วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 171 ใครนำตัวมู่เวยเวยไป

“ฉันไม่รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน”หนานกงเฮ่าพูดออกมาด้วยเสียงที่ขาดออกซิเจน

เย่ฉ่าวเฉินคิดว่าเขาเถียงข้างๆคูๆ อีกข้างก็เหยียบอยู่ที่คอของหนานกงเฮ่า เหมือนเสือตัวหนึ่งที่โมโหร้องคำรามออกมา “หนานกงเฮ่า ไม่ต้องมาเล่นเกมส์ประเภทนี้กับฉัน นายต้องรู้ ฉันฆ่าพวกนายก็เหมือนกับบดละเอียดมดตัวหนึ่ง”

ทันใดนั้นหนานกงเฮ่านึกขึ้นได้ถึงเรื่องการลักพาตัวเย่ฉ่าวเหยียน ร่างกายไม่เพียงแค่สั่นเทาเย็นยะเยือก จ้องเขม็งที่แววตาคู่สีม่วงเป็นสีดำของเย่ฉ่าวเฉิน “ฉันไม่รู้จริงๆว่าเธออยู่ที่ไหน”

“หนานกงเฮ่า ตอนนี้ฉันไม่มีความอดทน ไม่ต้องมาท้าทายกับเส้นตายของฉัน ” เย่ฉ่าวเฉินโกรธจนถึงขั้นอยากจะฉีกเขา แค่คิดถึงมู่เวยเวยและยังมีลูกในท้องของเธอที่จะได้รับอันตรายอีก เย่ฉ่าวเฉินใจจะแตกสลายแล้ว

หนานกงเฮ่ายกมือทั้งสองข้างขึ้น พูดอย่างตั้งใจจริงจังว่า”เย่ฉ่าวเฉิน นายใจเย็นๆ ที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริง ฉันไม่รู้จริงๆว่าเธออยู่ที่ไหน?”

เย่ฉ่าวเฉินมือสั่นเกร็ง หนานกงเฮ่ารู้สึกหายใจลำบาก ใบหน้าก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดง

“หนานกงเฮ่า ฉันดูว่านายไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว ดี ฉันก็จะสนับสนุนนายเอง!”

ลูกน้องของหนานกงเฮ่าหวาดกลัว ร้องตะโกนออกมาเสียงดัง”เย่ฉ่าวเฉิน วางปืนลง” แต่ทว่าไม่มีสักคนกล้ายิงปืนออกมาหยุดเขา

“อย่าๆ……ฉันพูด……ฉันพูด…..” หนานกงเฮ่าพูดติดอ่างขอร้องเขา

เย่ฉ่าวเฉินวางมือลงแค่บางส่วน “พูด!”

หนานกงเฮ่าหอบ โบกมือลงแล้วพูดว่า “พวกนายวางปืนลงให้หมด….เย่ฉ่าวเฉิน ฉันก็เพิ่งจะมาถึงที่นี่ เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก็ยังไม่แน่ชัด นายก็มาแล้ว….อย่าตีๆ ฉันพูดคือความจริงทั้งหมด นายดู คนของฉันสี่คนก็ตายหมด…..”

เย่ฉ่าวเฉินมองตามมือของเขา แสงสว่างของพระจันทร์ลดลง ศพของทั้งสีคนอยู่บนพื้นที่หยาบกระด้าง ไม่ไกลจากนี้ยังมีรถอีกคัน นั่นคือรถของเขาเอง

“เย่ฉ่าวเฉิน ฉันพูดคือเรื่องจริง นายปล่อยฉันก่อน”

เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองเขานิ่ง คิดว่าเขาคงไม่มีกลอุบายอีก เขาเอาขาออกจากหน้าอกของหนานกงเฮ่า

หนานกงเฮ่าลุกขึ้นจากพื้นไอแห้งอยู่หลายครั้ง ฝุ่นที่อยู่ติดร่างกายปัดแล้วปัดอีก พูดว่า”ฉันยอมรับ ฉันเป็นคนเอามู่เวยเวยออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเย่เอง เดิมทีฉันอยากพาเธอไปจากเมืองAด้วยกัน นึกไม่ถึงว่าพอมาถึงที่นี่ เตรียมเครื่องบินไว้และจะบินก่อนเวลาแล้ว คนของฉันก็ตาย นี่ก็หมายความว่า มู่เวยเวยถูกใครอีกคนพาตัวไป”

“หนานกงเฮ่า เครื่องบินนายเป็นคนเตรียมจะบินก่อนเวลาได้อย่างไร!” เย่ฉ่าวเฉินกำหมัดแน่น พยายามที่จะอดทนไม่ตื่นตระหนกวู่วามเพื่อไม่ให้ฆ่าเขา

“ฉัน….ฉันก็ไม่รู้ บางทีคนของฉันก็ถูกพวกเขาเปลี่ยนนานแล้ว….”หนานกงเฮ่าเดาไปเดามารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้

“ตอนนี้เกลียดจนอยากจะฆ่านาย!”

“นายอย่าเพิ่งตื่นตระหนก ” หนานกงเฮ่าพยายามปลอบเขา”ฉันรู้ว่าตอนนี้นายเกลียดจนฆ่าฉันได้ แต่ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือตามหามู่เวยเวย เพียงแค่ตามหาเธอพบ อยากฆ่าอยากแทงก็แล้วแต่นายเลย”

หนานกงเฮ่าก็คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น เขารักมู่เวยเวยจริงๆ เพียงแค่อยากจะครอบครองเธอคนเดียว วันนี้ถูกคนลักพาตัวไป ในใจก็ร้อนรนแล้ว

เขาจัดเตรียมสำหรับเรื่องในคืนนี้ สูญเสียกำลังกายกำลังสมองไปจำนวนมาก แม้กระทั่งไม่เสียดายที่จะขโมยเครื่องบินส่วนตัวของพ่อมา และในตอนนี้มู่เวยเวยหายสาบสูญ เครื่องบินก็ไม่เจอแล้ว นี่คือการฉวยโอกาสที่ไม่เหมาะทำได้ไม่ดีโดยภาพรวมก็คือแพ้

“หนานกงเฮ่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับภรรยาฉัน ฉันจะฝังศพนายแน่นอน” เย่ฉ่าวเฉินโกรธตัวสั่น ดวงตาคู่สีม่วงเต็มไปด้วยความต้องการฆ่า

………..

ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

มู่เวยเวยนั่งรถออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลมู่ รถขับไปที่สนามบินที่ใช้สำหรับจอดเครื่องบินลำเล็ก ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ใช้เก็บเครื่องบินส่วนตัวโดยเฉพาะ

หันศีรษะกลับไปคฤหาสน์ยิ่งห่างไกลสายตาออกมาจากความมืดนั้น มู่เวยเวยลูบท้องที่นูนขึ้นมาเบาๆ รอยยิ้มที่ถูกกักเก็บนานวันได้ยิ้มออกมา

ลูก ในที่สุดพวกเราก็ได้หนีออกจากขุมนรกแล้ว ลูกวางใจ แม่จะเลี้ยงดูให้ลูกอยู่รอดปลอยภัยไปจนโต

สถานที่จอดเครื่องบินมีคนยืนรออยุ่สามคน หลังจากที่มองเห็นมู่เวยเวยก็ได้เชิญเธอขึ้นเครื่องบิน

“พวกคุณจะไปส่งฉันที่ไหน?” มู่เวยเวยก้าวขึ้นบันไดไม่กี่ขั้น อย่างแปลกใจ

“คุณมู่ ถึงแล้วคุณก็รู้เอง” คนขับรถที่ส่งเธอมาพูดอย่างเย็นชา “คุณมู่ เชิญขึ้นเครื่องบินเถอะ”

มู่เวยเวยเดินขึ้นเครื่องบินอย่างระแวงและสงสัย ห้องในเครื่องบินเล็กกว่าห้องเครื่องบินทั่วไปมาก แต่ออกแบบได้เนียนและประณีต โทนสีเหลืองทำให้คนรู้สึกถึงความอบอุ่นชนิดหนึ่ง

หันศีรษะกลับไปมองสี่คนที่ยืนอยู่ด้านล่าง เหมือนว่าพวกเขากำลังรอใครกัน มองไปตรงปากทางเข้าไม่หยุด

“ยังมีคนมาอีกเหรอ?” มู่เวยเวยอดไม่ได้ที่จะถาม

“ใช่ อีกสักครู่”

มู่เวยเวยขมวดคิ้ว อีกด้านก็เดินเข้าไปในห้องโดยสารเครื่องบิน อีกด้านก็คิด ยังมีคนมาอีก? หรือว่าพยาบาลเสี่ยวจะมา?คนที่อยู่ข้างกายพี่ชาย เธอรู้จักแค่พยาบาลเสี่ยว

ในเวลานี้ แอร์โฮสเตสคนหนึ่งเดินมา โค้งเอวลงมาถามว่า”คุณมู่ คุณต้องการเครื่องดื่มอะไรไหมคะ?”

“อ้อ ไม่ต้องค่ะ ขอบคุณนะคะ” มู่เวยเวยรู้สึกว่ามีความผิดปกติ แต่ก็รอให้เครื่องบินรีบบินให้เร็วที่สุด เธอกลัวว่าเย่ฉ่าวเฉินรู้แล้วตามมาทัน

แอร์โฮสเตสยิ้มให้เธออย่างอ่อนหวาน ชั่วพริบตาเดียวก็ลุกขึ้น ใช้ฝ่ามือฟาดมาที่ท้ายทอยของมู่เวยเวย หลังจากนั้นภาพตรงหน้าก็มืดดับลง อ่อนยวบลงในเก้าอี้

ด้านนอกเครื่องบิน ทั้งสี่คนกำลังรอหนานกงเฮ่ามา

“พี่ทั้งสี่คน เหนื่อยมามากแล้ว”

ทั้งสี่คนเงยศีรษะขึ้นพร้อมกันมองออกไปหน้าประตูทางเข้าห้องโดยสารเครื่องบิน ยังไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมาเกิดอะไรขึ้น หนึ่งวินาทีถัดมา ก็ถูกแอร์โฮสเตสใช้ของมีคมแทงทั้งหมดล้มตะแกรงลงไป

“เจี๋ยเคอ บินได้เลย” เธอร้องตะโกนเสียงเย็นบอกกับนักบิน

ประตูของเครื่องบินปิดเข้าอย่างช้าๆ ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็บินขึ้นท้องฟ้าที่มืดอึมครึม

ในเวลาเดียวกันกับที่รถของหนานกงเฮ่าอยู่ไม่ห่างกับที่จอดเครื่องบินไม่ถึงหนึ่งพันเมตร

……..

เย่ฉ่าวเฉินเหมือนคนบ้าตามหามู่เวยเวยทุกแห่งทุกหน แต่ว่าหาอยู่ครึ่งค่อนวันก็หาไม่พบ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ไหนก็ตามไม่มีแม้แต่เสียง

“คุณชาย หาไม่เจอ…….”

“นายครับ หาไม่เจอ……”

“ฉ่าวเฉิน ฉันพลิกที่นี่ตามหาแล้ว ไม่มี….. ”

“ไม่มี ไม่มี ไม่มี…….”

การรายงานผลของทุกคนเป็นมีแค่เพียงสองคำคือ “ไม่มี” เย่ฉ่าวเฉินนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน บุหรี่ก็ยิ่งสูบหนักขึ้น ถ้าอยากจะนอนหลับก็ทำได้แค่พึ่งยานอนหลับ

ครึ่งเดือนหลังจากนั้น ร่างกายของเย่ฉ่าวเฉินเริ่มประท้วง มีครั้งหนึ่งที่ดื่มเหล้าไม่บันยะบันยัง เลือดออกในกระเพาะอาหารต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล

“คุณชาย คุณอย่าทรมานตัวเองเลย คุณหนูเป็นคนดีสวรรค์ต้องคุ้มครอง เธอต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน ถ้าหากร่างกายคุณพังแล้วถ้าเกิดว่ามีข่าวคราวคุณหนู คุณจะไปหาเธอได้อย่างไร?” พ่อบ้านหวางอยู่ข้างเตียงพูดเกลี้ยกล่อมทั้งน้ำตาน้ำมูกไหล

เย่ฉ่าวเฉินชะงักงันมองออกท้องฟ้าที่มืดมนด้านนอก หลับตาลง

เขาได้ยินหัวใจของเขากำลังร้องไห้

นี่คือกรรมตามสนอง เย่ฉ่าวเฉิน นี่คือพระเจ้ากำลังตอบสนองกรรมนี้ให้ฉัน ถ้าเมื่อก่อนเขาไม่ทำกับเธออย่างนั้น ก็จะไม่เกิดเหตุการณ์เจ็บปวดเหมือนถูกถลกหนังกับเส้นเอ็นออกเช่นนี้

หลักจากออกจากโรงพยาบาลครั้งนี้ เย่ฉ่าวเฉินออกจากอาการซึมเศร้านั้น ควรที่จะทำงานก็ไปทำงาน ควรรับประทานอาหารก็รับประทานอาหาร แต่ทว่าเขาเคร่งขรึมขึ้นกว่าแต่ก่อน ไม่มีรอยยิ้มออกมา

ห้องนอนของมู่เวยเวยถูกเก็บรักษาไว้คงสภาพเดิม นอกจากทำความสะอาด สิ่งของอย่างอื่นก็ไม่ได้เคลื่อนย้าย เช่นดินสอที่เธอใช้แล้วครึ่งแท่ง โทนเนอร์ที่เหลือครึ่งขวด ยังมีที่เสื้อผ้าตัวใหม่หลายชุดที่ยังไม่ได้ตัดป้ายราคาออก

เย่ฉ่าวเฉินบังคับตัวเองไม่ให้คิดถึงเธอ เพราะว่าหัวใจตับม้ามกระเพาะเจ็บจี๊ดปวดร้าวขึ้นมา คิดว่าเธอถูกหรือไม่ถูกคนทำร้าย คิดว่าลูกยังปลอดภัยดีไหม ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกมาก ทั้งวันก็ไม่สามารถทำเรื่องอื่นได้เลย

มีบางเวลาที่โศกเศร้ามาก ก็ไปนั่งเล่นที่ห้องนอนของเธอ มองดูของใช้ที่เธอเคยใช้ก่อน คล้ายกับว่าเธอเพียงแค่ไปช๊อปปิ้ง ไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว

พ่อบ้านหวางทำให้เขาเดินออกมาจากความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน สั่งห้ามไม่ให้คนรับใช้ในคฤหาสน์พูดชื่อ “มู่เวยเวย”หรือ “คุณหนู”สามคำนี้ และที่บริษัทก็มีน้อยคนที่จะได้ใกล้ชิดกับเย่ฉ่าวเฉิน ก็ไม่มีใครถามเขาว่าทำไมไม่เจอมู่เวยเวย เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เหมือนกับมู่เวยเวยไม่เคยปรากฎขึ้นมาก่อน

หลังจากที่คุณหนานกงรู้เรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เฉินซูฮั้วดึงรั้งไว้ ชีวิตของหนานกงเฮ่าอีกนิดหนึ่งก็คงได้ตายคามือของพ่อแท้ๆ เพื่อที่จะดับไฟความโกรธของเย่ฉ่าวเฉิน คุณหนานกงเอาตัวของเขาเองมาที่คฤหาสน์ตระกูลเย่เพื่อขอโทษเย่ฉ่าวเฉิน อีกทั้งยังให้คำมั่นสัญญาว่าจะหาวิธีตามหามู่เวยเวยให้พบ

หลังจากนั้น หนานกงเฮ่าก็ถูกกักบริเวณแล้ว หนึ่งวันที่หามู่เวยเวยไม่พบก็ถูกกักบริเวณหนึ่งวัน หนึ่งปีหามู่เวยเวยไม่พบก็ถูกกักบริเวณหนึ่งปี แต่เรื่องนี้บ้านหนานกงแค่ทำให้เย่ฉ่าวเฉินดู หนานกงเฮ่าเป็นลูกชายคนเดียวของคุณหนานกง จะตัดใจกักบริเวณเขาหนึ่งปีได้อย่างไร?

…….

อีกประการหนึ่งมู่เวยเวยที่อยู่ด้านนี้

เครื่องบินบินข้ามภูเขาใหญ่แม่น้ำกว้างใหญ่ เหมือนนกน้อยตัวหนึ่งที่ลอยอย่างนิ่มนวล

มู่เวยเวยถูกแอร์โฮสเตสผลักให้เธอลงจากเครื่องบิน เธอได้กลิ่นอายคลื่นความร้อนปะปนมากับเสียงน้ำทะเลซัดมาที่หน้า แสงของดวงอาทิตย์วิบวับส่องมาที่ตาของเธอสักพักหนึ่ง

เปิดตามองดู ข้างหน้าของเธอเป็นทะเลกว้างใหญ่ที่ไร้ขอบเขต และเท้าก้าวลงมาเหยียบที่เกาะเล็กๆนี้เห็นความเจริญงอกงามมีชีวิตชีวิตชีวา แต่ทว่าเหมือนเธอไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว

“ไป “แอร์โฮสเตสบีบที่ไหล่เธออย่างป่าเถื่อน ผลักเธอให้เดินไปข้างหน้า

มู่เวยเวยกลัวทำให้ตัวเองล้ม ลูกในท้องจะได้รับอันตราย พยายามหลุดให้เป็นอิสระจากการควบคุม “ฉันเดินไปเองได้”

ในเวลานั้นที่ตื่นมาขณะที่อยู่ในเครื่องบิน มู่เวยเวยก็รู้ ตัวเองโง่เขลาถูกหลอกอีกแล้ว คนพวกนี้ไม่ใช่คนของพี่ชายส่งมา

ตอนนี้น่าหัวเราะก็คือ เธอไม่รู้แม้กระทั่งว่าใครลักพาตัวเธอมา

ยังคิดว่าตัวเองหลุดพ้นจากเงื้อมมือเย่ฉ่าวเฉินแล้ว คาดไม่ถึงว่า…..

ต้องโทษตัวเองที่โง่เขลา เชื่อใจคนคนหนึ่งง่ายๆได้อย่างไร

เดินมาแล้วประมาณห้านาที บ้านหลังหนึ่งอยู่ต่อหน้าเธอ แอร์โฮสเตสคนนั้นเดินไปตบแล้วตบอีกที่ประตู เร็วมาก เดินในมีเสียงฝีเท้าเล็กๆ ประตูเหล็กดัง “เอี๊ยด” เปิดออกมา ทำให้เห็นหน้าดำมืดมนนั้น

เป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่อยู่ในพื้นที่นี้ แอร์โฮสเตสหัวเราะเฮ้เฮ้ หลังจากนั้นก็เข้าไปในนั้นพูดน้ำไหลไฟดับกันอยู่ไม่กี่คำ แอร์โฮสเตสใช้ภาษาถิ่นพูดอยู่ไม่กี่คำ และยังชี้แล้วชี้อีกมาที่มู่เวยเวย ผู้หญิงวัยกลางคนนั้นได้แต่ผงกศีรษะ ตอบกลับแค่นิดหน่อย

หลังจากนั้น แอร์โฮสเตสก็หมุนตัวจะกลับไป

มู่เวยเวยงง นี่หมายความว่าอย่างไร?

“เดี๋ยวก่อน คุณจะทิ้งฉันไว้ที่นี่ไม่สนใจนะเหรอ?”มู่เวยเวยถามแอร์โฮสเตสด้วยความประหลาดใจ ลักพาตัวมาแล้วก็ควรจะเจรจาเงื่อนไขอะไรสักนิดหนึ่งไหม

แอร์โฮสเตสหันศีรษะกลับมาด้วยความหงุดหงิดพูดกับเธอว่า”เธอก็พักอยู่ที่นี่ ผู้หญิงคนนี้จะดูและเรื่องอาหารเธอ แน่นอนว่าเธอกินไม่ได้ก็ต้องทำเอง ทิ้งช่วงห่างของเวลาจะมีหมอแวะมาตรวจร่างกายให้เธอ เธอยังต้องการอะไรอีกไหม?”

มู่เวยเวยยิ่งฟังยิ่งสับสน “ไม่ใช่ พวกคุณจับฉันมาสรุปว่าเอามาทำอะไร?ก็ต้องบอกให้ฉันเข้าใจไหม”

แอร์โฮสเตสยิ้มที่มุมปาก “เธอก็แค่คนท้องต้องพูดอะไรกับเธอ?วางใจ รอเธอคลอดเด็กเสร็จพวกเราจะมาหาเธอ”

“สรุปพวกคุณคิดจะทำอะไร?”

แอร์โฮสเตสหมดความอดทน “เธอทำไมพูดอะไรไร้สาระเยอะขนาดนี้?ไม่ใช่บอกแล้วเหรอ? เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะบอกเธอเอง?” พูดจบแอร์โฮสเตสก็ก้าวเท้ายาวๆเดินไปข้างหน้าสองสามเมตรหลังจากนั้น ก็หันกลับมาพูดอีกว่า”ฉันใจดีจะเตือนเธอหนึ่งเรื่อง ไม่ต้องวางแผนหลบหนี เดิมทีเธอไม่ได้มีความสามารถนั้นอยู่แล้ว เกาะเล็กๆนี้อยู่ในตำแหน่งเงียบสงบ บนเกาะเล็กนี้มีแค่เธอกับผู้หญิงคนนี้แค่สองคน ถ้าเธอคิดจะหลบนี้เธอน่าจะต้องพายเรือเอง แต่ว่าเพื่อลูกในท้อง ก็ล้มเลิกความคิดโง่เขลานั้น

มู่เวยเวยหยุดชะงัก รอแอร์โฮสเตสออกไปจากบริเวณนี้ เธอเพิ่งจะรู้ ในสภาวะที่ตกอับยากลำบาก อย่ายื่นอุทรณ์กับศัตรู มีเหตุผลก็ไม่สามารถพูดได้ มีภัยก็ไร้คนช่วยเหลือ

ผู้หญิงวัยกลางคนพูดน้ำไหลไฟดับอยู่ด้านหลังเธออยู่ไม่กี่คำ แต่เธอฟังไม่ออกไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร เธอกวักมือเรียกมู่เวยเวย คาดว่าน่าจะเรียกให้ไปดูห้อง

มู่เวยเวยร้องไห้ไม่มีน้ำตา แหงนหน้ามองท้องฟ้าถอนหายใจออกมา

ในเมื่อมาแล้วก็ต้องอยู่ที่นี่สงบจิตสงบใจเถอะ

เธอก้าวเดินตามผู้หญิงวัยกลางคนเข้าไปในห้อง ห้องไม่ใหญ่ มีโต๊ะไม้หนึ่งตัว เก้าอี้ไม้ และยังมีเตียงหนึ่งหลัง ด้านบนมีฟูกกับชุดกี่เพ้าหนึ่งกอง

ผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้นชี้ที่อุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านพูดอย่างตื่นเต้น คาดว่าน่าจะกำลังแนะนำห้อง พูดจบก็ลากเธอไปดูห้องครัวกับห้องน้ำ และเธอก็พักอยู่ห้องด้านนั้น

มู่เวยเวยนั่งเครื่องบินมาทั้งคืน หิวจนท้องร้องมานานแล้ว มองเห็นในห้องครัวมีกล้วยอยู่หนึ่งจาน รีบหยิบมาปอกกินหนึ่งลูก

รู้สึกว่าในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ต้องพูดคุยกับป้า ทันใดนั้นก็รู้สึกเหนื่อยใจ แต่ว่ามองความมีน้ำใจของป้าคนนี้แล้วน่าจะไม่มีความคิดที่ไม่ดีกับเธอหรอก

มู่เวยเวยกินกล้วยเสร็จ ง่วงจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ทำท่าทางของการง่วงนอน ป้าดูออกแล้วยิ้มอย่างเบิกบานโบกสบัดมือให้เธอ บอกใบ้ให้เธอรีบไปนอน

กลับมาถึงห้องนอนตัวเอง มู่เวยเวยทั้งร้อนทั้งง่วง เพิ่งจะล้มตัวลงเตียงก็หลับแล้ว

ไม่รู้ว่านอนนานเท่าไหร่ มู่เวยเวยรู้สึกได้ว่ามีคนผลักเธอ ลืมตาสะลึมสะลือมอง ป้าผิวดำยิ้มเห็นฟันขาวให้เธอ มู่เวยเวยมึนงงมองป้าเข้ามาใกล้จะได้ครึ่งนาทีแล้ว เธอถึงมีสติกลับมา

ใช่แล้ว เธอไม่รู้ว่าพวกนั้นเป็นใคร ลักพาตัวมาที่เกาะที่กันดารไร้ผู้คน

ป้าทำท่าทางเหมือนคนรับประทานอาหารให้เธอดู แสดงออกถึงรับประทานอาหารเที่ยงได้แล้ว มู่เวยเวยผงกศีรษะ เธอก็เดินออกไป

มู่เวยเวยยังใส่เสื้อผ้าของสาวใช้อยู่ นอนไปหนึ่งตื่นหลังเปียกโชกเต็มไปด้วยเหงื่อ เหนียวตัวจนอึดอัด หยิบชุดที่อยู่ฝั่งเท้าขึ้นมาหนึ่งชุดไปเปลี่ยน

เธอผิวขาวมาก ใส่ชุดกี่เพ้าถึงแม้จะไร้รสนิยม แต่ปรากฏว่าทันสมัยมาก

มาถึงห้องครัว ป้าเงยศีรษะขึ้นมองเธอ รีบยกนิ้วโป้งขึ้นพูดว่า “เยี่ยมมาก”

มู่เวยเวยแปลกใจ นึกไม่ถึงว่าป้าพูดภาษาอังกฤษได้?

รีบใช้ภาษาอังกฤษถามเธอว่า”คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม?”

ป้าฟังไม่ออก พูดยืดยาวมาเป็นสายมู่เวยเวยฟังไม่ออก มู่เวยเวยผิดหวังนั่งลงที่เก้าอี้แล้วก็รับประทานอาหาร

ยังดี ป้าทำอาหารหลักคือข้าว ผักคือเผือก มะเขือเทศ แล้วก็มีอาหารทะเล รสชาติเหรอ เพียงแค่ฝืนใจกลืนลงไป

แต่ว่าเวยเวยหิวมาก เพียงแค่ให้ท้องอิ่ม รสชาติอย่างไรก็ได้หมด

หลังจากอิ่มอาหารหนึ่งมื้อแล้ว ก็พักผ่อนสักเล็กน้อย มองดูแสงอาทิตย์ด้านนอกไม่ค่อยส่องแสงแล้ว มู่เวยเวยเตรียมตัวออกไปเดินดูรอบๆ ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม

เพิ่งจะก้าวออกจากประตูหนึ่งก้าว ป้าก็ตามมาแล้ว ยื่นร่มให้เธอหนึ่งคัน ไม่รู้ว่าให้เธอกันแดดหรือว่ากันฝน

เกาะเล็กๆนี้ ต้นไม้เจริญงอกงาม ส่วนใหญ่เป็นต้นไม้สูงใหญ่ เม็ดทรายละเอียดเล็กมาก ทะลวงเข้ามาใต้เท้ารู้สึกสบายมาก ท้องฟ้าก็สดใสเป็นสีฟ้าสวยงาม ก้อนเมฆต่ำลงเหมือนกับลอยอยู่บนผิวน้ำทะเล สวยจนทำให้คนหยุดหายใจ

เกาะเล็กนี้สงบมาก นอกจากคลื่นทะเลก็เป็นเสียงของนกในป่า มู่เวยเวยเดินตามขอบทะเลช้าๆ เริ่มต้นมาที่นี่รู้สึกกดดันนิดหนึ่งกับร้อนรนนิดหหนึ่งก็ให้ลมทะเลขจัดออกไป

เธอไม่รู้ว่าคนที่ลักพาตัวเธอมาเป็นใคร เธอทำได้เพียงต้องปกป้องดูแลลูกให้ดี

เดินมาประมาณหนึ่งแล้ว มู่เวยเวยมองเห็นตรงหน้าเธอมีกระท่อมเล็กอยู่ ในที่สุดก็เข้าใจคำพูดของแอร์โฮสเตสพูดก่อนไปว่า “เกาะเล็กๆ” มีเท่าไหร่แล้ว

เดินมาหนึ่งชั่วโมง พระเจ้า โรงเรียนของเธอถ้าเดินหนึ่งรอบก็หนึ่งชั่วโมง ดูเหมือนว่าต่อไปจะเป็นวงกว้างในการออกกำลังกายตัวเองแล้ว

และอีกอย่างเกาะนี้มีแค่เธอกับป้าไม่ได้มีคนอื่น นกกระจอกสีสันสวยงามหลากสีมีเยอะมาก

ถึงขึ้นนี้แล้ว มู่เวยเวยก็ต้องพักอยู่ที่นี่

ไม่มีโทรทัศน์ ทุกวันพระอาทิตย์ก็ตื่น พระอาทิตย์ตกก็นอน ดีที่ป้ามีโทรศัพท์เก่าที่ล้าสมัย สามารถรู้ได้ว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่เดือนอะไร ในนั้นบันทึกไว้แค่หนึ่งเบอร์ มู่เวยเวยเดาว่าน่าจะเป็นเบอร์ของโจรที่ลักพาตัวเธอมา

เพื่อที่จะติดต่อกับโลกภายนอก มีบางครั้งที่มู่เวยเวยแอบโทรเข้าเบอร์ตัวเอง แต่โทรไม่ได้เลย ลองเบอร์ที่คุ้นเคยอีกก็ได้ผลลัพธ์เหมือนกัน

……..

หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป มู่เวยเวยรู้จักทุกซอกทุกมุมของเกาะนี้เหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ อย่างเช่นตอนบ่ายจำเป็นจะต้องมีฝนตกหนัก หลังจากที่ฝนหยุดตกอากาศจะเป็นร้อนชื้นอบอ้าว และอย่างเช่นต้นมะพร้าวต้นไหนลูกใหญ่สุด ต้นไม้ต้นไหนมีนกทำรังมากสุด หินก้อนไหนด้านล่างมีกิ้งก่าเยอะสุด

เป็นครั้งแรกที่เห็นสัตว์ประเภทนี้ มู่เวยเวยก็ตกใจสักพักหนึ่ง แต่ค่อยๆพบว่านอกจากกิ้งก่าจะหลากสีแล้วก็ไม่ได้จู่โจม

ด้านหลังห้องเล็กก็ได้บุกเบิกออกมาทำเป็นสวนผัก ด้านในปลูกมะเขือเทศ พริก เผือกเป็นต้น ส่วนอาหารทะเลป้าเป็นคนหามา เพียงแค่ป้าลงทะเล เวลากลับมาในตระกร้าเล็กจะมีกุ้ง ปลา หอยอะไรที่ควรมีก็มีหมด

แต่ว่า มู่เวยเวยก็ยังฟังที่ป้าพูดไม่ออก แต่ก็สามารถเชื่อมโยงท่าทางการเคลื่อนไหวและสีหน้าได้ว่าหมายความว่าอย่างไร

บางครั้ง พวกเธอสองคนก็ไปเดินเล่นด้วยกัน ป้าพูดเสียงเจี๊ยวจ๊าวไปหนึ่งรอบ คล้ายกับว่ากำลังแนะนำชนิดของต้นไม้ พลังของป้าเยอะมาก เหลือบมองมะพร้าวลูกไหนลูกนั้นก็สุก ให้เวยเวยยืนอยู่ไกลๆ หลักจากนั้นก็ออกแรงโยกต้นถี่ๆ ลูกมะพร้าวก็หล่นตุ๊งตุ๊งลงมา

วันนี้ มู่เวยเวยเบื่อที่จะรับประทานข้าวกะหรี่ที่ป้าทำแล้ว ให้ป้ารออยู่ด้านนอกห้องครัวตบที่หน้าอกของเธอเพื่อจะบอกว่าวันนี้เธอเป็นคนทำ ป้าชอบใจจนดูว่างมาก นั่งด้านนอกรออาหารที่ขั้นบันได

สามสิบนาทีต่อมา ป้าถูกเชิญให้เข้ามาด้านในห้องครัว อาหารจำนวนหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ป้าอดไม่ได้ชิมไปหนึ่งคำ ตาเป็นประกายไม่หยุดพูดว่า “เยี่ยมมาก”

ผ่านมาก็หลายวัน มู่เวยเวยก็ดูออก คุณป้าท่านนี้พูดภาษาอังกฤษได้แค่คำนี้คำเดียว

หลังจากการดำเนินชีวิตไม่มีเรื่องให้คิดกลัดกลุ้มใจผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน มีคนมาที่เกาะเล็กๆนี้สองคน

ป้ารู้จักหนึ่งคนที่อยู่ในนั้นอย่างชัดเจน ต้อนรับอย่างมีมิตรไมตรีเข้ามาในห้อง

มู่เวยเวยกำลังทำโยคะอยู่ในห้องพอดี ได้ยินเสียงนั้นก็รีบลุกขึ้นทันที

เป็นผู้ชาย ในมือของอีกหนึ่งคนยกกล่องยากับอุปกรณ์ เป็นเครื่องอัลตราซาวด์หนึ่งเครื่องแบบง่ายๆ

“ท่านนี้คือคุณหมอ เขามาทำการตรวจให้เธอ” ผู้ชายอีกคนพูด

มู่เวยเวยมองพวกเขาอย่างตื่นตัว หันหลังกลับเข้าไปในห้อง หมอก็ตามเธอเข้าไป

“ตั้งครรภ์มานานเท่าไหร่แล้ว?” หมอถามเธอ

มู่เวยเวยนับเวลาพูดว่ า”ขาดอีกหกวันก็ห้าเดือนแล้ว”

หมอดูรูปภาพในคอมพิวเตอร์ “ตอนนี้มีการขยับตัวของทารกแล้วใช่ไหม”

“มีแล้วค่ะ ” มู่เวยเวยยิ้มออกมาอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ตอนที่ลูกขยับตัวในท้องครั้งแรก มู่เวยเวยตื่นเต้นอีกนิดหนึ่งก็กระโดดขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่เธอได้สัมผัสความสุขของการเป็นแม่อย่างแท้จริง มีความตื่นเต้นและน้ำตาไหลออกมา

หลังจากที่หมอทำอัลตราซาวด์เสร็จไม่กี่นาทีหลังจากนั้น พูดว่า”พัฒนาการของเด็กดีมาก ไม่ต้องกังวล และอีกอย่างคาดไม่ถึงว่าร่างกายกับสภาวะแวดล้อมในการคลอดไม่มีความผิดปกติ สิ่งนี้จะช่วยพัฒนาการของเด็ก”

มู่เวยเวยผ่อนคลายลง วางใจขึ้นมา

หมอเก็บอุปกรณ์แล้วพูดว่า” ที่นี่อากาศชื้น คุณต้องระวังเรื่องอาหาร ถ้าเกิดรู้สึกว่าร่างกายไม่สบายให้ซูซานโทรศัพท์หาผมได้เลย”

“ป้าชื่อซูซาน?” มู่เวยเวยแปลกใจ อยู่ด้วยกันตั้งนาน เธอเพิ่งจะรู้ชื่อของป้า

“ใช่ ” หมอไม่ได้พูดเยอะ เก็บยาใส่กระเป๋าเรียบร้อยแล้วก็ออกไป

มู่เวยเวยรีบเดินตามออกไป เห็นสองคนที่กำลังจะไป พูดเสียงดังขึ้นว่า”สรุปพวกคุณลักพาตัวฉันมาทำไม? ฉันต้องการพบเจ้านายพวกคุณ”

ผู้ชายหันศีรษะกลับมามองเธอด้วยสายตาที่เคร่งขรึม “เจ้านายของพวกเราอยากเจอคุณ เขาก็จะมาเจอเอง”

“แต่ว่า….สรุปพวกคุณต้องการทำอะไร? ก็ควรที่จะให้ฉันเตรียมใจไวไหม “มู่เวยเวยปรับตัวให้แข็งแกร่งขึ้น แต่ว่าทุกวันต้องถูกคนอื่นแขวนไว้มันเป็นทุกข์จริงๆ คล้ายกับปลาหนึ่งตัวที่อยู่บนเขียง เพียงแค่รอเวลาให้พ่อครัวเอามีดมาลงมือ

“เจ้านายหมายความว่าอย่างไร? พวกเราก็ไม่แน่ใจ สงบจิตสงบใจพักอยู่ที่นี่เถอะ”

พูดจบ ผู้ชายทั้งสองคนก็ขึ้นเครื่องบินที่อยู่ไม่ไกลจากนั้นกลับไป

มู่เวยเวยโมโห สงบจิตสงบใจพักที่นี่?ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถูกมีดเชือดแขวนคอ เธอมีเรื่องมากมายจะสามารถสงบจิตสงบใจได้อย่างไร?

พระอาทิตย์ขึ้นฝั่งตะวันออก ตกที่ฝั่งตะวันตก ท้องของมู่เวยเวยก็เริ่มโตขึ้นทุกๆวัน เดิมทีผิวของเธอขาวใสถูกพระอาทิตย์สาดส่องใส่กลายเป็นสีเหลือง แต่ว่ามองดูแล้วดูสุขภาพดี

อายุครรภ์เพิ่มมากขึ้น มู่เวยเวยขี้เกียจเคลื่อนไหว ป้าซูซานเห็นเธอเดินลำบาก ไม่รู้ว่าย้ายเก้าอี้โยกมาจากไหนไว้ที่ใต้ร่มไม้ มู่เวยเวยรับประทานอาหารเสร็จก็นอนชมวิว

เวลาเหมือนจะหยุดไว้ที่เกาะเล็กๆนี้แล้ว ทุกวันทะเลก็เหมือนเดิม วิวเดิม ทุกวันอาหารก็ไม่ต่างกัน ตั้งแต่เล็กจนโต มู่เวยเวยไม่เคยมีการใช้ชีวิตอย่างนี้

เรื่องราวกับคนที่เมืองAเหมือนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นชาติที่แล้ว เวลาที่เธอว่างก็จะนึกถึงเย่ฉ่าวเฉินขึ้นมา นึกถึงพ่อบ้านหวางกับฉินหม่า นึกถึงเย่ฉ่าวเหยียน ไม่รู้ว่าพวกเขาตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ หลังจากพบว่าเธอหายตัวไปรู้สึกอย่างไร?

เย่ฉ่าวเฉินคงจะโกรธมากใช่ไหม หลังจากโกรธอาจจะมีความทุกข์ความเจ็บปวดขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้น? แน่นอนว่าต้องหาคนที่เหมาะสมจะคุณนายของตระกูลเย่ ผู้ชายคนนี้จะสามารถรักษาความสะอาดอะไรไว้เพื่อเธอ เธอก็ไม่ได้ปรารถนาอย่างนั้น เธอแค่เฝ้ารอให้ทุกคนลืมเธอ

ถ้ามีวันหนึ่งเธอกลับไปที่เมืองA เธอก็ไม่เคยปรารถนาให้คนเหล่านั้นรู้จักเธอ

นึกถึงสมบัติที่พี่ชายเคยเก็บไว้ให้เธอขึ้นมาทันที บวกกับมีวันหนึ่งที่เธอได้ออกไปจากที่นี่ เธอสามารถกดเงินเหล่านั้นออกมาจากธนาคารสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากนั้นก็พาลูกปกปิดนามสกุลกับชื่อใช้ชีวิตต่อไป

หลังจากนั้นไม่กี่เดือน นอกจากวันที่หมอนัดกำหนดวันจะมาตรวจร่างกายของเธอ ก็ไม่ได้ย่างก้าวมาที่เกาะนี้แล้ว มู่เวยเวยกับป้าซูซานความผูกพันธ์ก็เพิ่มมากขึ้น เวลาที่เบื่อก็ไปเรียนภาษาถิ่นกับป้าซูซาน ช้าๆป้าซูซานพูดอะไร ถึงแม้เธอจะฟังไม่ค่อยเข้าใจ แต่โดยภาพรวมเธอก็เข้าใจความหมาย

ที่นี่ไม่มีฤดูใบไม้ผลิฤดูหนาวฤดูใบไม้ร่วง ตลอดไปมีแค่ฤดูร้อน ถึงแม้ว่าจะผ่านมาแล้วสามเดือนกว่า มู่เวยเวยก็ยังรู้สึกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ครั้งที่แล้วอยู่ที่เมืองAทำการตรวจครรภ์ หมอบอกมู่เวยเวยว่ากำหนดคลอดคือ วันที่13เดือน6

ผ่านมาวันที่10เดือน6 มู่เวยเวยเริ่มมีอาการปวดท้อง ตอนเช้าสามารถที่จะอดทนได้ พอถึงตอนบ่ายเหมือนกับว่าลูกพลิกตัวมู่เวยเวยปวดศีรษะนอนลงที่เตียงเอวไม่สามารถลุกขึ้นได้

“ซูซาน โทรศัพท์ โทรศัพท์……..” มู่เวยเวยอีกฝั่งกุมที่ท้อง อีกฝั่งก็ทำสัญญาณมือให้ซูซานโทรศัพท์ ซูซานมีปฏิกิริยากลับมารีบวิ่งกลับห้องเพื่อแจ้งคนทางนั้น

ท้องน้อยเหมือนกับว่ามือหนึ่งข้างกำลังจะฉีก เธอปวดจนน้ำตาจะไหลออกมาเหมือนพายุ

ลูก รอก่อนนะ รอหมอมาก่อนได้ไหม? แม่ขอร้อง

คล้ายกับว่าลูกในท้องได้ยินเสียงที่เธอพูด ค่อยๆสงบลงไป ในเวลานี้ มู่เวยเวยเหงื่อแตกท่วมตัว

สามสิบนาทีหลังจากนั้น เสียงของเครื่องบินที่ดังขึ้นในเกาะที่เงียบสงบ มู่เวยเวยไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้น เธอได้ยินเสียงวิ่งมาอย่างรีบร้อนของคนกลุ่มหนึ่ง

ลืมตาขึ้น หมอพาคนสองคนมายืนอยู่ที่หน้าห้อง

“ผ่อนคลายลงหน่อย อย่ากดดัน ฉันตรวจดูสักครู่หนึ่ง” หมอคลำที่บริเวณหน้าท้องของเธอ พูดอย่างตั้งใจ “ศีรษะของเด็กลงมาแล้ว น่าจะใกล้คลอดแล้ว พวกเราจะพาเธอไปจากที่นี่”

อาการของมู่เวยเวยตอนนี้ไม่ง่ายที่จะปฏิเสธ ยิ่งไปกว่านั้นเธอปรารถนาให้ลูกของเธอคลอดออกมาอย่างปลอดภัย

สองคนกำลังพยุงเธอขึ้นเครื่องบิน ป้าซูซานเดินตามมาทางด้านหลังขึ้นเครื่องบินมาพร้อมกัน หน้าที่ของเธอคือดูแลมู่เวยเวย ในเมื่อมู่เวยเวยไปจากที่นี่แล้ว แน่นอนว่าเธอก็ต้องไปด้วย

เครื่องบินบินขึ้น ป้าซูซานกุมมือเธอมาโดยตลอด ปากก็พูดพึมพำ คาดว่าน่าจะกำลังอธิษฐาน

ในที่สุดก็ได้ไปจากสถานที่ที่ใช้ชีวิตมาห้าเดือนกว่า เครื่องบินลำนี้จะพาเธอไปในโชคชะตาอย่างไรกันนะ?

มู่เวยเวยนอนหันข้าง ในใจก็ภาวนาอยู่เงียบๆ พ่อแม่และพี่ชายต้องปกป้องลูกของพวกเราตระกูลมู่ให้เกิดมาอย่างปลอดภัยแน่นอน

ท้องเริ่มปวดขึ้นมาอีกครั้ง มู่เวยเวยกำมือป้าซูซานเกร็งแน่น

หมอมองที่นาฬิกาข้อมือ พูดว่า “หายใจเข้าลึกๆ ตอนนี้เริ่มนับสักครู่ ภายในหนึ่งนาที มดลูกของคุณหดตัวประมาณกี่ครั้ง”

มู่เวยเวยลองหายใจเข้าลึกๆ พบว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่ได้ ฉันนับไม่ไหว ปวดมากเลย”

หมอคลำแล้วคลำอีกที่ท้องเธอ “ผ่อนคลาย ก่อนจะคลอดยังมีว่าอีกนิดหนึ่ง”

“ฉันจะคลอดบนเครื่องบินไหม?”มู่เวยเวยใช้เรื่องตลกขจัดความสนใจ

“ไม่หรอก ” หมอมองออกไปนอกหน้าต่าง พูดอย่างต่อเนื่องว่า “เพราะว่าพวกเราถึงแล้ว”

เครื่องบินบินลงถึงพื้น มู่เวยเวยถูกเข็นใส่รถเปลนอน พุ่งตรงเข้าไปในโรงพยาบาล เธอเริ่มผ่อนคลายลง เพราะที่นี่มองดูแล้วก็เป็นโรงพยาบาลมาตรฐานแห่งหนึ่ง

เมื่อก่อนมู่เวยเวยมองผู้หญิงคนอื่นคลอดลูกเหมือนว่าจะคลอดง่าย เพียงแค่เข็นเข้าห้องคลอด รอสองชั่วโมง ก็อุ้มลูกออกมาแล้ว แต่ว่าพอมาถึงเวลาของเธอ เธอเพิ่งจะรู้ เวลาสองชั่วโมงนี้เป็นช่วงที่เจ็บปวดที่สุด

ปวดแล้วก็ปวดเพิ่มมากขึ้น มู่เวยเวยรู้สึกว่าร่างกายของเธอจะถูกแหกออกจากกันแล้ว หมอผู้หญิงพูดภาษาจีน เรียกเธอให้หายใจถอนหายใจตลอด หลังจากนั้นให้ออกแรง หมออีกส่วนหนึ่งก็อยู่ที่ท้องของเธอพยายามดันออกไปข้างนอก

ไม่เคยเจ็บขนาดนี้มาก่อนเลย แม้เพียงกรรไกรบาดนิ้วของเธอ ยังไม่เจ็บเท่าหนึ่งในพันของครั้งนี้

“อา——” เสียงแหลมร้องออกมาอย่างน่าเวทนา มู่เวยเวยใช้แรงทั้งหมดที่มี ทันใดนั้นรู้สึกว่าด้านล่างมีของเหลวไหลออกมาจั๊กๆ ท้องก็ยุบลงไป

เด็กออกมาแล้ว แต่ว่า……เขาไม่ร้องไห้

ลูกเป็นอะไร? ทำไมลูกไม่ร้องไห้? มู่เวยเวยดึงร่างกายที่อ่อนแอของเธอยกศีรษะ มองดูน้ำเมือกห่อหุ้มร่างกายเล็กๆนั้นไว้ ถามอย่างวิตกกังวลว่า”ลูกของฉันเป็นอะไร?”

หมอคนหนึ่งที่จัดการทำความสะอาดเด็ก วางไว้ที่ไหล่ของเขาตบเบาๆสักพักหนึ่ง เด็กลืมตาแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะหัวเราะเบาๆแล้ว

เสียงหัวเราะแจ่มแจ้งชัดเจนกระจายรอบห้องคลอด หมอจำนวนหนึ่งกับพยาบาลผดุงครรภ์ชะงักงันหมด พวกเขาเพิ่งจะเคยเจอครั้งแรกว่าเด็กเพิ่งเกิดไม่ร้องไห้แต่หัวเราะ

มู่เวยเวยก็มึนงงไปหลายวินาที แสบที่ดวงตา ยื่นมึงออกไปพูดว่า”ขอฉันกอดเขาหน่อย”

“รอสักครู่…..พระเจ้า…..”เสียงของหมอแปลกประหลาดใจ

“เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น?” ใจของมู่เวยเวยก็กระตุกขึ้นมาอีก ทำความสะอาดร่างกายที่แปดเปื้อนของเด็กเสร็จหมอก็อุ้มเด็กกลับมา

มู่เวยเวยมองเห็นดวงตาของเขาก็ชะงักไป นึกไม่ถึงว่าเขา….ดวงตาหนึ่งข้างเป็นสีฟ้า อีกหนึ่งข้างเป็นสีม่วง

เด็กผู้ชายคนนี้

หรือว่า เขาได้รับกรรมพันธุ์ด้านความสามารถพิเศษมาจากเย่ฉ่าวเฉิน อีกทั้งยังจะเก่งมาก?

“พ่อของเด็กดวงตาเป็นสีม่วง?” หมอถามเธออย่างตื่นเต้น

“สีฟ้า” มู่เวยเวยตอบแข็งทื่อ เธอมองที่ดวงตาแปลกประหลาดคู่นั้น ชัดเจนเช่นนี้ บริสุทธิ์เช่นนี้ ทำให้ใจละลาย

นี่คือลูกของเธอ สวรรค์มอบทูตสวรรค์ให้กับเธอ

เหมือนลูกจะรู้ว่าเธอคือใคร หัวเราะกับเธอทันที “คิกๆ” สองคำ น้ำตาของมู่เวยเวยไหลลงมา คุ้มค่าแล้ว ได้รับความทุกข์กับโทษมาเท่าไหร่ ทั้งหมดคือคุ้มค่าแล้ว

เด็กถูกอุ้มไปทำความสะอาดอย่างต่อเนื่อง มู่เวยเวยอยู่ในห้องผ่าตัดหนึ่งถึงสองชั่วโมง เธอกับลูกถูกเข็นออกจากห้องคลอด ด้านนอกไม่มีใครรอรับเธอสักคน แต่ทว่าเธอพึงพอใจมาก เธอแทบจะไม่อยากหลับ ดวงตาเคลื่อนไหวบ้างนิ่งบ้างมองลูกที่หลับอยู่

คนที่ดูแลเธอเป็นป้าซูซานเหมือนเดิม มู่เวยเวยขอบคุณเธอเพราะซาบซึ้งในบุญคุณ ถึงแม้ว่าเธอจะฟังไม่ออก

ง่วงนอนเปลือกตาแทบจะลืมไม่ขึ้นแล้ว มู่เวยเวยรักอย่างยากที่จะถอนตัวจูบที่หน้าผากของลูก หลังจากนั้นก็หลับไป

อยู่โรงพยาบาลวันที่สาม มู่เวยเวยกำลังก้มศีรษะให้นมลูก แอร์โฮสเตสสวยหยาดเยิ้มคนนั้นได้ปรากฏตัวอีกครั้ง

มู่เวยเวยควบคุมตัวเองไม่ได้กอดลูกในมือของตัวเองแน่น

แอร์โฮสเตสยิ้มอย่างชั่วร้าย เดินมามองลูกของเธอแวบหนึ่ง หัวเราะพูดขึ้นว่า”เด็กน้อยน่ารักจังเลย เขาเป็นสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ”

มู่เวยเวยปกป้องลูกด้วยการหันข้างให้เธอ จ้องที่เธอแล้วถามว่า “คุณมาทำอะไร?”

“ไม่ใช่ว่าเธออยากจะเจอเจ้านายฉันเหรอ? ไปเถอะ ตอนนี้เขาสนใจที่อยากจะพบเธอแล้ว”

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset