วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 174 แผนลับกลับไปอยู่ข้างกายเขา

“โอเคค่ะ ขอบคุณมากเลยค่ะ” มู่เวยเวยแอบยิ้มในใจ เธอเกิดและโตที่นี่ทำให้เธอรู้ดีว่าอาหารที่ไหนอร่อย วิวที่ไหนสวย แต่เพราะว่าเธออยากจะตีสนิทกับเย่ฉ่าวเฉิน เธอจึงต้องแกล้งพูดไปว่า “ประธานเย่คะ ฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นีสักเท่าไหร่ อีกสองวันก็เป็นวันหยุดแล้ว ถ้าเกิดว่าคุณมีเวลาว่าง อยากจะรบกวนคุณมาเป็นไกด์ให้จะได้มั้ย?” สายตาเธอเหลือบไปเห็นเขาคิ้วขมวด จึงรีบพูดเสริมว่า “ถ้าคุณยุ่งก็ไม่เป็นไรนะคะ ลืมที่ฉันพูดไปเมื่อกี้ก็ได้ค่ะ”

“รับแขกไม่รอบคอบ ไม่ได้สานสัมพันธไมตรี” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างสุภาพ “อาทิตย์นี้ฉันจะไปเที่ยวที่ตลาดเอกับคุณฉู่ ฉันยังไม่เคยไปที่นั่นพอดี”

มู่เวยเวยดีใจกับตัวเอง หยิบแก้วเหล้าขึ้นมาพร้อมพูดว่า “ถ้าแบบนั้นก็ขอบคุณมากค่ะ”

“ไม่เป็นไร” ประธานเย่กล่าว

ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ถังฉือซวนก็เดินเข้ามา

พอมาถึงก็เดินมานั่งข้างๆเย่ฉ่าวเฉิน จงใจเบียดให้เขาเข้าใกล้กับมู่เวยเวย พร้อมกับพูดหยอกล้อว่า “เจ้านายทั้งสองคนกำลังกระซิบกระซาบอะไร ขอฉันฟังบ้าง?

โซฟาเดิมที่ก็มีที่ว่างไม่เยอะ ยิ่งโดนถังฉือซวนเบียดเข้ามาก็ทำให้ขาของเย่ฉ่าวเฉินกับมู่เวยเวยเบียดชิดกัน มือต้องวางไว้ข้างหลัง ทำแบบนี้ดูเหมือนกับมู่เวยเวยตกเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของเขา

มู่เวยเวยแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แถมยังเบียดกลับไปทางถังฉือซวน พร้อมกับพูดว่า “ประธานถังคะ ในเมื่อพวกเราแอบกระซิบกัน แล้วจะบอกให้คุณฟังได้ยังไงกัน?”

“อ๋อ นั่นซินะ ฮ่าๆๆๆๆ พวกเธอคุยกันต่อเถอะ ฉันไปร้องเพลงดีกว่า” ถังฉือซวนหัวเราะคิกคักแล้วเดินจากไป

มู่เวยเวยหันหลับมาเห็นเย่ฉ่าวเฉินยิ้มอ่อน เขาพูดกับเธอว่า “อย่าไปใส่ใจนะ พวกเขาอยู่ที่ฮ่องกงก็เที่ยวก่อกวนไปทั่วแบบนี้แหละ”

เธอตอบกลับว่า “ไม่เป็นไรค่ะ”

พอพูดจบ ทั้งคู่ก็กลับไปสู่ความเงียบ แต่เย่ฉ่าวเฉินเหมือนจะลืมดึงมือกลับมา ยังคงวางใกล้ๆไหล่ของเธอ เพียงแค่ขยับนิดหน่อยก็สามารถดึงเธอเข้า้มาในอ้อมกอดได้

มู่เวยเวยดื่มเหล้าไปด้วย พร้อมกับมองทุกคนที่กำลังร้องเพลงอย่างสนุกสนาน พร้อมยังช่วยปรบมือส่งเสียงเชียร์ เหมือนกับเป็นวัยรุ่น

เย่ฉ่าวเฉินที่นั่งข้างๆก็เมาเสียงและแสงสี มองดูท่าทางและผิวพรรณของเธอ พร้อมกับคิดว่าถึงแม้จะผิดแต่เขาไม่ยอมให้เธอหลลุดมือไปแน่นอน

บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุครึกครื้น มู่เวยเวยมีเริ่มเมา เธอเริ่มทรงตัวไม่อยู่ เวลาลุกขึ้นแทบจะล้ม ยังดีที่มือของเย่ฉ่าวเฉินไวพอที่จะประคองเธอไว้

“ขอบคุณค่า” หน้าของมู่เวยเวยแดง

“เธอดื่มเบียร์ไปแค่กระป๋องเดียว ก็เมาแล้วหรอ?” เย่ฉ่าวเฉินเอ่ยถามเพราะไม่เคยเจอคนที่คออ่อนขนาดนี้

มู่เวยเวยสะอึกเล็กน้อย เดินส่ายไปมา พร้อมกับยิ้มและพูดว่า “ก็ใช่ไง เพราะฉะนั้นเวลาอยู่ข้างนอก ฉันก็จะไม่กินเหล้าเลย ดูครั้งที่แล้วที่ไปกินข้าวด้วยกันสิ ฉันยังดื่มแค่นมเปรี้ยวเลย เพราะฉันกลัวว่าถ้าฉันเมาแล้วจะไปทำอะไรขายหน้าเข้า”

มิน่าล่ะ ครั้งที่แล้วเธอไม่ได้ดื่มเหล้าเลย ตอนแรกนึกว่าเธอแอ๊บ แต่ที่ไหนได้เธอดื่มไม่ได้จริงๆ

เมื่อทุกคนแยกย้ายกันกลับไม่เห็นแม้แต่เงา บรรกาศคึกคักเมื่อสักครู่ก็หายไป เย่ฉ่าวเฉินประคองเธอมาหน้าร้าน ก็เจอกับถังฉือซวนกับคนของบริษัทเอ็มเค ที่ยังเหลืออยู่

ถังฉือซวนเมามาก คนที่เขาพิงอยู่พูดกับเย่ฉ่าวเฉินว่า “ประธานเย่ รบกวนคุณพาประธานฉู่ของพวกเราไปส่งบ้านได้ไหมครับ ผมคงต้อง….?”พร้อมกับมองไปที่ถังฉือซวน

มู่เวยเวยรีบโบกมือและพูดว่า “ไม่ต้อง ฉันกลับเองได้”

เย่ฉ่าวเฉินมองตาของเธอพร่าเบลอ และพูดกับถุงฉือซวนว่า “คุณวางใจเถอะ ผมจะพาคุณฉู่กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย”

“ขอบคุณมากครับ งั้นผมขอตัวพาประธานถังกลับก่อน”

มู่เวยเวยมองหน้ามองหลัง สะบัดหัวไปมาเพื่อตั้งสติก็เห็นว่าเหลือแค่เขากับเธอสองคน พร้อมกับพูดว่า “เหลือแค่ฉัยกับคุณหรอเนี้ย คนอื่นไม่สนใจใยดีฉันเลยหรอ?”

“ไปกันเถอะครับคุณฉู่ คุณพักที่โรงแรมอะไร ผมจะพาคุณไปส่ง” เย่ฉ่าวเฉินถามพร้อมกับประคองเอวเธอ

มู่เวยเวยบอกชื่อที่พักกับเขา เย่ฉ่าวเฉินใก้คนขับรถมารับและประคองเธอขึ้นรถ

พอขึ้นมาบนรถ มู่เวยเวยเอาหัวพิงไปทางหน้าต่างพร้อมกับร้องเพลงเพี้ยนๆออกมา

เย่ฉ่าวเฉินหันไปมองเธอ และหันกลับไปมองไฟข้างทาง เขาเคยเห็นช่วงเวลาเปิ่นๆของเธอแล้ว นั่นก็คือเวลาที่เธอเมาแล้วร้องเพลงอยู่หลังรถ ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นเพลงที่แย่มากๆ ไม่มีความไพเราะเอาสะเลย แต่ตอนนี้ถึงแม้เขาจะอยากได้ยินมันอีก ก็ไม่มีโอกาสแล้ว

ทั้งสองคิดในใจ ไม่มีใครเปล่งเสียงใดๆออกมา บรรยากาศช่างเงียบสงัด

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง รถก็ถึงหน้าโรงแรมหรูหราที่หนึ่ง

เย่ฉ่าวเฉินกำลังจะหันไปปลุกเธอ ก็พบว่าเธอพิงหน้าต่างและหลับไป

“คุณฉู่ครับ คุณฉู่” เย่ฉ่าวเฉินเรียกเธอหลายครั้ง แต่มู่เวยเวยก็ไม่ลืมตา อีกทั้งยังตอบกลับว่า “อย่ามากวนฉัน ฉันจะนอน”

สายตาของเย่ฉ่าวเฉินเปลี่ยนเป็นลึกซึ้ง เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เกือบจะใจอ่อนให้เธอนอนแบบนี้ต่อไป แต่ก็ทำไม่ได้

“คุณฉู่ครับ ถึงแล้วครับ” เขาโอบไหล่ของเธอขึ้น

มู่เวยเวยค่อยๆลืมตาขึ้นมา สายตาเบลอๆพร้อมพูดว่า “ถึงแล้วหรอ….อ่อถึงแล้ว ขอบคุณมากค่ะที่มาส่ง…ฉันขอตัวก่อนนะคะ”

มู่เวยเวยลงจากรถ เดินเซซ้ายเซขวา เหมือนจะเดินไปชนกำแพงซะให้ได้

เย่ฉ่าวเฉินมองเธอ รีบปลดเข็มขัดและลงจากรถ

เขาบอกตัวเองแค่ว่า เธอคือพาร์ทเนอร์ เพราะฉะนั้นแล้วต้องพาเธอกลับถึงหน้าห้องอย่างปลอดภัย

มู่เวยเวยเดินส่ายไปส่ายมา ได้ยินเสียงเดินตามมาข้างหลังก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ อีกแค่สามก้าวก็จะเดินถึงประตูกระจก แต่เธอกลับเดินต่อไปเหมือนไม่เห็นอะไร

ก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง กำลังจะเดินก้าาวที่สาม เย่ฉ่าวเฉินก็รีบดึงแขนของเธอไว้มืออีกข้างก็รีบดันเปิดประตู เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มกับเธอว่า “คุณเมาแล้วมองไม่ชัด ไม่เห็นหรอว่าตรงนี้มีประตูอยู่?”

“หะ นี่คุณยังไม่กลับอีกหรอ” มู่เวยเวยถามด้วยความประหลาดใจ

“ผมส่งคุณถึงห้องก็จะกลับแล้ว” เย่ฉ่าวเฉินประคองแขนเธอเดินเข้าไปในลิฟต์ “คุณพักชั้นที่เท่าไหร่?”

อยู่ชั้นดาดฟ้า คุณไม่ต้องส่งฉันหรอกค่ะ ฉันขึ้นไปเอง ฉันไม่ได้เมาค่ะ” มู่เวยเวยดันมือเขาออก

เย่ฉ่าวเฉินไม่ปล่อยมือจากเธอและพูดว่า “ใช่คุณไม่ได้เมา ก็แค่เมื่อกี้เกือบจะเดินชนประตูเอง”

พอเดินเข้าไปในลิฟต์ เย่ฉ่าวเฉินก็กดไปชั้นที่ชั้นดาดฟ้า รองเท้าส้นสูงของมู่เวยเวยเอนนิดหน่อยก็ทำให้เธอจะล้ม เย่ฉ่าวเฉินรีบดึงเธอขึ้นมาและพูดว่า “ระวังหน่อยครับ”

เป็นไปตามคาด ผู้หญิงเมื่อได้ตกอยู่ในอ้อมกอดเขาก็ทำให้ใจอ่อนระทวย

หัวใจของเย่ฉ่าวเฉินเต้นแรงมาก แต่เขาก็พยายามกดมันไว้

เขาไม่สามารถทำอะไรกับผู้หญิงอื่นได้อีก และเขาก็ไม่สามารถทำไม่ดีกับเวยเวย

มู่เวยเวยซบเข้าไปตรงหน้าอกของเขา กล้ามเนื้อแน่นที่อยู่ภายใต้เสื้อเชิ้ต ภายใต้ความรู้สึกคุ้นเคยนี้ เธอหายใจรดหน้าอกเขา และพบว่าร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ

มู่เวยเวยยิ้มอ่อน ที่แท้ผู้ชายพอได้เจอกับผู้หญิงสวยๆ ก็ไม่สามารถต้านทานอะไรได้ ถึงแม้จะแต่งงานแล้วก็ตาม

“คุณฉู่ครับ” เสียงเขาแผ่วเบาลงมาก มือทั้งสองข้างค่อยๆประคองเธอขึ้น ก้มมองเธอและถามว่า “คุณโอเคไหม”

มู่เวยเวยลูบหน้าผากของเธอพร้อมกับบ่นว่า “คุณแข็งมาก แข็งจนทำฉันปวดหัวเลย”

เย่ฉ่าวเฉินหายใจเข้าใจลึกๆ และรู้ว่าเธอหมายถึงอกของเขา แต่ก็อดคิดเยอะไม่ได้ รู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างในร่างกายร้อนขึ้นมา

ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เขากลัวว่าตัวเองจะพลาดทำอะไรที่เสียใจภายหลัง ก็ประจวบกับลิฟต์ถึงชั้นดาดฟ้าพอดี

“อยู่ห้องที่เท่าไหร่ครับ” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวถามพร้อมกับรักษาระยะห่างกับเธอ

“อืมม….น่าจะเป็นห้อง 1808 นะ อ่าๆๆใช่ห้อง 1808”

เย่ฉ่าวเฉินพาเธอเดินหาห้อง 1808 และถามว่า “กุญแจห้องล่ะครับ”

มู่เวยเวยได้ยินดังนั้น ก็ก้มหาในกระเป๋าตัวเอง “กุญแจ กุญแจ….อ่าเจอแล้ว!” เธอร้องด้วยความดีใจพร้อมโบกกุญแจไปมา “นี่ไง กุญแจ”

เย่ฉ่าวเฉินเอากุญแจมาเปิดห้องให้เธอ เขารีบเข้าไปประคองเธอที่กำลังจะล้มและเดินเข้าห้องไป

ภายในห้องตกแต่งอย่างสวยหรู ห้องนอนมีขนาดใหญ่ เย่ฉ่าวเฉินวางเธอลงบนเตียง เตรียมจะออกจากห้อง มือก็เผลอไปโดนหน้าอกของเธอ

เขาตัวแข็งทื่อ

“ร้อนจังเลย” มู่เวยเวยเริ่มปลดกระดุมออก วันนี้เธอสวมแค่เสื้อเชิ้ต เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ทันออกไปเธอก็ปลดกระดุมออกหมดแล้ว

เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่เธอ ไม่กี่วินาที เขาก็รีบดึงสติตัวเองกลับมา และเตรียมจะออกไป แต่ก็ได้ยินเสียงเธอพึมพัมว่า “คอแห้งมาก อยากกินน้ำจัง”

เย่ฉ่าวเฉินยืนอยู่ที่เดิมพยายามหายใจเข้าออกและตั้งสติ จากนั้นเดินไปห้องรับแขกเพื่อหยิบน้ำให้เธอ เมื่อถึงเตียงก็ประคองเธอขึ้นมาดื่มน้ำ “คุณฉู่ครับ น้ำได้แล้วครับ”

มู่เวยเวยดื่มน้ำอย่างกระหาย

เย่ฉ่าวเฉินถามต่อว่า “พอมั้ยครับ” เขามองไปที่ปากของเธอ

มู่เวยเวยแลบลิ้นและเลียริมฝีปากช้า จากนั้นเงยหน้าขึ้นไปซึ่งพอดีโดนหน้าเขา

เย่ฉ่าวเฉินตัวแข็งทื่ออีกรอบ ได้ยินเสียงมู่เวยเวยกระซิบข้างหูว่า “ไม่เป็นไร ฉันอิ่มแล้ว”

แทบจะทนไม่ไหวแล้ว!

เลือดของเย่ฉ่าวเฉินสูบฉีดอย่างแรงไปทั่ว ใจคิดอยากจะรีบถอดเสื้อผ้าเธอออกแล้วรีบขย้ำเธอซะ แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ เพราะว่าเธอคือฉู่เหยียน เขาจะทำแบบนั้นกับเธอไม่ได้

เขาใช้ความเพียรพยายามทั้งหมดทั้งมวลที่เขามีดับไฟร้อนในใจเขาให้มอดไป เขาดันเธอลงบนเตียง และรีบเดินออกจากห้องไป

“ปั้ง!” เสียงปิดประตูดังสนั่น มู่เวยเวยค่อยๆลืมตาขึ้นมา ภายในใจรู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก

เขาไม่แม้แต่จะแตะต้องตัวเธอ? ผู้หญิงสวยๆอยู่ตรงหน้าอีกทั้งยังเปิดเผยขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่ทำไมเขายังทนได้?

นี่ยังใช่เย่ฉ่าวเฉินผู้ดุร้ายคนเดิมมั้ย?

มู่เวยเวยเอนกายนอนลงบนเตียง สายตาเหม่อลอยมองไปที่เพดาน ภายในใจคิดว่า การกลับมาครั้งนี้ ทำไมรู้สึกเหมือนกับเย่ฉ่าวเฉินไม่ใช่คนเดิม

เธอควรจะดีใจหรือเสียใจดี

แท้จริงแล้วเธอไม่ได้คิดอยากจะมีอะไรเกินเลยกับเขา เมื่อถึงเวลาเธอจะบอกให้เขาหยุด แต่นี่ยังไม่ทันเริ่ม เขาก็ไปซะแล้ว เท่ากับว่าการแสดงของเธอวันนี้นั้นเสียเปล่า

…………………………..

หลังจากนั้นสองวัน ช่วงเวลาว่างเขามักจะคิดถึงฉู่เหยียน และพาแต่จะให้นึกถึงเรื่องคืนวันนั้น

“ประธานเย่คะ นี่คือลิสรายการอาหารอร่อยที่แนะนำและแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจของเมืองเอค่ะ” เลขาหลิวเสนอรายงาน รายละเอียดเส้นทาง, แหล่งท่องเที่ยวและร้านอาหารแนะนำกับเขา

แต่สถานการณ์ตอนนี้ทำให้เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกว่าไม่ควรใกล้ชิดสนิทสนมกับฉู่เหยียนมากเกินไป จึงพูดกับเลขาหลิวว่า “เสาร์อาทิตย์นี้คุณว่างมั้ยครับ?”

“ว่างค่ะ” เลขาหลิวตอบ

“คุณช่วยพาคุณฉู่ไปเที่ยวหน่อยนะ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดนำมาเบิกกับบริษัท” เย่ฉ่าวเฉินยื่นลิสคืนให้เธอ

“ประธานเย่ คุณจะไม่ไปหรอคะ?” เลขาหลิวถามด้วยความประหลาดใจ เรื่องพาคุณฉู่ไปเที่ยว น่าจะเป็นเจ้านายออกโรงเองมากกว่าไหม?

เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “พอดีพรุ่งนี้มะรืนนี้ผมมีเรื่องส่วนตัวให้สะสางนิดหน่อย คุณไปแทนผมแล้วกันนะ”

“โอเคค่ะ รับทราบค่ะ” เลขาหลิวตอบตกลง

หลังจากเลขาหลิวออกไปแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท เขาจึงต้องโทรไปอธิบายกับฉู่เหยียนด้วยตัวเอง

เขากดเลื่อนโทรศัพท์หาชื่อเธอแล้วกดโทรออก

รอสายอยู่สักพักใหญ่ถึงจะมีคนรับ “ฮัลโหล นั่นใครคะ?”

เย่ฉ่าวเฉินตกใจเล็กน้อย ทำไมเสียงของเธอถึงฟังดูแหบพร่า

“คุณฉู่ครับ ผมเย่ฉ่าวเฉินครับ”

“อ่อค่ะประธานเย่มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ? แคกๆๆๆ”

เย่ฉ่าวเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ถามกลับว่า “คุณไม่สบายหรือเปล่าครับ”

“เป็นไข้ตัวร้อนนิดหน่อยค่ะ น่าจะเป็นเพราะสองคืนก่อนไม่ได้นอนห่มผ้า แคกๆๆๆ ว่าแต่ประธานเย่มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”

เย่ฉ่าวเฉินครุ่นคิดเล็กน้อย สองวันก่อน?ก็น่าจะเป็นคืนที่เธอเมาคืนนั้นซินะ เป็นเพราะว่าเขารีบเดินออกไปเลยทำให้ลืมห่มผ้าให้เธอ

“พอดีผมจะอยากจะบอกว่า แพลนเที่ยวของพรุ่งนี้…..” เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ทันพูดจบ มู่เวยเวยก็รีบแทรกขึ้นมาว่า

“ขอโทษจริงๆค่ะ วันพรุ่งนี้ฉันอาจจะไปด้วยไม่ได้แล้ว เพราะรู้สึกเหมือนไม่ค่อยสบายค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ คุณโอเคมั้ยครับ ต้องการให้ผมพาไปหาหมอไหมครับ?” เย่ฉ่าวเฉินถามด้วยความเป็นห่วง

“แคกๆๆๆ” เธอไอเล็กน้อยและตอบกลับว่า “ฉันไม่อยากไปหาหมอค่ะ อดทนอีกสักวันสองวันก็น่าจะหายดี”

“แล้วประธานถังล่ะครับ? มีคนคอยดูแลคุณไหมครับ?”

มู่เวยเวยถอนหายใจเบาๆและตอบว่า “พวกเขากลับไปเสนองานกับหัวหน้าที่ฮ่องกงแล้วค่ะ ช่วงนี้คงจะมีแค่ฉันที่อยู่ที่นี่ ขอบคุณสำหรับความห่วงใยนะคะประธานเย่ แต่ไม่เป็นไรค่ะ ฉันรับมือไหว”

“อ่อครับ งั้นดูแลตัวเองดีๆนะครับ”

“โอเคค่ะ ไว้พบกันค่ะ แคกๆๆๆ”

มู่เวยเวยไอส่งท้ายและกดวางสายไป เย่ฉ่าวเฉินวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะหยุดคิดชั่วครู่และหันกลับไปทำงานต่อ

เธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว น่าจะรู้ว่าเวลาไหนควรไปหาหมอ เขาก็แค่ผู้ร่วมการค้าทางธุรกิจ ไม่จำเป็นต้องยุ่งเรื่องเธอขนาดนั้น

หลังเลิกงาน เย่ฉ่าวเฉินนั่งรถกลับบ้าน ระหว่างทางผ่านโรงพยาบาลก็นึกถึงอาการป่วยของฉู่เหยียนขึ้น ไม่รู้ว่าตอนนี้อาการเธอเป็นอย่างไรบ้าง

จะไปเยี่ยมเธอดีมั้ยนะ? หรือเธอก็น่าจะกินยาหายดีแล้ว

เฮ้อ ช่างเถอะ โทรไปถามอาการหน่อยก็ได้

ภายในโรงแรม

มู่เวยเวยมองดูโทรศัพท์ที่กำลังร้องดังอยู่ แต่ก็จงใจไม่ได้รับสาย เธอรอจนโทรศัพท์เงียบไปและรีบกดปิดเครื่อง

โอเค ตอนนี้ก็ทำเป็นไม่มีแรงรอเขาขึ้นมาแล้วกัน

เธอไม่สบายจริงๆ ตอนแรกคิดว่าตอนบ่ายก็จะไปหาหมอเพราะอาการเริ่มหนักขึ้น แต่เพราะเขาโทรมาก็เลยทำให้เธอฉุกคิดขึ้นมาได้ว่านี่อาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้เธอได้เข้าไปอยู่ในบ้านตระกูลเย่

เป็นไปตามคาด รอไม่ถึง20นาที ก็มีเสียงเคาะประตู แต่มู่เวยเวยนั่งอยู่นิ่งไม่ไปเปิดประตู

เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกรอบ มู่เวยเวยค่อยๆเดินๆไปเปิดประตู และพบว่าคนตรงหน้าประตูก็คือเย่ฉ่าวเฉิน

“เอ๋ ประธานเย่ คุณมาได้ไงคะ” มู่เวยเวยแสร้งถามด้วยความประหลาดใจ

เย่ฉ่าวเฉินมองหน้าที่แดงก่ำและปากซีดเซียวของเธอ

“อาการหนักขนาดนี้ ทำไมไม่ไปหาหมอครับ?”

มู่เวยเวยเดินเข้าห้อง พร้อมกับไอแคกๆตอบกลับว่า “ฉันกินยาไปแล้วเมื่อตอนบ่าย น่าจะอีกสักพักคงดีขึ้น”

“เมื่อกี้ผมโทรหาคุณแต่คุณไม่รับสาย” เย่ฉ่าวเฉินเดินตามเธอเข้ามา

“ใช่หรือคะ? โทรศัพท์ฉันคงจะแบตหมดค่ะ”

เย่ฉ่าวเฉินเดินถึงห้องรับแขก เขามองเห็นบนโต๊ะมียาวางอยู่ และข้างๆกันมีแก้วน้ำเปล่า เขาหยิบยาพวกนั้นขึ้นมาดูและถามว่า “ยาพวกนี้ใช้รักษาอาการป่วย แต่ว่าใช้ไม่ได้ผลมากนักกับอาการตัวร้อน ใครเป็นคนซื้อยานี้ครับ?”

มู่เวยเวยเอนกายแล้วหลับตาลงบนโซฟา พร้อมตอบกลับว่า “รบกวนคนของทางโรงแรมซื้อให้ค่ะ”

“ตัวร้อนกี่องศาแล้วครับ?” เย่ฉ่าวเฉินมองดูเธอไม่ค่อยมีแรง เสื้อผ้าตัวหลวมเหมือนไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เธอดูอ่อนแอมาก

“น่าจะ39ค่ะ ไม่ได้ตั้งใจดูเท่าไหร่”

เย่ฉ่าวเฉินได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกโมโหขึ้นมา พูดกับเธอว่า “คุณฉู่ครับอาการขนาดนี้คุณควรต้องไปหาหมอนะครับ”

“ฉันไม่อยากไปค่ะ ฉันเกลียดโรงพยาบาล” มู่เวยเวยตอบกลับ

“ถึงจะเกลียดยังไงก็ต้องไปครับ ผมจะพาคุณไปเอง” เธออาการหนักขนาดนี้เขาจะไม่สนใจไม่ได้แล้ว

มู่เวยเวยค่อยๆลืมตาขึ้นมา มองเขาด้วยสายตาอ้อนวอนและพูดต่อว่า “ฉันไม่ไปได้ไหมคะ ฉันกลัวโรงพยาบาลจริงๆ”

“ต้องไปครับ” เย่ฉ่าวเฉินไม่รอให้เธออ้างอะไรอีก รีบถามต่อว่า “มีอะไรต้องเตรียมอีกบ้างครับ”

“ไม่มีอะไรค่ะ ในกระเป๋ามีทุกอย่างแล้ว”

เย่ฉ่าวเฉินหยิบกระเป๋าที่วางบนโซฟาขึ้นมาและเดินเข้ามาประคองเธอ ยิ่งทำให้เขาคิ้วขมวดยิ่งกว่าเดิม “ทำไมตัวร้อนขนาดนี้ครับ? ถ้าไม่ไปโรงพยาบาลตอนนี้ คืนนี้คุณทรมานกว่าเดิมแน่”

มู่เวยเวยเดินอย่างช้าๆ ตามแรงประคองของเขา แกล้งทำเป็นสงสัย และถามว่า “ร่างกายฉันก็แข็งแรงดี ทำไมถึงเป็นไข้ได้ แปลกจริงๆ”

เย่ฉ่าวเฉินใจกระตุกเล็กน้อย และถามกลับว่า “คุณจำเรื่องที่ดื่มคืนนั้นไม่ได้เลยหรือครับ?”

“ดื่ม?” มู่เวยเวยทำท่าคิดเล็กน้อยและตอบว่า “อ่อ ฉันคิดออกแล้ว วันนั้นจำได้ฉันเมามาก หลังจากนั้นมีอะไรเกิดขึ้นหรือคะ?”

“ไม่มีครับ” เย่ฉ่าวเฉินตอบกลับ “คืนนั้นน่าจะตากลม ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้วครับ ตอนนี้ต้องรักษาอาการป่วยก่อน”

มู่เวยเวยตอบกลับ “อ่อค่ะ” ก้มหัวลงและแอบยิ้ม

ในใจคิดว่าเขากำลังหลีกเลี่ยงอะไรอยู่?

ลงมาถึงข้างล่าง จางเห่อเห็นเย่ฉ่าวเฉินประคองผู้หญิงลงมา จึงรีบวิ่งมาเปิดประตูให้เขา

“ไปโรงพยาบาล” เย่ฉ่าวเฉินบอกกับเขา

เมื่อถึงโรงพยาบาล เขาจัดการเสร็จเสร็จเรียบร้อย มู่เวยเวยต้องนอนให้น้ำเกลือ

“คุณหมอคะ ฉันต้องนอนโรงพยาบาลหรือคะ?” มู่เวยเวยถาม

คุณหมอตอบกลับว่า “ถ้าคืนนี้อาการคนไข้ยังไม่ลดลง ก็ต้องนอนโรงพยาบาลครับ”

“แต่ว่าฉันไม่อยากค้างที่นี่ค่ะ” มู่เวยเวยพูดหน้าเศร้าว่า “ครอบครัวฉันไม่ได้อยู่ที่นี่ให้ฉันนอนโรงพยาบาลก็ไม่มีใครมาดูแล คุณหมอคะ ให้เยอะฉันเยอะกว่าเดิมก็ได้ค่ะ ให้สองขวดเลยก็ได้ ให้ฉันหายไวๆ”

คุณหมอไม่เคยเจอคนไข้แบบนี้มาก่อน ตอบกลับด้วยความโมโหว่า “ยาสามารถให้มั่วๆได้หรือครับ? ครอบครัวคุณไม่อยู่ที่นี่ คุณก็น่าคงจะมีเพื่อนบ้างนะครับ หรือแฟนคุณล่ะ?” คุณหมอชี้ไปทางเย่ฉ่าวเฉินที่ยืนข้างๆ

“ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่” มู่เวยเวยปฏิเสธทันควัน “เขาเป็นแค่ผู้ร่วมธุรกิจค่ะ”

คุณหมอรู้สึกลำบากใจเพราะอาการของเธอควรที่มีคนอยู่ดูแลอีกทั้งยังต้องคอยสังเกตอาการณ์ คอยวัดไข้ คอยรับยาให้เธอ

“คุณหมอครับ ผมขอปรึกษาอะไรกับนิดหน่อยครับ คุณหมอทำธุระอื่นต่อเถอะครับ” เย่ฉ่าวเฉินพูดขึ้น

คุณหมอมองดูสักครู่และเดินออกไป

เย่ฉ่าวเฉินยืนคิดพักใหญ่ และพูดอย่างจริงจังว่า “คุณฉู่ครับ ที่บ้านของผมมีหมออยู่ ถ้าคุณไม่ถือสาอะไร ช่วงนี้คุณสามารถไปอยู่รักษาตัวที่บ้านผม แบบนี้ค่อยดูแลง่ายหน่อยครับ”

“เอ่อ..แบบนี้จะไม่รบกวนคุณหรอคะ” มู่เวยเวยแกล้งถามกลับด้วยหน้านิ่ง แม้ในใจเธอตอนนี้จะดีใจกระโดดโลดเต้นแล้วก็ตาม

“ไม่รบกวนครับ คุณเป็นคนสำคัญทางธุรกิจของบริษัทเย่ฮวาง และเป็นคนแขกที่ผมให้ความเคารพนับถือ ตอนนี้คุณไม่สบาย พวกประธานถังก็ไม่อยู่อีก ถ้าผมยังไม่สนใจดูแลคุณ ผมคงดูแย่มากครับ”

“แต่ว่า….” มู่เวยเวยกล่าวด้วยท่าทีสับสน

เย่ฉ่าวเฉินเห็นเธอกำลังรู้สึกกังวลและสับสนจึงรีบบอกกับเธอว่า “คุณฉู่ครับ ไม่ต้องคิดมากหรอกครับ ผมไม่ได้คิดอะไรครับแค่เพียงแต่เสนอความคิดแทนบริษัท”

“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ฉันแค่เกรงว่าภรรยาของคุณรู้เขาจะไม่สบายใจเอาได้”

เย่ฉ่าวเฉินชะงักไปชั่วครู่ ในใจรู้สึกเจ็บปวด ตอบกลับว่า “ถ้าเธอสามารถรับรู้ได้จริงๆคงดี เขาอยากจะให้เธอรีบกลับมาต่อว่าเขา” อย่างน้อยๆ นี่ก็เป็นโอกาสที่จะได้เจอกับเธอ รับรู้ว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง

มู่เวยเวยได้ยินอย่างนั้น ภายในใจรู้สึกเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เธอก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร เย่ฉ่าวเฉินถ้าคุณรู้ว่าผลลัพธ์มันจะเป็นแบบนี้ ทำไมต้องให้มันเกิดขึ้น

งั้นก็เอาแบบนี้แล้วกัน มู่เวยเวยตัดสินใจนั่งรถไปบ้านของตระกูลเย่

บรรยากาศสองข้างทางที่เธอคุ้นเคย เธอเกือบจะลืมตัวทำอะไรออกไป เธอรีบตั้งสติ ไม่ให้เผลอพูดอะไรออกมา ไม่อย่างนั้นที่เธอทำมาทั้งหมดจะสูญเปล่า

หลังจากคุณหมอหานได้รับสายโทรศัพท์ก็รีบมาที่บ้านตระกูลเย่ พ่อบ้านหวังกับฉินหม่าได้ยินที่จางเห่อเล่าว่าจะมีคนที่ละม้ายคล้ายกับคุณหนูมารักษาอาการป่วยที่บ้านหลังนี้ พวกเขาจึงยืนรอดูที่หน้าประตู

บ้านหลังนี้ไม่มีบรรยากาศครึกครื้นมานานมากแล้ว

เมื่อรถถึงบ้าน เย่ฉ่าวเฉินก็ประคองแขนมู่เวยเวยลงจากรถ เธอก้มหน้ามองพื้นขณะเดิน ทุกคนมองดูด้วยความตกใจ แต่เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น อาการของทุกคนก็ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม

“รบกวนด้วยนะคะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ภายในใจรู้สึกดีใจอย่างมาก หลังจากที่เธอจากไปคืนนั้นช่างมืดมิด เธอเป็นกังวลว่าพวกเขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า แต่วันนี้เธอได้กลับมาเห็นแล้วว่าพวกเขายังสบายดี

พ่อบ้านหวังกับฉินหม่าเพ่งมองเธออย่างถี่ถ้วน พลันคิดเธอคล้ายกับคุณหนูอย่างที่จางเห่อพูดไว้ไม่มีผิด มีแค่หน้าตาเท่านั้นที่ไม่เหมือน นอกเหนือจากนั้นเหมือนกันราวกับแกะ

“จัดการห้องเรียบร้อยดีไหม” เย่ฉ่าวเฉินถามกับพ่อบ้านหวัง

“จัดการเรียบร้อยแล้วครับ อยู่ข้างๆห้องคุณชายเหยียนครับ”

เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้ารับทราบ แล้วประคองมู่เวยเวยเดินขึ้นบ้านไป

บรรยากาศนี้ กลิ่นนี้เป็นที่คุ้นเคยมาก ของตกแต่งบ้านพวกนี้ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย

เธอคิดว่าเธอคงจะไม่มีความผูกพันธ์หรือความรู้สึกใดๆต่อบ้านนี้ แต่เธอคิดผิด เธออยู่ที่นี่มาเป็นปีๆ จะไม่รู้สึกอะไรไดด้อย่างไรกัน

ตอนเดินผ่านหน้าห้องของคุณชายเหยียน เธอไม่ทันรู้ตัวมองตามห้องนั้น

ภายในห้องนี้เคยมีผู้ชายอบอุ่นคนหนึ่งอยู่ แต่เป็นเพราะเธอ ทำให้เขาต้องจากบ้านเกิดของเขาไป

คุณหมอหานมาถึงพร้อมกับพกอุปกรณ์ตรวจและยาที่ใช้รักษามาถึงห้องเธอ ก็เห็นมู่เวยเวยนอนพักอยู่บนเตียง สังเกตเห็นหน้าตาของเธอดูแดงวูบวาบผิดปกติ

“คูนฉู่ครับ ท่านนี้คือคุณหมอหานครับ” เย่ฉ่าวเฉินแนะนำ

มู่เวยเวยพยายามฝืนพยักหน้ารับทราบ พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “รบกวนด้วยนะคะ”

คุณหมอหานมองดูท่าทางของเธอและยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร ได้ยินมาว่าเธอเป็นลูกสาวของเจ้าของบริษัทยักใหญ่ในฮ่องกง คิดไม่ถึงว่าเธอจะอ่อนน้อมขนาดนี้

“งั้นผมฝากคุณฉู่ด้วยนะครับ รบกวนรักษาให้หายป่วยโดยเร็วด้วยครับ” เย่ฉ่าวเฉินกล่าวกำชับ

“รับทราบครับ ประธานเย่รบกวนออกไปก่อนนะครับ” คุณหมอหานพูดกับเขาเพราะเขากำลังยืนเกะกะ

เย่ฉ่าวเฉินหันไปพูดกับมู่เวยเวยว่า “คุณฉู่ครับ ต้องการอะไรเพิ่มเติมบอกได้นะครับไม่ต้องเกรงใจ”

“ขอบคุณมากค่ะประธานเย่” เธอตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

ที่ชั้นล่าง ทั้งสามคนกำลังปรึกษาหารือกันที่ห้องอาหาร

“เหมือน เหมือนมากจริงๆ” พ่อบ้านหวังพูดน้ำเสียงตื้นเต้น “โดยเฉพาะสายตาคู่นั้น เหมือนซะจนคิดว่าเป็นคนเดียวกันเลย”

“ใช่ๆ ฉันยังคิดเลยว่าบนโลกใบนี้มันจะมีคนที่สามารถเหมือนกันได้ขนาดนี้เลยหรอ” ฉินหม่าพูดไปกินโจ๊กไป “เอ๋ งั้นพวกเธอคิดว่าคุณชาย…..”

“อะแฮ่ม” จางเห่อกระแอมเบาๆ ฉินหม่ารีบหุบปาก เธอรู้ได้ทันทีว่าเย่ฉ่าวเฉินกำลังมาทางนี้

“คุณอาหวังครับ คืนนี้ช่วยส่งผู้หญิงสักคนไปดูแลคุณฉู่ด้วยนะครับ” เย่ฉ่าวเฉินสั่งขณะนั่งอยู่อยู่ในห้องอาหาร

พ่อบ้านหวังตอบกลับ “รับทราบครับ” และเดินออกไป

ฉินหม่ายกอาหารมาเสิร์ฟที่ห้องอาหาร สายตาแอบมองไปที่เย่ฉ่าวเฉิน แลดูเขาก็เป็นห่วงผู้หญิงคนนั้นอยู่ไม่น้อย ถ้าสมมติว่าคุณหนูไม่กลับมาจริงๆ เขาจะคบกับผู้หญิงคนนั้นไหมนะ? แต่จากที่สังเกตท่าทางของเธอแล้วก็ดูเป็นคนดีนะ

หลังจากคุณหมอให้น้ำเกลือเสร็จไปสองสามขวดก็เป็นเวลาดึกแล้ว มู่เวยเวยตอนนี้ก็กำลังนอนหลับลึก

คุณหมอหานดึงเข็มออกด้วยความเหนื่อยล้า เขาเอามืออังที่หน้าผากของมู่เวยเวยรับรู้ยังมีไข้สูงนิดหน่อย

แต่คุณหมอสังเกตเห็นว่าทำไมผิวพรรณของมู่เวยเวยเรียบเนียนผิดปกติ ขณะที่คุณหมอโน้มตัวก้มหน้าเข้าไปใกล้เธอ ประตูก็ได้เปิดออก เย่ฉ่าวเฉินนั่นเองที่เดินเข้ามา

มองดูมู่เวยเวยที่กำลังหลับ และถามเบาๆว่า “เธอเป็นอะไรหรอครับ”

คุณหมอหานเอนตัวขึ้นและตอบกลับว่า “อุณหภูมิลดลงบ้างแล้วครับ แต่ก็ยังตัวร้อนอยู่นิดหน่อย”

เย่ฉ่าวเฉินมองดูมู่เวยเวยด้วยความสงสัย และถามคุณหมอว่า “นอนไม่ห่มผ้าแค่คืนเดียว ทำให้เธอเป็นขนาดนี้เลยหรอ”

คุณหมอหานหันไปมอบหมายงานให้กับสาวใช้เสร็จ เดินออกมาพร้อมกับตอบว่า “นอนไม่ห่มผ้านั้นเป็นแค่สาเหตุรอง สาเหตุหลักที่ทำให้เธอเป็นขนาดนี้คือเธอดื่มน้ำไม่เพียงพอ ร่างกายทนได้ไม่ได้กี่วันอาการมันก็เริ่มออกมาให้เห็น”

“อ่อที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง” เย่ฉ่าวเฉินปิดประตู และถามกลับคุณหมอต่อว่า “จากอาการของเธอตอนนี้ คุณหมอคิดว่าเมื่อไหร่เธอจะรักษาหายดีครับ?”

“อย่างน้อยก็น่าจะประมาณสองวันครับ” คุณหมอตอบกลับ

สองวัน?นานขนาดนั้นเลยหรอ?

ดูเหมือนว่าเขาต้องกลับไปทำโอทีที่บริษัทแล้วล่ะ เธอเหมือนกับเวยเวยมากอีกอย่างตอนนี้เธอก้อยู่ที่บ้านเขา เขาเกรงว่าเขาจะรับมือไม่ไหว

เช้าตรู่ แสงอาทิตย์เจิดจ้า

การรักษาของเธอผ่านไปแล้วหนึ่งคืน เธอรู้สึกดีขึ้นมาก แต่ก็ยังมีอาการตัวร้อนอยู่บ้าง

คุณหมอหานมาตรวจอาการของเธออย่างอบอุ่นและอ่อนโยน พร้อมพูดว่า “อาการของคุณฉู่ดีขึ้นกว่าเมื่อวานนะครับ แต่วันนี้ก็ยังคงต้องให้ยาอยุ่นะครับ”

“ขอบคุณมากค่ะ” เธอตอบกลับคุณหมอด้วยท่าทางที่เหมาะสมกับฐานะของเธอ แต่เธอก็ไม่สามารถแสดงออกชัดเจนมากนัก เพราะคุณหมอหานค่อนข้างที่จะสนิทกับเธอ เธอกลัวเธอจะเผลอทำอะไรออกและทำเขาจับได้

ผ่านไปสักพัก ฉินหม่าก็ยกโจ๊กมาเสิร์ฟให้เธอ มู่เวยเวยมองดูเธอด้วยความผูกพันธ์ ใจรู้สึกว่าฉินหม่าดูแก่ขึ้นมาก

“คุณฉู่คะ คุณหมอหานบอกว่าคุณสามารถทานอาหารเหลวได้นิดหน่อยค่ะ นี่เป็นโจ๊กพุทราตุ๋นด้วยยาจีน คุณดื่มมันหน่อยนะคะ”

มู่เวยเวยไม่ปฏิเสธเธอ ยื่นมืออกไปรับโจ๊กมาพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ

“ขอบคุณนะคะ ฉินหม่า”

ฉินหม่าตกใจเล็กน้อยและถามกลับว่า “คุณรู้จักฉันหรือคะ?”

มู่เวยเวยชะงักไปชั่วครู่ ก่นด่าตัวเองในใจว่าทำไมโง่ขนาดนี้? เธอรีบร้อนตอบกลับว่า “อ่อ ฉันได้ยินประธานเย่บอกฉันค่ะ ว่าถ้าต้องการอะไรให้บอกกับฉินหม่า ฉันทายก็คิดว่าน่าจะใช่คุณแน่ๆ”

ฉินหม่าคลายปมที่คิ้ว และยิ้มอย่างเป็นมิตรว่า “ใช่ๆๆค่ะ คุณอยากกินอะไร อยากได้อะไร บอกฉันได้เลยค่ะ”

“โอเคค่ะ” มู่เวยเวยไม่กล้าพูดอะไรต่อ เพราะกลัวจะเผลอพูดอะไรอีก ก้มหน้าก้มตากินโจ๊ก ในใจคิดขออย่าให้ฉินหม่าไปถามอะไรกับเย่ฉ่าวเฉินเลย แต่นิสัยของฉินหม่า ก็ไม่ได้เป็นคนที่จะทำเรื่องแบบนั้นนี่หน่า

รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาหน่อย

ตอนเช้าให้ยาเสร็จแล้วสองขวด มู่เวยเวยขอคุณหมอว่าอยากออกไปเดินเล่นข้างนอก ตอนบ่ายค่อยกลับมาให้ยาต่อ คุณหมอก็ตอบตกลง

“คุณไปทำธุระอย่างอื่นเถอะ เดี๋ยวฉันเดินดูรอบๆเอง”

“แต่ว่า…..” สาวใช้รู้สึกกังวลนิดหน่อย เพราะพ่อบ้านหวังกำชับให้คอยอยู่ใกล้ๆเธอ

“เกิดอะไรขึ้นฉันจะรีบเรียกเธอเลย” มมู่เวยเวยตอบกลับ

สาวใช้ไม่กล้าปฏิเสธ จึงทำได้แค่เดินจากไป

มู่เวยเวยเป็นอิสระแล้ว เธอมองดูรอบๆ ไม่มีใคร ก็พยุงตัวเองเดินขึ้นไปที่ชั้นสามของบ้าน ได้ยินคุณหมอหานบอกว่าวันนี้เย่ฉ่าวเฉินไปบริษัท ตอนแรกรู้สึกกังวลแต่ตอนนี้ทางสะดวกแล้ว

เธอค่อยๆเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม และเดินตรงเข้าไปที่ห้องหนังสือ เพียงชั่วครู่ก็จะถึงหน้าประตูแล้ว เธอได้ยินเสียงคนเรียกเธอจากข้างหลัง

“คุณฉู่ มาทำอะไรตรงนี้ครับ”

มู่เวยเวยค่อยๆหายใจเข้า ใจคิดว่าพ่อบ้านหวังนี่เป็นพ่อบ้านที่ดีมากจริงๆ ผีจะเข้าจะออกสักตัวเขารู้หมด

“ฉันมาสำรวจบ้านค่ะ” เธอหันหลังตอบกลับเขา

พ่อบ้านหวังตอบกลับเธอว่า “คุณฉู่ บนชั้นสามไม่มีอะไรน่าสำรวจ บรรยากาศข้างนอกดีมากกว่า คุณสามารถออกไปเดินสำรวจได้”

“ที่ชั้นสามนี่มีอะไรหรอคะ” มู่เวยเวยถามด้วยความแปลกใจ

“มีห้องหนังสือของคุณชายครับ ห้องนึงเป็นห้องฉายภาพอีกห้องเป็นห้องวาดรูป”

มู่เวยเวยตกใจไปชั่วครู๋ ถามต่อว่า “ห้องวาดรูป?” ทำไมเธอไม่รู้มาก่อนว่าชั้นสามมีห้องแบบนี้อยู่ด้วย มีตั้งแต่ตอนไหนกัน

“ใช่ครับ” ห้องนี้มีตั้งแต่คุณหนูหายตัวไป เย่ฉ่าวเฉินสั่งให้พ่อบ้านหวังตกแต่งห้องใหม่ แต่หลังจากตกแต่งเสร็จแล้ว เย่ฉ่าวเฉินก็เข้าไปดูแค่ชั่วครู่เดียว หลังจากนั้นก็ไม่เคยเข้ามาอีกเลย

เขาหวังว่าเธอจะกลับมาและทำเซอไพร์ให้เธอ เธอต้องดีใจแน่ๆ

“ฉันเข้าไปดูได้ไหมคะ” มู่เวยเวยถาม

พ่อบ้านหวังรู้สึกลำบากใจและตอบกลับว่า “ขอโทษครับคุณฉู่ ถ้าคุณชายยังไม่อนุญาต ใครก็ไม่สามารถเข้าไปได้ครับ”

เอ่อ….เผด็จการจังเลย ก็ได้ ไม่ดูก็ได้

“ถ้างั้นฉันเข้าไปหาหนังสืออ่านี่ห้องหนังสือได้ไหมคะ?” มู่เวยเวยถามต่อ

“อันนี้….ขอโทษครับคุณฉู่ ห้องหนังสือของคุณชายก็เข้าไปไม่ได้เหมือนกันครับ” พ่อบ้านหวังปฏิเสธเธอ

มู่เวยเวยยิ้มมุมปากพร้อมพูดว่า “ประธานเย่ของพวกคุณนี่มีข้อห้ามเยอะจัง”

“ขอโทษจริงๆครับ” พ่อบ้านหวังโค้งตัวกล่าวขอโทษเธอ

มู่เวยเวยมองไปเหลือบมองไปทางห้องหนังสือ และเดินจากไปด้วยความไม่เต็มใจ

เมื่อลงถึงชั้นสอง มู่เวยเวยไม่ได้ระวังก็พาตัวเองเดินมาถึงหน้าประตูห้องนอนที่เธอเคยอยู่ เธอสะดุ้งเล็กน้อยและพบว่าทางที่เธอเดินมาอยู่คนละฝั่งกับห้องที่อยู่ปัจจุบัน

พระเจ้า โชคดีที่ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ เธอรีบเดินหันหลังกลับไปห้องที่เธออยู่

ความเคยชินของคนเรานี่น่ากลัวจริงๆ ห่างไปตั้งนาน แต่ก็ยังทำให้เผลอตัวทำลงไป

แต่ว่าเธอยังแปลกใจอยู่ ห้องที่เธอเคยอยู่เปลี่ยนไปเป็นแบบไหนกัน เย่ฉ่าวเฉินคงจะไม่เอาของของเธอโยนทิ้งหรอก?

กลับถึงห้อง มู่เวยเวยนั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง พร้อมกับครุ่นคิดว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้ามาที่นี่ได้ ฉันจะยอมเลิกล้มแผนนี้ง่ายๆเลยหรอ? ถึงตอนนี้จะยังเข้าไปไม่ได้ แต่คิดดว่าน่าจะมีโอกาสอีก พ่อบ้านหวังมักจะช่วงเวลางีบอยู่บ้าง

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset