วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ – ตอนที่ 178 : คุณควรไปอธิบายกับคนที่เป็นภรรยาของคุณ

“ผม… ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด ผมกับเธอไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เย่ฉ่าวเฉินลนลานอธิบาย

มู่เวยเวยมองไปยังหญิงสาวร่างบางที่อยู่ไม่ไกล แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “ท่านประธานเย่ เรื่องของคุณไม่เกี่ยวกับฉัน”

เย่ฉ่าวเฉินขวางทางเธอไว้ สองมองจับไปที่ไหล่ แววตาเต็มไปด้วยความร้อนรน “จริงๆ ผมกับเธอไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ”

“คุณเย่ ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้” มู่เวยเวยมองเห็นใบหน้าตัวเองในดวงตาสีฟ้าของเขา ทันใดนั้นก็คิดถึงสถานะของตัวเองขึ้นมาได้ “และอีกอย่าง คุณจะมาอธิบายกับฉันทำไม? คุณควรไปอธิบายกับคนที่เป็นภรรยาของคุณ”

เย่ฉ่าวเฉินชะงักไป ความเจ็บปวดเกิดขึ้นภายในใจ

ใช่ คนที่เขาควรอธิบายด้วยคือเวยเวย แล้วฉู่เหยียนเกี่ยวอะไรด้วย? เธอเหมือนกับเวยเวยมาก แต่ทำไมเวลาที่เห็นเธอโกรธตัวเขาเองถึงรู้สึกไม่สบายใจ?

“ฉู่เหยียนแม้คุณไม่เชื่อ ผมก็อยากให้คุณรู้ไว้ ผมไม่ได้ทำอะไรเธอ ไม่อย่างนั้นตอนนี้ผมคงไม่ยืนอยู่ที่นี่” เย่ฉ่าวเฉินสงบสติอารมณ์แล้วอธิบายกับเธอ

มู่เวยเวยเอามือเขาออกจากหัวไหล่ และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณเย่ ฉันบอกว่าไม่ต้องมาอธิบายกับฉัน ฉันกับคุณเราเป็นแค่เพื่อนกัน คุณไม่ต้องรับผิดชอบด้วยกันบอกเรื่องนี้กับฉัน ฉันมีธุระ ขอตัวก่อน”

เย่ฉ่าวเฉินรู้สึกทำอะไรไม่ถูก เขาไม่มีเหตุผลที่ต้องรั้งเธอไว้ จึงได้แต่มองเธอเดินจากไปทีละนิด ห่างออกไปจากสายตาตัวเอง

แต่นี่ก็ยืนยันเรื่องหนึ่งได้ เขาไม่สนใจผู้หญิงคนอื่นนอกจากเวยเวย

เมื่อขึ้นไปบนรถ ประตูรถก็ถูกปิดลงอย่างแรง

จางเห่อมองชายหนุ่มที่อยู่ด้านหลังด้วยความกังวลใจ แล้วจึงเริ่มสตาร์ทเครื่องยนต์

“ที่ฉันสั่งให้นายตรวจสอบเรื่องฉู่เหยียนเมื่อครั้งที่แล้ว เป็นยังไงบ้าง? ต้องใช้เวลาอีกกี่วัน?” เย่ฉ่าวเฉินที่อัดอั้นความโกรธเอาไว้ ปล่อยคำถามใส่หน้าจางเห่อโครมๆ

จางเห่อผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เขาก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่วัน จะพูดอีกย่างฉู่เหยียนก็ไม่ใช่คนธรรมดา ให้ตรวจสอบละเอียดขนาดนั้นได้ที่ไหนล่ะ

“คุณชายเย่ ทางยุโรปยังไม่ได้ความว่ายังไง ผมจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดครับ”

เย่ฉ่าวเฉินสบถ “ไม่มีประโยชน์” แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง กลับมานึกถึงสีหน้าและท่าทีของฉู่เหยียน

ตามปฎิกิริยาของคนปกติ เธอแสดงอาการมากเกินไป แม้ว่าการกระทำของเขาจะดูไม่เหมาะสมอยู่สองสามครั้ง แต่เธอก็ไม่ควรอารมณ์รุนแรงขนาดนั้น และยังพูดถึงเวยเวยอีก?

มันผิดปกติเกินไป

เขาหวังในใจว่าขอให้ฉู่เหยียนคือเวยเวย แบบนี้อย่างน้อยก็แสดงว่าเธอยังมีชีวิตอยู่

ไม่ว่าเธอจะโกรธเขา เกลียดเขา ตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่ เขาก็พอใจแล้ว

ก่อนหน้านี้เธอใช้ความตายเพื่อต้องการหนีจากเขา เพราะเขาไม่ยอมปล่อยเธอไป ตอนนี้เธอจะเป็นหรือตายก็ยังไม่รู้ เขากลับเป็นคนที่ต้องเสียใจ หากรู้เร็วกว่านี้ เขาจะปล่อยเธอไป อย่างน้อยเธอก็อยู่ในสายตาเขา

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เย่ฉ่าวเฉินก็อดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้

เขาทำลายตนเองจริงๆ

เมื่อกลับถึงคอนโด มู่เวยเวยนั่งไม่สบอารมณ์อยู่บนโซฟา เธอคว้าหมอนมาแล้วทำร้ายมันอย่างรุนแรง ปากก็พึมพำด่าเขาไม่หยุด “เย่ฉ่าวเฉิน คนสารเลว ที่บอกว่ารักฉันมากทุกอย่างคือเรื่องโกหกทั้งเพ ฉันเกือบโง่เชื่อคนพูดของนาย ไอ้คนกะล่อน ไอ้คนสารเลว…”

หลังจากได้ระบายออกมา มู่เวยเวยก็คว่ำหน้าลง ความโกรธของเธอบรรเทาลงไปมาก เห็นได้ชัดเจนว่าเย่ฉ่าวเฉินและผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีอะไรกัน เพราะเย่ฉ่าวเฉินคงไม่ลดตัวพูดโกหกแบบนี้ แต่ภายในใจเธอก็ยังหวาดกลัว

ในตอนนี้มู่เวยเวยยังไม่รู้ตัว ว่าเธอเกลียดเย่ฉ่าวเฉินไม่ลง

……

ณ สนามบินเมือง A

เที่ยวบินจากกรุงโซลประเทศเกาหลีลงจอดที่สนามบินเมืองA ไม่กี่นาทีต่อมา หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีอ่อนเดินออกมาจากประตูทางออก ใบหน้างดงาม แต่ที่ระหว่างคิ้วกลับมีร่องรอยของความทุกข์ปรากฏอยู่

คนขับรถรีบเข้าไปรับกระเป๋าจากเธอ กล่าวด้วยความเคารพ “คุณเฉียว คุณหนานกงเฮ่ารออยู่ครับ”

เฉียวซินโยวมองไปที่ท้องฟ้าสีคราม แล้วพูดเบาๆ “เมืองA ฉันกลับมาแล้ว”

วันนั้น หลังจากที่เธอตกลงมาจากหน้าผา ตัวเธอก็ไปเกี่ยวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ ต่อมาหนานกงเฮ่าได้ส่งคนมาช่วยชีวิตเธอไว้ หลังจากรักษาอยู่เป็นเวลานาน อาการบาดเจ็บบนร่างกายของเธอก็หายดี เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจของเย่ฉ่าวเฉิน หนานกงเฮ่าจึงส่งเธอไปอยู่ประเทศเกาหลี จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอได้รับโทรศัพท์ให้กลับมาที่นี่

ทุกอย่างในเมืองA ยังคงคุ้นเคย เมื่อรถขับผ่านเย่ฮวางกรุ๊ป เฉียวซินโยวมองไปยังอาคารสูงตระหง่านผ่านหน้าต่างรถ เย่ฉ่าวเฉิน ฉันกลับมาแล้ว เมื่อคุณเห็นฉันกลับมาจากความตาย คุณจะแปลกใจบ้างไหมนะ?

ณ คฤหาสน์ของหนานกงเฮ่า

เขายืนอยู่ที่ประตูมองดูเฉียวซินโยวเดินเข้ามาอย่างช้าๆ รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้น “ไม่เจอกันนาน เฉียวซินโยวคุณสวยขึ้นนะ”

เฉียวซินโยวตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เราสองคนไม่ต้องสุภาพต่อกันขนาดนี้ก็ได้ บอกมาเถอะ เรียกฉันกลับมาตอนนี้ทำไม?”

หนานกงเฮ่าพาเธอเดินเข้าไปด้านใน พร้อมกับพูดคุยกันไปด้วย “มู่เวยเวยหายตัวไป คุณรู้ไหม?”

“รู้ แล้วแบบนี้ไม่ดีเหรอ?”

หนานกงเฮ่านั่งลงบนโซฟา พลางถอนหายใจ “ทุ่มแรงกายแรงใจทำเพื่อคนอื่น แต่ฉันกลับไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย ทั้งยังถูกห้ามไม่ให้ออกไปไหนอีกตั้งนาน”

เฉียวซินโยวนั่งอยู่ไม่ไกล แววตาฉายความภูมิใจขึ้นมาให้เห็น “เย่ฉ่าวเฉินยังหาเธออยู่ใช่ไหม?”

“ยังหาอยู่ แต่มันเป็นไปไม่ได้” หนานกงเฮ่ามองไปที่เธอ เอ่ยขึ้นช้าๆ “ดังนั้น ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่สุดของคุณแล้ว”

“คุณคิดว่า… หลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านมา เย่ฉ่าวเฉินยังจะมองฉันต่างจากเดิมงั้นเหรอ?” เฉียวซินโยวไม่แน่ใจ เอ่ยถามขึ้นด้วยความสับสน

หนานกงเฮ่ายิ้มอย่างน่ากลัว “ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง? เฉียวซินโยวคุณได้เปรียบผู้หญิงคนอื่นๆ ข้อดีก็มีมากมาย คุณไม่อยากกลับไปอยู่เคียงข้างเย่ฉ่าวเฉินเหรอ?”

เฉียวซินนิ่งเงียบ แน่นอนว่าเธอต้องการกลับไปอยู่ข้างๆ เขา ตลอดมาเธอไม่เคยตัดใจได้เลย แต่ปัญหาสำคัญก็คือ เย่ฉ่าวเฉินจะยังเชื่อใจเธออยู่ไหม?

“เฉียวซินโยวพระเจ้าปล่อยให้คุณมีชีวิตรอดมาได้ บางทีอาจเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของคุณ หากเสียโอกาสนี้ไป คุณจะไม่มีเย่ฉ่าวเฉินอยู่ในชีวิตนี้อีกเลย” หนานกงเฮ่าพูดเกินความจริง “ความรู้สึกผิดของผู้ชายคนหนึ่งโน้มน้าวให้เขาทำอะไรหลายๆ อย่างได้ เฉียวซินโยวคนเป็นคนฉลาด ผมคิดว่าคุณคงใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ แล้วผมก็ได้ยินมาว่า หลังจากที่คุณตกหน้าผา เย่ฉ่าวเฉินก็กินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน คงเจ็บปวดใจจริงๆ”

“คุณพูดจริงเหรอ?” ไฟแห่งความหวังจุดประกายขึ้นในแววตาของเฉียวซินโยว

“ผมจำเป็นต้องโกหกคุณงั้นเหรอ? คุณลองคิดดู คุณคือรักแรกพบของเย่ฉ่าวเฉิน จะมีผู้ชายคนไหนยอมทิ้งรักแรกของตัวเองได้ง่ายๆ?”

เฉียวซินโยวหายใจเข้าลึกๆ ทำใจให้สงบลง แต่เธอยังมีข้อสงสัยอยู่ในใจ “หนานกงเฮ่า ในเมื่อมู่เวยเวยหายตัวไปแล้ว ทำไมเป้าหมายของคุณยังเป็นเย่ฉ่าวเฉินอยู่ล่ะ?”

หนานกงเฮ่าแบมือออก “เฉียวซินโยวคุณแค่ต้องได้รับในสิ่งที่คุณต้องการ ส่วนผมจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง คุณไม่จำเป็นต้องกังวล”

เฉียวซินโยวจ้องมองเขาสักพัก เธอไม่ได้โต้แย้งใดๆ ในตอนนี้และหลังจากนี้ เพราะเมื่อก่อนพวกเขาคือหุ้นส่วนกัน เธอถามได้ว่าเขาจะทำอะไร แต่ตอนนี้ เขาเป็นคนช่วยชีวิตเธอ เธอไม่มีสิทธิ์โต้แย้ง

“ดูเอกสารพวกนี้ นี่คือคุณหนูของบริษัทMK จากฮ่องกง ชื่อฉู่เหยียน ตอนนี้เธอกับเย่ฉ่าวเฉินใกล้ชิดกันมาก” หนานกงเฮ่าโยนซองเอกสารให้เธอ “ความสัมพันธ์ของพวกเขายังไม่ชัดเจน โอกาสชนะของคุณมีมากกว่า”

หนานกงเฮ่ากำชับเรื่องนี้เสร็จ ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป เมื่อเดินไปถึงประตูก็หันกลับมาพูดอีกว่า “ตอนนี้คุณก็อยู่ที่นี่ไปก่อน แน่นอนว่าหากคุณเก่งพอที่จะเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเย่ได้ ก็ไม่ต้องกลับมา”

“ฉันก็รอคอยวันนั้นเหมือนกัน” สายตาของเฉียวซินโยวมองกลับไปยังภาพถ่าย คนนี้ชื่อฉู่เหยียนเหรอ ราวกับกระต่ายน้อย จะจัดการง่ายไหมนะ?

แต่เธอไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน จะทำอย่างไรเมื่อปรากฏตัวต่อหน้าเย่ฉ่าวเฉินแล้วเขาประหลาดใจ

ชีวิตหลังจากนี้เต็มไปด้วยความน่าสนใจขึ้นมาทันที

……

ตั้งแต่เจอกันที่โรงแรมในคืนนั้น ความสัมพันธ์ของมู่เวยเวยและเย่ฉ่าวเฉินก็เย็นชาลง หลายวันมานี้ไม่มีการติดต่อซึ่งกันและกัน เรื่องงานทั้งหมดถูกส่งผ่านถังซื่อเซวียน

มู่เวยเวยรู้ดีว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่เป็นผลดีสำหรับเธอ แต่เย่ฉ่าวเฉินไม่ให้เธอถอยกลับไป เรื่องวันนั้นไม่ใช่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นจะให้ยอมเสียศักดิ์ศรีแบกหน้าไปหาเขางั้นเหรอ

วันนี้บริษัทMKและเย่ฮวางกรุ๊ปมีประชุมร่วมกัน

เพราะอยู่ใกล้ๆ กับเย่ฮวาง มู่เวยเวยปฏิเสธไม่ให้ถังซื่อเซวียนมารับ และเดินไปที่บริษัทด้วยรองเท้าส้นสูง ทันทีที่ถึงหน้าประตู เย่ฉ่าวเฉินก็จอดรถตรงหน้าเธอพอดี

ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาเข้มและกางเกงขายาวสีดำ เขาลงมาจากรถ แล้วหรี่ตามองเธอ เดินขึ้นมาทักทายด้วยน้ำเสียงห่างเหิน “คุณฉู่มาคนเดียวเหรอครับ?”

ใบหน้าของมู่เวยเวยเรียบเฉย “ฉันอยู่แถวนี้ ประธานถังและคนอื่นๆ คงอยู่ระหว่างทาง”

เย่ฉ่าวเฉินเปิดประตู แล้วกล่าวอย่างสุภาพ “คุณฉู่เชิญครับ”

ทั้งสองเดินไปยังลิฟต์ คนหนึ่งเดินอยู่ข้างหน้าอีกคนเดินตามหลัง เย่ฉ่าวเฉินมองดูแผ่นหลังของเธอ จู่ๆ ก็เอ่ยถามขึ้น “คุณทานอาหารเช้าหรือยัง?”

“ขอบคุณที่เป็นห่วงค่ะ ฉันทานแล้ว” มู่เวยเวยกดปุ่มลิฟต์ ประตูลิฟต์เปิดออก เธอเดินเข้าไป และเย่ฉ่าวเฉินก็ตามเข้าไป

นี่เป็นลิฟต์สำหรับท่านประธาน ดังนั้นจึงมีเพียงพวกเขาสองคน เย่ฉ่าวเฉินนึกถึงข้อมูลที่จางเห่อให้มาเมื่อคืน สายตามองไปยังหญิงสาวอย่างไม่ตั้งใจ

ฉู่เหยียน คุณคือฉู่เหยียนจริงเหรอ?

ทำไมข้อมูลที่ส่งกลับมาจากยุโรป บอกว่าฉู่เหยียนตอนที่เรียนอยู่เป็นคนเปิดเผย กล้าได้กล้าเสีย มีแฟนมาแล้วหลายคน บุคลิกร่าเริงสนุกสนาน แต่ฉู่เหยียนที่อยู่ตรงหน้าเขา ภายนอกก็ดูเหมือนผู้หญิงเรียบร้อยคนหนึ่ง สำหรับผู้ชายก็ต้องมีศิโรราบกันบ้าง

นอกจากนี้ ตอนที่ฉู่เหยียนอยู่โรงเรียน เธออาศัยอยู่คอนโดข้างนอก มีพี่เลี้ยงคอยดูแลโดยเฉพาะ ไม่จำเป็นต้องทำอาหารด้วยตัวเอง และครั้งสุดท้ายเธอบอกว่าทำอาหารอยู่ที่คอนโด เป็นเรื่องจริงเหรือเปล่า?

ตอนนี้เย่ฉ่าวเฉินมั่นใจได้ว่า ฉู่เหยียนคนนี้ต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน แต่จะทำอย่างไรให้เธอเผยพิรุธออกมามากกว่านี้?

มู่เวยเวยรับรู้ได้ถึงการจับจ้องของเขา จึงหันไปมอง แล้วถามออกไปตรงๆ “คุณมองฉันทำไม?”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้ม “คุณยังไม่หายโกรธเหรอ?”

มู่เวยเวยกระตุกยิ้ม แล้วหันไปพูดว่า “คุณคิดยังไงแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน ทำไมฉันต้องโกรธ?”

“ผมหมายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคอนโดคืนนั้น” เย่ฉ่าวเฉินตั้งใจพูดเรื่องนี้ขึ้นมา

มู่เวยเวยชะงักไปชั่วครู่ พูดขึ้นความด้วยโมโห “ใช่ ฉันยังโกรธ คุณเย่หลังจากนี้คุณคงควบคุมพฤติกรรมตัวเองไม่ได้ใช่ไหม? คุณเป็นแบบนี้ฉันต้องคอยเดือดร้อนไปด้วย”

เย่ฉ่าวเฉินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วรับปากเธอ “โอเค ผมเข้าใจแล้ว” แต่จะทำได้ไหม เขาไม่กล้ารับประกัน ใครใช่ให้เธอซ่อนความลับไว้มากมายขนาดนี้?

ลิฟต์กำลังเลื่อนขึ้นไปช้าๆ บรรยากาศค่อนข้างอึดอัด

“คุณฉู่ ยังมีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากชี้แจงให้ชัดเจน คืนนั้นที่อยู่โรงแรม ผมคิดอยากจะทำอะไรบางอย่าง แต่ผมก็ค้นพบว่า ผมไม่มีแรงพิศวาสต่อผู้หญิงคนนั้นเลย ดังนั้นที่จะบอกคือ เรื่องก็เป็นแบบนี้” เย่ฉ่าวเฉินบอกความจริงออกไป

“คุณก็เปลี่ยนผู้หญิงคนอื่นได้หนิ บางทีอาจจะพิศวาสก็ได้” มู่เวยเวยแนะนำ

เย่ฉ่าวเฉินมองไปยังชั้นลิฟต์ที่ไม่เลื่อนไปเรื่อยๆ พูดขึ้นอย่างคลุมเครือ “ไม่มีประโยชน์ นอกจากคนคนเดียว”

มู่เวยเวยหัวใจเต้นแรงขึ้นมา เธอแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด แล้วเดินออกจากลิฟต์ไป จากนั้นก็เดินไปอย่างรวดเร็ว

คนสารเลว เขาชอบฉู่เหยียนจริงๆ สินะ? นี่ก็เป็นจุดประสงค์ของเธอหนิ แล้วทำไมมู่เวยเวยถึงรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ? และแค่ยกโทษเขาแบบนี้ มันไม่ดูเหมือนง่ายเกินไปเหรอ

“คนที่ประชุมยังมาไม่ถึง เชิญคุณฉู่ไปนั่งรอที่ห้องทำงานผมก่อน”

“ได้ ขอบคุณค่ะ” มู่เวยเวยไม่มีเหตุลที่จะปฏิเสธ

ห้องทำงานของเย่ฉ่าวเฉินยังเหมือนเดิม เช่นเดียวกับความรู้สึกที่เขามอบให้คนอื่น เย็นชา และไม่แยแส

“เชิญนั่งตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจ”

มู่เวยเวยเดินเข้ามาใกล้โต๊ะทำงานของเขา ทันใดนั้นก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วพูดกับเย่ฉ่าวเฉินอย่างใจเย็น “ฉันอยากดื่มกาแฟ”

เย่ฉ่าวเฉินกำลังเปิดคอมพิวเตอร์ เมื่อได้ยินคำพูดของเธอก็หยุดการกระทำลง “ผมจะให้เลขาเอาเข้ามาให้คุณ”

“รบกวนท่านประธานเย่ไปชงให้ฉันได้ไหมคะ?” ความซุกซนฉายอยู่ในแววตาของมู่เวยเวย

เย่ฉ่าวเฉินยืนตัวตรงแล้วมองเธอ “ต้องการให้ผมไปชงเอง?”

“ใช่ค่ะ แต่ถ้าคุณไม่เต็มใจ ก็ช่างมันเถอะ” มู่เวยเวยพูด

เธอนั่งลงบนเก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะทำงาน ไม่มองหน้าเขา แต่กลับคิดคำนวนไว้แล้วว่าเขาต้องทำแน่ๆ

เย่ฉ่าวเฉินไม่ได้รีบร้อน เขาหมุนเก้าอี้ออกมาข้างๆ โต๊ะทำงาน หันมาเผชิญหน้ากับเธอ “ถ้าผมไปชงแล้ว คุณฉู่จะยกโทษเรื่องที่ผมละลาบละล้วงในวันนั้นได้หรือเปล่า?”

มู่เวยเวยจ้องมองมาที่เขา ริมฝีปากสีชมพูเอ่ยขึ้น “ก็พอพิจารณาได้”

“ข้อตกลงยุติธรรมกันทั้งสองฝ่าย แล้วคุณอยากดื่มรสอะไร?”

“ลาเต้ เพิ่มนมเพิ่มน้ำตาล แต่ไม่หวานเกินไป รสชาติที่คุณน่าจะเข้าใจได้” มู่เวยเวยบอกลวกๆ

เย่ฉ่าวเฉินมองไปที่ดวงตาของเธอแล้วยิ้มเบาๆ “ความต้องการของคุณฉู่เยอะขนาดนี้ เกรงว่าต้องใช้เวลาสักครู่”

มู่เวยเวยยักไหล่ “ตอนนี้ฉันว่างพอดี” ก็เพื่อถ่วงเวลา

“ได้ ผมจะไปชงให้เอง” เย่ฉ่าวเฉินมองเธอด้วยแววตาลึกซึ้ง แล้วเดินไปที่ประตู จากรายละเอียดเอกสารที่ได้รับมาเมื่อวานนี้ เขามองลึกลงไปในแววตาของฉู่เหยียนหลายต่อหลายครั้ง

ทันทีที่เย่ฉ่าวเฉินออกไปจากห้อง มู่เวยเวยก็รีบลุกออกจากเก้าอี้ วิ่งมายังโต๊ะข้างๆ เปิดลิ้นชักแล้วค้นหาบางอย่างอย่างรวดเร็ว

อยู่ที่ไหนนะ?

มู่เวยเวยรู้ดีว่าเขาคงไม่เก็บของสำคัญไว้ที่ห้องทำงาน แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ที่จะค้นหามัน

เอกสารสำคัญทุกอย่างอยู่ในลิ้นชัก แต่เมื่อมู่เวยเวยเปิดตู้ออก เธอก็ต้องตะลึง

เพราะของที่วางอยู่ข้างในไม่ใช่สิ่งของอย่างอื่น แต่ทั้งหมดคือภาพวาดที่เธอเคยออกแบบไว้ตอนที่ฝึกงาน และยังมีของที่เธอใช้ ไม่ว่าจะเป็นดินสอ มีดแกะสลัก และยางลบที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว

เหมือนหัวใจถูกแทงได้อย่างไรไม่รู้ มู่เวยเวยหยิบภาพเหล่านั้นออกมาสองสามแผ่น นี่คือชุดในฤดูใบไม้ร่วงที่เธอวาดไว้ก่อนออกจากบริษัท

คิดไม่ถึงว่าเขาเก็บมันไว้อย่างดี?

ทันใดนั้น เสียงทักทายของเลขาหลิวก็ดังมาจากประตู “ท่านปรธานเย่ สวัสดีตอนเช้าค่ะ”

มู่เวยเวยรีบโยนแบบลงในตู้ แล้วเดินไปข้างโต๊ะทำงานอย่างรวดเร็ว หยิบกรอบรูปขึ้นมาแล้วแสร้งทำเป็นชื่นชม

เป็นเวลาเดียวที่ประตูถูกเปิดออก

มู่เวยเวยได้ยินเสียงฝีเท้าของเขามาจากไกลๆ กำลังจะหันไปมอง แต่สายตากลับถูกดึงดูดด้วยภาพที่อยู่ในมือแทน

ภาพหญิงสาวสวมชุดแต่งงานสวยงามราคาแพงกับรอยยิ้มไม่เต็มใจ และชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวเรียบหรู แต่ไม่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้านั้น

นี่มัน… รูปวันแต่งงานของพวกเขา

เขาหามาจากไหน?

เย่ฉ่าวเฉินสังเกตดูสีหน้าของเธอ เธอดูแปลกใจเล็กน้อย และดูเหมือนไม่ค่อยดีใจมากนัก

“รูปนั้นคือรูปถ่ายวันแต่งงานของเรา” เย่ฉ่าวเฉินพูดขึ้นเบาๆ แล้วหยิบกรอบรูปจากมือเธอ และส่งถ้วยกาแฟให้

มู่เวยเวยจิบกาแฟ ไม่หวานไม่ขม ก็พอใช้ได้ เธอจงใจถามเขา “ฉันดูออก แต่ทำไมเป็นรูปที่มีคนเดินไปมา? ไม่มีรูปที่ถ่ายตอนแต่งงานโดยเฉพาะเหรอ?”

นิ้วเรียวยาวของเย่ฉ่าวเฉินสัมผัสไปบนใบหน้าของหญิงสาวในรูป เอ่ยคำพูดที่มีความเสียใจอยู่ภายใน “หาไม่เจอ มีแค่รูปนี้รูปเดียว”

มู่เวยเวยก้มหน้าลงเบะปาก พลางบ่นพึมพำ หาไม่เจออะไรล่ะ? ก็ไม่ได้ถ่ายตั้งแต่แรกไม่ใช่เหรอ?

“รสชาติเป็นยังไงบ้าง?” เย่ฉ่าวเฉินวางรูปไว้บนโต๊ะทำงาน และถามเธอที่อยู่ข้างๆ

มู่เวยเวยถือแก้วกาแฟเดินไปที่โซฟา “ธรรมดา ก็งั้นๆ”

เย่ฉ่าวเฉินยิ้มแล้วส่ายหัว เธอต้องรู้ว่า นี่คือครั้งแรกที่เขาชงกาแฟให้คนอื่น ตอนอยู่ในห้องชงชา เขาสร้างความหวาดกลัวให้กับพนักงานหลายคนที่เข้ามาเติมน้ำดื่ม

……

การประชุมตลอดทั้งเช้า บรรยากาศในการประชุมเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะความสัมพันธ์ของบอสทั้งสองผ่อนคลายลง

“มีตกฝนเพิ่มมากขึ้นในหน้าร้อนนี้ ดังนั้นในวันที่อากาศแจ่มใสเราต้องเร่งดำเนินการให้เร็วขึ้น ช่วงกลางวันก็ร้อนอบอ้าวทุกวัน จริงๆ แล้วเวลาในการก่อสร้างสำหรับคนงานนั้นสั้นมาก เรื่องนี้คุณเย่จะประสานงานกับฝ่ายก่อสร้างให้เขาปรับเวลาการทำงานหรือไม่ครับ?” ถังซื่อเซวียนอธิบายปัญหาจากสภาพจริง

“ฉันจะเจรจากับพวกเขา” เย่ฉ่าวเฉินพูด “แต่แบบแปลนของพวกคุณจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทุกครั้งที่คุณเปลี่ยน ทางเราก็ต้องจ่ายในราคาที่สูงขึ้น”

ถังซื่อเซวียนยิ้ม “ท่านประธานครับ นี่เป็นครั้งสุดท้าย เรารับประกันว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเด็ดขาด”

หลังจากพูดคุยเจรจาถึงปัญหาทั้งหมด ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยง เนื่องจากไม่มีประชุมในช่วงบ่าย มู่เวยเวยจึงเตรียมตัวจะกลับบ้านไปทำอาหาร แต่เมื่อเข้าไปในลิฟต์ เย่ฉ่าวเฉินก็เดินตามเข้ามา

“ไปทานข้าวที่ไหน?”

มู่เวยเวยไม่อยากให้เขาย่างกายเข้าไปในห้อง จึงตอบไปอย่างเย็นชา “ออกไปกินอะไรก็ได้ข้างนอก”

เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองเธอด้วยความสงสัย “คราวที่แล้วคุณบอกว่าชอบทำอาหารทานเองที่บ้านไม่ใช่เหรอ?”

“วันนี้ฉันไม่อยากทำ” มู่เวยเวยพูดอย่างภาคภูมิใจ

เย่ฉ่าวเฉินคาดการณ์ผิดพลาด ทีแรกเขาต้องการไปรับประทานอาหารที่คอนโดเธอ จะได้ใช้โอกาสหาพิรุธเธอเพิ่มเติม

“มีร้านอาหารรสชาติไม่เลวอยู่แถวนี้ ผมขอเลี้ยงคุณเป็นการไถ่ขอโทษละกัน” เย่ฉ่าวเฉินลดท่าทีลง

มู่เวยเวยหันหน้าไปมองเขาแล้วมุ่ยปาก “ฉันไม่อยากให้อภัยคุณก็จริง แต่เพื่ออาหารอร่อยๆ งั้นช่างมันเถอะ”

เย่ฉ่าวเฉินจ้องมองที่ริมฝีปากสีชมพูของเธอ ไฟร้ายลุกโชนขึ้นมาในใจ เขาคิดอยากจะกัดเธอสักที

มู่เวยเวยคุ้นเคยกับแววตาเช่นนี้ของเขาดี จึงรีบหันกลับมาแสร้งมองไปที่ชั้นลิฟต์

อันที่จริงเขาก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม

เมื่อออกมาจากลิฟท์ ทั้งคู่ก็เดินไปยังประตูทางเข้าบริษัท มู่เวยเวยถามขึ้น “ไกลไหม ต้องเอารถไปหรือเปล่า?”

“ไม่ต้อง อยู่แถวๆ นี้ เดินไปไม่ถึงสิบนาที” เย่ฉ่าวเฉินเมื่อเดินผ่านแผนกต้อนรับ ก็หยุดเดินและถามพนักงานว่า “มีร่มไหม?”

พนักงานต้อนรับสาวสวยรีบร้อนหยิบร่มออกมา “ร่มค่ะ”

“ยืมใช้แปปเดียว เดี๋ยวเอามาคืน” เย่ฉ่าวเฉินหยิบร่มแล้วเดินไปหามู่เวยเวย “ไปกันเถอะ”

มู่เวยเวยรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย “คุณเอาร่มมาทำไม กลัวผิวเสียเหรอ?”

“ตอนนี้ข้างนอกแดดแรงมาก ผิวจะเสียเอาง่ายๆ แต่ไม่ใช่สำหรับผม ให้คุณ”

หัวใจของมู่เวยเวยเต้นรัว เธอไม่ได้พูดอะไร เย่ฉ่าวเฉิน ฉันดูไม่ออกจริงๆ ว่ายังมียีนส์ของผู้ชายอบอุ่นอยู่ในตัวนาย

ทางด้านหลัง พนักงานต้อนรับสาวทำตัวไม่ถูก เธอทำงานที่นี่มาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้านายพูดกับเธอ มันน่าตื่นเต้นมาก

ทั้งสองเดินออกมาจากบริษัท เตรียมตัวไปยังร้านอาหาร เย่ฉ่าวเฉินกำลังจะกางร่ม ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกดังมาจากด้านหลัง “ฉ่าวเฉิน——”

มู่เวยเวยคิด ทำไมน้ำเสียงคุ้นหูจัง เหมือนเคยได้ยินมาจากที่ไหน?

เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยหันกลับไปพร้อมกัน สมองของทั้งสองมีเสียงดังตูม พวกเขาตัวแข็งทื่อ ถึงกับหยุดหายใจ

ห่างออกไปประมาณสองเมตร เฉียวซินโยวในชุดกระโปรงผ้าโปร่งบางหรูหรา มองไปที่เย่ฉ่าวเฉินด้วยรอยยิ้ม มีน้ำตาคลออยู่ในดวงตาของเธอ

เธอ… เธอยังไม่ตาย?

ประโยคนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวย

เย่ฉ่าวเฉินยังไม่ได้สติ เฉียวซินโยวก็วิ่งเข้ามากอดเขาไว้แน่น “ฉ่าวเฉิน ฉันคิดถึงคุณ ฉันคิดถึงคุณ…”

มู่เวยเวยจ้องมองผู้หญิงตรงหน้า เป็นเฉียวซินโยว เป็นเฉียวซินโยวจริงๆ เธอยังไม่ตาย

ภายในใจตอนนี้ทั้งโศกเศร้าทั้งดีใจปนกัน ยังมีอะไรที่น่าตกใจไปกว่าการได้เห็นคนตายฟื้นขึ้นมาอีกไหม?

ในที่สุดเย่ฉ่าวเฉินก็ได้สติ เขาผลักเฉียวซินโยวออกจากอ้อมแขน มองไปที่เธออย่างมึนงง น้ำเสียงเฉื่อยชาเล็กน้อย “เฉียวซินโยว ทำไมเธอถึง…”

เฉียวซินโยวปล่อยน้ำตาไหลอาบแก้ม แล้วพูดด้วยความรัก “ฉ่าวเฉิน ฉันยังไม่ตาย ฉันยังไม่ตาย…”

มู่เวยเวยได้สติกลับมา ตอนที่เธอเห็นเย่ฉ่าวเฉินใช้พลังเหนือธรรมชาติ ก็รู้ว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกในโลกนี้ พวกเขาไม่เห็นด้วยตาตัวเองว่าเฉียวซินโยวตายไปแล้ว อย่างนั้นก็เป็นไปได้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่พวกเขาไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้

แม้ว่ามู่เวยเวยเคยคิด เธอให้อภัยเฉียวซินโยวสำหรับเรื่องทั้งหมดได้ แต่นั่นต้องสำหรับเงื่อนไขที่ว่าเธอตายไปแล้ว เวลานี้เธอยืนอยู่ตรงหน้ามู่เวยเวยอีกครั้ง ราวกับว่าได้กลิ่นคาวเลือดในอดีตคละคลุ้งขึ้นมาอีก

เพียงแค่คราวนี้ เย่ฉ่าวเฉินจะอยู่ข้างเฉียวซินโยวหรือไม่?

“คุณเย่ ไม่คิดว่าคุณจะมีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิงเยอะขนาดนี้” มู่เวยเวยยิ้มแล้วมองไปที่ทั้งสองคน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

เฉียวซินโยวได้เห็นภาพถ่ายของฉู่เหยียนมาแล้ว จากรูปถ่ายคิดว่าเป็นแค่กระต่ายขาวตัวเล็กๆ ตอนนี้เมื่อได้เจอ กลับพบว่าเธอเป็นสุนัขจิ้กจอก และยังเป็นสุนัขจิ้กจอกสวยพราวเสน่ห์อีกด้วย

“ฉ่าวเฉิน เธอคือ…” เฉียวซินโยวมองไปยังหญิงสาวคนนี้ แล้วถามเบาๆ

สติของเย่ฉ่าวเฉินกลับคืนมา แต่ในใจก็ยังตื่นเต้น “คนนี้ฉู่เหยียน ฉู่เหยียนคนนี้เฉียวซินโยว เพื่อนเก่าของผม”

การแนะนำเพียงสั้นๆ ของเย่ฉ่าวเฉินทำให้เฉียวซินโยวไม่พอใจ แต่เธอไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ กลับดึงแขนของเย่ฉ่าวเฉินเข้ามาควงเหมือนกับเป็นการกล่าวปฏิญาณต่อทุกคน พร้อมพูดอย่างยั่วยวน “ฉ่าวเฉิน ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณเยอะเลย เราไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีไหมคะ”

ทันทีที่เย่ฉ่าวเฉินยอมรับความจริงเรื่องที่เฉียวซินโยวยังมีชีวิตอยู่ ก็ดึงมือเธอออกอย่างใจเย็น “ฉันกำลังจะไปทานข้าวกับฉู่เหยียน…”

“ฉ่าวเฉิน ฉันอยากคุยแบบส่วนตัวกับคุณนะคะ” เฉียวซินโยวพูดขัดจังหวะขึ้นมา แล้วหันไปพูดกับฉู่เหยียน “คุณฉู่ ฉันกับฉ่าวเฉินเพิ่งเจอกัน เลยมีเรื่องส่วนตัวต้องคุยกันนิดหน่อยน่ะค่ะ”

มู่เวยเวยแอบยิ้มในใจ แต่สีหน้าแสดงออกอย่างไม่แยแส เธอมองไปที่เย่ฉ่าวเฉินแล้วพูดว่า “ได้สิค่ะ พวกคุณไปคุยกันเถอะ” พูดจบก็หันหลังเดินจากไป แต่กลับถูกเย่ฉ่าวเฉินรั้งเอาไว้ เธอหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ จ้องลึกเข้าไปในแววตาของเขา

“ไม่มีอะไรเป็นส่วนตัว คุณอยู่ที่นี่เถอะ” มีระลอกคลื่นสั่นไหวอยู่ในดวงตาสีน้ำเงินเข้มของเขา แม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่แน่ใจว่าเธอคือมู่เวยเวย แต่แม้ความหวังเพียงเล็กน้อย เขาก็ไม่อยากเสียมันไป ฉะนั้น ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ครั้งนี้ เขาไม่อยากให้เธอเข้าใจผิด

เฉียวซินโยวแปลกใจกับคำพูดของเย่ฉ่าวเฉิน หนานกงเฮ่าบอกว่าตอนนี้ความสัมพันธ์พวกเขายังเป็นแค่หุ้นส่วนกันไม่ใช่เหรอ? แล้วนี่คืออะไร?

มู่เวยเวยยิ้มอย่างอ่อนโยน มองไปที่เฉียวซินโยว พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “แต่ฉันคิดว่าคุณเฉียวดูเหมือนไม่เต็มใจให้ฉันอยู่ที่นี่ด้วยนะคะ มันจะเหมาะเหรอ?”

เย่ฉ่าวเฉินพูดด้วยแววตาแน่วแน่ “เหมาะสิ พวกเราก็คุยเรื่องในอดีตกัน ส่วนคุณก็ทานข้าวอยู่ข้างๆ”

“งั้น…” มู่เวยเวยเลิกคิ้วแล้วมองไปยังเฉียวซินโยว เมื่อเห็นความไม่พอใจจากแววตาของเธอ ก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “งั้นฉันจะพยายามนะคะ”

เมื่อพูดประโยคนี้ออกมา เฉียวซินโยวโกรธจนแทบพ่นควัน ผู้หญิงคนนี้ทำตัวราคาถูกแล้วยังอวดฉลาดอีก

“งั้นไปกันเถอะ” เย่ฉ่าวเฉินกางร่มให้ฉู่เหยียน แล้วหันกลับไปพูดกับเฉียวซินโยว “ร้านอาหารอยู่ข้างหน้าไม่ไกล เดินไปไม่กี่นาทีก็ถึง”

เฉียวซินโยวทำตัวว่านอนสอนง่าย “คุณว่าที่ไหนก็ที่นั้นแหละค่ะ”

ทั้งสามคนเดินไปที่ร้านอาหาร มู่เวยเวยเดินถือร่มอยู่ด้านหน้า สมองกำลังประมวลผลอย่างรวดเร็ว เฉียวซินโยวยังมีชีวิตอยู่ ใครช่วยชีวิตเธอไว้? เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ทันใดนั้นก็มีใบหน้าหนึ่งปรากฏขึ้นมาในหัวของเธอ หนานกงเฮ่า

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น นอกจากเย่ฉ่าวเฉินก็คือหนานกงเฮ่า และเขาก็มีปัจจัย

คือเธองั้นเหรอ?

เย่ฉ่าวเฉินที่เดินอยู่ระหว่างกลางก็คิดถึงปัญหานี้เช่นกัน แต่สิ่งที่เขารู้อย่างชัดเจนคือ เขาไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อเฉียวซินโยวอีกแล้ว ความรู้สึกทั้งหมดตายไปพร้อมกับการตายของเธอ ฝังไปกลับความมึนเมาในคืนนั้น หลังจากที่สร่างเมา ทุกอย่างก็กลับเป็นเพียงเศษธุลี ยิ่งไปกว่านั้นจากที่เขาได้เรียนรู้ความจริงมากมาย ความคิดถึงที่มีต่อเธอเพียงเล็กน้อย ก็หายไปเช่นกัน เพราะหากไม่มีเธอเข้ามาแทรกกลาง รู้สึกของเขาและมู่เวยเวยก็คงไม่ถึงขั้นแตกหักจนสะสางไม่ได้แบบนี้

ตอนนี้ เธอยังมีชีวิตยืนอยู่ตรงหน้าเขา แน่นอนว่าเย่ฉ่าวเฉินยังโชคดี แต่นี้คือความปรารถนาในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ไม่มีเป็นอื่น

และเฉียวซินโยวที่เดินตามมาด้านหลัง ในใจก็กระวนกระวายมากขึ้น เธอรับรู้ได้ว่าเย่ฉ่าวเฉินดูไม่มีความสุขกับการกลับมาของเธอ คิดว่าเมื่อมู่เวยเวยหายไปแล้ว เธอจะครอบครองหัวใจของเขาได้ ไม่คิดว่าจะมีฉู่เหยียนเพิ่มมาอีกคน และเห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้รับมือได้ยากกว่ามู่เวยเวย

และยังมีอีกอย่าง แม้ว่าเฉียวซินโยวไม่อยากยอมรับ แต่นี่ก็เป็นเรื่องจริง นั้นก็คือตระกูลของฉู่เหยียนดีกว่าเธอหลายหมื่นเท่า ผู้ชายหน้าไหนหากได้พบเจอกับเธอและฉู่เหยียน ต่างก็ต้องเอนเอียงไปทางฉู่เหยียนทั้งนั้น

เมื่อมาถึงร้านอาหาร เย่ฉ่าวเฉินขอเป็นห้องแบบส่วนตัวเงียบๆ ทั้งสามเดินเข้าไปทีละคน เย่ฉ่าวเฉินนั่งตรงกลาง หลังจากที่ครุ่นคิดมาตลอดทาง เวลานี้เขาได้ใจเย็นลงมาก

เขาส่งเมนูอาหารให้ฉู่เหยียน เย่ฉ่าวเฉินพูด “อยากกินอะไรก็สั่งเลย”

มู่เวยเวยไม่ได้เก้อเขิน ทำเหมือนเฉียวซินโยวไม่อยู่ด้วย เธอเลื่อนดูเมนูด้วยรอยยิ้ม พูดขึ้นอย่างเป็นกันเอง “ในเมื่อครั้งล่าสุดคุณออกให้ฉัน แม้จะจ่ายให้แค่ห้าสิบหยวน แต่ฉันคงไม่ได้คุณออกให้อีก ฉันรู้สึกแย่ถ้ามันแพงเกินไป”

“ผมไม่เชื่อว่าแค่คุณทานข้าวมื้อเดียวจะทำให้ครอบครัวเราจนลงได้หรอกนะครับ”เย่ฉ่าวเฉินหัวเราะเธอ แล้วหันไปหาพนักงานแล้วพูดว่า “ขอนมเปรี้ยวให้คุณผู้หญิงท่านนี้ก่อน” พูดจบก็หันไปถามเฉียวซินโยว “เธอจะดื่มอะไร?”

เฉียวซินโยวเฝ้าดูการพูดคุยที่ดูสนิทสนมของพวกเขา ในใจคล้ายกับถูกเถาวัลย์พันกันจนยุ่งเหยิง แต่กลับยิ้มแล้วตอบว่า “ดื่มอะไรก็ได้ค่ะ”

“แล้วก็น้ำส้มสองแก้ว”

หลังจากพนักงานเดินจากไป มู่เวยเวยที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เอาแต่สนใจกับเมนูอาหาร เย่ฉ่าวเฉินและเฉียวซินโยวจึงเข้าสู่การสนทนาการกันอย่างเป็นทางการ

“ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เธอตกลงไป?” เย่ฉ่าวเฉินตรงเข้าประเด็น ไม่มีการผ่อนปรน ไม่มีการปิดบังใดๆ

เฉียวซินโยวกวาดตามองหญิงสาวที่กำลังตั้งใจสั่งอาหาร แล้วทำตัวน่าสงสารมองไปที่เย่ฉ่าวเฉิน “หลังจากที่ฉันตกลงไป ตัวก็บังเอิญไปเกี่ยวกับต้นไม้ ต่อมามีคนมาช่วยไว้ได้ ไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่นานจนกว่าจะหายดี เมื่อร่างกายฉันฟื้นตัวเต็มที่แล้ว ก็รีบกลับมาหาคุณทันที ฉ่าวเฉิน ตอนนั้นฉันผลีผลามเกินไป คุณให้อภัยฉันได้ไหม?”

เย่ฉ่าวเฉินรู้ว่าเธอเป็นคนชี้นำ เธอต้องการลากตัวเองและมู่เวยเวยฝังพร้อมกัน น้ำเสียงเย็นชาเอ่ยขึ้น “เฉียวซินโยว เรื่องทั้งหมดก็ผ่านไปแล้ว ตอนนี้เธอไม่ได้เป็นอะไร นี่คือจุดจบที่ดีที่สุด”

“ที่พูดมาแปลว่าคุณไม่ได้โทษฉัน?” เฉียวซินโยวบีบน้ำตา

“ฉันไม่โทษเธอ เรื่องราวผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป คนเราควรมองไปข้างหน้า”

เฉียวซินโยวหัวเราะทั้งน้ำตา “ฉ่าวเฉิน แล้วเวยเวยล่ะ? ฉันอยากขอโทษเธอด้วย เมื่อก่อนฉันทำเรื่องไม่ดีไว้มาก”

นิ้วมือของคนที่กำลังสั่งอาหารหยุดชะงักไปชั่วครู่ แล้วเลื่อนเมนูต่อไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย เฉียวซินโยวเธออยากขอโทษมู่เวยเวยจริงๆ งั้นเหรอ? เพิ่งเห็นกันครั้งแรก สายตาอิจฉาริษยาที่แสดงออกมา เธอไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

ท่าทีของเย่ฉ่าวเฉินสงบลง เขาเอนหลังไปบนเก้าอี้ สายตามองไปยังใครบางคนที่ไม่มีตัวตน “เวยเวยไปต่างประเทศ ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ในประเทศนี้”

“เธอไปทำอะไรที่ต่างประเทศ” เฉียวซินโยวแสร้งทำเป็นสงสัย

“ไปศึกษาเพิ่มเติม” เขาเปิดประเด็นนี้ขึ้นมา แล้วเอ่ยถามเธอ “ตอนนั้นใครช่วยเธอไว้?”

เฉียวซินโยวตอบคำถามที่เตรียมการมาล่วงหน้าอย่างดี “นักสำรวจสองสามคน ไม่ใช่คนเมืองA”

“อ่อ” เย่ฉ่าวเฉินพยักหน้า สำหรับคำตอบนี้ แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อมัน สำหรับเขามันดูไม่ค่อยไม่สมเหตุสมผล แต่เขาก็ไม่ต้องการค้นหาความจริง ในตอนนี้เขายังมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ

เป็นเวลาเดียวกันที่พนักงานบริการเคาะประตูเข้ามา ในมือถือนมเปรี้ยว และน้ำส้มเข้ามาสองแก้ว

“สั่งอาหารเสร็จหรือยัง?” เย่ฉ่าวเฉินโน้มตัวเข้าไปถามคนที่เอาแต่เงียบ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

วิวาห์สายฟ้าแลบ กับคุณสามีผู้ลึกลับ

“ผู้หญิงคนนี้ ฉันต้องการแล้ว” มู่เวยเวยซึ่งถูกแฟนหนุ่มขายตัวเธอไป จนเธอต้องกลายเป็นภรรยาของเย่ฉ่าวเฉิน ภายในห้อง ความดุของเขาทำให้เธอทรุดลง “คุณแต่งงานกับฉันด้วยเหตุผลอะไร” ชายหนุ่มแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย “แต่งงานกับคุณ แน่นอนว่าเพื่อที่จะได้รังแกคุณไง” หลังจากนั้น…………. “คุณห้ามคิดถึงผู้ชายคนนั้น ไม่อย่างนั้นผมจะจัดการเขา” “ผู้หญิงของผมมีแค่ผมเท่านั้นที่จะรังแกได้ ใครกล้ามาแตะต้องคุณแม้แต่ปลายผม มันต้องตาย” “ใครบอกให้คุณไม่กลับบ้านตอนค่ำ ได้บอกผมรึยัง” ความทรมานที่ฉันพูดถึงมันเปลี่ยนรสชาติไปได้อย่างไร …………. เขาช่วยเธอ และปกป้องเธอเหมือนขุมทรัพย์ จนกระทั่งเธอพบว่าสามีที่เพิ่งแต่งงานคนนี้มีความลับที่เธอไม่รู้ … ห้องที่ห้ามเข้าใกล้ … ผู้ชายที่มีม่านตาสีม่วงและดวงตาเป็นประกาย … ทั้งสองหน้าเหมือนกันมาก … ใครคือสามีที่แท้จริงของเธอ?

Comment

Options

not work with dark mode
Reset