข่าวคราวเกี่ยวกับมู่เวยเวยให้เธอฟัง ในเวลาเดียวกันเธอก็ตกตะลึงกับความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของเธอ ก็ยังเห็นใจเธออย่างสุดซึ้ง
“เวยเวย คุณเห็นแสงแดดข้างนอกดีขนาดนี้ ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างคุ้มค่าที่เราจะค้นหาติดตาม ทำไมถึงอยากจะตายล่ะ? ”
มู่เวยเวยยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน “แล้วสิ่งเหล่านั้นเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน? ท้ายที่สุดก็ต้องสูญเสียมันไป ฉันแค่อยากไปถึงจุดจบของชีวิตก่อนเวลาก็เท่านั้น คงจะเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม? ”
หมอเหยียนมองใบหน้าที่เย็นชาของเธอ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พูดสิ่งที่อยู่ในใจของคุณกับฉันได้ไหม? ”
มู่เวยเวยเงียบไป เธอไม่อยากพูด แล้วก็ไม่มีอะไรที่น่าพูดด้วย
“อย่าแบกภาระอะไรไว้ในใจเลย คุณว่าฉันเป็นโพรงไม้ก็ได้ อยากพูดอะไรก็ได้ทั้งสิ้น โปรดเชื่อมั่นในจรรยาบรรณในวิชาชีพของฉัน” เธอส่งสายตามให้หมอหาน หมอหานพยักหน้า แล้วเดินออกไป
ที่หน้าประตู เย่เฉ่าเฉินกอดอกและรออย่างใจจดใจจ่อ เห็นหมอหานออกมา ก็รีบถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง? ”
“หมอเหยียนกำลังคุยกับเธออยู่”
เย่เฉ่าเฉินมองไปที่ประตูที่ปิดแน่นอยู่ มีความกังวลใจเล็กน้อย
ถ้าจิตแพทย์ยังไม่มีหนทาง เขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรแล้วจริงๆ
เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา หมอเหยียนเดินออกมาอย่างค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย เธอมองไปที่ตาสีฟ้าของเย่เฉ่าเฉิน “ภรรยาของคุณมีอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรง เธอปฏิเสธที่จะคุยกับฉัน”
“แต่คุณอยู่ด้านในนานขนาดนั้น……”
“เธอถามฉันเป็นประโยคซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
เย่เฉ่าเฉินมีลางสังหรณ์ไม่ดี แต่ยังคงถาม “ว่าอะไร? ”
หมอเหยียนพูดอย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม “วิธีตายได้อย่างไร จึงจะได้ผลมากที่สุด”
สมองของเย่เฉ่าเฉิน”วึ้ง”ไปเล็กน้อย ตามด้วยการหายใจถี่ขึ้นมา เขาต้องเสียเธอไปจริงๆ ใช่ไหม?
“คุณเย่ สำหรับคนที่จดจ่อต้องการอยากตาย คุณต้องมีความอดทนมากยิ่งขึ้น” หมอเหยียนใจไม่แข็งพอ อย่างไรก็ตามมู่เวยเวยยังอายุน้อยเช่นนั้น
“ฉันรู้ แต่ตอนนี้เธอไม่สนใจคำพูดอะไรของใครทั้งนั้น ฉัน……” เย่เฉ่าเฉินพูดด้วยความเจ็บปวดใจ “หนทางสักนิดฉันก็ไม่มี”
หมอเหยียนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ฉันจะมีอีกครั้งหนึ่ง ดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม”
“รบกวนด้วย” เย่เฉ่าเฉินขอบคุณอย่างสุดซึ้งออกมาจากใจ
“นี่เป็นความรับผิดชอบของหมอ ฉันไปก่อนนะ”
กลุ่มคนมาถึงประตู เมื่อจะขับรถออกไป หมอเหยียนก็พูดว่า “การที่เธออยู่ในบ้านตลอดมันก็ไม่ดี มีเวลาก็พาเธอไปที่ที่ชอบเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ มีส่วนช่วยในการรักษา”
“ขอบคุณมาก”
หลังจากที่ทั้งสองคนออกไปแล้ว เย่เฉ่าเฉินพยายามคิดอย่างหนัก ว่าเธอชอบที่ไหน? เธอมีสถานที่ที่ชอบไหม? ถึงแม้ว่ามี แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เคยบอกเขา
เดี๋ยวนะ เย่เฉ่าเฉินนึกออกสถานที่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเธอจะชอบไหม แต่จะไม่สามารถไม่ชอบได้อย่างแน่นอน
หลังจากพักเที่ยง เย่เฉ่าเฉินรวบรวมความกล้ามาที่ห้องนอน มู่เวยเวยนอนอยู่บนโซฟามองท้องฟ้าสีครามด้านนอก ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ออกไปจากระเบียงเล็กๆ นี้เลย
“ฉันจะพาคุณไปที่ที่หนึ่ง”
เห็นเธอไม่ได้ตอบรับ เย่ฉ่าวเฉินก็เข้าใจทั้งหมดว่ารับปาก ไปห้องเสื้อผ้าหยิบรองเท้าส้นแบนมาให้เธอสวมด้วยตนเอง
“อยากเดินไปเอง หรือว่าให้ฉันอุ้มลงไปชั้นล่าง? ” เย่ฉ่าวเฉินถามเธอ
มู่เวยเวยนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ในเมื่อผลลัพธ์เหมือนกัน อย่างนั้นเธอจึงยินยอมเลือกสิ่งที่เธอไม่ค่อยเกลียดนักดีกว่า
พอเธอเดินออกไปสองสามก้าว เย่ฉ่าวเฉินก็ค้นพบว่าฝ่ามือของตนเองเหงื่อออกเต็มไปหมด เธอเป็นกังวล
ประคองแขนเธอลงชั้นล่าง รถมารอที่หน้าประตูแล้ว จางเหอคือคนขับรถ
รถเคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ บนถนน มู่เวยเวยมองรถยนต์ที่ขับผ่านไปรวดเร็วนอกหน้าต่าง ในใจก็อดคิดไม่ได้ ถ้าวิ่งไปกลางถนนอย่างกะทันหัน จะตายเร็วขึ้นสักหน่อยไหม?
เพียงแต่ เจ้าของรถจะต้องซวยมากแน่นอน บางทียังจะติดคุกด้วยเหตุนี้ด้วย ช่างเถอะ เธอคิดแค่อยากตายอย่างสงบๆ ไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้ใครมากขนาดนั้น
ทิวทัศน์ภายนอกเปลี่ยนเป็นคุ้นตา ร้านอาหารเล็กๆ ร้านหนังสือ โรงแรมเล็กๆ แล้วก็รถเข็นคันเล็กๆ ที่รวมกันอยู่ริมถนน…..
นี่คือ มหาวิทยาลัยของตนเอง
ถึงทางเข้าประตูโรงเรียนแล้ว มู่เวยเวยลงมาจากในรถ มองเด็กนักเรียนที่เข้าๆ ออกๆ มองรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขา อารมณ์ความรู้สึกก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ที่นี่คือสถานที่ที่เธอเติบโตอย่างรวดเร็ว ที่นี่เป็นที่ที่ติดปีกความฝันของเธอ
เย่ฉ่าวเฉินจับข้อมือเธอไว้อย่างแข็งแรง “ไปกันเถอะ เข้าไปลองดู”
มู่เวยเวยต้องการดิ้นออก แต่ไม่สำเร็จ
“เย่ฉ่าวเฉิน คุณปล่อยฉัน ฉันเดินไปเองได้”
เย่ฉ่าวเฉินปฏิเสธเธออย่างมีนัย “ไม่ได้ ในบริเวณมหาวิทยาลัยมีรถยนต์และรถจักรยานเยอะมาก ฉันกลัวว่าจะชนคุณบาดเจ็บ”
“หากฉันอยากตาย ก็คงไม่ใช่ในบริเวณมหาวิทยาลัย ที่นี่เป็นมหาสมุทรแห่งความรู้ ฉันไม่ทำให้เสื่อมเสียหรอก” ความหมายแฝงก็คือ คฤหาสน์ตระกูลเย่ก็คือนรกหลังหนึ่ง เขาตายในนรกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้โต้เถียงกับเธอ แต่ก็ไม่ได้ปล่อยมือของเธอ
สิ่งแวดล้อมในบริเวณมหาวิทยาลัยสะอาดและเต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า กลิ่นอายของหนุ่มสาวที่คึกคักไปทุกหนทุกแห่ง มู่เวยเวยหลับตาแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จมูกก็ได้กลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวาลอยมา
ช่วงเวลานี้ คาดไม่ถึงว่าดอกกุ้ยฮวาของโรงเรียนยังไม่โรยอีกเหรอ?
เรื่องราวที่เธอจำได้ชัดเจนที่สุด ทุกๆ ปีที่เปิดภาคเรียนใหม่ ประโยคแรกที่อธิบดีจะกล่าวในพิธีเปิดภาคเรียนคือ”ฤดูใบไม้ผลิมอบความสบาย ดอกกุ้ยฮวาลอยลมส่งกลิ่นหอม” ตลอดสี่ปีไม่มีเปลี่ยนแปลง เช่นนี้ ดอกกุ้ยฮวาก็กลายเป็นความทรงจำที่ลึกซึ้งที่สุดของเธอที่มีต่อมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน พอได้กลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา เธอก็จะนึกถึงมหาวิทยาลัยของตนเอง นี่อาจเป็นกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์อันเดียวของมัน
เย่ฉ่าวเฉินจูงมือของเธอค่อยๆ ก้าวเท้าเดิน ไปตามถนนจือสิงที่มีชื่อเสียง หอพักหญิงที่เธอเคยอยู่ ห้องสมุดที่เธออดหลับอดนอน แล้วก็ตึกเรียน สนามกีฬาที่แข็งแรงมีชีวิตชีวา…..
เย่ฉ่าวเฉินราวกับเป็นแม่เหล็กขนาดมหึมา ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนล้วนสามารถดึงดูดสายตาของนักศึกษาได้ไม่น้อย โดยเฉพาะหญิงสาวใจกล้าที่ส่งสายตาชื่นชอบ แต่ใจของเขาก็อยู่ที่บนร่างกายของมู่เวยเวย ไม่ได้สังเกตถึงว่ามีคนกำลังมองเขาโดยสิ้นเชิง
“เหนื่อยไหม? อยากพักสักหน่อยไหม? “เมื่อเดินผ่านศาลาแห่งหนึ่ง เย่ฉ่าวเฉินก็ถามอย่างรู้ใจ
อันที่จริงก็เหนื่อยแล้วเล็กน้อย มู่เวยเวยกำลังจะนั่งลง แต่เย่ฉ่าวเฉินก็พูดว่า “รอแป๊บหนึ่งนะ เย็นมากเลย” หลังจากนั้นก็ถอดเสื้อสูทของตนเอง แล้วปูทับลงบนเก้าอี้หินอ่อน คนทั้งหมดคาดไม่ถึง เสื้อตัวนอกนี้ราคานับหมื่น
มู่เวยเวยก็ไม่ได้คิดมากอะไร มุ่งตรงนั่งลงไป
หญิงสาวสองคนที่เดินผ่านเห็นฉากนี้ ชื่นชมอย่างยิ่ง แอบๆ พูดว่า “ว้าว หล่อขนาดนี้แล้วยังรู้ใจอย่างมาก ทำไมฉันไม่มีแฟนแบบนี้บ้างนะ? ”
คำพูดลอยมาเข้าหูของเย่ฉ่าวเฉิน เขาก็ลดสายตาลงมองมู่เวยเวย กล่าวในใจว่า เขาเป็นแฟนแบบนี้ เธอก็หลบซ่อนไม่สามารถเข้าถึงได้
เดินๆหยุดๆแบบนี้ หลังจากเดินไปมากกว่าครึ่งของบริเวณมหาวิทยาลัยแล้ว ท้องฟ้าก็มืดอย่างรวดเร็ว
“อยากทานอะไร? ” เย่ฉ่าวเฉินโอบไหล่ของเธอเดินไปยังตลาดของทานเล่นข้างทาง ถึงแม้ว่ามู่เวยเวยจะไม่ชอบใจกับการกระทำของเขาอย่างมาก แต่เข้าก็ยังคงทำแบบนี้ เพราะคนในสถานที่นี้ค่อนข้างเยอะ เขากลัวว่าคนอื่นจะเบียดเธอ
ตอนแพ้ท้องก็เหมือนตอนเด็กๆ ความอยากอาหารของมู่เวยเวยก็มากขึ้น เพียงแต่อารมณ์ของเธอไม่ดี ดังนั้นทุกครั้งจึงทานไม่มาก
มู่เวยเวยเดินไปที่ร้านบะหมี่ร้านหนึ่งที่คนเยอะมาก เย่ฉ่าวเฉินจูงเธอ พูดอย่างเรียบๆ ว่า “คุณอยากทานบะหมี่เหรอ? ร้านนี้คนเยอะเกินไป เราเปลี่ยนเป็นอีกร้านหนึ่งเถอะ”
เธอพูดอย่างปกติมาก ฟังไม่ออกถึงความตึงเครียดและความกังวลที่อยู่ภายใน
เขาไม่กล้าให้มู่เวยเวยเข้าไปในร้านบะหมี่ เพราะเขากลัวว่าเธอจะสั่งบะหมี่ผัดซอส นั่นคือของโปรดของมู่เทียนเย่ เธอจะหมดอาลัยตายอยากได้
มู่เวยเวยคล้ายกับไม่ได้คิดมากแบบนี้ ในที่สุดก็เลือกร้านอาหารที่มองดูแล้วค่อนข้างสะอาด
“เวยเวย? ” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง มู่เวยเวยหันหน้า รุ่นพี่ที่เคยเจอเมื่อหลายเดือนก่อนได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า
“รุ่นพี่”
บนแขนของรุ้นพี่ยังคล้องมาด้วยคุณผู้หญิงคนหนึ่ง สายตากลอกไปมา เมื่อเห็นเย่ฉ่าวเฉินเดินมาจากแคชเชียร์ ในตาก็เป็นประกายเล็กน้อย
“คุณ….คุณท้องเหรอ? ยินดีกับคุณด้วยนะ คนนี้เป็นแฟนของฉัน เราวางแผนจะแต่งงานกันปลายปี” รุ่นพี่พูดอย่างเรียบง่าย มองดูแล้วไม่ได้ดีอกดีใจสักเท่าไร
“ขอแสดงความยินดีด้วยพี่ชาย”
เย่ฉ่าวเฉินจำไม่ได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ก็คือรุ่นพี่คนนั้นที่ช่วยงานยุ่งๆ ของเย่ฉ่าวเหยียน ทำเพียงพยักหน้าไปยังเขาอย่างเรียบๆ หลังจากนั้นก็กระซิบถามมู่เวยเวยว่า “ฉันสั่งบะหมี่สามเซียนไปได้ไหม? ”
“ได้หมด” มู่เวยเวยพูดอย่างเย็นชา
เย่ฉ่าวเฉินพับเสื้อสูทที่ห้อยไว้บนแขนแล้ววางลงบนม้านั่ง แล้วจึงประคองมู่เวยเวยนั่งลง
การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้อดไม่ได้ที่จะทำให้รุ่นพี่ตกตะลึงเล็กน้อย นับตั้งแต่หลังจากพบหน้ากันครั้งที่แล้ว เขาก็กลับไปตรวจสอบสามีของมู่เวยเวย คาดไม่ถึงว่าจะเป็นประธานของเย่หวงกรุ๊ป ได้ยินมาว่าเขาเป็นผู้นำที่รักสันโดษและเอาแต่ใจมากคนหนึ่ง ไร้ความรู้สึก สงวนท่าที แต่ขณะนี้เขากำลังพามู่เวยเวยมาทานข้าวในร้านอาหารเล็กๆ แล้วยังทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ขาดตกบกพร่องเช่นนี้ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ รุ่นพี่รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนเช่นนั้น
และแฟนสาวของเขาก็ยิ่งอิจฉา เธอมองออกได้ทันทีว่าเสื้อสูทตัวนั้นของเย่ฉ่าวเฉินราคาอยู่ในระดับสูง อย่างน้อยก็สองหมื่น และคาดไม่ถึงว่าเขาจะใช้เสื้อราคาแพงแบบนี้เป็นเบาะรองนั่งให้กับภรรยา
ทำให้เสียของโดยเปล่าประโยชน์หรือเปล่า
“ในเมื่อทุกคนต่างก็รู้จักกัน พวกเราก็นั่งลงทานด้วยกันเถอะ” รุ่นพี่แฟนสาวพูดอย่างเป็นกันเอง
มู่เวยเวยนึกถึงความช่วยเหลือครั้งที่แล้วของรุ่นพี่ บนใบหน้าก็แสดงรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย “ได้สิ นั่งทานด้วยกัน”
เย่ฉ่าวเฉินเห็นรอยยิ้มนี้แล้วก็ชะงักงันไปชั่ววินาที เขาไม่เคยพบรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ เข้าใจไม่ได้ว่า รอยยิ้มเธอเป็นแบบไหน วันนี้เพียงได้เห็น ในใจก็หวานชื่นยิ่งกว่ากินน้ำตาล
ดูท่าที่หมอเหยียนพูดจะถูก คือต้องพาเธอออกมาเดินเล่น
คนทั้งสี่คนนั่งลง มู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินแถวหนึ่ง รุ่นพี่และแฟนสาวแถวหนึ่ง ตรงข้ามมู่เวยเวยคือรุ่นพี่
“หลังจากครั้งที่แล้วที่คุณโทรสอบถามฉัน อาการบาดเจ็บของเพื่อนคุณดีขึ้นแล้วหรือยัง? ”
“ดีขึ้นมากแล้ว ต้องขอบคุณ คุณจริงๆ ”
“เกรงใจอะไรกัน เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง” รุ่นพี่พูดพลางยิ้มกริ่ม
เวลานี้ เย่ฉ่าวเฉินจึงจำได้ เดิมที่คนตรงหน้านี้คือรุ่นพี่คนนั้นที่เอาเบอร์โทรหมอฮัวให้กับเธอ ด้วยเหตุนี้จึงมีท่าทีที่ดีกับเขามาก
“คืออยากจะขอบคุณ คุณนะ มือของน้องชายฉันจึงมีความหวัง” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ
รุ่นพี่ตกตะลึงพรึงเพริดเล็กน้อย เขารู้ว่าเย่ฉ่าวเฉินมีฐานะอะไรทางสังคม รีบกล่าวว่า “ไม่ต้องๆ ฉันช่วยเหลือก็ไม่ได้ลำบากอะไร ก็แค่ให้เบอร์โทรศัพท์แก่พวกคุณก็เท่านั้น เออใช่ แล้วทำไมพวกคุณมาที่โรงเรียนล่ะ? ”
“เวยเวยบอกว่าอยากมาที่โรงเรียน คิดๆ แล้วพวกเราก็เข้ามาเยี่ยมชม พวกคุณล่ะ? ” เย่ฉ่าวเฉินกุเรื่องพูดโกหกอย่างคล่องแคล่ว
มู่เวยเวยเอียงมองเขาอย่างเยาะเย้ย คำพูดโกหกของเขา ความสามารถในการพูดโกหกของเขาโดยไม่เตรียมการยิ่งนานวันยิ่งเก่งขึ้น
รุ่นพี่ตีเบาๆ ที่มือของแฟนสาวแล้วพูดว่า “แฟนฉันไม่เคยมาที่โรงเรียนของพวกเรา ฉันเลยถือโอกาสพามาเยี่ยมชมหน่อย ไม่คาดคิดว่าจะได้เจอกับพวกคุณ ช่างบังเอิญจริงๆ ”
“อืม ค่อนข้างบังเอิญ”
ตั้งแต่เย่ฉ่าวเฉินได้เผชิญกับสายตาของเธอ สายตาของแฟนสาวรุ่นพี่ก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่รุ่นพี่เลย มองเย่ฉ่าวเฉินอย่างไม่ปิดบังอำพราง
ส่วนเย่ฉ่าวเฉินล่ะ? เขาเคยชินกับสายตาแบบนี้มาก่อน จึงถือว่าเธอเป็นอากาศไปโดยปริยาย
แฟนสาวคนนี้ไม่อยากอดทนกับความไม่สนใจแบบนี้ ดึงข้อศอกของแฟนยิ้มออดอ้อนแล้วกล่าวว่า “ทำไมคุณไม่แนะนำให้ฉันสักหน่อยล่ะ สองท่านนี้เป็นเพื่อนของคุณเหรอ? ”
รุ่นพี่เขินอายเล็กน้อย เขาเป็นเพียงคนที่เคยตามจีบมู่เวยเวยมาก่อนเท่านั้น และเย่ฉ่าวเฉินก็เพิ่งจะพบกันเป็นครั้งแรก เดิมทีก็ไม่ถือว่าเป็นเพื่อน แต่ห้ามไม่ได้พอแฟนสาวถาม ทำได้เพียงฝืนใจพูดว่า “คนนี้เป็นรุ่นน้องของฉัน มู่เวยเวย คนนี้เป็นสามีของเธอ เย่ฉ่าวเฉิน”
ดวงตาของแฟนสาวก็สว่างขึ้นมา มองตรงไปยังเย่ฉ่าวเฉิน ถามด้วยความประหลาดใจว่ส “เย่ฉ่าวเฉิน? คือเย่ฉ่าวเฉินของเย่หวงกรุ๊ปน่ะเหรอ? ”
น่าเสียดายที่สายตาของเย่ฉ่าวเฉินจับจ้องอยู่ที่มู่เวยเวยตลอด ไม่ได้รับสายตาที่เลื่อมใสชื่นชมจากเธอเลย เวลานี้ เขาแยกถ้วยชามบนโต๊ะ ยุ่งอยู่กับการใช้น้ำเดือดลวกมันอย่างระมัดระวังและวางไว้ตรงหน้ามู่เวยเวย
รุ่นพี่ยิ่งเก้อเขิน เห็นเย่ฉ่าวเฉินไม่รับคำพูด ทำได้เพียงอธิบายเองว่า “เมืองAมีคนชื่อเย่ฉ่าวเฉินสองคนเหรอ? ”
แฟนสาวเปลี่ยนเป็นท่าทีเจ้าชู้ “ว้าว ไม่นึกเลยว่าประธานเย่จะหล่อกว่าในนิตยสารอีก”
“ชมเกินไปแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินตอบกลับด้วยท่าทีที่ไม่สนใจ
แฟนสาวกวาดสายตามองท้องของมู่เวยเวย ก็คิดในใจว่า ภรรยาของเขาท้อง ทางด้านนั้นไม่สามารถทำให้เย่ฉ่าวเฉินพึงพอใจได้อย่างแน่นอน นี่ไม่ใช่โอกาสของตนเองเหรอ?
คิดถึงตรงนี้ เธอก็ก้มหน้ายิ้ม
เย่ฉ่าวเฉินสั่งอาหารไปก่อนแล้ว ดังนั้นก่อนอื่น เขาก็เช็ดล้างตะเกียบให้กับมู่เวยเวย ถามอย่างเอาใจใส่ว่า “ต้องการข้าวไหม? ”
“ไม่เอา” มู่เวยเวยพูดอย่างเย็นชามาก ต่อหน้าคนรู้จัก เธอไม่อยากให้คนอื่นเห็นถึงสภาวะจริงๆ ของตนเอง ดังนั้นจึงพยายามใช้ความอดทนอดกลั้นกับเขาอย่างที่สุด
แฟนสาวของรุ่นพี่พูดอย่างสนิทสนมแม้จะเจอกันเป็นครั้งแรก “รุ่นน้องเวยเวย ท้องแล้วก็ต้องกินเยอะหน่อยนะ ลูกจึงจะได้เจริญเติบโตแข็งแรง” กินจนอ้วนไปเลยจะดีที่สุด เย่เฉ่าเฉินจะได้สูญเสียความปรารถนาในตัวเธอ
“ขอบคุณนะ ฉันทราบแล้ว” มู่เวยเวยไม่อยากหักหน้ารุ่นพี่ เลยกล่าวออกไป
ต่อมา ผู้หญิงคนนี้ก็มุ่งจัดประสงค์ไปที่เย่เฉ่าเฉิน ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความยกย่อง “ประธานเย่ ที่บริษัทของพวกคุณเปิดตัวเสื้อผ้าสตรีรุ่นใหม่ในฤดูใบไม้ร่วงไป ช่างสวยมากจริงๆ ฉันซื้อมาหลายตัวเลย”
เย่เฉ่าเฉินพูดอย่างสุภาพว่า “ขอบคุณ คุณอย่างมากที่สนับสนุน”
เวลานี้ ร้านอาหารที่พวกเขามา ต้องเผ็ดปานกลาง ดูน่ากินมากกว่าสามเซียน
“ประธานเย่ รุ่นน้องเวยเวยท้องอยู่ไม่สามารถกินเผ็ดได้ คุณน่าจะกินได้ กินถ้วยนี้กับพวกเราน่าจะดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ชอบกินเผ็ด” เย่เฉ่าเฉินปฏิเสธไปตรงๆ เลือกคีบอาหารที่มู่เวยเวยชอบใส่ถ้วยให้เธอ