“เขามีเวลาว่างไหม? ”
“ขอโทษด้วย นี่ต้องถามเลขาผู้จัดการ ถ้าคุณมีเรื่องด่วน สามารถทิ้งช่องทางการติดต่อไว้ได้ ฉันจะบอกเลขาให้”
มู่เวยเวยส่ายหัว “ไม่ต้องหรอก เอาไว้ฉันจะมาใหม่”
เดินไปถึงหน้าประตูบริษัท มู่เวยเวยมองกลับไปที่อาคารสูงตระหง่านตา คิดในใจ เธอไม่จำเป็นต้องมีเงินทองมากขนาดนั้น พี่ชายก็เหลือไว้ให้เธอมากพอแล้ว เธอก็ไม่สามารถบริหารบริษัทได้ ดังนั้น บางทีนี่อาจเป็นที่พักพิงที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่าบริษัทมู่ซื่อจะไม่เป็นของเราอีกแล้ว ขอเพียงแต่ได้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปก็สามารถสร้างมูลค่าได้ เช่นนั้นความพยายามของพ่อแม่และพี่ชายก็จะไม่สูญเปล่า อีกทั้งยังสามารถเลี้ยงดูคนทำงานที่อยู่ที่นี่ นี่ก็เพียงพอแล้ว
กำลังลงบันได ก็มีคนรีบวิ่งเข้ามา มู่เวยเวยยังไม่ทันได้หลบหลีก ก็ถูกชนจนล้มลงไปกับพื้น
“มู่เวยเวย? ”
มู่เวยเวยจิตใจคล้อยตาม ยังพูดถึงเขาเมื่อกี้ ตอนนี้ก็เจอเลย ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ
เงยหน้า มู่เวยเวยตากระตุก ไม่เจอกันนานขนาดนี้ มู่จางรุ่ยเคยเป็นคุณลุงที่กระฉับกระเฉงมาก่อนนึกไม่ถึงว่าจะผมหงอกไปแล้ว อีกทั้งดูเหมือนแก่ไปอีกสิบกว่าปี
มู่จางรุ่ยเห็นหน้าเธอ ก็ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็เบะปากพูดว่า “ไม่ใช่สิ ฉันยังคิดว่ายัยเด็กคนนั้นกลับมาแล้ว พูดจบก็ไม่ขอโทษ เดินตรงเข้าไปเลย
มู่เวยเวยโกรธ “นี่ คุณชนคนล้มจะไม่พูดขอโทษเลยเหรอ? ”
มู่จางรุ่ยหันกลับมาพูดถากถางว่า “สาวน้อยโกรธขนาดนี้ ผู้ใหญ่ของคุณคงไม่ได้สอนให้สุภาพกับผู้อาวุโสใช่ไหม? ”
“อันดับแรกเลยผู้อาวุโสคนนี้คุ้มค่าที่เคารพด้วยเหรอ” มู่เวยเวยพิจารณาเขา จงใจพูดว่า “คุณปู่ คุณรู้สึกว่าคุณคู่ควรเหรอ? ”
บางทีคำว่า”คุณปู่”นี้ก็ไปสะเทือนใจมู่จางรุ่ย ชั่วขณะเขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “คุณปู่แกสิ คุณตาบอดเหรอ? คุณตะโกนเรียกใครว่าคุณปู่? ”
มู่เวยเวยไม่ยอมอ่อนข้อ เธอเคยอ่อนน้อมต่อผู้อาวุโสคนนี้มากเกินไป ดังนั้นจึงถูกเขาหลอกลวงสารพัด
“หึ! ในที่นี้ยังมีคนอื่นอีกเหรอ? ”
มู่จางรุ่ยอายุห้าสิบกว่า บริษัทก็ไม่มีแล้ว ภรรยาและผู้หญิงจึงไม่สนใจเขา ยังมีเมียน้อยอุ้มลูกมาขอเงินทั้งวัน เขาถูกมู่เทียนเย่ไล่จนเข้าตาจนแล้วจริงๆ
ตอนนี้ถูกผู้หญิงคนนี้บอกว่าเขาแก่ ชั่วขณะเขาก็นึกถึงคำหยาบคายเหล่านั้นของเมียน้อยขึ้นมา อารมณ์ร้อนด่าโพล่งขึ้นมา ไม่ได้คำนึงถึงบุคลิกใดๆ ทะเลาะกับมู่เวยเวยอยู่ข้างถนน “สายน้อย คุณพูดได้ยังไง? ”
“ฉันพูดปกติมาก คุณปู่ ถึงแม้ว่าคุณจะอายุมากจนตาลาย ก็ไม่สามารถชนคนแล้วไม่ขอโทษได้นะ” มู่เวยเวยพูดอย่างโกรธเคือง ในเวลานี้เธอเห็นสายตาของผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมา ไม่อยากดึงดูดความสนใจของคนอื่น มู่เวยเวยก็ปัดๆ ฝุ่นบนร่างกายของเธอ “วันนี้ซวยจริงๆ เลย คุณปู่ ฉันจะแนะนำคุณให้ว่าต่อไปก็ออกจากบ้านให้น้อยหน่อย บนถนนรถมันเยอะ”
“เฮ้ย นังเด็กไร้เดียงสา นี่แกแช่งใคร? ”
“ไม่ได้แช่งใคร ฉันแค่หวังดีเตือนคุณก็เท่านั้น ลาก่อนนะ! ” มู่เวยเวยถือกระเป๋าของเธอแล้วลงบันไดไป
“คุณหยุดนะ! ” มู่จางรุ่ยตะโกนร้องอยู่ด้านหลัง เห็นมู่เวยเวยยังคงเดินไปข้างหน้า ไล่ตามไปไม่กี่ก้าว ในทันทีที่ต้องการจะคว้าแขนของเธอ ฉับพลันก็ถูกคนคนหนึ่งขวางไว้
มู่จางรุ่ยก็หยุดฝีเท้า จ้องมองผู้หญิงที่ขวางทางอย่างโกรธๆ “คุณเป็นใคร มาขวางฉันทำไม? ”
ผู้หญิงสวมแว่นกันแดดขนาดใหญ่ ริมฝีปากสีแดงเพลิง สวมเสื้อยืดลายพรางเข้ารูปและกางเกงขากว้างลายพราง ส้นสูงคู่หนึ่ง นิ้วเท้าทั้งสิบที่ยื่นออกมาด้านนอก เล็กๆ และงดงาม ยังทาเล็บด้วยสีแดงสด
ผู้หญิงกอดอกขึ้นพูดจาเย็นชาถากถางว่า “คุณสนใจว่าฉันเป็นใคร ฉันก็ทนดูคุณไม่ได้ยังไงล่ะ? คุณชนสาวน้อยแล้วไม่ขอโทษก็แล้วไป ทำไม ยังคิดจะทำร้ายคนอีกเหรอ? ”
มู่จางรุ่ยถูกหยุดด้วยคำพูดที่ทรงอำนาจของผู้หญิงคนนั้น แต่ไม่อยากเสียหน้า ยังคงดื้อดึงพูดว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณ? ”
ผู้หญิงทำเสียงออกทางจมูก หันไปด้านข้างและพูดอย่างหยิ่งยโส “มาๆๆ วันนี้คุณกล้าแตะนิ้วของเธอนิ้วเดียว ฉันจะทำให้คุณรู้ว่ายุติธรรมคำนี้เขียนอย่างไร”
มู่จางรุ่ยเห็นว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้หาเรื่องได้ง่ายๆ จ้องมองเธอ ไม่มีอะไรจะพูดจึงรีบเดินหนีไป
เวลานี้มู่เวยเวยเลื่อมใสสาวสวยคนนี้ไม่หยุด เธอชอบที่สุดก็คือเห็นผู้หญิงที่ต่อสู้ต่อเมื่อเจอความไม่เป็นธรรมแล้วเข้ามาช่วย ฉับพลันก็ชื่นชมขึ้นมาในใจ
“ขอบคุณนะ คนสวย” มู่เวยเวยรีบพูดขึ้นมา
สาวสวยถอดแว่นกันแดดลง ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกาย แสดงถึงความกล้าหาญ เธอยิ้มแล้วมองไปที่มู่เวยเวย “คุณอัธยาศัยดีเกินไปแล้ว เจอผู้ชายอย่างนี้จะทนได้อย่างไร? ”
มู่เวยเวยถูกความสวยของเธอทำให้ตกตะลึง ยิ้มพูดว่า “ฉันไม่อยากรบกวนคุณเลย อีกทั้งเขาก็อายุ……”
“ก็เพราะว่ามีคนอย่างคุณนี้ ดังนั้นคนที่ไม่มีเหตุผลจึงมากขึ้น” สาวสวยพลางพูดพลางเดินไปเปิดรถประทุนของตัวเอง “ช่างเถอะ ต่อไปหากเจอเรื่องอย่างนี้ มีศักดิ์ศรีหน่อย อย่าถูกคนรังแกแล้วกลับไปร้องไห้ขี้มูกโป่ง”
มู่เวยเวยพยักหน้าอย่างรีบร้อน “คนสวย ฉันจะเชิญคุณไปกินข้าว”
“ไม่ต้อง ฉันมีเรื่องจะต้องทำที่เมืองA”
มู่เวยเวยฟังความหมายแฝงออก รีบถามว่า “คุณไม่ใช่คนเมืองAเหรอ? ”
“ไม่ใช่สิ ทำไมเหรอ” สาวสวยอยู่หน้ารถ พิงกระโปรงรถยิ้มถามเธอ
มู่เวยเวยรีบพูด “ฉันคุ้นเคยกับเมืองA คุณจะไปจะอะไรล่ะ บางทีฉันอาจช่วยคุณได้”
สาวสวยมองเธอ “ฉันเพียงแค่บอกคุณก็เท่านั้น คุณไม่ต้องขอบคุณฉันขนาดนี้”
“เรื่องเล็กน้อยสำหรับคุณ เรื่องใหญ่สำหรับฉัน”
สาวสวยขมวดคิ้วแล้วคิด พูดว่า “เอาเถอะ ฉันกำลังต้องการหาคนคนหนึ่งพอดี ไม่ใช่ว่าหาง่าย มีคนช่วยหาก็น่าจะเร็วหน่อย”
“ยินดี” มู่เวยเวยยื่นมือเล็กๆ ขาวนวลออกไป “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อ……ฉู่เหยียน”
สาวสวยก็ยื่นมือไปจับมือของเธอ “สวัสดีฉู่เหยียน ฉันเสี่ยวซีหร่าน”
“ชื่อเพราะจังเลย” มู่เวยเวยชื่มชมจากใจจริง
“ไปเถอะ ขึ้นรถ”
หลังจากการสื่อสารที่เรียบง่าย มู่เวยเวยรู้ว่าเสี่ยวซีหร่านมีเพื่อนที่ป่วย ที่มาเมืองAเพื่อมาหาอาจารย์หมอที่เกษียณไปแล้ว ดูว่าสามารถช่วยเพื่อนได้ไหม แต่เธอรู้เพียงแค่ชื่อของหมอคนนี้เท่านั้น พักอยู่เมืองA อย่างอื่นไม่รู้อะไรเลย
หลังจากมู่เวยเวยฟังจบ จึงเคารพเลื่อมใสเสี่ยวซีหร่านมากยิ่งขึ้น อดที่จะมองเธอไม่ได้
“ทำไมคุณมองฉันแบบนี้? ” เสี่ยวซีหร่านหันมามองเธอ ยิ้มแล้วถาม
“คุณดีกับเพื่อนจริงๆ เลย” มู่เวยเวยถอนหายใจอย่างหดหู่ น่าสลดใจที่เพื่อนของเธอทุกคนคิดร้ายกับเธอ
เสี่ยวซีหร่านแอบยิ้มๆ “บางที อาจเป็นเพราะว่าเขาหล่อ”
“ฮ่าฮ่า เหรอ? มีเวลาก็ให้ฉันไปเจอหน่อยนะ” มู่เวยเวยหลุดปากออกมา พูดจบจึงรู้สึกว่ามันบุ่มบ่ามไปหน่อย ที่จะขอความปรารถนานี้กับฝ่ายตรงข้ามที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก
เสี่ยวซีหร่านมองออกว่าเธอเสียใจ จึงพูดปลอบว่า “เอาเถอะ เพียงแต่ว่าฉันไม่ได้อยู่เมืองA รอให้คุณมีเวลาว่างไปเที่ยวเล่นที่เมืองG ฉันจะพาคุณไปเจอเขา”
มู่เวยเวยอบอุ่นในหัวใจ เห็นเสี่ยวซีหร่านพูดจาเป็นกันเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกแบบนี้ต่อผู้คน มักจะรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์ชวนหลงใหล ดึงดูดผู้คนให้เข้าหา
“คุณบอกไม่ใช่เหรอว่าตนเองคุ้นเคยกับเมืองAมาก? งั้นช่วยฉันหาหมอคนนี้หน่อย”
มู่เวยเวยหยิบโทรศัพท์ออกมา โทรหาคนคนนี้ เย่เฉ่าเฉินเก่งที่สุด
เมื่อกี้ที่เสี่ยวซีหร่านพูดมา เธอก็นึกถึงเย่เฉ่าเฉินทันที
มู่เวยเวยพูดอย่างเกรงใจ “ขอโทษนะ ฉันเพิ่งโกหกไป อันที่จริงฉันไม่ค่อยคุ้นเคยกับเมืองAหรอก แต่คุณวางใจเถอะ ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งที่สามารถช่วยได้อย่างแน่นอน ฉันจะโทรถามเขาตอนนี้เลย”
เสี่ยวซีหร่านยิ้มเจื่อนๆ สาวน้อยคนนี้น่าสนใจจริงๆ
เย่หวงกรุ๊ป ที่ห้องประชุม
การประชุมกำลังดำเนินไปในบรรยากาศที่เข้มงวดจริงจัง จู่ๆ โทรศัพท์ของเย่เฉ่าเฉินก็ดังขึ้น เดิมทีเขาคิดจะตัดสายทิ้ง แต่เห็นเบอร์ที่โทรมา จึงบอกใบ้ให้ทุกคนประชุมต่อแล้วตนเองออกไปรับสาย
“ฮัลโหล ประธานเย่ ฉันมีหนึ่งเรื่องจะขอให้คุณช่วย” หลังจากรับสาย มู่เวยเวยก็พูดตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
“เรื่องอะไร? ” น้ำเสียงของเย่เฉ่าเฉินไพเราะน่าฟัง ปรากฏความอบอุ่นเล็กน้อยในแววตา
“ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง ต้องการตามหาหมอคนหนึ่งที่เกษียณไปแล้วที่เมืองA คุณช่วยได้ไหม? ”
เย่เฉ่าเฉินตอบอย่างไม่ต้องคิด “ส่งชื่อมาที่โทรศัพท์ฉัน”
“โอเค ขอบคุณนะ” พูดจบ ไม่ได้พูดอะไรสักประโยค ด้านนั้นก็วางสายไป
เย่เฉ่าเฉินอึ้งไปสองสามวินาที เธอทำท่าทีนี้ จริงๆ ยังไม่คิดว่าตนเองเป็นคนนอกอีกหรอ?
เสี่ยวซีหร่านเห็นเธอส่งข้อความเสร็จแล้ว จึงถามหยั่งเชิงว่า “ที่พูดว่าประธานเย่นี่ ใช่เย่เฉ่าเฉินแห่งเย่หวงกรุ๊ปไหม”
“ใช่คือเขา คุณรู้จักเหรอ? ” มู่เวยเวยไม่ได้หลีกเลี่ยง ก็ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอะไร
เสี่ยวซีหร่านส่ายหัว “ไม่รู้จักหรอก เพียงแต่เคยได้ยิน เป็นคนเก่งคนหนึ่ง” เหตุนี้ เสี่ยวซีหร่านจึงชื่นชมฉู่เหยียนคนนี้ขึ้นมาในชั่วพริบตา คิดไม่ถึงว่าเธอดูเหมือนโง่ๆ เซ่อๆ จะรู้จักคนดังในเมืองAเช่นนี้ อีกทั้งยังใช้อย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่า ฉู่เหยียนคนนี้จะมีเบื้องหลังที่ลึกซึ้งมาก
“งั้นตอนนี้ล่ะ? เราไม่ต้องวนเวียนวุ่นวายอยู่ที่เมืองAแบบนี้แล้วใช่ไหม รอเขาส่งข่าวมา เราค่อยไปหาอีกที? ” มู่เวยเวยขอความเห็นจากเธอ
“ก็ดี” เสี่ยวซีหร่านจอดรถที่หน้าร้านกาแฟใกล้ๆ
ดื่มกาแฟแก้วหนึ่งเสร็จ เสี่ยวซีหร่านก็รู้จักฉู่เหยียนโดยประมาณ เดิมทีเป็นหญิงตระกูลร่ำรวยที่มาจากฮ่องกง เพียงแต่ไม่ได้เป็นโรคเจ้าหญิงสักนิด กลับกัน นิสัยก็ร่าเริงมาก ไม่เก็บไม่ซ่อน รับไม่ได้กับเธออย่างมาก
ผู้หญิงทั้งสองชื่นชมซึ่งกันและกัน คุยตั้งแต่การท่องเที่ยวไปถึงงานอดิเรก อย่างรวดเร็วมาก ก็จุดประกายแห่งมิตรภาพขึ้นมา
เมื่อเสี่ยวซีหร่านกำลังพูดถึงการเดินเท้าผจญภัยไปในป่าดงดิบ โทรศัพท์ของมู่เวยเวยก็ดังขึ้น เป็นเย่เฉ่าเฉิน
“ประธานเย่ หาเจอแล้วเหรอ? ” มู่เวยเวยรีบเอ่ยถาม
“หาเจอแล้ว ฉันส่งไปที่โทรศัพท์คุณแล้วนะ”
“อะ ขอบคุณขอบคุณ ฉันพูดว่าโทรหาคุณต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” มู่เวยเวยพูดแล้วยิ้มตาหยี
“มีปัญหาอะไรก็โทรหาฉันอีกได้นะ”
“โอเค บ๊ายบาย”
วางสายไปแล้ว มู่เวยเวยจึงเห็นข้อความเข้ามาทางโทรศัพท์ ด้านบนบอกที่อยู่ที่หนึ่ง ประจวบกับเธอรู้ที่อยู่ที่นี่พอดี
“เราไปกันเถอะ”
เสี่ยวซีหร่านไม่ได้คาดหวังว่าเรื่องต่างๆ จะเป็นไปอย่างราบรื่น รู้สึกดีมาก “ดูเหมือนว่าวันนี้ฉันออกมาเจอผู้ทรงอานุภาพ ตอนที่ฉันมาเมืองAยังกลุ้มใจกลัวจะหาไม่เจอ”
มู่เวยเวยยิ้มอย่างออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ เป็นเวลานานมากแล้วที่เธอไม่ได้คุยกับผู้หญิงวัยเดียวกันเช่นนี้ รู้สึกดีจริงๆ ที่มีเพื่อน
มู่เวยเวยจับแขนของเธออย่างสนิทสนม ยิ้มอย่างอ่อนโยนพูดว่า “คุณก็เป็นผู้ทรงอานุภาพ รีบไปกันเถอะ หาเจอแล้วฉันจะเลี้ยงข้าวคุณ”
มาถึงที่หมายแล้ว เคาะประตูหมอที่เกษียณก็เปิดออกมา เสี่ยวซีหร่านหยิบประวัติคนไข้เล่มหนาเข้าไป มู่เวยเวยก็รออยู่หน้าประตู นี่คือความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น เธอรู้จักความพอดี
รออยู่ชั้นล่างอย่างน่าเบื่อกว่าครึ่งชั่วโมง เสี่ยวซีหร่านก็เดินออกมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก เมื่อเห็นฉัน ก็จำใจยิ้มออกมา
มู่เวยเวยเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร ไม่ได้ถามผลลัพธ์เธอ แค่เดินไปจับเธอแล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ มีหมอมากมายในโลกนี้ เพื่อนสุดหล่อของคุณท้ายที่สุดจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน”
“ก็หวังว่า” เสี่ยวซีหร่านถอนหายใจ อันที่จริงเธอเพียงแค่มองลองเสี่ยงโชคดู ได้ยินมาว่าหมอที่เกษียณคนนี้เชี่ยวชาญด้านคนที่เป็นนิทรา คิดไม่ถึง หลังจากที่เขาดูประวัติคนไข้แล้วก็หมดหนทาง
เพื่อปลอบใจเสี่ยวซีหร่าน มู่เวยเวยก็หาร้านอาหารที่โด่งดังที่สุดในเมืองA ไม่มีอะไรที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยมื้ออาหารที่เลิศรส
กินข้าวแล้ว เสี่ยวซีหร่านก็ต้องกลับเมืองG มู่เวยเวยก็อาลัยอาวรณ์เล็กน้อย “ฉันรู้สึกถูกชะตากับคุณ คาดไม่ถึงว่าจะต้องแยกจากกันเร็วขนาดนี้”
เสี่ยวซีหรานก็รู้สึกว่าน้องสาวคนนี้น่าสนใจมาก เกี่ยวนิ้วก้อยของเธอ “คุณมีเบอร์ฉันแล้ว ว่างก็โทรหาฉัน หรือมาหาฉันที่เมืองGก็ได้”
“โอเค งั้นเดินทางปลอดภัยนะ”
เสี่ยวซีหร่านยื่นมือออกไปโอบกอดเธอ แล้วหันกลับขึ้นรถสปอร์ต โบกมือให้เธอและสวมแว่นกันแดดอย่างเท่ แล้วขับออกไปอย่างเร็ว
มู่เวยเวยยืนอยู่ข้างถนนและเฝ้าดูอยู่นาน จึงเดินไปที่โรงแรมด้วยความแค้นใจ รู้สึกกดดันทางจิตใจอย่างมาก ถ้ามีวันที่ต้องพบกับเสี่ยวซีหร่านอีก ตัวตนของฉู่เหยียนนี้เป็นของปลอม เธอยังจะสามารถเป็นเพื่อนกับตนได้อยู่ไหม?
……
หลายวันผ่านไป เย่เฉ่าเฉินก็ได้รับสายพิเศษ เป็นสายของโรงเรียนมู่เวยเวยโทรมา เพราะว่าหาตัวเธอไม่เจอ ดังนั้นจึงทำได้เพียงโทรมาหาเขาที่นี่
“คุณเย่ ฉันอาจารย์เสี่ยวฮัวเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของมู่เวยเวย จะจบการศึกษาเร็วๆ นี้ วิทยานิพนธ์จบการศึกษาของมู่เวยเวย ยังไม่ได้สอบอภิปรายวิทยานิพนธ์เลย เมื่อไหร่เธอจะกลับมาไปโรงเรียน? น้ำเสียงของอาจารย์เสี่ยวฮัวค่อนข้างอ่อนโยนมากกว่า หากมู่เวยเวยรับสายด้วยตนเอง คาดว่าจะด่าเธอก่อนเลย ว่ายังต้องการประกาศนียบัตรอยู่ไหม?
เย่เฉ่าเฉินลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างยาวจรดพื้น น้ำเสียงเย็นชา “ช่วงนี้เวยเวยไม่ได้อยู่ในประเทศ ส่วนวิทยานิพนธ์และการสอบอภิปราย ทางด้านโรงเรียนนั้นฉันสามารถไปคุยได้”
อาจารย์เสี่ยวฮัวหน้าหงายเล็กน้อย อดบ่นไม่ได้ว่า “เดิมทีอยากให้เธอพูดในฐานะตัวแทนบัณฑิตดีเด่น พูดเช่นนี้ ถ่ายรูปจบการศึกษาเธอก็มาไม่ได้ใช่ไหม?
“ใช่”
“โอเค ฉันทราบแล้ว ลาก่อนคุณเย่”
“เดี๋ยว” จู่ๆ เย่เฉ่าเฉินก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ตะโกนหยุดเธอ “ขอถามหน่อยว่าพวกคุณจะจัดพิธีรับปริญญาเมื่อไหร่? ”
“วันมะรืนนี้”
“ขอบคุณ”
……
มู่เวยเวยเอนตัวอยู่ในลิฟต์ด้วยความกลุ้มใจ ไม่ได้ติดต่อกันสองสามวันแล้ว ฉับพลันเย่เฉ่าเฉินก็โทรมาว่าต้องการให้ตนไปที่ไหน? รถรออยู่หน้าประตูแล้ว มู่เวยเวยนั่งลงคู่กับคนขับแล้วถามเขา “เราจะไปไหนกัน? ”
“ไม่ใช่บอกว่าจะเลี้ยงข้าวฉันเหรอ? ถึงที่ก็รู้เอง” เย่เฉ่าเฉินสตาร์ทรถ “คาดเข็มขัดนิรภัย”
“อ้อ” มู่เวยเวยดึงเข็มขัดนิรภัย “ฉันคิดว่าคุณลืมเรื่องนี้ไปแล้ว”
“สองสามวันมานี้ฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลา วันนี้ได้เวลาพอดิบพอดี”
เครื่องแต่งกายที่เย่ฉ่าวเฉินสวมวันนี้ สวมเสื้อTเชิ้ตสีขาวเรียบง่าย กางเกงยีนสีน้ำเงิน รองเท้าคัชชูสีขาว มองดูแล้ววัยรุ่นอย่างมาก
รถยนต์ขับออกจากโรงแรมอย่างรวดเร็ว มู่เวยเวยก็เอื้อมมือไปเปิดเครื่องเสียง เสียงเพลงที่ไพเราะลอยออกมา
เย่ฉ่าวเฉินเล็งไปที่เธอ ความงุนงงในใจนั้นก็ปรากฏออกมา เพราะอะไรฉู่เซวียนถึงได้จัดการของของตนเองอย่างคล่องแคล่วได้เช่นนี้? และไม่ต้องเกรงใจเลยแม้แต่น้อย
มู่เวยเวยพบว่าเขากำลังมองตนเอง อดไม่ได้ที่จะตึงเครียดขึ้นมา ในใจคิดว่าเหมือนกับตนเองไม่มีตรงไหนผิดปกติ “ทำไมเหรอ? ”
สายตาเย่ฉ่าวเฉินมองข้างหน้าอย่างจดจ่อ “ไม่มีอะไร”
มู่เวยเวยนั่งสงบเสงี่ยม ไม่กล้าพูดอีก
รถกำลังแล่นอยู่บนถนน ค่อยๆ ไป มู่เวยเวยพบว่าเส้นทางคุ้นขึ้นมา นี่คล้ายกับ…..ทางที่ไปโรงเรียนของตนเอง เขาไปโรงเรียนของตนเองทำไมกัน?
เป็นอย่างที่คิดไว้ หลังจากผ่านไปสิบกว่านาที รถก็มาจอดที่ที่จอดรถหน้าประตูทางเข้าโรงเรียน
ด้านหลังของมู่เวยเวยเย็น ถามอย่างสงบเงียบว่า พวกเราจะไปโรงเรียนเหรอ? ”
เย่ฉ่าวเฉินเดินไปที่นั่งด้านหลังรถยนต์หยิบอะไรบางอย่างออกมาแล้วสะพายไว้บนไหล่ข้างหนึ่ง “อื้ม ไปโรงเรียน”
“ทำอะไร? ไม่ใช่เลี้ยงข้าวคุณเหรอ? ” มู่เวยเวยกังวลเล็กน้อย
“ฉันมีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อย ทำเสร็จแล้วค่อยไปทานข้าว” เย่ฉ่าวเฉินก้าวฝีเท้าไปข้างหน้า มองเธอยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ก็หันกลับมามองเธอ มู่เวยเวยจนใจ ก็เลยต้องฝืนใจตามไป
ในโรงเรียนเต็มเปี่ยมไปด้วยบรรยากาศของการแยกจากกันในเดือนมิถุนายน บัณฑิตสวมเครื่องแบบปริญญาถ่ายรูปอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ฝีเท้าของมู่เวยเวยยิ่งเดินยิ่งช้า เธอนึกขึ้นได้ สองสามวันนี้คือวันจนการศึกษามหาวิทยาลัยของเธอ
เย่ฉ่าวเฉินหยิบDVในกระเป๋าสะพายออกมา เปิดเลนส์กล้อง ถ่ายรูปอย่างเอาใจใส่
“ประธานเย่ คุณถ่ายอะไรน่ะ? มู่เวยเวยแปลกใจเล็กน้อย
เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้หันหน้ามา พูดอย่างอ่อนโยนว่า “เดิมทีวันนี้เป็นพิธีรับปริญญาของภรรยาฉัน เธอไม่อยู่ ฉันอยากถ่ายรูปสิ่งเหล่านี้ไว้ รอเธอกลับมาแล้วเอาให้เธอดู แบบนี้ เธอก็ถือว่าไม่ได้พลาดวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป”
คำพูดของผู้ชายอ่อนโยนมาก แต่คล้ายกับก่อนหินที่หนักอึ้งก้อนหนึ่ง กระทบเข้าที่ใจของเธออย่างรุนแรง ทำให้เธอหายใจลำบากเล็กน้อย
เย่ฉ่าวเฉิน ทำไมคุณถึงอยากทำเรื่องเหล่านี้ล่ะ? ก็รู้ชัดเจนอยู่ว่าฉันไม่ชอบคุณ ไม่อาจรักคุณ ทำไมถึงยังทำเรื่องเหล่านี้ที่ให้คนประทับใจ?
มู่เวยเวยดวงตาชื้นเล็กน้อย กลัวว่าเขาจะเห็น จึงรีบก้มหน้าเช็ด แล้วรีบตามไป
ระหว่างทางฉันเห็นเด็กผู้หญิงจำนวนมากสวมเครื่องแบบปริญญาถ่ายรูปอยู่ข้างๆ อาคารที่เป็นสัญลักษณ์ของโรงเรียน ส่วนใหญ่รวมตัวกันอยู่ที่หอพักหนึ่ง มู่เวยเวยจำหอพักของเธอได้ พี่ชายทำเพื่อให้เธอมีชีวิตที่ดีสักหน่อย จึงเลือกหอพักสำหรับสองคน และเพื่อนร่วมห้องของเธอคือเฉียวซินโยว
ปัจจุบันนี้….เรื่องราวก็ได้ผ่านมานานมากแล้ว มู่เวยเวยเดินไปที่บริเวณมหาวิทยาลัยที่คุ้นเคย นึกถึงคนคนนี้ที่เคยทำให้เธอทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ก็รู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย อันที่จริงถ้าไม่มีเธอ เธอและเย่ฉ่าวเฉินจะดีซักแค่ไหน
ชายหล่อสาวสวยดึงดูดสายตาของคนจำนวนมาก ยิ่งเย่ฉ่าวเฉินยังคงหยิบDVตัวหนึ่งมาถ่ายด้วยแล้ว ก็ถูกเด็กผู้หญิงเหล่านั้นถือว่าเป็นรุ่นเดียวกัน วิ่งผลักกันเข้ามาต้องการที่จะถ่ายรูปกับเขา ทั้งหมดถูกเขาปฏิเสธ
เมื่อเดินมาถึงตึกเรียนของคณะออกแบบ มู่เวยเวยก็เห็นเงาบุคคลที่คุ้นเคยจำนวนมาก นั่นคือเพื่อนและอาจารย์ของเธอที่กำลังถ่ายรูปปริญญาอยู่หน้าอาคารเรียน
เพื่อนร่วมชั้นเรียนเป็นเวลาสี่ปี แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สัมผัสกับบางคนอย่างลึกซึ้ง แต่เมื่อแรกเห็น ก็เป็นกันเอง และครูทุกคนที่สอนเธอมาสี่ปี ก็มีอัธยาศัยดี น่าเกรงขาม ในเวลานี้ต่างก็ยิ้มให้กล้อง
เดิมที ในนั้นจะต้องมีตำแหน่งหนึ่งของเธอ แต่ตอนนี้ เธอทำได้เพียงยืนอยู่ตรงนี้ มองอย่างเงียบๆ
อดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว ชั่วพริบตาก็เอ่อล้นมาที่รอบดวงตา
เย่ฉ่าวเฉินหยิบDVหันตัวมากำลังคิดจะบอกเธอว่านี่คือชั้นเรียนของภรรยา ก็ถูกน้ำตาในดวงตาของเธอระงับไว้ เธอเสียใจอะไร? เธอไม่ใช่เวยเวยอีกแล้ว…..
“คุณร้องไห้ทำไม? ” เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองที่ดวงตาของเธอ คล้ายกับมองอะไรออกจากในสายตาของเธอ คำตอบหนึ่งภายในใจที่ต้องการการยืนยัน
มู่เวยเวยหยุดร้องไห้แล้วยิ้ม “ฉันนึกถึงตอนฉันจบการศึกษา รู้สึกซาบซึ้งตื้นตันใจก็เท่านั้น”
“เหรอ? เย่ฉ่าวเฉินเดินไป ทีละก้าวๆ เข้าไปยังเธอ
มู่เวยเวยทำการเช็ดน้ำตา ยิ้มไปพลางพูดไปพลาง “ใช่ ตอนที่ฉันและพวกเพื่อนจบการศึกษก็กอดคอกันร้องไห้ ตอนนี้เห็นพวกเธอก็นึกถึงตัวฉันเอง”
เย่ฉ่าวเฉินมองพินิจพิเคราะห์เธออย่างละเอียด ฉู่เซวียน เป็นแบบนี้จริงๆ ไหม?
“คุณมามองฉันแบบนี้ทำไม? หรือคิดว่าฉันโกหกคุณเหรอ? ”
เย่ฉ่าวเฉินมองเธออย่างลึกซึ้ง “เปล่า รู้สึกว่าคุณคิดมากเกินไป”
“ก็นิดหน่อย” มู่เวยเวยเดินผ่านด้านหน้าเขาไป
เย่ฉ่าวเฉินหันมองภาพเงาด้านหลังของเธอ จิตใจสับสน วันนี้ตอนเขามาโรงเรียน รถยนต์ก็จอดลงที่หน้าประตูโรงแรมโดยไม่ได้ตั้งใจ บางทีในใจยังคงมีความสงสัยอยู่เล็กน้อย จึงอยากจะลองหยั่งเชิงเธอสักหน่อย ตอนนี้ลองหยั่งเชิงแล้ว เขาเชื่อคำตอบของเธอเพียงครึ่งเดียว
ฉู่เซวียน ถ้าคุณเป็นมู่เวยเวย ทำไมคุณถึงปรากฏตัวในฐานะคุณผู้หญิงคนที่สองของบริษัทฮ่องกงMK อีกทั้งคุณผู้หญิงคนที่สองคนนี้มีอยู่จริง
ถ้าคุณไม่ใช่มู่เวยเวย ทำไมถึงประจวบเหมาะขนาดนี้? อีกทั้งยังบังเอิญมาอยู่ข้างฉัน
เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกว่ามีมือคู่หนึ่งคอยควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างนี้อยู่เบื้องหลัง แต่เขากำลังอยู่ในความมืดมน อะไรก็ล้วนมองได้ไม่ชัดเจน
ดูท่าแล้วเขาจะต้องเรียนรู้ความสามารถเฉพาะตัวอีกอย่างหนึ่งให้โดยเร็วที่สุด แบบนี้เขาก็จะสามารถฟังเสียงจริงๆ ในใจของเธอได้
เมื่อเดินเตร็ดเตร่มาถึงด้านหลังของโรงเรียน มู่เวยเวยก็ไม่กล้าแสดงออกถึงการกระทำแปลกๆ อะไรอีก เพราะเธอพบว่าเย่ฉ่าวเฉินเริ่มสังเกตเธอแล้ว
ถึงอาคารสอน เย่ฉ่าวเฉินให้เธอรออยู่ตรงนี้ เขาจะขึ้นไปทำธุระเล็กน้อย
มู่เวยเวยมองคนคุ้นเคยที่สัญจรไปมา ใบหน้าไม่คุ้นเคย ในใจก็อิจฉาเหลือเกิน เธอผ่านการดำรงชีวิตที่สบายอกสบายใจมาตั้งแต่เมื่อไร? ไม่ต้องปากหวานก้นเปรี้ยว? ไม่ต้องวุ่นอยู่กับการคิดวางแผน ต้องการเพียงแค่มีชีวิตอยู่กับลูกอย่างสงบสุข
“สวัสดีครับ ขอถามว่าคุณอยู่ปีอะไร? ” หนุ่มหล่อหน้าแดงคนหนึ่งถามเธอ ไม่ไกลยังมีชายหนุ่มสองสามคนคอยผลักดันมองอยู่ด้านข้าง
มู่เวยเวยยิ้ม เมื่อก่อนที่เธออยู่โรงเรียนก็เคยเจอคนมาชวนคุย แต่ก็ไม่ได้มุ่งตรงมาแบบนี้
เธอไม่ได้พูดจา ชี้ๆ ไปทางตึกด้านหลัง
ชายหนุ่มเก้อเขินเล็กน้อย “คุณเป็นอาจารย์เหรอ? ”
มู่เวยเวยพยักหน้า
สีหน้าชายหนุ่มสลดลงมา มองเธออย่างสงสัย น้ำเสียงแฝงไปด้วยความไม่อยากเชื่อ “คุณดูเหมือนอายุน้อยมากเลยนะ ทำไมถึงเป็นอาจารย์ได้ล่ะ? อีกทั้งฉันอยู่ที่โรงเรียนก็ไม่เคยเจคุณเลย”
“นักเรียน ฉันเพิ่งสอบสัมภาษณ์เสร็จ กำลังรอผล ถ้าหากโชคดีล่ะก็ ครึ่งเทอมหลังคุณก็จะได้เจอฉัน” มู่เวยเวยพูดซี้ซั้วอย่างเคร่งขรึม
ชายหนุ่มถูกเธอพูดแบบนี้ก็ชะงักงัน เกาศีรษะแล้วกล่าว”ขอโทษครับ”แล้วรีบหันวิ่งออกไป ชายหนุ่มสองสามคนที่ส่งเสียงหยอกล้อก็วิ่งหนีไป
เวลานี้ เย่ฉ่าวเฉินเดินออกมา มองๆ ทิศทางนั้น แล้วถามเธอ “คุณฉู่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ”
มู่เวยเวยแสดงสีหน้าที่รู้สึกพอใจในตนเอง “ดูแล้วฉันคงยังวัยรุ่นมากเลยสินะ คาดไม่ถึงว่าจะมีเด็กหนุ่มมาชวนฉันคุย”
เย่ฉ่าวเฉินเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “แล้วคุณบอกว่ายังไง? ” เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้รู้สึกโมโห ถ้ามีคนมาชวนมู่เวยเวยคุย เหอะๆ คาดว่าเขาคงหน้าดำคร่ำเครียดไปทั้งวัน
“ฉันบอกว่า ฉันเพิ่งมาสมัครเป็นอาจารย์ เขาก็วิ่งหนีไปเลย” มู่เวยเวยเก็บอารมณ์บนใบหน้า “ผู้หญิงงดงามดั่งบุปผาเช่นนี้ ดีจะตาย วิ่งหนีอะไรกัน”
“บางทีเขาอาจจะคิดว่า รุ่นน้องน่าหลอก” เย่ฉ่าวเฉินหยอกล้อเธอ
มู่เวยเวยไม่พัวพันกับปัญหานี้อีก มองปริญญาบัตรในมือของเขา หยุดหายใจไปสองวินาที ถามอย่างนิ่งๆ ว่า “นี่คือ………”
“อ้อ นี่คือปริญญาบัตรและหนังสือรับรองการศึกษาของภรรยาฉัน เธอไม่อยู่ฉันเลยช่วยมารับให้เธอสักหน่อย”
ถึงแม้จะไม่มีวิทยานิพนธ์และคำตอบจบการศึกษา แต่ด้วยอิทธิพลและวิธีการของเย่ฉ่าวเฉิน ได้ปริญญาบัตรมาอย่างราบรื่นไม่ใช่เรื่องกล้วยๆ เหรอ?
“ฉันขอดูหน่อยได้ไหม? ” มู่เวยเวยพยายามให้ตนเองแสดงออกอย่างสงบ ถึงแม้ว่าในใจของเธอจะตื่นเต้นไม่หยุดก็ตาม
เย่ฉ่าวเฉินทำใบประกาศสองใบมอบให้เธอ มองอารมณ์ที่แสดงออกบนใบหน้าของเธอ
มู่เวยเวยพลิกใบปริญญาบัตรออกมา ด้านบนเป็นรูปถ่ายรูปหนึ่ง นี่คือถ่ายเมื่อตอนขึ้นปีสี่ เวลานั้นไม่มีอะไรที่ต้องกังวล รอยยิ้มก็สดใสงดงาม
เธอรู้ว่าเขากำลังมองเธอ ดังนั้นจึงไม่กล้าแสดงอารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้ามากเกินไป เพียงแค่ยิ้มแล้วพูดว่า “ภรรยาของคุณสวยมาก”
“อืม เธอสวยมาก”
“ออกแบบเสื้อผ้าเหรอ? ” มู่เวยเวยแสร้งทำเป็นประหลาดใจเล็กน้อย “เรียนกับฉันเหรอ? ”
“ใช่ เธอเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าที่มีความสามารถและพรสวรรค์คนหนึ่ง ถ้า……ฉันคิดว่าเธอจะต้องประสบความสำเร็จในวงการแฟชั่นอย่างแน่นอน” เย่ฉ่าวเฉินพูดอย่างมั่นใจ ในน้ำเสียงทั้งหมดคือภาคภูมิใจ
มู่เวยเวยคาดไม่ถึงว่าเขาจะยอมรับงานของตนเองเช่นนี้ ทันทีในใจก็มีความสุขไม่น้อย แต่ก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้ อึดอัดจะตายแล้วจริงๆ
จัดการเรื่องราวเสร็จ เย่ฉ่าวเฉินก็เดินไปทางนอกประตูทิศเหนือของโรงเรียนไปพลาง พูดไปพลาง “เอาล่ะตอนนี้ถึงเวลาคุณฉู่เลี้ยงข้าวแล้ว ไปกันเถอะ”
“รถยนต์ไม่ได้จอดอยู่ทางด้านนั้นเหรอ? พวกเราจะเดินไปกันเหรอ? ” มู่เวยเวยท่าทีอยากรู้อยากเห็นเหมือนเด็กน้อย
เย่ฉ่าวเฉินมองเธอ “อืม ไม่ไกล ประตูทิศเหนือของโรงเรียนมีร้านอาหารเยอะ เพียงแต่ต้องดูว่าคุณฉู่จะรับได้หรือเปล่า”
มู่เวยเวยรู้ว่าที่เขาพูดคือที่ไหน ปรากฏนิสัยเดิมที่กินเก่งออกมา “แค่อาหารอร่อย ทำไมจะรับไม่ได้ แล้วพวกเราสองคนก็รู้จักกันมานานขนาดนี้แล้ว คุณก็ช่วยฉันมาหลายต่อหลายครั้ง คุณฉู่ประธานเย่มันดูแปลกเกินไป จะดีกว่าหากคุณเรียกฉันฉู่เซวียน ฉันเรียกคุณเย่ฉ่าวเฉิน เป็นยังไง? ”
“เย่ฉ่าวเฉิน” สามคำนี้พูดออกมาจากปากของฉัน เย่ฉ่าวเฉินก็สติหวั่นไหวไปฉับพลัน ตอนที่มู่เวยเวยเคยเรียกเขา แต่ไหนแต่ไรก็คือ”เย่ฉ่าวเฉิน” ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเรียก”ฉ่าวเฉิน”
“โอเค คุณฉู่…..ฉู่เซวียน”
มู่เวยเวยพยักหน้าอย่างพึงพอใจมาก “นี่ก็ถูกต้องแล้วล่ะ เย่ฉ่าวเฉิน”
ในใจเย่ฉ่าวเฉินกระฉับกระเฉงอย่างไม่สามารถอธิบายได้ ในสายตาพรั่งพรูออกมาถึงความรู้สึกรักและทะนุถนอม
คนทั้งสองพูดกันไปพลางก็มาถึงประตูทิศเหนือแล้ว ใกล้ถึงเวลาอาหารกลางวัน นักศึกษาเยอะมาก
“รีบบอกเร็วเข้า ร้านไหนอร่อยกว่ากัน? ” มู่เวยเวยถามเหมือนกับตื่นเต้น แต่ร้องตะโกนอยู่ในใจ ที่นี่คืออาณาบริเวณของฉันนะ ฉันอยากจะกินทุกๆ อย่างเข้าไปทั้งหมดเลย
เย่ฉ่าวเฉินพาเธอมาถึงร้านก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพานร้านนั้นที่เคยทานกับมู่เวยเวยมาก่อน ยิ้มเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ร้านนี้เถอะ”
ตอนนี้มู่เวยเวยถือเป็นคนฮ่องกงคนหนึ่ง แน่นอนว่าไม่รู้ว่าที่นี่มีอะไรอร่อย ดังนั้นจึงยกสิทธิ์ในการสั่งอาหารให้เย่ฉ่าวเฉินทั้งหมด
“เพื่อนคุณวันนั้นหาหมอแล้วหรือยัง? ” จู่ๆ เย่ฉ่าวเฉินก็ถาม
“หาแล้ว เพียงแต่ดูเหมือนว่าไม่เป็นที่พึงพอใจ หลังจากเธอออกมาจากร้านหมอดูไม่มีความสุข” มู่เวยเวยดึงความรู้สึกตกต่ำ
“อ้อ ครั้งที่แล้วคุณไม่ใช่บอกเหรอว่าคุณไม่มีเพื่อนที่เมืองA? แล้วโผล่ออกมาจากไหนล่ะ? ”
มู่เวยเวยยิ้มอย่างดื้อดึง “ก็รู้จักกันวันนั้น เธอดีมาก ยังช่วยเรื่องยุ่งเล็กน้อยเรื่องหนึ่งของฉัน อีกทั้งคนก็สวยมาก”
ขณะพูด ก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพานก็ยกมาเสิร์ฟ เย่ฉ่าวเฉินแสร้งทำเป็นเช็ดตะเกียบ แต่ยังคงมองเธอที่เติมน้ำส้มสายชู น้ำมันงาลงไปในถ้วยอย่างคล่องแคล่ว…..
มุมปากของเย่ฉ่าวเฉินมีรอยยิ้มลับๆ เล็กน้อย ดูเหมือนว่า เขาต้องให้จางเห่อตรวจสอบคุณผู้หญิงที่สองของตระกูลฉู่คนนี้อีกครั้ง เธอเกิดที่ฮ่องกง และเรียนอยู่ที่ยุโรป คาดไม่ถึงว่าเธอจะรู้วิธีทานก๋วยเตี๋ยวข้ามสะพานในตรอกซอกซอยของเมืองว่าทานยังไง อีกทั้งวิธีการกินของเธอนี้ก็คล้ายกับมู่เวยเวยมากเกินไป
ล้วนคือตักน้ำซุปถ้วยนึกวางไว้ด้านข้างก่อน จากนั้นค่อยทานผัก สุดท้ายจึงทานเส้นก๋วยเตี๋ยว
บนโลกจะมีความบังเอิญได้มากขนาดนั้นซะที่ไหนกัน เย่ฉ่าวเฉินไม่เชื่อ
ฉู่เซวียน ตัวของคุณมีความลับเก็บซ่อนอยู่จริงๆ ใช่ไหม? ถ้าหากมี ฉันหวังว่าจะเป็นสิ่งเดียวนั้นที่ฉันเฝ้ารออย่างที่สุด
……
เย่ฉ่าวเฉินขับรถไปส่งฉู่เซวียนกลับโรงแรม หน้าประตูโรงแรม ฉู่เซวียนพูดว่า “จ่ายไปยังไม่ถึงห้าสิบหยวน เย่ฉ่าวเฉิน คุณประหยัดให้ฉันเกินไปหรือเปล่า”
“งั้นฝากคุณเอาไว้ก่อนแล้วกัน วันไหนฉันคิดขึ้นมาได้ อาจจะมาคิดดอกเบี้ย”
มู่เวยเวยไม่สนใจ “คุณคิดว่าฉันนี่เป็นธนาคารหรือไง? ผ่านหมู่บ้านนี้ไปแล้วก็ไม่มีร้านแล้ว เออใช่ ถังซื่อเซวียนพวกเขากลับมาจากฮ่องกงแล้ว เลือกวันดีๆ สักวันหนึ่ง โครงการของพวกเราจะเริ่มก่อสร้างอย่างเป็นทางการ
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มๆ “ฉันยังคิดว่าคุณแค่กินดื่มสนุกสนาน ที่แท้ยังจำเรื่องงานได้”
“นี่คือเรื่องจำเป็นนะ ฉันจะให้ถังซื่อเซวียนติดต่อคุณ”
มู่เวยเวยพูดจบ ก็หันตัวกำลังจะเข้าโรงแรม มีผู้ชายคนหนึ่งเข้ามา พร้อมกับผู้หญิงที่แต่งหน้าอ่อนๆ อยู่ในอ้อมแขน ครั้งแรกที่เขาเห็นเธอเขานิ่งไปสองสามวินาที แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เดินไปอีกสองสามก้าว เมื่อมองเย่ฉ่าวเฉิน ในสายตาก็ปรากฏความประชดประชันอยู่ลึกๆ
“เฮ้ นี่ไม่ใช่ประธานเย่เลย” สายตาของเขาหันมองไปสองสามรอบที่คนทั้งสอง กล่าวอย่างเจตนาร้ายว่า “ฮ่าๆ เย่ฉ่าวเฉิน คุณไม่ได้อวดอ้างว่าเป็นผู้ชายที่ดีเหรอ? ทำไม? นี่เวลาเพิ่งครึ่งปี ก็อดไม่ได้ที่จะขโมยกินแล้วเหรอ? ”
มู่เวยเวยจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา ไอ้คนบ้านี่น่ารำคาญขนาดนี้
เดิมทีเย่ฉ่าวเฉินพิงอยู่ที่ตัวรถ หลังจากมองเธอ ก็ยืนตัวตรง ความหมายที่เย็นชาก็ปรากฏออกมาในดวงตาสีฟ้า “หนานกงเฮ่า คุณถูกปล่อยออกมาตั้งแต่เมื่อไรกัน? ”
มู่เวยเวยตกตะลึง หนานกงเฮ่าเข้าคุกไปแล้ว? เป็นไปได้ยังไง?
เป็นอย่างที่คิดไว้ เมื่อเอ่ยปากถึงหนานกงเฮ่า มู่เวยเวยก็รู้ว่าตนเองคิดมากแล้ว
“เย่ฉ่าวเฉิน ฉันถูกกักบริเวณอยู่บ้านมาครึ่งปีแล้ว หรือว่ายังไม่พอที่คุณจะหายโกรธ? ”
เย่ฉ่าวเฉินยิ้มอย่างเย็นชา “หนานกงเฮ่า มู่เวยเวยที่หาไม่พบมาตลอดทั้งวัน ทางที่ดีที่สุดคุณอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าฉัน ถ้าหากว่าฉันพลั้งมือไปขัดขาของคุณ ฉันเกรงว่าบนใบหน้าของหนานกงจะอดไว้ไม่ได้”
หนานกงเฮ่ากัดฟันเมื่อถูกเขาทำให้โกรธ “เย่ฉ่าวเฉิน เวยเวยจากคุณไปก็ด้วยสาเหตุของคุณ คุณมีสิทธิ์อะไรที่จะโยนความผิดมาให้ฉัน? มันเป็นปัญหาของตัวคุณเองนะ? “